“น้ำแกงกลืนระทมจ้า น้ำแกงกลืนระทม” เสียงเจื้อยแจ้วจำนรรจากู่ร้องประกาศ บนถนนคนเดินสองข้างทางปรากฏร้านค้าหาบเร่แผงลอยวางข้าวของมากมายเรียงรายกันไปคล้ายตลาด ตั้งอยู่คละเคล้ากับฉากหลังคือสถาปัตยกรรมโดยรอบ เป็นอาคารที่สร้างติดๆ กันแม้จะมีลักษณะภายนอกแข็งแรง แต่ก็เป็นงานที่ดูงดงามสบายตาเนื่องจากการประดับประดาแบบผสมผสานตะวันตกและตะวันออกอย่างลงตัว มีสถานที่หนึ่งโอ่อ่าคล้ายวังตั้งอยู่บนที่ราบสูงชันขนาดใหญ่เท่านั้นที่จะดูโดดเด่นไปกว่าสถาปัตยกรรมเหล่านี้ ผู้คนทั้งหลายล้วนสวมเสื้อผ้าที่แตกต่างกันแต่กลับเป็นสีโทนขาวเทาดำสะอาดตาไม่มีสีอื่นเจือผสม ปลายทางข้างหน้าเป็นทวารประตูขนาดใหญ่ หน้าต่างประตูมากมายในเมืองเมื่อมองผ่านออกไปกลับไม่ใช่ทุ่งหญ้าป่าเขา แต่เป็นดวงดาวและภาพของจักรวาลที่งดงามหลากหลาย ในบรรยากาศอันสบายตา กลับปรากฏหญิงชรานางหนึ่งลักษณะการแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีสันฉูดฉาด เด่นชัดต่างจากผู้อื่นในท้องตลาด มือหนึ่งถือแว่นขยาย มือหนึ่งถือแก้วน้ำแกง ด้านหลังเป็นร้านแผงลอยที่วางกาน้ำชาและอุปกรณ์อื่นๆ ไว้อย่างรกรุงรัง หญิงแก่เอ่ยถามบุคคลตรงหน้าของนาง
“แม่หนูไม่พูดไม่จา พึ่งเคยมาที่นี่สินะ เจ้ามีปลายทางจะไปไหนกันแม่หนูน้อย”
สตรีที่ถูกท้วงหันกลับไปมองผู้ถามด้วยสายตาไร้ชีวิตชีวาคล้ายภาพสุดท้ายก่อนตายของนาง “ไปไหนได้... ช่างอัปยศ ภพชาติที่ผ่านมาของข้า ไปเกิดใหม่ก็คงจะเป็นทางออก” ครั้นกล่าวจบสตรีนางนี้ก็หยิบน้ำแกงในมือหญิงชราไปดื่ม
“พูดจาห้วนจริงๆ สงสัยสมัยที่เจ้ามาคงจะไม่น่าอภิรมย์สินะ ที่โลกวิญญาณนี่ ต้องจ่ายพลังทิพย์เป็นการแลกเปลี่ยนกันนะแม่หนู แต่แม่หนูคงมีเยอะไม่เบาในชาติที่แล้วมา.....อ้าวเดินไปแล้วนั่น!!! น้ำแกง!!!! น้ำแกงลืมระทมพ่อหนุ่ม สงสัยจะมาจากที่เดียวกัน คนสมัยนั้นไม่สนใจคนแก่จริงๆ”
ตามหลังสตรีที่เดินไปอย่างไร้ชีวิตนั่น ปรากฎหนุ่มรูปงามสะดุดตา ผิวพรรณเปล่งประกายดังเพชร ร่างสูงโปร่ง ดวงตาเรียวยาวได้รูปงดงามเช่นมังกร เมื่อมองเข้าไปนัยน์ตาละม้ายวิญญาณบริสุทธิ์ประดุจดั่งทารกแรกเกิด ทว่าชายหนุ่มกลับแต่งกายด้วยผ้านุ่งเพียงผืนเดียว
“โอ้วไม่นะพ่อหนุ่ม นั่นไม่ใช่ว่าเจ้าพึ่งเกิดใหม่สินะ” หญิงชราหยิบแว่นขยายมาส่องไปยังชายหนุ่มและสตรีที่เดินอยู่ก่อนหน้าของเขาสลับไปมา “นี่มันมหาภูตศาสตรา... เจ้าเด็กนี่ปลุกภูตได้รึนี่ น่าสนใจๆ น่าสนใจจริงๆ”
ไม่นานหญิงชราก็เปลี่ยนร่างกลายเป็นเด็กน้อย ดูจะมีอายุราวๆ 12-13 ขวบ พร้อมรวบคว้าชุดสีขาวงดงาม และวัตถุบางอย่างคล้ายกับสร้อยที่ถักผสมอัญมณีต่างๆ วิ่งตรงไปยังบุรุษผู้นั้น
“พี่ชายๆ ตามแม่หญิงคนนั้นมาหรือครับ พี่ชายรับนี่ไปแลกกับอันนั้นได้ไหม.”
เด็กน้อยพลันชี้ไปที่ผ้านุ่งของเขา บุรุษกำลังจะถอดผ้าผืนเดียวนั้นให้เด็กน้อย “ไม่ๆ!!!! ไม่ได้นะพี่ชาย” จากเด็กน้อยก็กลับกลายร่างเป็นชายวัยกลางคน “นี่ไงเจ้าเห็นไหม บุรุษต้องไม่ล่อนจ้อน ถ้าเจ้าถอดผ้าออกมาล่อนจ้อน เจ้าก็จะถูกเข้าใจว่าเป็นผีเร่ร่อน....” พลางเดินเข้ามาแนบประชิดตัวบุรุษผู้กำลังจะทำการเปลือยเปล่าร่างกายของเขา “นี่เจ้าจะยอมแลกเปลี่ยนกับข้านิดๆ หน่อยๆ เจ้าก็ไม่ต้องทำเช่นนั้น น่าอับอายๆ มาเถอะๆ หลับตาลง” จากนั้นชายวัยกลางคนเพียงดีดนิ้วก็ทำให้เสื้อผ้าของบุรุษตรงหน้า ดูงดงามราวกับเทพเซียน
“สงสัยคงจะไม่รู้ภาษาสื่อสารด้วยสินะ ข้าโม่ซือไม่แล้งน้ำใจๆ งั้นเอานี่ไป น้ำค้างแห่งความรู้ ฮ่าๆๆ”
ชายวัยกลางผู้เรียกตัวเองว่าโม่ซือ หันคว้าขวดแก้วเล็กๆ ที่เขียนไว้ว่าหมื่นน้ำค้างหลันฮวาจากแดนอัปสรา ณ ร้านแผงลอยของเขา แล้วเปิดปากขวดหยาดไอบางๆ ลงบนฝ่ามือซ้าย กวัดไกวหัตถ์ขวาไปมาบนอากาศสองสามครั้งประสานเข้ากับการเคลื่อนไหวสลับซ้ายขวาอย่างสมดุล ไม่นานพลันปรากฏ เมล็ดน้ำค้าง ขนาดเท่าลูกกลอนบนฝ่ามือ จากนั้นใช้เพียงสองนิ้วตวัดเข้าไปอย่างรวดเร็วที่จุดเถียนเซียนหรือหน้าผากของบุรุษ ดวงตาบุรุษเบิกโพลงตื่นสว่างขึ้น ณ บัดดล “สัตยามูระ ชื่อของข้า”
หญิงสาวที่มุ่งหน้าย่างสู่ประตูทวารบานใหญ่ หยุดเยื้องก้าว พลางหวนกลับ ระหว่างจ้ำเดินผ่านหน้าชายหนุ่มผู้เรียกตนว่า สัตยามูระ นางมิได้เอื้อนเอ่ยวาจาใด เพียงแต่มองจ้องแล้วเดินผ่านไปยังโรงน้ำชาเบื้องหลังบุรุษนั้น
“เจ้าหนุ่ม นางจำเจ้าไม่ได้หรอกเพราะนางดื่มน้ำลืมระทมของข้าแล้ว”
สายตาชายหนุ่มซึ่งทอดมองตามหญิงสาว พลันเหลียวกลับมายังโม่ซือทันควัน “นิ น้องชายเจ้าดูสิ นางจำไม่ได้ก็ดีแล้วไม่ใช่หรือ นางจำได้เจ้าจะทำ...” ยังไม่ทันกล่าวจบ สัตยามูระเดินดิ่งไปยืน ยังเบื้องหน้านางผู้นั้น “เจ้าต. ต.ติดดด..หนี้ข้า” โม่ซือเริ่มสังเกตเห็น ผลค้างเคียงจากยาของเขา “หรือวิชาเซียนปรุงยาของข้าจะมีปัญหา ไม่สิๆ ทำไมเจ้าถึงติดอ่างได้ละ” เขาพูดพลาง ครุ่นคิด เดินไปมา ใกล้แผ่นหลังชายหนุ่มนั้น
“เจ้าบ้า ข้าไม่รู้จักเจ้าจะไปติดหนี้เจ้าตอนไหน ออกไปซะ ก่อนข้าจะถีบส่งออกไป”
หญิงสาวในชุดโต๊ะโรงน้ำชาบริเวณที่จัดไว้บริการลูกค้าบุญ-บารมีชั้นเลิศ กล่าวกับชายหนุ่มด้วยสีหน้าแววตาที่เบิกโพลงสุกสว่างสดใสแต่แฝงไว้ซึ่งความดุดันเช่นเก่าก่อน เปลี่ยนจากสภาวะเมื่อเข้ามาในแดนสถานแห่งนี้แรกๆ อย่างสิ้นเชิง “อภิโถ่! ยายเฒ่าอัปสราหลอกให้ข้าไปจิกของเก๊มาแน่ๆ เลย ไม่ได้ๆ ต้องไปหาของมาแก้ ...อ้าวตีกันซะแล้วพวกท่าน” โม่ซือกล่าว พลางย้ายร่างของเขาไปยังม้านั่งชุดเดียวกันกับโต๊ะน้ำชาของแม่นางท่านนั้น “เจ้านี่นะ จำยายแก่ไม่ได้แล้วหรือ” หญิงสาวมองด้วยความครุ่นคิดพลันหันมาถาม “ท่านคือใครกัน” โม่ซือสีหน้าเจื่อน
“นี่ข้ากลายเป็นเรื่องระทมที่เจ้าต้องลืมหรือเนี่ย”
สีหน้าหญิงสาวเปลี่ยนพลางค่อยๆ เผยยิ้มบางๆ ออกมา สัตยามูระได้เห็นรอยยิ้มจริงใจที่นางปรารถนาก่อนสิ้นลง นั่นเป็นภาพจิตปีติแรกที่เขาพบในรอบกลางถึงปลายชีวิต และหลังความตายของนาง “โม่ซือหรือ... ยังชอบใช้ชื่อจีนอยู่สินะ ข้าอาจจะหลอกล้อท่านเล่น เหมือนที่ท่านหลอกเจ้าหนุ่มคนนั้นไปๆ มาไง โม่ซือ” โม่ซือนึกอยู่ชั่วครู่ คิดวนเวียนว่าจะมีใครกล้าหลอกจิ้งจอกเฒ่าอย่างเขาได้ “อะไรกันนี่เจ้าหลอกข้างั้นหรือ ข้าจิ้งจอกเฒ่าจะถูกใครหลอกได้ ห๊ะ” ชายหนุ่มยังคงยืนงงๆ อยู่ท่ามกลางบรรยากาศตรงนั้น
“ในสี่สมุทรหกดินแดนจิ้งจอกแสนซนอย่างท่านจะมีใครหลอกลวงได้ลงนอกจาก....” โม่ซือถึงกับคืนร่างจิ้งจอก แสดงท่าทีเหมือนเด็กน้อยกำลังได้ขนมถูกใจ “ท่านป้าอู๋หมิง” น้ำเสียงดีใจของเด็กน้อย ทำให้เขายิ่งน่าเอ็นดู “ที่แท้ข้าว่าแล้วว่าทำไมช่างดูคุ้นเคยนัก แล้วดูนี่สิท่านไปทำอะไรมาข้าถึงหากลิ่นปราณท่านไม่พบเลย พลังของท่านหายไปไหนหมด... ท่านรู้ไหมตอนนี้ทั้งสวรรค์ล้วนตามหาให้ท่านกลับไปผ่านพิธีเลือกคู่ หลังจากจบภพมนุษย์นั้น พวกเราก็หาท่านไม่เจออีกเลย...” โม่ซือน้อยกล่าว สายตาของสัตยามูระ ยังคงแปลกใจในตัวพี่โม่ซือของเขา ชายคนนี้ยังมีอะไรให้แปลกใจได้อีกบ้าง
“นั่งก่อนๆ น้องชาย ไม่ต้องตกใจ ข้าน่ะเป็นภูตจิ้งจอกที่ใจดีแต่ชอบสนุกไปนิด ไม่ใช่วิญญาณที่น่ากลัวเลยนะ เอ๊ะ!! เจ้ามากับท่านป้าหรือเจ้าจะเป็น อาข้า รึเป็นลุง ..น้า ยังไงน้า..”
หญิงสาวเริ่มจ้องมองไปที่สัตยามูระ “เจ้าโง่ นามเจ้า คืออะไรนะพูดอีกทีสิ” ชายหนุ่มจากสีหน้าเรียบเฉย ค่อยเปลี่ยนเป็นขมวดคิ้วเข้าหากัน พลันตอบหญิงสาวไปว่า “เจ้า..ติด น... หนี้..ข้า” หญิงสาวไม่รีรอเตรียมจะทำตามคำกล่าว หมายจะถีบส่งเขาออกจากโรงน้ำชาแห่งนี้
“ท่านป้าใจเย็นก่อน ท่านนึกดีๆ สิท่านจำเขา จำสัญญาต่อเขาไม่ได้เลยจริงๆ หรือ? พ่อหนุ่มนี่รึ จะโชคร้ายถูกรวมเป็นเรื่องระทมของท่านซ่ะแล้ว”
หญิงสาวสงบลง ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง “ข้าจำได้ว่า ข้ามีเครื่องดนตรีและอาวุธที่ชื่อสัตยามูระในสมัยที่ข้าไปเกิดเป็นสิงคัมเดวีในเผ่าทมิฬ อื้มม... ชื่อคล้ายเจ้านี้จริงๆ ด้วยนะ หรือเจ้านี่จะแอบอ้าง..” โม่ซือน้อยรีบตอบอู๋หมิง “ถูกต้องแล้ว เขาก็คือมหาภูตที่เกิดจากอาวุธของท่านเพราะท่านมอบวิญญาณขันธ์และเลือดให้เขาส่วนหนึ่ง แต่ดูเหมือนท่านจะทำโดยสภาพจิตใจที่ไม่สมบูรณ์ในตอนนั้น เขาเลยออกมาสภาพเป็นแบบนี้ไง”
สายตาทั้งหมดบนโต๊ะสนทนา มองไปยังสัตยามูระที่กำลังขมวดคิ้ว “เจ้าตต..ติด หนี้ ข้า” ได้ยินดังนั้น อู๋หมิงถึงกับถอนหายใจ “เจ้าโม่ซือ ผ่านมาขนาดนี้ยังปรุงยาไม่ได้เรื่องจริงๆ สินะ” โม่ซือมีสีหน้าขวยอาย
“ข้าไม่ได้ทำผิดพลาดในขั้นตอนปรุงยาเลยจริงๆ นะ แต่วัตถุดิบที่ข้าไปเอามา มันเป็นของเก้ อย่างแน่นวล”
หญิงสาวดีดมือลงเบาๆ ที่หูของโม่ซือด้วยความเอ็นดู “เจ้าเด็กโง่ ขโมยมาก็สมควรแล้ว นิสัยชอบสะสมของทิพย์ของเจ้าจักรวาลคงจะกองไปด้วยขยะที่เจ้าซุกซ่อนไว้แล้วล่ะสิ..” อู๋หมิงพูดพลางหัวเราะหยอกเบาๆ “เราควรจะทำให้เขามีขันธ์สมบูรณ์ดีไหม ดูสิตอนนี้เขาเป็นแค่ภูตอ๊องๆ ไปแล้ว” โม่ซือครุ่นคิดข้างหนึ่งฟุบลงเท้าโต๊ะ หนึ่งมือตั้งขึ้นเกยคาง เพ่งพิศไปมาระหว่างชายหนุ่มกับหญิงสาว “ข้าคิดออกแล้ว!!!! ข้าว่าท่านคงจะทำปราณฤทัยดอกบัวของพระมารดาหนี่ว์วาหายไป ทำให้พลังของท่านซี้แหงแก๋ไปด้วย ...แต่ความจำท่านเรื่องที่ระทมได้ถูกลืมไปแล้วด้วยฤทธิ์ยาดับระทม.... งั้นเราคงจะต้องพึ่งพาแก้วประสานวิญญาณเพื่อเข้าไปค้นหาผ่านความทรงจำของท่านป้าเพียงแต่...”
สีหน้าของสัตยามูระดูเหมือนจะไม่ต้องการให้นางทำเช่นนั้น จู่ๆ ชายหนุ่มลุกพรวดพราด พลันดึงมือหญิงสาวตรงหน้า ออกจากโรงน้ำชาทันที “เจ้... ติ ...ด.. ห ....นี้...ข้า”
น้ำเสียงของเขาดูเหมือนพยายามแสดงความหนักแน่น แม้จะลดอาการติดอ่างลงได้นิดหน่อยแต่ก็ยังคงเป็นข้อความที่เหมือนเด็กหัดพูด “ได้ เจ้าทึ่ม นี่เป็นปัญหาของข้าและข้าจะต้องรับผิดชอบเจ้าอย่างแน่นอน ข้าอู๋หมิงคนนี้จะชดใช้ให้เจ้าเอง” โม่ซือน้อยตามออกมาหน้าโรงน้ำชา สวมคว้าแขนบุคคลทั้งสองเข้าไว้ด้วยกัน
“พอแล้วๆ ไม่ลองก็ไม่รู้ งั้นไปดูกันซักตั้ง”
โม่ซือเพียงหลับตาชั่วขณะ ทั้งสามก็ปรากฎยังสถานที่แห่งหนึ่ง แม้จะเต็มไปด้วยความงดงามของกลุ่มดาวในท้องฟ้า แต่ลักษณะของทิพย์ล่องลอยอยู่เกะกะคล้ายถังขยะอวกาศ มองภายนอกไม่เหมือนจะเป็นของสะสมล้ำค่า กระจัดกระจายทั่วไปไม่มีหมวดหมู่ “เดี๋ยวนะ ขอข้าหาก่อนๆ” โม่ซือพยายามค้นหา บางสิ่งในสถานที่แห่งนี้กลับทำให้อู๋หมิงอึ้งชะงักในกิจกรรมของหลาน
ในที่สุดโม่ซือก็พบสิ่งนั้น “เจอแล้วทุกท่านพวกท่านพร้อมหรือยัง หนึ่งในของแรร์ไอเทมของข้า ข้าเอามาเก็บไว้กลางเขาจักรวาล ฮ่าๆๆๆ” เงียบสงบไปครู่ อู๋หมิงจึงเอ่ยออกมา “เจ้าเด็กคนนี้ สะสมสมบัติคือความรกจริงๆ” โม่ซือน้อยขวยเขินขึ้น “ท่านป้าอู๋หมิง...” น้ำเสียงเบาๆ คล้ายกำลังโอดครวญกลบเกลื่อนอาการอาย “เอาล่ะแต่พลังเซียนของข้าไม่ด้อยเลยนะ งั้นเรามาเริ่มกันตั้งแต่ต้นเลยแล้วกัน ตั้งแต่ก่อนเหตุการณ์ที่ท่านจะลงไปจุติยังแดนมนุษย์”
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
Comments