"ปกป้องกันดีเหลือเกินนะ" คิง เอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเย้ย
ผู้คนที่อยู่ในโรงอาหารรวมในตอนนั้นไม่มีใครกล้าพูดอะไรหรือปริปากแม้แต่น้อย
"นี่...อยากรู้อะไรมั้ยคิง.." มาวินเอ่ยเสียงเรียบในขณะที่ก้มหน้าอยู่
"หื้ม? อะไรกัน กล้าเปิดปากแล้วหรอ" คิงยังคงพูดด้วยน้ำเสียงกวน
"นายหน่ะ...นิสัยโคตร 'ต่ำ' เลยนะ.." มาวินค่อยๆเงยหน้าขึ้นมองคิงแล้วแสยะยิ้ม และแน่นอนว่า
มีเพียงคิงที่เห็นมัน...(:
"มะ...มึงก็ไม่ได้มีดีเหี้ยไรดีหรอก นอกจากหน้าตา!!" คิงพูดเสียงดังพรางชี้หน้ามาวินไปด้วย
[อา...น่าฆ่า...น่าจะฆ่าให้ตาย]
[ทำไม่ได้นะ...อย่าทำนะ]
ความคิดของมาวินกำลังตีกันมั่วไปหมด อธิบายไม่ได้เลยกับความรู้สึกของเขา มันจะพังรึป่าว ทุกสิ่งที่สร้างมา จะพังมั้ยนะ... ชื่อเสียงในมหาวิทยาลัยนี้ ครูที่เอ็นดูเสมอ จะพังหมดเลยรึป่าวนะ...
"นี่!! อย่ามาว่าพี่มาวินของพวกเรานะ!!!"
"ใช่ๆ แกนั่นแหละ ที่ไม่มีอะไรดี!"
"อิจฉาคนอื่นไปทั่ว!!"
"ขาดความอบอุ่นสินะ! เลยมาว่าพี่มาสินของพวกเรา!!!
"เหอะ!! สมเพช!!"
เสียงคนที่เป็นแฟนคลับของมาวิน ต่างพูดจึ้นมาต่างๆนาๆ ด่าทอคิง ที่บังอาจมาว่า รุ่นพี่มาวินของพวกเขา
[พวกเขา...ปกป้องเรา...หรอ..]
[ดี...ดีจัง]
[อยากให้เป็น...แบบนี้ตลอดเลย...]
[อยากให้มีคนปกป้องแบบนี้...ตลอดไปเลย]
"อา..ขอบคุณทุกคนละกันนะครับ ที่ช่วยผม.." มาวินพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนๆ สร้างความเขินความน่าเอ็นดูได้อย่างดี
โรคกลัวสังคม คืออะไร?
โรคกลัวสังคมหรือที่เรียกว่า Social anxiety disorder คือ การที่ผู้ป่วยมีอาการประหม่า รู้สึกไม่สบายใจ อึดอัด กังวลใจ เมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่อาจมีผู้อื่นสังเกตจ้องมองตนเอง เช่น การพูดคุยกับคนที่ไม่คุ้นเคย การทำกิจกรรมในที่สาธารณะ หรือนำเสนองานหน้าชั้นเรียน เป็นต้น โดยมีอาการแสดงคือเมื่ออยู่ในสถานการณ์ดังกล่าว มักใจสั่น มือสั่น เสียงสั่น เหงื่อออกมาก อันเกิดจากความตื่นเต้นและความกังวลที่เกิดขึ้นในจิตใจ
ทั้งนี้ความตื่นเต้นที่เกิดขึ้น บางครั้งเป็นเรื่องธรรมดา ที่ทุกคนสามารถเจอได้ ไม่เฉพาะกับผู้ป่วยด้วยโรคกลัวสังคมเท่านั้น ความตื่นเต้นธรรมดามักเกิดเป็นครั้งคราว แต่สำหรับผู้ป่วยโรคกลัวสังคม จะมีอาการทุกครั้งที่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เป็นตัวกระตุ้นอาการ
แบบไหนถึงเรียกว่าเป็นโรคกลัวสังคม
การพิจารณาว่าป่วยหรือไม่นั้น ให้สังเกตว่ามีอาการประหม่าทุกครั้งที่ต้องอยู่ในสถานการณ์นั้นๆหรือไม่ หากในกรณีที่ต้องทำกิจกรรมบางอย่างในที่สาธารณะ หรือมีคนจำนวนมากจ้องมอง เช่น ขึ้นเวทีเพื่อพูดนำเสนอบางอย่าง ในคนปกติอาจมีความประหม่าในครั้งแรกที่ต้องทำ แต่เมื่อผ่านการฝึกฝน ซักซ้อม ก็สามารถก้าวผ่านไปได้ และไม่ได้เป็นทุกครั้งที่ต้องขึ้นเวที แต่จะเป็นเพียงบางครั้ง เช่น พิธีกร อาจเป็นเฉพาะเวลาที่ต้องพูดในงานที่มีคนเยอะมาก ๆ แบบที่ไม่เคยเจอมาก่อน แต่หากต้องพูดในเวทีเล็ก ๆ ที่เคยเจอมาแล้วจะไม่มีอาการอะไร แบบนั้นถือเป็นความประหม่าปกติที่เกิดขึ้น ไม่ใช่โรคกลัวสังคม
แต่ในผู้ที่ป่วยเป็นโรคกลัวสังคม จะมีอาการทุกครั้งที่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่คุ้นเคย สถานการณ์ที่มีคนจ้องมองเยอะ หรือสถานการณ์ที่ต้องทำบางอย่างในที่สาธารณะ ไม่เพียงเท่านั้น ผู้ที่ป่วยด้วยโรคกลัวสังคม ยังมีอาการประหม่าเมื่อต้องสนทนากับคนที่ไม่คุ้นเคย แม้จะเป็นการสนทนาแบบสองต่อสอง มักมีความอึดอัด ไม่สบายใจ กังวลว่าคู่สนทนาจะสังเกตเห็นท่าทีที่ดูไม่ดีหรือน่าอับอายของตนเองตลอดเวลา และไม่สามารถก้าวข้ามผ่านไปได้ ผู้ป่วยจะพยายามเลี้ยงสถานการณ์นั้นๆ หรือหากเลี่ยงไม่ได้ก็จะทุกข์ทรมานมาก โดยระยะเวลาของอาการป่วยมักเป็นต่อเนื่องนานเกิน 6 เดือนขึ้นไป
คนขี้อาย และ ผู้ป่วยโรคกลัวสังคมนั้นต่างกันอย่างไร?
ผู้ป่วยโรคกลัวสังคมจะแตกต่างกับคนขี้อาย โดยคนขี้อายจะมีอาการไม่มากเท่ากับผู้ป่วยโรคกลัวสังคม บางครั้งอาจมีอาการและบางครั้งอาจไม่มี ไม่ได้มีอาการตลอดเวลา เหมือนกับผู้ป่วยโรคกลัวสังคม และคนขี้อายมักมีอาการในสถานการณ์สำคัญหรือในสถานการณ์ที่มีคนที่เขาแคร์มากอยู่ด้วย
สาเหตุของการเกิดโรคกลัวสังคม
ที่พบบ่อยคือบุคคลที่ป่วยด้วยโรคนี้มักเคยเจอกับสถานการณ์บางอย่างที่ทำให้รู้สึกแย่ จนกลายเป็นความฝังใจ เช่น กรณีของผู้ป่วยรายหนึ่งที่เดิมทีไม่ได้ป่วยเป็นโรคกลัวสังคม แต่เมื่อถึงอายุ 16 ปี เริ่มโดนเพื่อนแกล้ง และเมื่อต้องพูดหน้าชั้นเรียน กลับไม่มีใครฟัง ไม่มีใครสนใจ เพื่อนในห้องคุยกันเอง หัวเราะกันเอง ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกแย่มากกับเหตุการณ์นั้น และกลายเป็นความกลัว จากนั้นจึงมีความกังวลที่จะต้องพูดต่อหน้าคนจำนวนมากมาตลอด ผู้ป่วยโรคนี้มักมีอาการครั้งแรกในช่วงวัยรุ่น เพราะเป็นช่วงวัยที่ให้ความสำคัญกับการประเมินของผู้อื่นต่อตนเองค่อนข้างมาก น้อยคนที่จะเริ่มต้นเป็นในช่วงวัยผู้ใหญ่ ส่วนในวัยเด็กสามารถเจอได้เช่นกัน
ผลกระทบของโรคกลัวสังคม
ส่วนมากมักส่งผลต่อหน้าที่การงานโดยตรง เพราะผู้ป่วยมักหลีกเลี่ยงการนำเสนอผลงาน บางรายยังยอมให้ผู้อื่นเป็นผู้นำเสนอผลงานของตนเอง ทำให้สูญเสียความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน บางคนอาจหลีกเลี่ยงการพบผู้คน ไม่ค่อยเข้าสังคม
การรักษาโรคกลัวสังคม
สาเหตุของโรคที่สำคัญเกิดจากความคิดของตัวผู้ป่วยเอง ทำให้พวกเขาประเมินตนเองอยู่ตลอดเวลา เพราะกลัวว่าคนอื่นจะมองไม่ดี กลัวดูไม่ดีในสายตาคนอื่น กลัวถูกจับจ้อง ซึ่งหลายครั้งเป็นการคิดไปเองของผู้ป่วย เพราะในความเป็นจริง ผู้อื่นอาจไม่ได้สนใจผู้ป่วยเลยก็เป็นได้ ดังนั้นจึงต้องพยายามปรับเปลี่ยนที่ความคิดของผู้ป่วยเอง เพื่อประเมินตนเองให้น้อยลง เช่น การพูดหน้าชั้นเรียน ผู้ป่วยมักประเมินไปก่อนล่วงหน้าแล้วว่า ตนเองพูดน่าเบื่อ ไม่น่าฟัง พูดติดขัด บุคลิกภาพไม่ดี ทำให้ขณะที่ต้องพูดมีความกังวลและอึดอัด จึงต้องแก้ไขโดยการประเมินตนเองให้น้อยลง หลีกเลี่ยงการคิดไปเองว่าผู้อื่นจะต้องสนใจหรือจับผิด
นอกจากนี้กำลังใจจากคนรอบข้างสำคัญมาก หากผู้ป่วยเจอคำพูดกดดัน เช่น ทำไมทำไม่ได้ แค่นี้เองต้องทำได้สิ เป็นต้น จะทำให้อาการป่วยยิ่งแย่ลง แต่ถ้าเป็นคำพูดให้กำลังใจ จะช่วยผู้ป่วยได้มาก
***โรคกลัวสังคม คืออะไร?
โรคกลัวสังคมหรือที่เรียกว่า Social anxiety disorder คือ การที่ผู้ป่วยมีอาการประหม่า รู้สึกไม่สบายใจ อึดอัด กังวลใจ เมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่อาจมีผู้อื่นสังเกตจ้องมองตนเอง เช่น การพูดคุยกับคนที่ไม่คุ้นเคย การทำกิจกรรมในที่สาธารณะ หรือนำเสนองานหน้าชั้นเรียน เป็นต้น โดยมีอาการแสดงคือเมื่ออยู่ในสถานการณ์ดังกล่าว มักใจสั่น มือสั่น เสียงสั่น เหงื่อออกมาก อันเกิดจากความตื่นเต้นและความกังวลที่เกิดขึ้นในจิตใจ
ทั้งนี้ความตื่นเต้นที่เกิดขึ้น บางครั้งเป็นเรื่องธรรมดา ที่ทุกคนสามารถเจอได้ ไม่เฉพาะกับผู้ป่วยด้วยโรคกลัวสังคมเท่านั้น ความตื่นเต้นธรรมดามักเกิดเป็นครั้งคราว แต่สำหรับผู้ป่วยโรคกลัวสังคม จะมีอาการทุกครั้งที่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เป็นตัวกระตุ้นอาการ
แบบไหนถึงเรียกว่าเป็นโรคกลัวสังคม
การพิจารณาว่าป่วยหรือไม่นั้น ให้สังเกตว่ามีอาการประหม่าทุกครั้งที่ต้องอยู่ในสถานการณ์นั้นๆหรือไม่ หากในกรณีที่ต้องทำกิจกรรมบางอย่างในที่สาธารณะ หรือมีคนจำนวนมากจ้องมอง เช่น ขึ้นเวทีเพื่อพูดนำเสนอบางอย่าง ในคนปกติอาจมีความประหม่าในครั้งแรกที่ต้องทำ แต่เมื่อผ่านการฝึกฝน ซักซ้อม ก็สามารถก้าวผ่านไปได้ และไม่ได้เป็นทุกครั้งที่ต้องขึ้นเวที แต่จะเป็นเพียงบางครั้ง เช่น พิธีกร อาจเป็นเฉพาะเวลาที่ต้องพูดในงานที่มีคนเยอะมาก ๆ แบบที่ไม่เคยเจอมาก่อน แต่หากต้องพูดในเวทีเล็ก ๆ ที่เคยเจอมาแล้วจะไม่มีอาการอะไร แบบนั้นถือเป็นความประหม่าปกติที่เกิดขึ้น ไม่ใช่โรคกลัวสังคม
แต่ในผู้ที่ป่วยเป็นโรคกลัวสังคม จะมีอาการทุกครั้งที่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่คุ้นเคย สถานการณ์ที่มีคนจ้องมองเยอะ หรือสถานการณ์ที่ต้องทำบางอย่างในที่สาธารณะ ไม่เพียงเท่านั้น ผู้ที่ป่วยด้วยโรคกลัวสังคม ยังมีอาการประหม่าเมื่อต้องสนทนากับคนที่ไม่คุ้นเคย แม้จะเป็นการสนทนาแบบสองต่อสอง มักมีความอึดอัด ไม่สบายใจ กังวลว่าคู่สนทนาจะสังเกตเห็นท่าทีที่ดูไม่ดีหรือน่าอับอายของตนเองตลอดเวลา และไม่สามารถก้าวข้ามผ่านไปได้ ผู้ป่วยจะพยายามเลี้ยงสถานการณ์นั้นๆ หรือหากเลี่ยงไม่ได้ก็จะทุกข์ทรมานมาก โดยระยะเวลาของอาการป่วยมักเป็นต่อเนื่องนานเกิน 6 เดือนขึ้นไป
คนขี้อาย และ ผู้ป่วยโรคกลัวสังคมนั้นต่างกันอย่างไร?
ผู้ป่วยโรคกลัวสังคมจะแตกต่างกับคนขี้อาย โดยคนขี้อายจะมีอาการไม่มากเท่ากับผู้ป่วยโรคกลัวสังคม บางครั้งอาจมีอาการและบางครั้งอาจไม่มี ไม่ได้มีอาการตลอดเวลา เหมือนกับผู้ป่วยโรคกลัวสังคม และคนขี้อายมักมีอาการในสถานการณ์สำคัญหรือในสถานการณ์ที่มีคนที่เขาแคร์มากอยู่ด้วย
สาเหตุของการเกิดโรคกลัวสังคม
ที่พบบ่อยคือบุคคลที่ป่วยด้วยโรคนี้มักเคยเจอกับสถานการณ์บางอย่างที่ทำให้รู้สึกแย่ จนกลายเป็นความฝังใจ เช่น กรณีของผู้ป่วยรายหนึ่งที่เดิมทีไม่ได้ป่วยเป็นโรคกลัวสังคม แต่เมื่อถึงอายุ 16 ปี เริ่มโดนเพื่อนแกล้ง และเมื่อต้องพูดหน้าชั้นเรียน กลับไม่มีใครฟัง ไม่มีใครสนใจ เพื่อนในห้องคุยกันเอง หัวเราะกันเอง ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกแย่มากกับเหตุการณ์นั้น และกลายเป็นความกลัว จากนั้นจึงมีความกังวลที่จะต้องพูดต่อหน้าคนจำนวนมากมาตลอด ผู้ป่วยโรคนี้มักมีอาการครั้งแรกในช่วงวัยรุ่น เพราะเป็นช่วงวัยที่ให้ความสำคัญกับการประเมินของผู้อื่นต่อตนเองค่อนข้างมาก น้อยคนที่จะเริ่มต้นเป็นในช่วงวัยผู้ใหญ่ ส่วนในวัยเด็กสามารถเจอได้เช่นกัน
ผลกระทบของโรคกลัวสังคม
ส่วนมากมักส่งผลต่อหน้าที่การงานโดยตรง เพราะผู้ป่วยมักหลีกเลี่ยงการนำเสนอผลงาน บางรายยังยอมให้ผู้อื่นเป็นผู้นำเสนอผลงานของตนเอง ทำให้สูญเสียความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน บางคนอาจหลีกเลี่ยงการพบผู้คน ไม่ค่อยเข้าสังคม
การรักษาโรคกลัวสังคม
สาเหตุของโรคที่สำคัญเกิดจากความคิดของตัวผู้ป่วยเอง ทำให้พวกเขาประเมินตนเองอยู่ตลอดเวลา เพราะกลัวว่าคนอื่นจะมองไม่ดี กลัวดูไม่ดีในสายตาคนอื่น กลัวถูกจับจ้อง ซึ่งหลายครั้งเป็นการคิดไปเองของผู้ป่วย เพราะในความเป็นจริง ผู้อื่นอาจไม่ได้สนใจผู้ป่วยเลยก็เป็นได้ ดังนั้นจึงต้องพยายามปรับเปลี่ยนที่ความคิดของผู้ป่วยเอง เพื่อประเมินตนเองให้น้อยลง เช่น การพูดหน้าชั้นเรียน ผู้ป่วยมักประเมินไปก่อนล่วงหน้าแล้วว่า ตนเองพูดน่าเบื่อ ไม่น่าฟัง พูดติดขัด บุคลิกภาพไม่ดี ทำให้ขณะที่ต้องพูดมีความกังวลและอึดอัด จึงต้องแก้ไขโดยการประเมินตนเองให้น้อยลง หลีกเลี่ยงการคิดไปเองว่าผู้อื่นจะต้องสนใจหรือจับผิด
นอกจากนี้กำลังใจจากคนรอบข้างสำคัญมาก หากผู้ป่วยเจอคำพูดกดดัน เช่น ทำไมทำไม่ได้ แค่นี้เองต้องทำได้สิ เป็นต้น จะทำให้อาการป่วยยิ่งแย่ลง แต่ถ้าเป็นคำพูดให้กำลังใจ จะช่วยผู้ป่วยได้มาก
1. สวัสดี
你 好
nǐ hǎo
หนี่ ห่าว
ฉันขออนุญาติแนะนำตัวเอง
我来自我介绍。
Wŏ lái zì wŏ jièshào
หว่อ ไหล จื้อ หว่อ เจี้ยเส้า
3. ฉันชื่อ มาลี
我 叫 มาลี
wǒ jiào มาลี
หว่อ เจี้ยว มาลี
4. ชื่อเล่นของฉันคือหลิงหลิง
我的小名叫玲玲。
Wŏ de xiăomíng jiào Línglíng
หว่อ เตอ เสี่ยวหมิง เจี้ยว หลิงหลิง
อายุ17ปี ฉันเป็นคนไทย
我今年17岁。我是泰国人。
Wǒ jīnnián 17 suì. Wǒ shì tàiguó rén.
หว่อ จินเหนียน สือชี ซุ่ย หว่อ ซื่อ ไท่ กั๋ว เหริน
บ้านฉันอยู่เชียงใหม่
我家在清迈。
Wǒjiā zài qīng mài.
หว่อ เจีย จ้าย ชิง ม่าย
7.ฉันมีพี่น้อง4คน น้องหนึ่งคน พี่ชายสองคนและฉัน
我有四个兄弟姐妹,一个妹妹,两个哥哥和我。
Wǒ yǒu sì gè xiōngdì jiěmèi, yīgè mèimei, liǎng gè gēgē hé wǒ.
หวอ โหย่ว ซื่อ เก้อ ซงตี้เจี่ยเม่ย อี๋เก้อ เม่ยเมย เหลี่ยงเก้อ เกอเกอ เหอ หว่อ
8. ฉันเรียนอยู่ที่โรงเรียน OEC
我在OEC学校上学。
Wŏ zài OEC xuéxiào shàngxué.
หว่อ ไจ้ OEC เสวียเสี้ยว ซั่งเสวีย
9. ฉันกำลังเรียนอยู่มัธยมศึกษาปีที่ 5
现在上高中二年级。
Xiànzài shàng gāozhōng èr niánjí
เสี้ยนไจ้ ซั่ง เกาจง เอ้อร์ เหนียนจี๋
10. ฉันพักอาศัยกับพ่อแม่
我跟父母一起住。
Wŏ gēn fùmŭ yìqǐ zhù.
หว่อ เกิน ฟู่หมู่ อี้ฉี่ จู้
11.ยินดีอย่างยิ่งที่ได้รู้จักคุณ (ยินดีที่ได้รู้จัก)
很 高 兴 认 识 你
hěn gāo xìng rèn shí nǐ
เหิ่น เกา ซิ่ง เริ่น สื่อ หนี่
12.ฉันชอบเรียนภาษาจีน
我喜欢学汉语。
Wǒ xǐhuan xué hànyǔ.
หว่อ สี่ฮวน เสีย ฮ่าน อยู่ร์
13. งานอดิเรกของฉันคืออ่านหนังสือและเล่นอินเตอร์เน็ต
我的爱好是看书和上网。
Wŏ de àihào shì kàn shū hé shàngwăng.
หว่อ เตอ ไอ้เห้า ซื่อ คั่น ซู เหอ ซั่งหวั่ง
กีฬาที่ฉันชื่นชอบคือว่ายน้ำ
我喜欢的运动是游泳。
Wŏ xǐhuān de yùndòng shì yóuyŏng.
หวอ สี่ฮวน เตอ ยวิ่นต้ง ซื่อ โหยวหย่ง
15. ความฝันของฉัน ฉันอยากเป็นครูภาษาจีน
我的理想,我想当汉语老师。
Wǒ de lǐxiǎng, wǒ xiǎng dāng hànyǔ lǎoshī.
หว่อ เตอ หลี เสี่ยง หวอ เสี่ยง ตาง ฮ่าน อยู่ร์ เหล่าซือ
16. คุณชื่ออะไร ?
你 叫 什 么 名 ?
nǐ jiào shén me míng
หนี่ เจี้ยว เสิ่น เมอ หมิง ?
หากเป็นการแนะนำตัวต่อคนหมู่มาก หรือต่อหน้าคนเยอะๆ เราก็อาจใช้อีกคำหนึ่งแทน คือคำว่า
大 家
dà jiā
ต้า เจีย
ซึ่งแปลว่า ท่านทั้งหลาย หรือคุณทั้งหลาย แทนคำว่า หนี่ ที่แปลว่า คุณ
大 家 好
dà jiā hǎo
ต้า เจีย ห่าว
สวัสดีท่านทั้งหลาย
早 安
zǎo ān
เจ่า อัน
สวัสดีตอนเช้า
午 安
wǔ ān
หวู่ อัน
สวัสดีตอนบ่าย
การทักทายในภาษาจีน
1.你好
Nǐ hǎo
หนี่ห่าว
สวัสดี
2.您好
Nín hǎo
หนินห่าว
สวัสดี
3.早安
Zǎo ān
เจ่าอาน
อรุณสวัสดิ์
4.早上好
Zǎoshang hǎo
เจ่าซ่างห่าว
สวัสดีตอนเช้า
5.晚安
Wǎn'ān
หวานอาน
ราตรีสวัสดิ์
6.晚上好
Wǎnshàng hǎo
หว่านซ่างห่าว
สวัสดีตอนเย็น
7.老师好
Lǎoshī hǎo
เหล่าซือห่าว
สวัสดีคุณครู/อาจารย์
8.好久不见,你怎么样?
Hǎojiǔ bùjiàn, nǐ zěnme yàng?
ห่าวจิ่วปู๋เจี้ยน หนี๋เจิ่นเมอย่าง
ไม่ได้เจอกันนาน เป็นไงบ้าง
9.最近忙吗?
Zuìjìn máng ma?
จุ้ยจิ้น หมางมะ
ช่วงนี้ยุ่งไหม
10.你身体好吗?
Nǐ shēntǐ hǎo ma?
หนี่เซินถี่ห่าวมะ
คุณสุขภาพเป็นไงบ้าง
11.我的身体很好。
Wǒ de shēntǐ hěn hǎo.
หว่อเตอเซินถี่เหิ่นห่าว
สุขภาพฉันดี
12.你父母身体好吗?
Nǐ fùmǔ shēntǐ hǎo ma?
หนี่ ฟู่หมู่ เซินถี่ ห่าวมะ
พ่อแม่คุณสุขภาพเป็นไงบ้าง
13.带我向他们问好。
Dài wǒ xiàng tāmen wènhǎo.
ไต้หว่อเซี่ยงทาเมิน เวิ่นห่าว
ฝากสวัสดีพ่อแม่คุณด้วย
14.你好吗?
Nǐ hǎo ma?
หนีห่าวมะ
คุณสบายดีไหม
15.我很好,你呢
Wǒ hěn hǎo, nǐ ne
หว่อ เหินห่าว หนี่เนอ
ฉันสบายดี คุณล่ะ
16.我也很好。
Wǒ yě hěn hǎo.
หว่อ เหย่ เหิน ห่าว
ฉันก็สบายดี
การกล่าวลาในภาษาจีน
1.再见
Zàijiàn
จ้าย เจี้ยน
พบกันใหม่
2.明天见.
Míngtiān jiàn.
หมิงเทียนเจี้ยน
พรุ่งนี้เจอกัน
3.回头见.
Huítóu jiàn.
หุยโถวเจี้ยน
แล้วพบกันใหม่
4.有空长联系.
Yǒu kòng cháng liánxì.
โหย่วโค่งฉางเหลียนซี่
มีเวลาเจอกันใหม่นะ
5.对不起,我先走了.
Duìbùqǐ, wǒ xiān zǒuliǎo.
ตุ้ยปู้ฉี่ หว่อเซียนโจ่วเลอ
ขอโทษนะ ฉันต้องไปก่อนแล้ว
6.你多保重.
Nǐ duō bǎozhòng.
หนี่ ตัว ป่าว จ้ง
ดูแลตัวเองให้ดีๆนะ
7.一路平安
Yīlù píng'ān
อี๋ลู่ผิงอาน
เดินทางโดยสวัสดิภาพ
8.一路顺风
Yīlù shùnfēng
อี๋ลู่ซุ่นเฟิง
เดินทางโดยสวัสดิภาพ
9.到了以后,我给你打电话。
Dàole yǐhòu, wǒ gěi nǐ dǎ diànhuà.
เต้าเลออี่โฮ่ว หวอเก่ยหนี่ต่าเตี้ยนฮว่า
หลังจากไปถึงแล้ว ฉันจะโทรศัพท์หาคุณ
การขอโทษ
1.对不起(โดยทั่วไปจะใช้ตัวนี้)
Duìbùqǐ
ตุ้ยปู้ฉี่
ขอโทษค่ะ/ครับ
2.请原谅
Qǐng yuánliàng
ฉิ่ง เหยียนเลี่ยง
ประทานโทษค่ะ/ครับ
3.不好意思
Bù hǎoyìsi
ปู้ห่าวอี้ซือ
ขอโทษค่ะ/ครับ
4.真不好意思
Zhēn bù hǎoyìsi
เจิน ปู้ ห่าว อี้ ซือ
ต้องขอโทษจริงๆ
5.打扰了
Dǎrǎole
ต่า หร่าว เลอ
ต้องรบกวนแล้ว
真抱歉(สุภาพมาก)
Zhēn bàoqiàn
เจิน ป้าว เชี่ยน
ขออภัยค่ะ/ครับ
การขอบคุณ
1.谢谢
Xièxiè
เซี่ยเซี่ย
ขอบคุณ
2.多谢
Duōxiè
ตัวเซี่ย
ขอบคุณมาก
3.太感谢你
Tài gǎnxiè nǐle
ไท่ ก่าน เซี่ย หนี่
ขอบพระคุณมากๆ
4.谢谢你的帮助
Xièxiè nǐ de bāngzhù
เซี่ยเซี่ย หนี่ เตอ ปาง จู้
ขอบคุณสำหรับการช่วยเหลือ
5.麻烦您了
Máfan nínle
หมา ฝ่าน หนิน เลอ
รบหวนคุณแล้ว
6.辛苦你了
Xīnkǔ nǐle
ซิน ขุ่ หนีเลอ
ลำบากคุณแล้ว
7.我很感谢
Wǒ hěn gǎnxiè
หว่อ เหิ่น ก่าน เซี่ย
ฉันขอขอบคุณจริงๆ
การตอบรับ
1.不用谢
Bùyòng xiè
ปู๋โย่งเซี่ย
ไม่จำเป็นต้องขอบคุณหรอก
2.不客气
Bù kèqì
ปู๋เค่อชี่
ไม่ต้องเกรงใจ
3.别客气
Bié kèqì
เปี๋ยเค่อชี่
ไม่ต้องเกรงใจ
4.没关系
Méiguānxì
เหมยกวานซี
ไม่เป็นไร
5.没什么
Méishénme
เหมย เสิน เมอ
ไม่เป็นไร
6.你太客气了
Nǐ tài kèqìle
หนี่ ไท่ เค่อ ฉี่ เลอ
คุณเกรงใจมากไปแล้ว
อันนี้เป็นความรู้เล็กๆน้อยๆนะคะ
ใครที่เป็นโรคกลัวการเข้าสังคมก็สู้ๆน้า✌🏻
เป็นกำลังใจให้ค่ะ🥺🤒
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
Comments