ประตูหน้าบ้านเปิดออก ผมเดินลากเท้าเข้ามา รู้สึกหมดแรงเหมือนเพิ่งออกไปรบ ทั้งที่ความจริงแค่ไปโรงเรียนวันแรกเท่านั้นเอง
“ที่โรงเรียนเป็นยังไงบ้างลูก สนุกมั้ย” เสียงแม่ดังมาจากห้องรับแขก
ผมหันไปมอง แม่กำลังง่วนอยู่กับการปัดฝุ่นบนชั้นวางของ ท่าทางคล่องแคล่วราวกับนักกายกรรม แป๊บเดียวก็ปีนขึ้นไปเช็ดโน่นนี่อีก
“ก็ดีฮะ” ผมตอบส่ง ๆ ขณะก้มลงถอดถุงเท้า แทบไม่มีแรงอธิบายอะไรยืดยาว
“ดีแบบไหนจ๊ะ” แม่ยังคงถามต่อ ไม่ปล่อยให้คำตอบลอยหายไปกับอากาศ
ดีที่ยังรอดชีวิตกลับมา ผมอยากตอบแบบนั้น
“ก็… ครูบางคนใจดี บางคนก็ดุ” ผมถอนหายใจ
“อ้อ วันนี้มีเด็กผู้ชายมาขอนั่งกินข้าวกับผมด้วย แล้วก็มีเด็กผู้หญิงอีกคนมาชวนคุย ถามชื่อผมด้วย แต่ผมไม่บอก”
“ทำไมล่ะ” แม่หยุดเช็ดโต๊ะ หันมามองด้วยความสงสัย
“ไม่รู้สิฮะ ผมไม่ได้อยากเป็นเพื่อนกับเธอ” ผมยักไหล่
แม่หัวเราะเบา ๆ “เหรอ แล้วลูกมีเพื่อนใหม่บ้างหรือยัง”
“ยังเลยฮะ” ผมตอบตามตรง
“ไม่เป็นไรจ้ะ พรุ่งนี้ลูกต้องหาเพื่อนดี ๆ ได้สักคนแน่ แม่เชื่ออย่างนั้น”
“ฮะ” ผมรับคำ แต่ในใจกลับหนักอึ้ง จะบอกแม่ยังไงดีว่าผมไม่ได้อยากไปโรงเรียนเลยด้วยซ้ำ
“งั้นถอดชุดนักเรียนใส่ตะกร้าแล้วไปอาบน้ำนะลูก” แม่พูดพลางก้มลงเช็ดโต๊ะต่อไป
แม่คงจะเหนื่อยมาก ผมทนเห็นแม่ทำงานบ้านคนเดียวไม่ไหว ผมจึงหันหลังเดินเข้าห้องไปจะได้ไม่ต้องเห็น
วันแรกเพิ่งผ่านไป แต่กลับรู้สึกเหมือนใช้พลังงานหมดทั้งชีวิต แค่วันเดียวยังเหนื่อยขนาดนี้ แล้วพรุ่งนี้ล่ะจะเป็นยังไงต่อ ผมหาแรงบันดาลใจจากที่นั่นไม่เจอเลย มีแต่แรงบันดาลโทสะล้วน ๆ
...****************...
กลิ่นหอมของหมูผัดเปรี้ยวหวานลอยมาแตะจมูก ข้าวสวยร้อน ๆ วางอยู่ตรงหน้า ข้าง ๆ มีต้มจืดเต้าหู้หมูสับหม้อใหญ่ที่แม่ตักแบ่งใส่ถ้วยเล็กให้พ่อกับผม พ่อมักชมเสมอว่าแม่ทำกับข้าวอร่อย ไม่มีใครเก่งเท่าแม่แล้วล่ะ
“แม่บอกว่าลูกยังไม่มีเพื่อนใหม่เลยเหรอ” พ่อถามพลางตักข้าวใส่จาน สีหน้าดูห่วงใย แต่ไม่ได้กดดันจนเกินไป
“เพิ่งวันแรกเอง ให้เวลาลูกหน่อยสิ” แม่ช่วยพูดแทนผม ขณะใช้ตะหลิวค่อย ๆ พลิกผัดเปรี้ยวหวานในกระทะก่อนตักใส่จาน
“แม่ยังบอกอีกว่ามีเพื่อนผู้หญิงอยากรู้จักชื่อลูก แต่ลูกไม่ตอบ ไหงเป็นงั้นล่ะ” พ่อถามต่อ น้ำเสียงแฝงความสงสัย
ผมวางช้อนลง ถอนหายใจเบา ๆ ไม่น่าเล่าให้แม่ฟังเลย “ก็… ผมไม่ชอบเธอ”
“ทำไมล่ะ” พ่อเลิกคิ้วมองผมด้วยความสงสัย
“เธอนึกว่าผมเป็นเด็กเรียน เพราะผมได้นั่งโต๊ะแถวหน้าในห้องเรียน” ผมพูดพลางเขี่ยหอมใหญ่ไปไว้ที่ขอบจาน
พ่อหัวเราะในลำคอ “แล้วลูกไม่ใช่เด็กเรียนเหรอ ปีที่แล้วลูกสอบได้ที่หนึ่งทั้งสองเทอมเลยนะ”
ขอบคุณที่ย้ำว่าสอบได้ที่หนึ่ง ผมยังโกรธเรื่องโรงเรียนเซนต์ปีเตอร์ไม่หาย
“ครูประจำชั้นจัดที่นั่งตามส่วนสูง ผมตัวเตี้ยที่สุดในห้องก็เลยได้นั่งแถวหน้าฮะ”
แม่ยิ้มขำก่อนตักหมูผัดเปรี้ยวหวานเพิ่มให้ผมอีก “งั้นลูกต้องกินเยอะ ๆ จะได้โตไว ๆ”
ผมมองหมูในจานแล้วเผลอเบะปากเมื่อเห็นว่ามีมะเขือเทศกับพริกหวานปะปนอยู่ด้วย “แม่ ผมไม่อยากกินผัก มันไม่อร่อย”
“ไม่ได้ กินหมูแล้วก็ต้องกินผักด้วย ไม่งั้นจะไม่โตนะ” แม่พูดเสียงดุขึ้นเล็กน้อย
“เอางี้ ถ้าลูกกินหมดแล้วเดี๋ยวพ่อให้เล่นมือถือ โอเคมั้ย” พ่อเลื่อนจานผมกลับมาตรงหน้า
ผมหรี่ตานิดหนึ่งอย่างชั่งใจ ก่อนพยักหน้ารับ “ก็ได้ฮะ”
ผมรีบตักข้าวคำใหญ่เข้าปาก ตั้งใจเคี้ยวให้จบ ๆ ไป แต่ไม่รู้ทำไมผมคิดถึงรูปปั้นเด็กหญิงนางฟ้าสีเขียวหม่นใกล้ ๆ ลานหน้าเสาธง
“พ่อฮะ ช่วยเล่าประวัติโรงเรียนให้ผมฟังได้มั้ยฮะ”
พ่อหันมามองผมอย่างไม่เชื่อหู แม่ถึงกับวางช้อน
“ได้สิ ลูกอยากฟังเรื่องไหนล่ะ”
...****************...
“ถ้าจะเล่าก็ต้องเริ่มตั้งแต่ต้นเลยนะ” พ่อพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น สีหน้าครุ่นคิดเหมือนกำลังลำดับเรื่องราว
“ก่อนจะมีโรงเรียนมัธยมวัชรโยธิน ที่ดินตรงนั้นเคยเป็นโรงงานแปรรูปไม้มาก่อน มีท่อนซุงกองเต็มไปหมดเหมือนภูเขา”
เสียงช้อนกระทบจานเงียบลง ทุกคนตั้งใจฟังพ่อเล่าเรื่อง
“เจ้าของที่ดินคือส่างปันโย เศรษฐีชาวไทใหญ่ที่ร่ำรวยจากการค้าขายไม้สักกับบริษัทฝรั่งที่เข้ามาทำไม้ในไทย เขาว่าสมัยนั้นส่างปันโยร่ำรวยมหาศาลจนแม้แต่เจ้าเมืองยังต้องมาขอกู้ยืมเงิน”
ผมนั่งฟังตาโต ส่วนแม่ก็ตั้งใจฟังเงียบ ๆ
“ต่อมา พ่อเลี้ยงจักรคำ วัชรโยธิน ลูกชายของส่างปันโยก็ได้รับมรดกจากพ่อ และก็ยังร่ำรวยขึ้นอีกเพราะว่าพ่อเลี้ยงปล่อยเงินกู้ให้กับพวกคนใหญ่คนโต ลือกันว่าหลังจากเปลี่ยนแปลงการปกครอง แม้แต่เจ้านายบางพระองค์ก็เคยเป็นลูกหนี้ของพ่อเลี้ยง”
พ่อเล่าต่ออย่างช้า ๆ “แล้วพอถึงช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง พ่อเลี้ยงก็หันไปทำการค้ากับพวกญี่ปุ่นจนได้กำไรมากมาย กระทั่งมีอยู่คืนหนึ่ง… ตู้มมมม!!!”
ผมกลืนน้ำลายแล้วถามเสียงเบา “ใครตกน้ำเหรอฮะ”
“เสียงระเบิดลูก บ้านของพ่อเลี้ยงถูกเครื่องบินทิ้งระเบิดจนไฟไหม้ทั้งหลัง มีคนเห็นหีบสมบัติถูกขนขึ้นจนเต็มหลังรถบรรทุกแล้วขับไปที่โรงเลื่อยเก่า ซึ่งก็คือที่ตั้งของโรงเรียนในตอนนี้นี่เอง”
พ่อหยุดคิด แล้วพูดต่อ
“บ้างก็ว่าพวกคนใหญ่คนโต หรือไม่ก็พวกญี่ปุ่นนั่นแหละที่ระเบิดบ้านเพราะไม่มีเงินจ่ายให้พ่อเลี้ยง”
ผมเบิกตากว้าง “งั้นก็หมายความว่าพ่อเลี้ยงต้องรวยกว่าคนพวกนั้นมากเลยใช่มั้ยฮะ”
“ร่ำรวยมากมายมหาศาลจนนึกไม่ถึงเลยเชียวล่ะ ว่ากันว่าเครื่องเพชร ทองคำ หรือของใช้ในวังหลายชิ้นก็กลายเป็นสมบัติของพ่อเลี้ยง”
“แต่เรื่องเล่ายังไม่จบแค่นี้ ว่ากันว่าตอนที่สร้างโรงเรียน พ่อเลี้ยงแอบสร้างห้องลับไว้เก็บสมบัติด้วย แต่ก็นั่นแหละ ไม่มีใครรู้ว่าห้องนั้นอยู่ตรงไหน”
ขนลุกซู่ โรงเรียนมีห้องแห่งความลับด้วย อย่างกับฮอกวอตส์แน่ะ
“แล้วมีใครเคยเจอสมบัติบ้างมั้ยฮะ” ผมถาม
พ่อยิ้มมุมปาก “ถ้ามีคนเจอแล้ว เรื่องนี้ก็คงไม่เป็นตำนานน่ะสิ จริงมั้ยลูก”
หัวใจผมเต้นแรงเมื่อรู้ว่าอาจจะเป็นคนแรกที่หาสมบัติเจอ
“หรือบางที ขุมทรัพย์นั้นอาจไม่มีอยู่จริงเลยก็ได้” พ่อพูดพร้อมยักไหล่
“อ้าว” ผมเริ่มรู้สึกผิดหวัง
“บางคนว่าพ่อเลี้ยงใช้เงินสร้างโรงเรียนไปจนหมดแล้ว”
“ไม่มีเหลือเลยเหรอฮะ”
พ่อยิ้มมุมปาก “ถ้าอยากรู้จริง ๆ ลูกก็ลองหาดูสิ”
แม่หัวเราะเบา ๆ แล้วส่ายหน้า “อย่าทำโรงเรียนพังนะลูก”
“แล้วพ่อรู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไงฮะ” ผมเลิกคิ้วถาม
“อ่านจากอินเทอร์เน็ตน่ะ วิกิพีเดีย แล้วก็จำที่คนอื่นเล่ามาอีกที ถ้าลูกอยากรู้ก็ลองกูเกิลหาประวัติโรงเรียนดูสิ”
พ่อยื่นมือถือให้ผม นี่เป็นครั้งแรกที่พ่อกับแม่ยอมให้ผมเล่นมือถือบนโต๊ะกินข้าว
“แต่ในอินเทอร์เน็ต ใครจะเขียนอะไรลงไปก็ได้นี่ฮะ ทั้งเรื่องจริงเรื่องโกหก ปนกันมั่วซั่วไปหมด”
“นั่นสินะ” พ่อพยักหน้าเห็นด้วย
“แล้วถ้ามีคนรู้ที่ซ่อนขุมทรัพย์ แต่ไม่ยอมบอกล่ะฮะ”
“ขุมทรัพย์มหาศาลขนาดนั้น ถ้ามีคนรู้ทำไมเขาต้องปิดเป็นความลับด้วยล่ะ”
“มันอาจเป็นสมบัติต้องคำสาปก็ได้ เหมือนเหรียญทองโจรสลัดในหนังไพเรตส์ ออฟ เดอะ แคริบเบียน ที่ทำให้ลูกเรือแบล็กเพิร์ลกลายเป็นผีดิบ”
“พ่อจำได้ว่าตอนแรกลูกไม่เชื่อว่ามีขุมทรัพย์ซ่อนอยู่ในโรงเรียน แล้วตอนนี้สมบัติต้องคำสาปกับเรือแบล็กเพิร์ลมาได้ยังไง”
พ่อหัวเราะคิกคักและผมก็เถียงไม่ออกจริง ๆ
...****************...
แถวนักเรียนยาวเหยียดไปจนสุดลานหน้าเสาธง ผมยืนตัวตรงตามระเบียบ รู้สึกอายตัวเองที่เกือบหลงเชื่อเรื่องขุมทรัพย์ที่พ่อเล่าให้ฟังเมื่อคืนนี้ ผมหมายถึง ก็ดูตึกเรียนพวกนี้สิ ผนังปูนเก่าจนสีลอก ตามซอกมีคราบน้ำฝนเกาะเป็นด่าง ๆ ถ้าที่นี่มีสมบัติซ่อนอยู่จริง ผมก็อยากให้ใครสักคนหาเจอเร็ว ๆ เผื่อพวกเขาจะเอาเงินมาซ่อมโรงเรียน หรือไม่ก็ซื้อแอร์มาติดในห้องเรียนให้เราบ้าง
ลมร้อนพัดมาพร้อมแดดแรง ๆ ที่แผดเผาผิว ผมรู้ว่าแสงแดดตอนเช้าช่วยให้ร่างกายสร้างวิตามินดี แต่ถ้ามันร้อนขนาดนี้ผมคงได้วิตามินดีเหลือใช้ไปทั้งชาติ ตาแก่หัวล้านที่กำลังพล่ามอยู่ตรงนั้นคือครูใหญ่ เขายืนอยู่ในร่มสบาย ๆ ส่วนพวกเรากลับต้องมาตากแดด เห็นหัวครูใหญ่แล้วผมนึกว่ามีพระอาทิตย์สองดวง ร้อนชะมัด เราไม่ใช่อูฐทะเลทรายและไม่ใช่แผงโซลาร์เซลล์ เพราะงั้นรีบ ๆ สั่งเลิกแถวสักทีเถอะ
“…และขอให้พวกเธอทุกคนตั้งใจเรียน ทั้งหมด เลิก… แถว!” ในที่สุดครูใหญ่ก็รู้ตัวว่าควรหยุดพูด ผมสงสัยมาตลอดว่าคนหัวล้านนี่เขาต้องล้างหน้าถึงตรงไหน
เสียงรองเท้านักเรียนกระทบพื้นดังเป็นจังหวะ พวกเราพากันเดินกลับห้อง ผมเดินนำแถวเพราะตัวเตี้ยที่สุดในชั้น ม.1/3 แม่บอกว่าผมเป็นเด็กโตช้า แต่มั่นใจว่าผมจะสูงขึ้นอีกแน่นอน ขอให้มันจริงเถอะ
คาบแรกของวันนี้คือวิชาประวัติศาสตร์ ผมหยิบหนังสือออกมาวางบนโต๊ะ ตามด้วยสมุด ปากกา และไม้บรรทัด ก่อนจะได้ยินเสียงแหลม ๆ ของเด็กผู้หญิงดังขึ้นข้าง ๆ
“นี่ นายเตี้ย” เสียงของเธอดังพอจะเรียกความสนใจจากนักเรียนครึ่งห้อง
ผมจำเสียงนี้ได้ทันที หันขวับไปโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด “อย่าเรียกฉันแบบนั้น ฉันมีชื่อ”
เธอยักไหล่ “แต่เมื่อวานเธอไม่ยอมบอกชื่อฉันนี่ นายเตี้ย”
“เตี้ยบ้านเธอสิ” ผมพูดด้วยน้ำเสียงโมโห “ทำไมฉันต้องบอกชื่อด้วย” เริ่มรู้สึกหงุดหงิด น่ารำคาญจริง ๆ
“ก็ทั้งห้องเหลือแค่เธอคนเดียวที่ฉันยังไม่รู้จักชื่อเล่น” ว่าแล้วเมย์ก็ก้มลงอ่านชื่อที่ปักบนเสื้อออกเสียงชัด ๆ
“หรือจะให้ฉันเรียกเธอว่า เด็กชายณัฐวีร์ จิรโชติ”
“ก็ได้ ฉันชื่อเจมส์ พอใจหรือยัง”
เธอพยักหน้า “ก็เท่านี้แหละ ฉันแค่ถามชื่อเล่น ไม่ได้ถามชื่อพ่อชื่อแม่สักหน่อย หรือจะให้ฉันเรียกเธอด้วยชื่อพวกเขาดี”
“ใครกันแน่ที่มารยาทแย่” เดาว่าอีกไม่นานผมกับเธอคงได้วางมวยกันสักวัน ก็รู้แหละว่าชกผู้หญิงมันไม่ถูกต้อง แต่ก็อย่างที่คนโบราณเคยว่าไว้ ถ้าทุกคนมัวแต่ให้อภัยแล้วเมื่อไหร่จะได้เอาคืน
“เจมส์ ว่าแต่นายตัดสินใจได้หรือยัง” เธอเปลี่ยนเรื่อง
“ตัดสินใจเรื่อง?” ผมเลิกคิ้วสงสัย ไม่แน่ใจว่าเมื่อวานนี้พูดอะไรกับเธอไปบ้าง
“ล่าสมบัติไง” เธอตอบ
“ปัญญาอ่อน” ผมสวนกลับทันทีโดยไม่ต้องคิด
“ไม่อ่อนสิ เราต้องเรียนที่นี่ไปอีกตั้งหลายปี น่าสนุกดีออก ลองดูก็ไม่เห็นเสียหาย”
“เสียเวลาชีวิต ฉันมั่นใจว่ามีคนพยายามหามาแล้วเป็นสิบ ๆ ปีแต่ก็ไม่เห็นจะเจออะไร”
“นั่นเพราะว่าพวกเขาไม่ใช่ฉันยังไงล่ะ”
“แล้วเธอวิเศษกว่าพวกนั้นตรงไหน” ผมถามกลับ
“เพราะฉันคือนักล่าสมบัติมือหนึ่งยังไงล่ะ”
เธอคนนี้หลงตัวเองอย่างแรง เป็นผมคงไม่ยอมพูดอะไรแบบนี้เด็ดขาด ต่อให้จับแม่ผมเป็นตัวประกันก็ตาม
“นักล่าสมบัติมือหนึ่ง? แล้วอีกมือขาดหรือไง” ผมล้อเลียน
“ปากเสีย” เมย์มองค้อน
“แล้วเธอเคยเจอสมบัติที่ไหนมาบ้าง” ผมตั้งใจประชด
“ยังไม่เคยเจอสมบัติ แต่ฉันหาเงินที่พ่อแอบเอาซ่อนแม่เจอเป็นประจำ” เธอพูดอย่างภูมิใจ ผมล่ะสงสารสามีในอนาคตของเธอจริง ๆ
“เอางี้ ถ้านายสนใจจะเข้าร่วมทีมค้นหาสมบัติกับฉัน ตอนพักเที่ยงให้ไปเจอกันที่ห้องสมุด โอเคนะ” พูดจบเธอก็เดินกลับไปที่โต๊ะ
แต่ก่อนที่ผมจะคิดอะไรต่อ เสียงรองเท้าของใครบางคนก็ดังขึ้นที่ประตู ครูประจำวิชาประวัติศาสตร์เดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มและดวงตาเป็นประกาย เธอเป็นหญิงสาวตัวเล็ก ๆ ดูเด็กกว่าอายุจริง เหมือนนักศึกษาฝึกสอนมากกว่าครูโรงเรียนมัธยม คนนี้แหละครูประจำชั้น ม.1/3 และเป็นคนเลือกที่นั่งให้กับผมเมื่อวานนี้
อ้อ… ผมลืมบอกเรื่องสำคัญที่สุด ครูประจำชั้นของผมเธอชื่อ ‘รินลดา วัชรโยธิน’ ซึ่งหมายความว่าเธอเป็นทายาทของพ่อเลี้ยงจักรคำ วัชรโยธิน ผู้ก่อตั้งโรงเรียนนี้ และถ้าจะมีใครรู้เรื่องขุมทรัพย์ในโรงเรียนล่ะก็ ต้องเป็นเธอคนนี้แหละ
ทันทีที่ครูรินลดาเดินผ่าน กลิ่นน้ำหอมจาง ๆ แบบเดียวกับเมื่อวานก็ลอยมาแตะจมูกผม ครูวางหนังสือลงบนโต๊ะ สายตากวาดมองไปรอบห้องสำรวจดูความเรียบร้อย ก่อนจะยิ้มให้พวกเราอย่างพึงพอใจ
หัวหน้าห้องไม่รอช้าลุกขึ้นสั่ง “นักเรียนเคารพ”
เสียงนักเรียนทั้งห้องประสานกันอย่างพร้อมเพรียง “ซาหวาดดีครับ/ค่ะ คุณครู”
“สวัสดีค่ะนักเรียนทุกคน เอาล่ะ นั่งสมาธิกันก่อน”
ผมหลับตา เสียงในห้องค่อย ๆ เงียบลง
สามนาทีผ่านไป “โอเค ทุกคนลืมตาได้”
“วันนี้มากันครบใช่มั้ย ไหน… ใครไม่มาบ้างให้ยกมือขึ้น” ครูพูดพร้อมกับยกมือ “อ้าว… ไม่มีเลยเหรอ” มุกตลกของครูสร้างเสียงหัวเราะได้นิดหน่อย
ครูตบมือเบา ๆ ให้ทุกคนเงียบ แต่ก็มีเสียงนักเรียนหลายคนที่ยังกระซิบกระซาบ กระทั่งเมย์ยกมือขึ้นถามอย่างลังเล
“จริงหรือเปล่าคะที่ครูเป็นหลานของคนที่สร้างโรงเรียนนี้”
“ไม่ใช่หลานหรอกค่ะ” ครูรินยิ้ม “อันที่จริงครูเป็นเหลน พ่อเลี้ยงจักรคำเป็นคุณทวดของครูเอง ถ้านับทางพ่อนะคะ” ผมมั่นใจว่าครูตอบคำถามนี้มาแล้วเป็นร้อย ๆ ครั้ง
“งั้นครูก็รู้เรื่องขุมทรัพย์ใช่มั้ยคะ” เมย์ถามอย่างตื่นเต้น
“เรื่องนั้นเขารู้กันทั้งเมืองแล้วค่ะ” ครูพูดพร้อมกับเดินวนไปตามทางเดินระหว่างแถวโต๊ะนักเรียน
“แล้วมีสมบัติซ่อนอยู่ในโรงเรียนจริงหรือเปล่าคะ” คำถามยังดำเนินต่อ เมย์ไม่ยอมปล่อยให้โอกาสนี้หลุดไป
“ก็น่าจะจริง เพราะที่บ้านครูไม่มีสมบัติอะไรเลย สงสัยคุณทวดจะเอามาซ่อนไว้ที่นี่จนหมด” เสียงนักเรียนหัวเราะครืนทันทีที่ครูพูดจบ
“แล้วครูมีแผนที่หรือลายแทงสมบัติมั้ยคะ”
“แผนที่อะไรไม่มีหรอกค่ะ” ครูหยุดคิด “แต่มีคำกลอนที่คุณทวดท่านแต่งไว้ ไม่แน่นะมันอาจจะพาไปหาที่ซ่อนสมบัติก็ได้” คำว่าที่ซ่อนสมบัติทำให้บรรยากาศในห้องเรียนเต็มไปด้วยความคึกคักมากขึ้น
“แบบว่า เป็นความลับของตระกูลงั้นเหรอคะ”
“เปล่าค่ะ ไม่ใช่ความลับอะไรหรอก กลอนนี้ก็ติดอยู่ใกล้ ๆ ป้ายชื่อโรงเรียนตรงหน้าประตูนั่นไง ใครผ่านไปผ่านมาก็เห็น” ครูรินเดินไปหยุดที่โต๊ะกลางห้องและมองไปรอบ ๆ
“อะไรคะ ไม่เคยอ่านกันเลยเหรอ” น้ำเสียงของครูผิดหวังเล็กน้อย “งั้นครูจะท่องแค่รอบเดียวตั้งใจฟังนะ”
“ความดีย่อมนำใจให้เจริญ
รู้เผชิญปัญหาไม่หวาดหวั่น
คงวิชาศาสตร์ศิลป์ส่องชีวัน
คุณอนันต์ล้ำเกินพรรณนา
ค่าความรู้ประเสริฐเลิศคณานับ
กว่าสินทรัพย์ศฤงคารและยศฐา
เงินมากมายหากสิ้นไร้ปัญญา
ทองนักหนายังสูญไปไม่ยั่งยืน”
ผมฟังครูรินท่องกลอนอย่างตั้งใจ ก่อนที่เด็กหญิงเมย์จะร้องถามขึ้น “แล้วมันซ่อนปริศนาอะไรไว้คะ”
“ไม่มีปริศนาหรอกค่ะ ความหมายของกลอนนี้ก็คือ ความรู้มีค่ามากกว่าเงินทอง” คำตอบของครูทำให้หลายคนผิดหวัง
“ครูครับ สมมติถ้าครูเจอสมบัติแล้วจะเอาไปทำอะไรครับ” เสียงมาจากเด็กผู้ชายโต๊ะหลังห้อง
“ไม่รู้สิคะ ติดแอร์ในห้องเรียนมั้ง” ครูพูดเหมือนอ่านใจผมออก
“งั้นที่ครูมาสอนโรงเรียนนี้เพราะอยากหาสมบัติด้วยใช่มั้ยครับ” เด็กชายคนนั้นยังคงคาดคั้น
“ไม่หรอกค่ะ ที่ครูมาสอนก็เพราะว่าอยากให้นักเรียนทุกคนมีความรู้ต่างหาก” ผมเชื่อว่าคำตอบของครูคงเรียกคะแนนจากเวทีประกวดนางงามได้เลย
“เอาจริง ๆ สิครับครู”
“อยากรู้จริง ๆ เหรอว่าทำไมครูถึงมาสอนที่นี่” ครูเดินกลับมาหน้าห้อง นักเรียนรอฟังคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ
“เพราะครูต้องทำงานยังไงล่ะคะ สักวันพอโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ พวกเธอทุกคนก็ต้องทำงานเหมือนกัน ดังนั้นตั้งใจเรียนนะคะ จบมาจะได้ทำงานที่สร้างประโยชน์ให้กับตัวเองและสังคม” ครูพูดพลางยิ้มให้นักเรียน
“เอาล่ะ ๆ เรื่องขุมทรัพย์พักเอาไว้ก่อน อย่าลืมว่าความรู้มีค่ามากกว่าเงินทองนะคะ” จากนั้นครูรินก็พาเราย้อนกลับสู่กรุงศรีอยุธยาอย่างรวดเร็ว
“ใครพอจะบอกครูได้บ้างว่าช้างทรงของพระนเรศวรชื่ออะไร”
“ก้านกล้วยครับ!” นักเรียนคนหนึ่งยกมือขึ้นตอบอย่างมั่นใจ ต้องโทษกันตนาที่ทำให้เด็กเข้าใจผิดกันทั้งประเทศ
แล้วการเรียนการสอนในคาบวิชาประวัติศาสตร์ก็เริ่มต้นขึ้น ไม่เปิดโอกาสให้นักเรียนคุยเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับรายวิชาอีกจนหมดคาบ
...****************...
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
Comments