กูบอกให้มึงบูชากู
...นาวา นักศึกษาปี1คณะนิเทศจากกรุงเทพฯ ผู้ซึ่งรู้จักกันในหมู่เพื่อนว่า “ถึงนาวาจะเป็นผู้ชายแต่นาวากลับเป็นคนอ่อนหวานแต่ก็ปากจัดบ้างรูปร่างของนาวาไม่เหมือนกับผู้ชายด้วยซ้ำนาวาเป็นผู้ชายที่รูปร่างบางมีหน้าตาที่หวานราาวกับน้ำผึ้งเดือนห้า มีริมฝีปากที่นุ่มอมชมพูจนบางคนคิดว่านาวาเป็นผู้หญิงซะอีก” นาวาก็ได้รับมอบหมายงานถ่ายสารคดีจากอาจารย์ผู้ที่เคร่งครัดในภาควิชานี้ เป็นเรื่องราวที่ให้เขาสำรวจครอบคลุมหลายแง่มุมของสังคมยุคใหม่ แต่หัวข้อที่ได้รับมอบหมายกลับไม่ได้ส่องประกายความตื่นเต้นในสายตาของเขามากนัก...
“คุณหนูนาวาครับ พรุ่งนี้เรามีประชุมกลุ่มนะเว้ย ทำไมยังไม่เลือกหัวข้ออีกครับ” เพื่อนร่วมห้องของนาวาชื่อ(พายุ)พูดขึ้นพายุเป็นเพื่อนสนิทของนาวาพูดด้วยน้ำเสียงหยอกล้อเพื่อนปนสาระในห้องพักนักศึกษา
นาวาถอนหายใจเบา ๆ ก่อนตอบ “อาจารย์ให้แต่เลือกเรื่องที่สะท้อนวิถีชีวิตในยุคปัจจุบัน แต่หัวข้อพวกนั้นมันไม่ค่อยมีอะไรใหม่ให้คนดูเท่าไหร่เลย”
พายุก็พูดขึ้นอย่างคิดสนุกมองแล้วยิ้มกว้าง “แล้วถ้าเราไปถ่ายสารคดีเรื่องพิสูจน์ผีและอาคมล่ะ? กูว่ามันฟังดูรู้สึกลึกลับดีเลยกูว่าถ้าเราทำได้อาจารย์ต้องให้เกรด A+แน่เลยเว้ย! และอีกอย่างเผื่อจะเจอเรื่องเหนือธรรมชาติที่เราไม่คาดคิดกูว่าคุ้มว่ะ”
นาวามองเพื่อนด้วยความไม่เชื่ออย่างชัดเจน “ผีกับอาคม? พายุรู้ว่าผมไม่เคยเชื่อเรื่องพวกนี้เลยนะ แต่ก็ได้นึกว่า… ก็อยากจะพิสูจน์ดูว่ามันมีจริงหรือเปล่า”
ในใจของนาวา แม้จะเต็มไปด้วยเหตุผลและหลักวิทยาศาสตร์ แต่ความอยากรู้ในสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ของโลกลี้ลับก็เริ่มบีบให้เขาก้าวออกจากเขตสบายใจของความเป็นนักวิจัยสมัยใหม่
วันถัดมา ทั้งสองนัดพบกันที่คาเฟ่เล็ก ๆ ในมุมเมืองเพื่อวางแผนการเดินทางไปยังหมู่บ้านลึกลับที่มีชื่อว่า “หมู่บ้านนาคปราณ” ซึ่งเล่าขานกันมาว่าเป็นที่ที่มีเหตุการณ์เหนือธรรมชาติเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
“งั้นเราไปที่หมู่บ้านนาคปราณกันเถอะ มึงจะได้เห็นว่าความเชื่อเหล่านี้มันมีรากฐานมาจากอะไรจริงๆกูก็อยากพิสูจน์เหมือนกัน” พายุกล่าวพลางดื่มกาแฟให้หมดถ้วย
นาวามองดูเพื่อนด้วยสายตาที่แฝงไปด้วยความสงสัยผสมความท้าทาย “เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้น เราจะไปตรวจตราความจริงที่ซ่อนอยู่ในตำนานหมู่บ้านนี้ แล้วค่อยมาเล่าเรื่องราวให้ทุกคนได้ฟังกัน”
และด้วยความตัดสินใจนั้น นาวาและพายุทั้งสองก็เริ่มต้นการเดินทางสู่โลกแห่งความลี้ลับ ที่ซึ่งความจริงและตำนานมาบรรจบกันอย่างไม่อาจแยกออกจากกันได้ ทั้งสองก็ได้จ้างรถกระบะที่พ่อพายุรู้จักจ้างมาให้ไปส่งเสียงล้อรถบดไปตามทางลูกรัง ฝุ่นฟุ้งตลบในแสงแดดยามบ่ายแก่ ๆ อุณหภูมิภายนอกคงแตะสามสิบกว่าองศา แต่ในรถกระบะเก่า ๆ คันนี้ กลับเย็นเฉียบจนชวนขนลุก
“พวกคุณเป็นนักศึกษาจริง ๆ หรือครับ?” คนขับรถถามขึ้น เสียงของเขาเจือความลังเล
“ครับ ผมกำลังทำสารคดีเกี่ยวกับเรื่องลี้ลับ” นาวาตอบ ขณะก้มมองกล้องบันทึกเสียงในมือ ตรวจเช็กว่าทุกอย่างยังทำงานปกติ
“คนกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่มักจะไม่เชื่อเรื่องพวกนี้นะครับ”คนขับรถพูดออกไปด้วยความกังวล
“ก็นั่นแหละที่ผมอยากพิสูจน์” เขาเงยหน้าขึ้นสบตาคนขับผ่านกระจกมองหลัง
คนขับไม่พูดอะไรต่อ แต่ริมฝีปากเม้มแน่นเหมือนอยากเตือนอะไรบางอย่าง
เมื่อรถเลี้ยวเข้าสู่หมู่บ้าน ทุกอย่างก็ดูปกติ บ้านไม้เก่าแก่ตั้งเรียงราย ต้นไม้สูงใหญ่ทอดร่มเงา เสียงจั๊กจั่นร้องระงมให้บรรยากาศดูเหมือนชนบททั่วไป แต่สิ่งที่ทำให้นายเอกรู้สึกแปลกคือ… บรรยากาศเงียบเกินไป
ไม่มีเด็กวิ่งเล่น ไม่มีเสียงพูดคุย ไม่มีแม้แต่หมาเห่าต้อนรับคนแปลกหน้า
นาวาหันไปหาคนขับ “ทำไมเงียบจังครับ?”
พายุก็พูดสวนขึ้นว่า “ชาวบ้านคงจะออกไปหาของป่ากินนั่นแหละมึงอย่าคิดมากเลยครับคุณหนูนาวา” พายุพูดติดตลกเพื่อไม่ให้คนอื่นเครียดกัน
คนขับรถไม่มีท่าทีว่าจะตอบคำถาม เพียงแต่เหยียบคันเร่งให้รถเคลื่อนเข้าไปลึกขึ้น แล้วจอดลงตรงหน้าทางเข้าหมู่บ้าน
“ถึงแล้วครับ”
“ที่นี่คือ…”
“หมู่บ้านของชาวบ้านที่พวกคุณต้องสัมภาษณ์”
นาวาเลิกคิ้ว ก่อนจะมองไปที่ทางเข้าหมู่บ้านอีกครั้ง ทางเข้ามันเป็นป่าทึบรอบถนนลูกรัง กระนั้น… สิ่งที่สะดุดตาเขามากที่สุด คือ รอยยันต์สีแดงซีดที่ติดอยู่เหนือป้ายหมู่บ้านที่มีชื่อว่า“หมู่บ้านนาคปราณ”
ลมหายใจของนาวาชะงักไปวูบหนึ่ง
“คุณจะเข้าไปจริง ๆ เหรอครับ?” คนขับถามขึ้นอีกครั้ง คราวนี้น้ำเสียงไม่เหมือนเดิม… มันฟังดูเหมือนกำลังเตือน
นาวายิ้มบาง ๆ “แน่นอนครับ ก็ผมมาเพื่อพิสูจน์ว่าสิ่งที่คุณเชื่อ… มันมีจริงหรือเปล่า?”พายุก็รีบเปิดประตูอย่างสนุกเหมือนมาทัศนศึกษา“ป่ะไอ้วาลงรถกันกูว่ามันต้องสนุกมากแน่ๆ”
แล้วนาวากับพายุทั้งสองก็ก้าวลงจากรถ… โดยไม่รู้เลยว่า จากนี้ไป เขาจะไม่มีวันกลับไปเป็นคนเดิมอีก
ณ หมู่บ้านนาคปราณ
ทั้งสองก็ถือแบกกระเป๋าเดินเข้าในภายในหมู่บ้านเมื่อเข้าไปถึงครึ่งทางพายุก็เหลือบไปเห็นสุนัขสีดำนอนตายข้างทางด้วยความปากไวและอยากแกล้งเพื่อนพายุเลยทักขึ้นว่า “เฮ้ยไอ้วามึงดูนั่นดิหมาตายตรงนั้นอ่ะ”
...นาวาก็หันไปเจอหมาสีดำที่มีลำไส้ทะลักออกมาถูกเหมือนโดนตัวอะไรสักอย่างกัดกินที่ท้องตายนาวาก็คิดว่ามันเป็นเรื่องปกติไม่ได้กลัวอะไรแต่พอมองข้ามสุนัขไปอีกก็เจอผู้หญิงเงาที่ดำยืนยิ้มให้รอยยิ้มนั้นเหมือนไม่ใช่การยิ้มเป็นมิตรเลยนาวาเห็นแบบนั้นก็ตกใจจากนั้นเงาดำนั้นก็ชึ้มาทางนาวานาวาก็รีบรีบถือของแบกออกไป ...
“กูว่าเรารีบเดินทางเถอะอย่ามาติดเล่นแบบนี้เดี๋ยวพอมืดมันจะมองไม่เห็นทาง” พายุคิดว่าแกล้งเพื่อนสำเร็จที่ชี้ให้ดูหมาสีดำที่ตายตัวนั้นและเดินตามเพื่อนแต่ช่างไม่รู้เลยว่าสิ่งที่นาวากลัวนั้นไม่ใช่สุนัขแต่เป็นสิ่งอื่นที่น่ากลัวมากกว่านั้น
พอทั้งสองเดินมาสักพักก็เข้ามาถึงภายในหมู่บ้านซึ่งมีคนในหมู่บ้านชายหญิงเดินซื้อของกันและค้าขายอาหารต่างๆเด็กน้อยก็วิ่งเล่นกันสนุกสนาน นาวาและพายุเดินเข้าไปชาวบ้านก็ต่างมองพวกเขาแปลกๆทุกสายตาจับจ้องมองพวกเขาและทุกคนต่างกระซิบกัน นาวาด้วยความคิดว่าตัวเองและเพื่อนไม่ได้อาศัยอยู่ที่นี่ก็น่าจะเป็นเรื่องปกติที่ชาวบ้านทุกคนมองกันแบบนั้นพายุเลยพูดขึ้นว่า
“กูโทรมาขอผู้ใหญ่บ้านแล้วกูว่าเราไปหาผู้ใหญ่บ้านกันเถอะมึง” นาวาเลยเดินไปกับเพื่อนเพื่อไปบ้านผู้ใหญ่บ้าน(ชัย)ผู้ใหญ่บ้านที่กำลังคุยกับลูกบ่นอย่างเคร่งเครียดอยู่ก็หันมาเจอนาวากับพายุยืนอยู่นอกบ้านก็เดินลงมาจากบบ้านเพื่อมาหาพวกเขาและพูดว่า “พวกเอ็งใช่ไหมที่มาจากเมืองกรุงที่โทรมาคุยกับข้า”
^^^พายุก็ตอบไปว่า “ใช่ครับผู้ใหญ่พวกผมเองครับที่โทรมาคุยว่าจะมาขอยืมสญ่ถานที่ถ่าย” นาวายกมือไหว้ผู้ใหญ่ “สวัสดีครับผู้ใหญ่” ผู้ใหญ่บ้านก็รับไหว้ “อ่าวกูนึกว่ามึงเป็นผู้หญิงซะอีกหน้าซะหวานเชียว” พายุพูดโต้ ^^^
“ใช่ครับผู้ใหญ่เพื่อนผมมันเหมือนผู้หญิงจริงตอนแรกที่ผมคบกกับมันเป็นเพื่อนผมก็นึกว่ามันเป็นผู้หญิงเลยคุยกันแต่พอมันพูดผมก็อยากเลิกเป็นเพื่อนกับมันเลยครับ” พายุหัวเราะอย่างสะใจนาวาทนไม่ได้เลยกางมือตบกระบานพายุอย่างแรงพายุรีบพูด
“โอ๊ย!!มึงทำไรเนี่ยไอ้วามันเจ็บนะเว้ย” นาวาหันไปหาผู้ใหญ่บ้าน “ขอโทษน่ะครับที่เพื่อนผมปากหมาไปหน่อย” ผู้ใหญ่บ้านหัวเราะก่อนจะพูดว่า “อ่าวๆไม่เป็นไรๆได้ยินว่าพวกเอ็งมาจากกรุงขึ้นเรือนข้ามาก่อนกินน้ำกินท่ากันก่อนนั่งพักให้หายเหนื่อยกันซะก่อน”
...ทั้งสองก็เดินขึ้นเรือนไปนั่งพักดื่มน้ำกัน (ลุงชัย)ที่เป็นผู้ใหญ่บ้านก็นั่งลงบนเก้าอี้ไม้ “กูได้ยินว่าพวกมึงจะมาถ่ายเรื่องเหนือธรรมชาติของหมู่บ้านนี้ใช่ไหมพวกเอ็งแน่ใจแล้วใช่ไหมที่มาที่นี่กูขอเตือนพวกเอ็งหน่อยน่ะว่าที่นี่ไม่ใช่ที่ธรรมดาๆหรอกน่ะกูให้โอกาสพวกเอ็งคิดดูออีกครั้งว่าจะอยู่หรือกลับไป” พายุมองหน้านาวา “เอาไงดีว่ะไอ้วา” ...
นาวาก็ตอบขึ้นว่า “ไม่กูไม่กลับพวกกเราเดินทางมาที่นี่หลายชั่วโมงเลยน่ะ” นาวามองผู้ใหญ่บ้าน “ผมจะอยู่ถ่ายที่นี่ครับผมไม่กลับ” พายุก็พยักหน้าตอบตามเพื่อนผู้ใหญ่บ้านก็ตอบ“งั้นก็แล้วแต่พวกกมึงแล้วกันน่ะถือว่าข้าได้เตือนพวกมึงไปแล้วส่วนถ้ามีอะไรเกิดขึ้นมันไม่ใช่ความผิดข้าล่ะกันน่ะ”
“ผู้ใหญ่บ้านลุกขึ้นยืน”เอาล่ะตามข้ามาข้าจะพาไปไหว้พ่อครูของหมู่บ้านซะก่อน “ พายุก็กระซิบนาวาว่า ”มึงว่าพ่อครูจะหน้าตายังไงว่ะแก่ป่าวว่ะ50-60ไรงี้“ พายุหัวเราะ ”มึงอย่าหาพูดให้พ่อครูมั่วๆน่ะว่ะไอ้เด็กอย่างพวกมึงนั่นยังไม่มีประสบการณ์อะไรมากปากก็อย่าพาหาเรื่องพอกูพาไปถึงอย่าพากันท้วงทักอะไรมั่วๆ“ ผู้ใหญ่บ้านพูดจบก็พาลงจากเรือนและเดินทางไปที่บ้านพ่อครู..
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
Comments