เพราะรักใช่รึเปล่า This is love?

เพราะรักใช่รึเปล่า This is love?

ตอนที่1 เริ่มต้น ไม่มีเธอ

วัยหนุ่มสาว เป็นช่วงชีวิตที่เต็มไปด้วยความฝันมากมาย มีเรื่องราวให้เป็นความทรงจำ ทั้งสุข ทุกข์ มิตรภาพและความรัก เป็นวัยที่ยากจะผ่านไปโดยทิ้งโอกาสต่างๆ เป็นวัยที่เรียกได้ว่า เป็นสมบัติความทรงจำที่ยากจะหาได้….

สายลมเอื่อยๆพัดผ่านกระทบซากุระที่บานสะพรั่งทั้งสองข้างทางราวกับเตรียมพร้อมต้อนรับฤดูกาลใหม่ แสงแดดยามเช้าสาดกระทบพื้นคอนกรีดสาดสะท้อนกับผิวน้ำจนกลายเป็นแสงระยิบชุดยูนิฟอร์มใหม่ เพื่อนใหม่ บรรยากาศใหม่และ…ความสัมพันใหม่

ตอนที่1. มัธยมศึกษาตอนปลายปี1 ยินดีที่ได้รู้จัก

“นี่ๆ ไม่รู้ว่าม.ปลายเนี่ยจะมีสาวๆม.ต้นโรงเรียนอื่นเข้ามาบ้างรึเปล่าเนอะ โทยะ ตื่นเต้นจังเลยแฮะ” เด็กหนุ่มในชุดยูนิฟอร์มม.ปลายทำท่าทางตื่นเต้นกับการเริ่มต้นใหม่ในฐานะนักเรียนม.ปลาย แววตาสีส้มสะท้อนแสงอาทิตย์ยามเช้าจนเป็นประกายวาว ผมสีน้ำตาลอ่อนรับแสงแดดจนเห็นสีได้ชัดเจน ความรู้สึกสมกับเป็นวัยหนุ่มชัดเจนจนมองออกและแทบเผยยิ้มออกมาตาม

“ตื่นเต้น?...แกจะไปตื่นเต้นอะไร นักหนาก็แค่ขึ้นจากม.ต้นมาอยู่ม.ปลาย อีกอย่างนักเรียนใหม่น่ะ มันจะไปมีได้ยังไงถึงมีก็ไม่มาอยู่ห้องเราหรอกน่า เลิกเพ้อเจ้อได้แล้วเจ้าบ้า”เสียงขัดคอของเด็กหนุ่มอีกคนที่เดินมาพร้อมกัน น้ำเสียงทุ้มต่ำดุดันชวนหมั่นไส้กับแววตาสีน้ำตาลแดงราวกับเปลวเพลิง ชุดยูนิฟอร์มที่สวมอย่างหลวมๆแบบขอไปทีราวกับวัยรุ่นอันธพาลผิดกับเด็กหนุ่มที่เดินข้างกัน

“ทำไมต้องขัดคอฉันด้วยเล่า! แล้วนายรู้ได้ยังไงว่าจะไม่มีน่ะ เป็นหมอดูรึไง!!” เด็กหนุ่มเถียงกลับด้วยท่าทางหงุดหงิดเล็กๆแต่ก็ไม่ได้จริงจังและการเดินทางก็มาถึงจุดมุ่งหมายของพวกเขาหลังจากที่เดินมาได้สักพัก

ณ โรงเรียนมัธยม เอริ

“ไอ้พวกเด็กเหลือขอ ใครให้ย้อมผมแดงแจ๋ขนาดนี้ฟ็ะ!? ย้อมมาซะทั่วหัวนึกว่าอยู่ม.ปลายจะทำอะไรก็ได้รึไง!”เสียงตะโกนของอาจารย์ที่ยืนคุมอยู่หน้าโรงเรียนทำเอาเด็กนักเรียนที่ทยอยกันเข้าเขตประตูต่างหันมองกันเป็นแถบ

“อาจารย์เคนไซนี่นา…ซวยจังเลยเนอะ~โทยะคุงต้องฟัดกับอาจารย์แต่เช้าเลยสิ~”ชายหนุ่มที่ถูกขัดคอเอ่ยแซวเพื่อนด้วยสายตานึกสนุกก่อนจะเดินไปเผชิญหน้ากับอาจารย์คุมประตู

“ไง พวกแกสองคนหยุดคุยกับฉันก่อนจะได้ไหม หืม?”อาจารย์เคนไซผู้ยืนคุมประตูกอดอกจ้องมองที่ชายหนุ่มทั้งสองที่พึ่งเดินเข้าเขตประตูโรงเรียนไป

“แหมๆๆ อาจารย์อรุณสวัสดิ์นะครับวันนี้อากาศดีเนอะ~แต่ผมไม่ผิดระเบียบหรอกนะครับอุตส่าห์เป็นรุ่นพี่ทั้งที”เด็กหนุ่มนัยส์ตาสีส้มฉีกยิ้มตอบรับอาจารย์ด้วยท่าทางสดใสและเป็นมิตรแต่ก็ไม่พ้นความซวยกับสายตาสีน้ำตาลแดงดั่งเพลิงของเพื่อนของเขาที่ดูท่าจะไม่นอบน้อมสักเท่าไหร่

“เปล่า ฉันไม่ได้จะว่าแกหรอก เซจิมะ แต่ฉันหมายถึงแกต่างหาก อิจิยะ ฉันก็รู้หรอกนะว่าผมแกมันสีแดงธรรมชาติ เออ เข้าใจ แต่แกจะไว้ผมยาวขนาดนี้ไม่ได้ เข้าใจรึเปล่า ไปตัดซะ ถ้าพรุ่งนี้ฉันยังเห็นผมยาวๆของแกล่ะก็ ฉันจะตัดให้เอง เข้าใจไหม!?” อาจารย์จ้องไปที่อิจิยะเด็กหนุ่มที่ยืนจ้องเขาอยู่ด้วยสีหน้าท่าทางเย็นชาราวกับว่าคำพูดของอาจารย์จะแทบไม่ทะลุเข้าหูก็ว่าได้ อิจิยะเดินเข้าในตัวตึกราวกับไม่ได้ยืนคุยกับอาจารย์สักคนท่าทางอวดดีชวนปะทะของเขาทำเอาอาจารย์หลายคนต้องถึงกับยอม

“นี่ จะดีหรอโทยะไปเมินกับอาจารย์เคนไซแบบนั้น คะแนนความประพฤตินายจะห่วยเอานะ~”เซจิมะเดินตามอิจิยะเข้าตึกมาและตรงขึ้นไปห้องเรียนทุกคนในห้องต่างเอ่ยทักทายกันปกติราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เสียงพูดคุยในเรื่องที่พบเจอ ของฝากที่มอบให้กันในวันเปิดเทอมวันแรก ห้องเรียนใหม่ เพื่อนเก่า โต๊ะนั่งใหม่ ที่นั่งแถวเก่าและ….บทเรียนบทใหม่…แต่ไร้วี่แววใครบางคน ใครบางคนที่เคยนั่งข้าง ใครบางคนที่เคยเดินเข้าห้องเรียนด้วยกัน ไร้เสียงหัวเราะ …มีเพียงสายลมที่พัดผ่านเข้ามาในห้องเรียนที่กระทบผิวหน้าจนเย็นและชา กลีบดอกซากุระที่ปลิดปลิวตามลมช่างไร้จุดหมาย ดวงตาสีน้ำตาลแดงทอดสายตามองกลีบดอกซากุระอย่างเงียบงันวังวนแห่งห้วงความโศกเศร้ายังคงปกคลุมหัวใจที่ปกปิดไว้ได้เพียงสีหน้าและแววตาอันไร้ความรู้สึก………

“มาแล้วๆ ข่าวดีมาแล้วเฟ้ย ฉันไปแอบฟังห้องพักอาจารย์มาและแล้วห้องเรียนของเราก็มี…..นักเรียนใหม่เข้ามาสักที!”เสียงเด็กหนุ่มคนหนึ่งทำท่าทีตื่นเต้นสุดๆกับข่าวที่ได้ยินทุกคนในห้องดูตื่นเต้น ยินดี กับการต้อนรับเพื่อนใหม่

“นี่ๆ แล้วเป็นผู้ชาย หรือผู้หญิงนายเห็นรึเปล่า”

“ก็ต้องผู้หญิงสิเฟ้ย ผมยาว ยาวกว่าเจ้าอิจิยะอีกนะเฟ้ย!”

“สุดยอด! แบบนี้ก็ต้องน่ารักสุดๆเลยสิ แล้วแกเห็นหน้าเธอรึเปล่าโอโด”ความครึกครื้นในห้องที่สมกับเป็นห้องเรียนค่อยๆกลับมาเหมือนเก่าอีกครั้ง บรรยากาศของการหยอกล้อ การพูดคุยเริ่มทำให้เด็กหนุ่มที่นั่งที่ทั้งสองหันมาสนใจก่อนบรรยากาศนั้นจะถูกทำลายลง…เสียงประตูห้องเรียนถูกเปิด ชายร่างสูงในชุดสูทสีดำทั้งชุด ผมสีเงินยวงรับใบหน้าคมเสียงฝีเท้าหยุดลงตรงโต๊ะสำหรับอาจารย์ บรรยากาศในห้องสงบเงียบราวกับถูกหยุดได้ยินเพียงเสียงลมเอื่อยๆที่พัดผ่านเข้ามาผ่านหน้าต่าง

“อะไร พวกแกตกใจอะไรกัน ช่างเถอะเด็กเหลือขออย่างพวกแกฉันพูดมากไปมันก็ไม่เข้าหูหรอก เอาเป็นว่าพยายามใช้สมองเล็กเท่าเม็ดถั่วของพวกแกจำเอาไว้ดีๆว่าตั้งแต่วันนี้ ฉันเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาของพวกแก….”ยังไม่ทันสิ้นเสียงพูดของอาจารย์สายตาของเขาก็กวาดไปหยุดที่อิจิยะที่ยังคงนั่งเท้าคางมองนอกหน้าต่างอยู่โดยไม่ได้ใส่ใจฟังอาจารย์ ก่อนที่สายตาจะกวาดไปที่กลุ่มนักเรียนหญิงที่ดูเหมือนจะพยายามแอบคุยกัน

“อย่างแรกเลย พวกเธอ เวลานี้ฉันกำลังพูดอยู่การแทรกบทสนทนาของคนที่กำลังพูดเขาเรียกว่าอะไรรู้ไหม? เขาเรียกว่า พวกไร้จิตสำนึก และสำหรับพวกที่ทำท่าทางไร้แก่นสารไม่สนใจฟังในสิ่งที่คนพูดกำลังพูดเขาเรียกว่าอะไรรู้ไหม? เขาเรียกว่า พวกมีปัญหา ถ้าพอมีสมองทำความเข้าใจได้ ก็หุบปากและหันมามองที่ฉัน”น้ำเสียงเย็นชาและคำพูดที่เสียบแทงตัดเข้ากลางใจทุกประโยคนั้นกระตุ้นให้นักเรียนทำตามคำสั่งได้ดีแต่่กับอิจิยะการหันมองของเขากลับมีเพียงหางตาที่มองไปทางอาจารย์เท่านั้น

“เอาล่ะ จะยังไงก็ช่าง วันนี้ห้องของเรามีนักเรียนใหม่ ต้อนรับและดูแลเพื่อนให้ดีเข้าใจรึเปล่า เธอเข้ามาได้แล้ว”สิ้นเสียงของอาจารย์ เสียงฝีเท้าของนักเรียนใหม่ก็ดังขึ้น เสียงนั้นดังและหยุดลง ทุกคนในห้องเรียน ปฏิกิริยาที่ได้พบกับนักเรียนใหม่กับประหลาดและแปลกใจ ใบหน้าซีดเผือก ดวงตาเบิกโพรง ราวกับเจอคนรู้จัก ยิ่งไปกว่านั้นกลับดึงดูดให้โทยะหันมองได้เต็มตา แต่สีหน้าและแววตาของเขาเองกลับดูสับสน ริมฝีปากหนาสั่นเครือ ใบหน้าขาวซี้ดราวกับถูกความเหน็บหนาวเข้าปกคลุมหัวใจจนสลาย ดวงตาสีน้ำตาแดงเบิกโพรงเสียงหัวใจที่ดังแทบจะระเบิดออกมา ไม่ต่างกับเพื่อนสนิทของเขาอย่างเซจิมะที่ใบหน้าซีดเผือก และแล้วบรรยากาศของความสับสนก็ได้ถูกทำลายลงอีกครั้งด้วยเสียงของอาจารย์และการแนะนำตัวของนักเรียนใหม่

“…เอาล่ะ แนะนำตัวกับเพื่อนซะ”เสียงของอาจารย์ที่ทำให้ทุกคนในห้องได้สติกันอีกครั้ง ทุกคนพยายามมองที่นักเรียนใหม่ด้วยสายตาและปฏิกิริยาที่เป็นมิตรโดยสลัดอารมณ์ครั้งแรกออกไปได้ดี แต่กลับอิจิยะและเซจิมะนั้นไม่ใช่เลย…

“เออ…สวัสดีครับยินดีที่ได้รู้จัก ผมคุสึนาริ ยูกิ มาจากมัธยมศิลปะไซเก็นโด ฝากตัวด้วยนะครับ”เสียงนุ่มหวานราวกับชายหนุ่มชนชั้นสูง เส้นผมสีดำสนิทยาวราวกับเส้นไหม ดวงตาสีเงินสะท้อนแสงแดดราวกับลูกแก้วอันแสนเปราะบาง ใบหน้าหวานราวกับสตรีในยุคขุนนางและรอยยิ้มที่งดงานดุจดอกกุหลาบขาวอันบริสุทธิ์ สร้างความเคลิบเคลิ้มและไม่อาจละสายตาได้

“ม…มิสึโฮะ!” เสียงของเซจิมะแทรกขึ้นมาอย่างไม่ทันตั้งตัวเขาลุกพรวดขึ้นพร้อมสายตาที่จ้องไปยังนักเรียนใหม่อย่างยูกิ ทั้งห้องต้องหันมองไปทางเขาด้วยสายตาตกตะลึงก่อนที่เสียงของอาจารย์จะช่วยปลดล็อความสับสนของทุกคน

“เซจิมะ….นั่งลงได้แล้ว”ดวงตาสีเหลืองทองของอาจารย์จ้องมองไปที่เซจิมะ ราวกับเวลาหยุดหมุนเด็กหนุ่มคืนสติจากห้วงความสับสนในใจก่อนจะนั่งลงอย่างสงบ

“เธอไปนั่งที่ว่างตรงข้าง อิจิยะ ตรงนั้นแล้วกันนะ เราจะได้เข้าบทเรียนแรกของวันนี้แล้วก็….ถ้าจะไว้ผมยาว เธอก็ต้องรวบผม ห้องของฉัน กฏของฉัน ถ้าเข้าใจแล้วก็เชิญ”เด็กหนุ่มรีบหยิบยางรัดมารวบผมขึ้นสูงแล้วมัดอีกชั้นด้วยริบบิ้นสีขาวก่อนจะโค้งขอบคุณอาจารย์และเดินตรงไปที่ ที่นั่งของตัวเองบรรยากาศยังคงเป็นไปตามปกติ ทุกคนเริ่มคุ้นเคยกับเพื่อนใหม่ได้ไม่ยากเว้นแต่กับ เด็กหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีแดงสดที่ยังคงหันมองเพียงดอกซากุระที่ยังคงปลิดปลิวหลังจากที่ได้สติจากสิ่งที่ได้พบ

“เออ ไม่ทราบว่าพอจะมียางลบรึเปล่าครับคือผมลืมหยิบมาจากห้องนอนน่ะ”ยูกิพยายามเรียกอิจิยะอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่มีปฏิกิริยาใดๆก่อนที่ยางลบรูปกระต่ายจะถูกยื่นให้จากเด็กหนุ่มเจ้าของนัยส์ตาสีส้มอย่างเซจิมะ

“นี่ ยืมของผมได้นะ แล้วก็ อย่าพูดบ่อยในคลาสของเคนโซล่ะหมอนี่น่ะปากร้ายนะถึงนายจะมาวันนี้เป็นวันแรกหมอนั่นก็ไม่เว้นหรกอน้า~”เซจิมะกระซิบเบาๆกับยูกิก่อนจะกลับมานั่งเรียนทำตัวปกติจนทุกอย่างเรียบร้อยถึงช่วงพักกลางวัน….

“คุสึนาริคุงไปกินข้าวด้วยกันเถอะ ~”เด็กผู้หญิงในห้องต่างพากันห้อมล้อมยูกิราวกับแฟนคลับห้อมล้อมไอดอลก็ว่าได้ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคงยิ้มตอบรับทุกคำเชิญอย่างเต็มอกเต็มใจด้วยรอยยิ้มที่แสนบริสุทธิ์

ใต้ต้นไม้หลังโรงเรียน

“อา~ช่วงพักนี่มันดีจริงๆล่ะนะ โรงเรียนเราให้เวลาพักตั้งชั่วโมงครึ่งแน่ะ แล้วกิจกรรมชมรมล่ะ ว่าไงจะเข้าชมรมอะไรดี?”เซจิมะที่นั่งกินข้าวกลางวันอยู่ข้างๆถามเพื่อนสนิทที่นั่งกินยากิโซบะอยู่ข้างกัน

“…ไม่รู้สิ ถ้ายัยนั่นอยู่ก็คงจะลากพวกเราเข้าชมรมศิลปะการแสดงไม่ก็ชมรมดนตรีล่ะมั้ง แกล่ะฟุจิจะเข้าชมรมอะไร…?”โทยะปลายตามองฟุจิด้วยแววตาเรียบนิ่งก่อนที่จะได้คำตอบจากฟุจิบางอย่างก็ได้ดึงดูดความสนใจของทั้งสองคน เสียงเปียโนที่กำลังถูกบรรเลงด้วยใครบางคน บทเพลงที่ถูกบรรเลงสื่อสะท้อนถึงความโหยหาและความหอมหวานในความคิดถึงคนที่ห่างไกล ราวกับศรแหลมที่ถูกยิงเข้าทะลุกลางอกซ้ายของเขาทั้งสองหาใช่ศรแห่งเทพแต่กลับเป็นศรที่ทิ่มแทงหวนนึกถึงความเจ็บปวดเจียนขาดใจ บทเพลงถูกบรรเลงไปเรื่อยๆท่ามกลางสายลมเย็นและแสงแดดอันอบอุ่นก่อนที่่บทเพลงจะเงียบลง เด็กหนุ่มนิ่งเงียบอยู่ไม่นาน คำบางคำก็หลุดออกมาจากปากของพวกเขาทั้งสองแทบจะพร้อมกัน

“มิสึโฮะ..”ชื่่อของใครบางคนที่ถูกเอ่ยถึงเป็นครั้งที่สอง แต่ความเงียบงันนั้นก็ค่อยๆหายไปเพราะบางอย่างที่สะดุดเข้ากับสายตาของฟุจิ

“จริงสิ ลืมไปเลย ไหนดูสิ”ฟุจิหยิบสมุดจดวิชาของอาจารย์เคนโซขึ้นมาเปิดและเจ้าของสมุดก็คือ คุสึนาริ ยูกิ

“แก…ไปหยิบของคนอื่นมาดูทำไมฟุจิ อ…นี่มันสมุดของหมอนั่น..”โทยะยิ่งคิ้วขมวดเข้าไปใหญ่เมื่อได้เห็นข้อความเนื้อหาในสมุด

“เออ…ฉันว่ายูกิคุงน่าจะมีอะไรผิดปกติแน่ๆ ดูสิโทยะ เนื้อหาเนี่ยมันผิดไปหมดเลย แถมบางช่วงก็ขาดหาย”ฟุจิเทียบเนื้อหาในบทเรียนบรรทัดต่อบรรทัดเพราะด้วยความจำที่ดีผิดมนุษย์มนาของเขาทำให้เขาจำเนื้อหาได้หมดแทบจะไม่ต้องจด ยิ่งไปกว่านั้น โทยะที่นั่งอยู่ข้างๆก็สั่งเกตได้ว่าการเขียนของยูกิเหมือนจะไม่ได้ถนัดขวา”

หมอนั่นถนัดซ้าย”เสียงพึมพำเบาๆของโทยะยิ่งทำให้คิ้วที่ขมวดอยู่แล้วขมวดเข้าไปอีกและเวลาเรียนคาบบ่ายก็มาถึง

“อาหารที่โรงอาหารอร่อยมากเลยนะครับ ไว้พรุ่งนี้ผมจะทำเบนโตะมากินที่ห้องกับทุกคนนะ”เสียงเจื้อยแจ้วของเจ้าของเรือนผมสีดำหางม้าคุยสนทนากับเพื่อนในห้องได้ราวกับสนิทกันมานานเป็นปี รอยยิ้มดุจเจ้าชายทำให้ใครบางคนที่แอบปลายตามองขมวดคิ้วหงุดหงิด

“ช่วงบ่ายก็ขอฝากตัวด้วยนะครับ เซจิมะคุง “ยูกิเดินมานั่งที่นั่งและทักทายฟุจิด้วยมิตรและรอยยิ้มและแน่นอนว่าเขาเองก็ได้รับรอยยิ้มสดใสราวกับไอดอลของฟุจิกลับไปเช่นกัน

“ฟุจิ เรียกฉัน ฟุจิก็ได้จะได้สนิทกันน่ะเนอะ ยูกิคุง ส่วนหมอนี่ก็เรียกว่า โท…”ยังไม่ทันสิ้นเสียงของฟุจิ โทยะก็พูดแทรกขึ้นแทบจะทันทีด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ

“อิจิยะ…เรียก อิจิยะ”หางตามองไปทางยูกิเพียงเสี้ยวนาทีก่อนจะกลับไปสนใจดอกซากุระเหมือนเดิม

“อืม ฝากตัวด้วยนะ อิจิยะคุง”ยูกิยังคงมอบรอยยิ้มที่ไร้ความหมายอื่นใดแฝงนอกจากต้องการผูกมิตรและบทเรียนช่วงบ่ายก็มาถึง บรรยากาศช่วงบ่ายยังคงเป็นไปอย่่างปกติ อาจารย์สอนตามปกติ และจนถึงคาบเรียนสุดท้ายของวันที่อาจารย์ให้จดการบ้านบนกระดาน ยูกิจ้องมองกระดานด้วยสายตาที่หรี่ลงจนแทบจะปิดพลางขยี้ตาไปเป็นพักๆก่อนจะก้มลงจดบนสมุดจด ปลายหางตาของโทยะจ้องมองการกระทำของคนข้างๆอยู่นานทั้งที่ก่อนหน้านี้หรือไม่แม้สักครั้งที่เขาจะจดบนกระดาน แต่เขากลับละสายตาจากซากุระที่ยังคงปลิดปลิวตามสายลม เพื่อจดการบ้านบนกระดานอย่างละเอียดพร้อมเขียนคำตอบลงไปจนครบ มือหนาดันสมุดของตัวเองปิดทับสมุดของคนข้างๆก่อนจะกลับมามองซากุระต่อ คำพูเบาๆราวกับการกระซิบผ่านสายลมถูกเอ่ยออกมาจากปากของเขาที่ไม่น่าจะเป็นเขา

“เสร็จแล้ว …พรุ่งนี้ฝากส่งด้วย จดในสมุดของฉันจะสบายตากว่า….”สายลมเอื่อยเริ่มพัดผ่านเข้ามาในห้องเรียนที่เปิดหน้าต่างเอาไว้ทุกบาน ดอกซากุระโปรยปรายปลิดปลิดผ่านเข้ามา ฤดูกาลของการพบเจอเริ่มต้น ฤดูกาลแห่งห้วงความอาวรยังคงหมุนเวียน น้ำตาที่หลั่งรินในครานั้น สายลมอันเหน็บหนาวที่มาเยือน หิมะขาวบริสุทธิ์โปรยปราย มิตรภาพ ความทรงจำ ด้ายแดงที่ผูกพัน และ เส้นทางที่ต้องเลือกเดิน……

“ในที่สุด วันนี้ก็จบสักที นี่ไปร้านมิยากิกันไหม วันนี้มีโปรโมชั่นลดราคาด้วยนะ เห้ย ยูกิ ไปด้วยกันไหม ร้านนี้น่ะอร่อยมากเลยนะ”เด็กหนุ่มคนหนึ่งเอ่ยถามกึ่งชวน แต่ยูกิกลับต้องยิ้มพลางปฏิเสธเพื่อนด้วยรอยยิ้มสดใสอีกครั้ง

“พอดีบ้านของผมอยู่เมืองข้างๆน่ะนะ ต้องใช้เวลาเดินทาง เอาไว้ สุดสัปดาห์ได้ไหม ผมกลับแล้วนะ เจอกันพรุ่งนี้นะทุกคน เจอกันครับฟุจิคุง อิจิยะคุง”

ยูกิตอบพลางเก็บของใส่กระเป๋าเพื่อเตรียมตัวกลับบ้านแล้วลุกจากโต๊ะเรียนเพื่อกลับบ้านเหมือนนักเรียนคนอื่นๆ

“บ้าย บาย ยูกิคุง ~ เอาล่ะ เราก็กลับกันเถอะโทยะ ป่านนี้มิสึโฮะรอแย่แล้ว”ฟุจิและโทยะลุกจากที่นั่งและเดินออกจากห้องเรียน แสงของพระอาทิตย์ทอแสงสีส้มสาดส่องเข้ามายังห้องเรียนอันเงียบงันและว่างเปล่า สาดกระทบพื้นน้ำจนเปล่งแสงระยิบระยับ เด็กหนุ่มทั้งสองเดินไปตามเส้นทางที่ไม่ใช่เส้นทางกลับบ้าน ไร้เสียงสนทนาใดๆ มือถือช่อดอกกุหลาบสีขาว อีกคนถือช่อทิวลิปสีชมพู ความเงียบไร้เสียงสนทนา มีเพียงเสียงสายลมและเสียงเดินของรองเท้าที่กระทบพื้นเนินเขาสูงที่รายล้อมด้วยต้นไม้ใหญ่ มีป้ายหลุมศพของใครบางคนตั้งอยู่ ชื่อสลักคือ ฮานะเอะ มิสึโฮะ…”กลับมาแล้ว~มิสึโฮะ วันนี้เป็นยังไงบ้าง ฉันเอาดอกไม้มาเปลี่ยนให้นะ”ฟุจิและโทยะนั่งลงข้างป้ายชื่อของมิสึโฮะ พวกเขานั่งคุยกับป้ายชื่อนั้นราวกับมีเจ้าของป้ายชื่อนั่งสนทนาด้วย รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ การบอกเล่าเรื่องราวที่เจอ เวลาเริ่มจวนเจียนถึงการบอกลา ตะวันเริ่มคล้อยต่ำลงเรื่อยๆ เปลี่ยนความมืดเข้ามาทดแทน ท้องฟ้าไร้แสงของตะวัน เปลี่ยนผันเป็นดวงดาวประดับฟ้าจนระยิบระยับ

“ต้องกลับแล้วนะ….”เสียงทุ้มต่ำ เจ้าของนัยส์ตาสีน้ำตาลแดงหรี่ลง นัยส์ตาอันไร้ความรู้สึกในตอนกลางวันกลับแสดงออกมาถึงความเจ็บปวดและทรมานด้วยความคิดถึง ชายหนุ่มทั้งสองยันตัวลุกขึ้นและหันหลังเดินจากห่างออกไปไกลขึ้นและไกลขึ้นจากเนินเขาและถึงเวลาที่ต้องแยกย้ายกลับบ้าน เสียงข้อความดังขึ้นขณะที่โทยะกำลังเดินเข้าบ้าน นัยส์ตาสีน้ำตาลแดงหรี่ลง คิ้วขมวดเป็นปมอีกครั้ง ความรู้สึกประหลาดที่ไม่รู้ว่าคืออะไรกำลังก่อตัว มุมปากที่ไม่เคยยกขึ้นมานับหลายเดือนกลับถูกยกขึ้น รอยยิ้มจางๆที่แทบสังเกตไม่ได้ผุดขึ้นเมื่อเปิดอ่านข้อความ

“อิจิยะคุง ขอบคุณสำหรับการช่วยเหลือวันนี้นะ ไว้จะทำยากิโซบะสูตรพิเศษให้นาย”โทยะเดินเข้าบ้านและเดินขึ้นห้องทันที บ้านหลังใหญ่ที่มีเพียงเขาและพี่ชายที่นานๆจะกลับมาสักที อาหารที่ถูกทำกินอย่างง่ายๆด้วยไมโครเวฟ น้ำผลไม้สดที่คั้นใส่เหยือกแก้ว กินข้าว อาบน้ำและเข้านอน ทุกอย่างปกติ…

ตี๊ด….ตี๊ดดด

“ฮัลโหลครับ นั้นใครพูด?”ขณะที่เปลือกตาใกล้ปิดลงเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นโทยะรับสายและต้องเบิกตากว้างเมื่อปลายสายนั้นคือ

“อิจิยะคุง พรุ่งนี้ไม่ต้องทำเบนโตะนะ ผมจะทำยากิโซบะสูตรพิเศษให้ แล้วก็นอนรึยัง งั้นราตรีสวัสดิ์นะ’ “เดี๋ยว นายไปได้เบอร์ฉันมาจากใคร ฟุจิหรอ?”

“อืม เปล่าๆ ผมไปขอกับอาจารย์เคนโซน่ะ อ..เออ คือ ขอโทษนะถ้านายไม่อยากผมลบเดี๋ยวนี้ล่ะ”

“…..ช่างเถอะ จะเก็บไว้ก็เรื่องของนาย อ…เคน…ไซ…”

“มีอะไรรึเปล่าอิจิยะคุงแล้ว อาจารย์เคนไซทำไมหรอ?”

“เปล่า วางล่ะ”หลังจากสนทนากันสักพักอิจิยะก็วางสายเบอร์ของปลายสายที่โทรเข้าถูกบันทึกไว้ และเปลือกตาก็ค่อยๆปิดลงและเดินทางสู่ห้วงราตรีนิทรา …… ทางด้านฟุจิ

หลังจากแยกกับโทยะเด็กหนุ่มที่ปกติจะมีท่าทางร่าเริงเป็นมิตร ตอนนี้นัยส์ตากลับเต็มไปด้วยความว่างเปล่า หัวใจปวดร้าวแทบแตกสลาย เจ้าของผมสีน้ำตาลอ่อนเดินเข้าบ้านและมองไปรอบๆ บ้านที่ใหญ่โต แต่ไร้ผู้คนมีเพียงเขายิ่งทำให้หัวใจแห้งเหี่ยวและว่างเปล่าไร้เรี่ยวแรง

“ฉันคิดถึงเธอจะตายอยู่แล้วมิสึโฮะ ….”ความทรมานปานจะขาดใจบีบเค้นให้น้ำตาของชายหนุ่มเอ่อล้นออกมาอย่างห้ามไม่ได้ ฟุจิปล่อยโฮออกมานานสองนานในบ้านที่เงียบงันก่อนที่น้ำตานั้นจะหยุดลงด้วยเสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้น

“ครับพี่ อ่า พึ่งถึงบ้านเนี่ยเดี๋ยวก็ว่าจะอาบน้ำกินข้าวเล่นเกม แล้วโทรมามีอะไรหรอ ?”ฟุจิปรับโทนเสียงให้กลับมาเป็นปกติที่แสดงออกขณะคุยกับพี่ชาย

“อ่า วันนี้พี่มีผ่าตัดด่วน จะโทรมาบอกว่าไม่ได้กลับนะ ไม่เหงาใช่มั้ย จะเอาสาวๆไปค้างก็ไม่ว่านะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า~”เสียงหัวเราะของปลายสายและเป็นน้ำเสียงนุ่มละมุน ทำให้ชายหนุ่มที่อยู่ในภวังค์ความเศร้าคลายความเจ็บปวดลงและเผยรอยยิ้มออกมาได้

“นายพูดแล้วนะ คุณหมอชินจิ งั้นผมจะไปพาสาวๆสักสี่ห้าคนมาค้างล่ะนะ~” ฟุจิหยอกล้อกับพี่ชายอยู่พักใหญ่ก่อนจะวางสายกันไป เขาเดินไปที่ห้องน้ำเพื่ออาบน้ำเสร็จก็เดินออกมาแต่งตัวและหาอะไรกินในตู้เย็น ฟุจิในชุดเสื้อกล้ามหลวมโคร่งกับกางเกงขายาวสีดำทำให้เห็นหุ่นที่สาวๆที่ไหนเห็นก็ต้องหลงรัก หลังจากที่กินข้างเสร็จเมนูที่ขาดไม่ได้คือไอศกรีมโมจิแค่เมื่อเจ้าตัวกินเข้าไปคำแรก

“อะ!!!....*ความเสียวแปรบที่ฟันพุ่งปรี๊ดขึ้นสมองจนเขาต้องรีบวางช้อนฟุจิเหงื่อตกเมื่อไม่อยากเชื่อว่าเขาจะมาเจอความรู้สึกแบบนี้กับตัวเองที่แปรงฟันเช้าเย็นไม่ขาด

“ไม่น่า….ไม่จริงใช่มั้ย….ไม่จริงเราอาจจะคิดไปเอง ใช่เราคิดไปเอง

เลือกตอน
เลือกตอน

อัพเดทถึงตอนที่ 1

กกาวน์โหลดทันที

ชอบผลงานนี้ไหม? ดาวน์โหลดแอพ บันทึกการอ่านของคุณจะไม่สูญหาย
กกาวน์โหลดทันที

โบนัส

ผู้ใช้ใหม่ที่ดาวน์โหลดแอพสามารถปลดล็อค 10 ตอนได้ฟรี

รับ
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!