ห้างสรรพสินค้า
"ขาขาไปซื้อตั๋วหนังกับเจ้าคุณก่อนได้มั้ย เขาปวดห้องน้ำ ขอไปเข้าห้องน้ำแป๊บหนึ่ง"
"พี่ชายจะไปห้องน้ำเหรอ คุณขอไปด้วยดิ คุณก็ปวดเหมือนกัน"
"ให้ขาขาไปเป็นเพื่อนมั้ยครับ"
"ไม่เป็นไร เขาไปกับเจ้าคุณก็ได้ ขาขาไปซื้อตั๋วรอเลย เขากับเจ้าคุณจะรีบตามไป"
"อื้ม ห้ามเถลไถลนะ ขาขาจะไปซื้อป๊อบคอร์นไว้รอ"
"ครับ/ครับ"
เมื่อตกลงกันเรียบร้อยแล้ว เจ้าคุณกับเจ้าชายรีบเดินแยกไปทางห้องน้ำของห้างทันที ส่วนเจ้าขาก็เดินแยกไปทางโรงหนังเพื่อจะซื้อตั๋วกับป๊อบคอร์นเอาไว้รอเจ้าสองแสบ
เมื่อได้ของที่ต้องการ เจ้าขานั่งลงที่โซฟาหน้าโรงหนังเพื่อรอรอบฉายและรอเจ้าสองแสบที่ขอไปเข้าห้องเมื่อสักครู่
ระหว่างนั่งรอ เจ้าขาหยิบโทรศัพท์มานั่งไถเล่นดูนั่น ดูนี่เพื่อฆ่าเวลา จากห้านาทีเป็นสิบนาที จากสิบนาทีเป็นยี่สิบนาที เหลือเวลาอีกแค่ไม่ถึงสิบนาทีหนังก็จะเริ่มฉายแล้ว แต่กลับไม่เห็นแม้แต่เงาของเจ้าสองแสบ
"ทำไมถึงชอบเถลไถลจังเลยนะ" ว่าพลางกดเบอร์แล้วกดโทรออกหาเจ้าชายทันที แต่กลับโทรไม่ติด เมื่อโทรหาเจ้าชายไม่ติด เจ้าขาจึงรีบกดหาเบอร์ของเจ้าคุณและกดโทรออกทันที
"ไม่ติดเหมือนกัน หรือว่าจะเกิดเรื่อง!!"
เมื่อติดต่อใครไม่ได้ เจ้าขาไม่รอช้าวางถังป๊อบคอร์นไว้ที่โซฟาและกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปยังห้องน้ำที่เจ้าชายกับเจ้าคุณไปทันที
"ช่วยด้วยค่ะ มีคนถูกแทงในห้องน้ำค่ะ"
ยังไม่ทันถึงที่หมายก็ได้ยินเสียงแม่บ้านทำความสะอาดห้องน้ำวิ่งหน้าตื่นออกมาจากห้องน้ำและตะโกนขอความช่วยเหลือ
เจ้าขารีบแทรกตัวเข้าไปในห้องน้ำด้วยใจที่เต้นระส่ำ ได้แต่เพียงภาวนาว่าคนที่ถูกแทงในห้องน้ำนั้นจะไม่ใช่น้องชายของตน
"ขอทางหน่อยครับ"
"เข้าไม่ได้นะครับ คนร้ายอยู่ในนั้น ต้องรอให้เจ้าหน้าที่มาก่อนนะครับ"
"ขอทางหน่อยครับ ผมจะเข้าไปข้างใน น้องชายของผมมาเข้าห้องน้ำที่นี่เขายังไม่ได้ออกมา และผมคิดว่าเขาน่าจะอยู่ในนั้น"
"เข้าไม่ได้จริง ๆ ครับ คนร้ายมีอาวุธ เขาอาจจะทำร้ายคุณก็ได้"
"แต่ผมต้องเข้าไปเดี๋ยวนี้ครับ!!" เจ้าขาที่เริ่มจะหมดความอดทนกับคนตรงหน้าก็ตะคอกเสียงออกมาด้วยความหัวเสีย ปกติตนไม่ใช่คนกร้าวร้าว แต่ตอนนี้มันไม่ใช่เวลาที่จะมาใจเย็นเพื่อรออะไรอีกแล้ว ถ้าน้องของตนอยู่ในนั้นจริง ๆ สิ่งที่ต้องทำในตอนนี้คือเข้าไปช่วยสองคนนั้นให้เร็วที่สุด
"แต่มันอันตราย ผมคงปล่อยให้คุณเข้าไปไม่ได้หรอกครับ" ผู้ชายคนเดิมยังคงยืนยันคำเดิมและไม่ยอมเปิดประตูให้เจ้าขาเข้าไปได้ง่าย ๆ
"ขอโทษนะครับที่ผมต้องกร้าวร้าว" พูดจบเรียวขาของเจ้าขาก็งัดเข้าที่หว่างขาของคนตรงหน้าอย่างจัง มันไม่ได้แรงมาก แค่ก็ทำเอาคนตรงหน้าถึงกับเอามือกุมเป้าตัวงอลงไปนอนอยู่ที่พื้นทันที
เมื่อหมดคนขวาง เจ้าขารีบถีบประตูห้องน้ำให้เปิดออกและพุ่งตัวเข้าไปในห้องน้ำทันที
"ว้าว!! คนสวยเข้ามาแบบนี้จะมาเล่นสนุกกับพวกพี่เหรอจ้ะ" หนึ่งในสามของคนร้ายที่อยู่ในห้องน้ำเอ่ยถามเจ้าขาด้วยน้ำเสียงไม่เป็นมิตรก่อนจะส่งสายตาลวนลามเจ้าขาตั้งแต่หัวจรดเท้า
นอกจากเจ้าขาจะไม่ได้รู้สึกกลัว แต่สายตากลับกำลังมองหาน้องชายของตัวเอง ตรงบริเวณที่ตนยืนอยู่มีแต่คราบเลือด แล้วก็ไอ้สวะสามคน แต่ไม่พบผู้บาดเจ็บ ถ้าเดาไม่ผิดผู้บาดเจ็บอาจจะซ่อนตัวอยู่ในห้องน้ำที่ปิดสนิทนั่นแน่ ๆ แต่มันปิดอยู่สามห้อง ชั่งเถอะจะห้องไหนก็ช่าง ตอนนี้ต้องการแค่ให้คนที่อยู่ในนี้ไม่ใช่คนที่ตนกำลังตามหาอยู่ก็พอ
ในขณะที่เจ้าขากำลังกวาดสายตามองสภาพภายในห้องน้ำ ไอ้สวะสามคนนั้นก็กำลังประเมินรูปร่างหน้าตาและผิวพรรณของเจ้าขาด้วยเช่นกัน
ผู้ชายตัวเล็ก ๆ สูงไม่ถึงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบเซ็นติเมตร น่าตาจิ้มลิ้ม ปากนิด จมูกหน่อย แก้มป่อง ๆ ผิวพรรณเกลี้ยงเนียนสะอาดตา ดูยังไงก็สวย สวยกว่าผู้หญิงซะอีก
ผู้ชายร่างกายบึกบึนสามคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าพร้อมกับอาวุธมีดสามเล่ม ดูยังไงก็น่ากลัว แต่ไม่ใช่กับเจ้าขา เพราะที่เจ้าขาเจอมามันหนักกว่าและน่ากลัวกว่านี้หลายสิบเท่า
"น่าสวย ๆ แบบนี้ มาเป็นเมียพวกพี่ดีกว่ามั้ย รับรองว่าพวกพี่จะพาน้องขึ้นสวรรค์ทั้งคืนเลย"
"เจ้าชาย เจ้าคุณอยู่ในนี้มั้ย" แม้ว่าคนตรงหน้าจะพูดจาลวมลามมากแค่ไหน แต่เจ้าขากลับให้ความสนใจกับคนที่ตนกำลังตามหามากกว่า
"ขาขา เขา..เขาอยู่ในนี้" เจ้าชายที่ซ่อนตัวเองอยู่ในห้องน้ำรีบตอบรับเสียงเรียกของพี่ชายของตนทันที
"ขาขา คุณอึก คุณก็อยู่ในนี้"
เจ้าขาที่ได้ยินเสียงตอบรับของเจ้าคุณกับเจ้าชายที่ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่แสนจะแผ่วเบา ไม่ต้องถามเพื่อหาคำตอบ ตนก็พอจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับน้องชายทั้งสองคนของตน
มือเล็ก ๆ ค่อย ๆ กำเข้าขากันช้า ๆ แววตาที่เคยยิ้มจนตาหยีแปรเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าว แต่ริมฝีปากกับแสยะยิ้มออกมาเล็กน้อย
"ขาขาอยู่นี่แล้ว นับหนึ่งถึงร้อย แล้วรีบออกมา ขาขาจะรีบพาไปหาหมอ"
"ครับ/ครับ"
"ใครที่มันกล้าแตะต้องตระกูลวัชรสกุลกิจ มันต้องไม่ได้ตายดี" แม้ว่าใบหน้าจะหวานปานเจ้าหญิงแต่น้ำเสียงที่เปล่งออกมาฟังยังไงมันก็ไม่ต่างอะไรกับเสียงของพญามัจจุราช
เมื่อบอกกับคนในห้องน้ำเรียบร้อยแล้ว เจ้าขาไม่รอช้ารีบพุ่งตัวเข้าไปหาไอ้สวะสามตัวนั่นทันที
จังหวะที่เจ้าขาพุ่งตัวเข้าไปหาพวกมัน เป็นจังหวะเดียวกันกับที่เจ้าชายเปิดประตูห้องน้ำออกมาพอดี เจ้าขาเสียจังหวะเล็กน้อยเมื่อเห็นสภาพน้องชายของตนที่ตอนนี้ร่างกายชุ่มไปด้วยคราบเลือด หนึ่งในไอ้สวะสามตัวนั่นไม่รอช้ารีบตวัดปลายมีดมาที่ตัวของเจ้าขา
"ขาขาระวัง!!" เจ้าชายร้องเสียงหลงเมื่อเห็นพี่ชายของตนกำลังจะเสียท่าให้ไอ้สารเลวคนนั้น
ฉึก!!
แม้ว่าจะเบี่ยงตัวหลบทันแต่ก็ช้าเกินไปปลายมีดตวัดถูกที่ต้นแขนของเจ้าขาทำให้เสื้อเชิ้ตสีขาวแขนยาวที่เจ้าขาใส่มาขาดตามรอยมีด แม้จะแค่เฉียด ๆ แต่ก็มีเลือดไหลซึมออกมาจากรอยแผล
"เจ้าชายหลบไปก่อน ขาขาขอเวลาหกสิบวินาที"
"อื้ม" เมื่อเห็นว่าตนกำลังจะเพิ่มภาระให้เจ้าขามากกว่าจะเป็นประโยชน์ เจ้าชายจึงรีบพาตัวเองเข้าไปหลบในห้องน้ำและลงกลอนประตูทันที
ไม่ใช่ว่าไม่ห่วงพี่ชายตัวเล็กของตน แต่จากสภาพของตนในตอนนี้อย่าว่าแต่ช่วยเจ้าขาเลย แค่ช่วยมีชีวิตรอดจนไปถึงโรงพยาบาลให้ได้ก็พอ
เมื่อตอนนี้เจ้าชายเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในที่ที่ปลอดภัยแล้ว เจ้าขาจึงหันกลับมาให้ความสนใจไอ้สวะทั้งสามคนทันที
"ไม่เอาน่า หน้าหวาน ๆ อย่างน้อง ยอมมาเป็นเมียของพวก....อั้ก" หนึ่งในสามคนที่กำลังพูดจาลวมลามเจ้าขาและเป็นจังหวะที่มันไม่ทันได้ระวังตัว ถูกเจ้าขาหมุนตัวเล็กน้อยก่อนจะตวัดขาฟาดเข้าที่ท้ายทอยของมันเต็มแรง และแน่นอนว่าไอ้สวะคนนั้นม้วนตัวลงไปนอนแน่นิ่งอยู่ที่พื้นตามแรงฟาดของเจ้าขาทันที
"จะออกไปมอบตัวดี ๆ หรือจะลงไปนอนด้วยกัน" แม้จะเป็นคำพูดที่แสนจะราบเรียบ แต่แววตาที่แข็งกร้าวบ่งบอกว่าตนเอาจริง และจะไม่ยอมอ่อนข้อให้อย่างแน่นอน
แต่ด้วยความมั่นใจของพวกมันที่คิดว่าตนตัวใหญ่กว่าและยังมีมีดอยู่ในมือยังไงก็เหนือกว่าคนตัวเล็กตรงหน้าอยู่แล้ว
"ดุ ๆ แบบนี้แหละพี่ชอบ เวลาเอา...อ๊ากกกก!!..."
แน่นอนว่าเจ้าขาไม่ได้รอให้มันพูดจนจบ ปลายมีดพกที่เจ้าขาแอบหยิบออกมาถือเอาไว้ตอนที่พวกมันเผลอ ตอนนี้บาดเป็นแผลที่ข้างแก้มของมัน บาดแผลทั้งลึกและยาวจนเกือบจะสุดกรอบหน้า เลือดสีแดงฉานกระเด็นไปทั่วทุกทิศทางจนเจ้าของใบหน้าต้องเอาฝ่ามือกดปิดที่บาดแผลเอาไว้
"หึ อย่าพูดอะไรที่มันเป็นไปไม่ได้ เพราะมันน่าสมเพช"
"มึงทำเพื่อนกู!! มึงต้องตาย!!" ไอ้สวะคนที่สามตวัดปลายมีดมาที่ตัวเจ้าขาสุดแรง แต่เจ้าขาอาศัยความไวและทักษะของตนที่มีมากกว่าเบี่ยงตัวหลบและตวัดปลายเท้าเข้าไปที่ท้ายทอยของมันเต็มแรง และแน่นอนว่าไอ้สวะคนนั้นลงไปนอนแน่นิ่งอยู่ที่พื้นคู่กับไอ้คนแรกเป็นที่เรียบร้อย
ส่วนไอ้คนที่ถูกปลายมีดบาดที่ใบหน้าพยายามขยับตัวหนีเจ้าขาด้วยความตื่นกลัว แต่เจ้าขาไม่ได้ให้ความสนใจมันเลยแม้แต่น้อย เพราะตอนนี้จิตใจของตนมันอยู่ที่น้องชายหัวแก้วหัวแหวนของตนที่หลบอยู่ในห้องน้ำมากกว่า
"เจ้าชาย เจ้าคุณ ออกมาได้แล้วครับ ขาขาจะพาไปหาหมอ" เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อยก็รีบพุ่งตัวไปหาเจ้าชายกับเจ้าคุณทันที
"ขาขา ช้าไปสามสิบวินาทีนะ" เจ้าชายที่ลากตัวเองออกมาจากห้องน้ำก็เอ่ยแซวพี่ชายของตนด้วยน้ำเสียงทะเล้น
"เงียบไปเลย แล้วเจ้าคุณล่ะ เจ้าคุณได้ยินขาขามั้ย" เมื่อไม่เห็นเจ้าคุณน้องชายคนเล็ก เจ้าขามีอาการร้อนรนอย่างเห็นได้ชัด
"คุณอยู่นี่" บานประตูห้องน้ำค่อย ๆ ถูกเปิดออก ก่อนจะเผยให้เห็นน้องชายคนเล็กของตนที่ตอนนี้เนื้อตัวชุ่มไปด้วยเลือดไม่ต่างจากเจ้าชาย แต่อาการของเจ้าคุณเหมือนจะหนักกว่าเพราะตอนนี้ใบหน้าของเจ้าคุณซีดเซียวจนแทบจะไม่มีสีเลือด
"เจ้าคุณ!!" เมื่อเห็นสภาพของเจ้าคุณ เจ้าชายไม่รอช้ารีบแบกเจ้าคุณที่กำลังจะหมดสติเอาไว้บนหลังของตนทันที
"เจ้าชายไหวมั้ย ให้ขาขาแบกเจ้าคุณเองดีกว่า"
เจ้าขาที่เห็นสภาพของน้องชายของตนก็เสนอตัวเพื่อจะแบกเจ้าคุณแทนเจ้าชาย ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าตัวเองตัวเล็กกว่าน้องชายทั้งสองของตน แต่ตอนนี้มันไม่มีเวลามาคิดเรื่องนี้แล้ว ขอแค่ได้พาน้องทั้งสองของตนไปถึงโรงพยาบาลให้เร็วที่สุดก็พอ
" เขาแบกเจ้าคุณเอง ขาขาเองก็เจ็บเหมือนกัน รีบไปกันเถอะ เจ้าคุณจะแย่แล้ว"
"แล้วอีกห้องหนึ่งล่ะ เขาเป็นอะไรรึเปล่า" เจ้าขาที่เหมือนจะเพิ่งคิดขึ้นมาได้ว่ามีอีกห้องหนึ่งที่ยังปิดสนิทอยู่ก็เอ่ยถามน้องชายของตนด้วยความสงสัย
"เขาไม่เป็นไรหรอก แค่ยังไม่ได้ใส่เสื้อผ้าเฉย ๆ"
"ห้ะ!!" เมื่อได้ยินคำตอบของเจ้าชาย เจ้าขาถึงกับร้องออกมาเสียงหลง
"รีบพาเขากับเจ้าคุณไปหาหมอก่อนเถอะ เดี๋ยวเล่าให้ฟังทีหลัง"
และเหมือนจะเพิ่งได้สติว่าน้องของตนกำลังจะแย่ เจ้าขาไม่รอช้ารีบวิ่งนำหน้าเจ้าชายออกมาจากห้องน้ำทันที
แม้ว่าภายนอกจะมีคนมุงอยู่มากมายแต่กลับไม่มีใครเข้าไปช่วยตนกับน้องแม้แต่คนเดียว แต่ก็นะ เรื่องแบบนี้ใครจะกล้าเอาชีวิตของตนเข้าไปเสี่ยง จำนวนคนร้ายก็ไม่รู้ อาวุธที่พวกมันมีอยู่ก็ไม่รู้ว่ามีอะไรบ้าง ถ้าถามว่าถ้าคนที่ติดอยู่ข้างในไม่ใช่เจ้าสองแสบ ตนก็คงไม่กล้าบ้าบิ่นบุกเดี่ยวเข้าไปแบบนั้นหรอก
สภาพสามคนพี่น้องที่ชุ่มไปด้วยเลือด วิ่งฝ่าฝูงคนที่ยืนมุงดูออกมาแบบไม่สนสายตาของใครทั้งสิ้น จุดมุ่งหมายเดียวในตอนนี้คือไปให้ถึงรถให้ไวที่สุด และต้องไปให้ถึงโรงพยาบาลให้เร็วที่สุดเช่นกัน
เมื่อพากันมาถึงลานจอดรถ เจ้าชายเข้าไปนั่งที่เบาะหลังกับเจ้าคุณ โดยกอดเจ้าคุณเอาไว้ในอ้อมกอด ส่วนเจ้าขาก็เข้าประจำที่คนขับ ก่อนจะเหยียบคันเร่งจนมิด โดยที่ไม่คิดจะแตะเบรคแม้แต่น้อย ใบสั่งน่ะเหรอ รอไปเคลียร์กับดี๊ที่บ้านก็แล้วกัน วินาทีนี้ขอแค่ไปถึงโรงพยาบาลให้เร็วที่สุดก็พอ
เพราะเวลานี้ทุกวินาทีมีความหมาย
เจ้าคุณและเจ้าชายจะต้องปลอดภัย
อดทนหน่อยนะ อดทนเพื่อขาขาสักครั้ง
...ขาขาขอแค่นี้...
โรงพยาบาล
"อะไรของมึงเนี่ยต้นไม้ ลงจากเครื่องปุ๊บก็พากูมาโรงพยาบาลปั๊บ"
"ฉันมีเคสผ่าตัดด่วนไง แกก็รู้ว่าฉันเป็นหมอ หมอมีหน้าที่ต้องช่วยชีวิตคนเว่ย"
"กูไปหาข้าวกินก่อนนะ จะกินอะไรมั้ยเดี๋ยวซื้อไปฝาก" แม้ว่าจะหงุดหงิดที่ไอ้พี่ชายตัวดีลากมาที่โรงพยาบาลด้วย แต่ในเมื่อนั่นมันคืออาชีพของมันและหมอที่มีจรรยาบรรณอย่างมันไม่มีทางที่จะทิ้งคนไข้ เพราะว่ามันเป็นคนแบบนี้ไง เด็กน้อยคนนั้นถึงได้รอดชีวิตมาได้ รวมทั้งตนแล้วก็ผู้ชายคนนั้นด้วย
"อะไรก็ได้ แต่ถ้าแกอยากกลับบ้านก่อนก็ขับรถกลับไปได้เลยนะ เดี๋ยวฉันนอนที่บ้านพักหมอก็ได้"
"เออ เดี๋ยวไปนั่งรอที่หน้าห้องผ่าตัด"
"อืม ฉันไปก่อนนะ ป่านนี้ไม่รู้ว่าเด็กสองคนนั้นจะเป็นไงบ้าง"
เมื่อรถจอดสนิท หมอต้นไม้รีบเปิดประตูรถและวิ่งเข้าไปในโรงพยาบาลทันที ทิ้งให้ทิวไผ่นั่งหัวเสียอยู่ในรถเพียงคนเดียว
เมื่อเจ้าชายกับเจ้าคุณเข้าไปในห้องผ่าตัดเรียบร้อยแล้ว เจ้าขารีบโทรบอกทางบ้านทันที เจ้าขาเลือกที่จะโทรบอกกับดี๊ดาวเหนือ เพราะคิดว่าดี๊น่าจะมีสติมากที่สุด แต่สุดท้ายกลับต้องขอสายมี๊น่านฟ้า เพราะดี๊เอาแต่ร้องไห้จนพูดไม่รู้เรื่อง ประเมินระยะทางจากบ้านมาถึงที่นี่ก็น่าจะใช้เวลาไม่ต่ำกว่าครึ่งชั่วโมง
ครึ่งชั่วโมงที่ตนต้องอยู่คนเดียว กับความกลัวและความคิดต่าง ๆ นา ๆ ตั้งแต่เล็กจนโต ตนไม่เคยกลัวอะไรมากเท่านี้มาก่อนเลย ถ้าคนที่ต้องนอนอยู่ในห้องผ่าตัดเป็นตนก็คงจะดี อย่างน้อยน้อง ๆ ก็จะได้ไม่ต้องมาเจ็บตัวแบบนี้
แต่เมื่อคิดย้อนกลับไปเมื่อสิบปีที่แล้ว ที่ตนถูกยิงจนต้องเข้ารักษาตัวเป็นเวลาเกือบหนึ่งเดือน ตอนนั้นตนไม่เข้าใจเลยว่าทำไมทุกคนจะต้องทุกข์ร้อนและร้องไห้ดีใจเมื่อรู้ว่าตนฟื้นแล้ว แต่พอมาเจอกับตัวเองในวันนี้ เข้าใจแล้วว่าวันนั้นทุกคนรู้สึกยังไง
เจ้าเด็กน้อยตัวกลม ๆ ที่ฟัดแก้มตนหอมซ้ายหอมขวาเพราะดีใจที่ตนฟื้น แต่วันนี้เด็กน้อยคนนั้นกลับต้องเข้าไปอยู่ในห้องนั้นซะเอง
ช่วยอดทนและปลอดภัยและกลับมาอยู่กับขาขาเหมือนเดิมได้มั้ย ขาขาสัญญาว่าจะดูแลเจ้าชายกับเจ้าคุณให้ดีกว่านี้และจะไม่ยอมให้เกิดเรื่องแบบนี้กับเจ้าชายกับเจ้าคุณขึ้นอีก
และแน่นอนว่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับตนและน้อง ๆ ในวันนี้ต้องเป็นข่าวใหญ่อย่างแน่นอน แต่ในเวลานี้สิ่งเดียวที่ตนสนใจคืออาการของน้องชายทั้งสองคนของตนมากกว่า
ทิวไผ่ที่เดินเข้ามายังหน้าห้องผ่าตัดเพื่อมารอหมอต้นไม้ เมื่อมาถึงก็พบกับผู้ชายตัวเล็ก ๆ ผิวขาว หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู แม้ว่าเสื้อผ้าจะเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเลือด แต่นั่นไม่ได้ทำให้ผู้ชายตรงหน้าดูน่ารักน้อยลงเลยสักนิด
ไม่ต้องเดาก็พอจะรู้ว่าผู้ชายคนนี้น่าจะเป็นญาติของเด็กน้อยสองคนที่ต้นไม้กำลังผ่าตัดอยู่ในห้องนั้น
แม้ว่าแววตาจะดูเศร้าและเป็นกังวลอยู่ไม่น้อย แต่กลับไม่มีน้ำตาหรือเสียงสะอื้นให้ได้ยิน มือเล็ก ๆ กำเข้าหากันจนเล็บน่าจะจิกเข้าไปในฝ่ามือบาง ดูก็รู้ว่าคนตรงหน้ากำลังรู้สึกยังไง ต้องเก่งแค่ไหนถึงได้อดทนได้มากขนาดนี้ ถ้าเป็นตน ตนยังไม่รู้เลยว่าจะร้องไห้ฟูมฟายจนโรงพยาบาลแตกหรือเปล่า
เมื่อมองสำรวจคนตรงหน้าดี ๆ ทิวไผ่ถึงกับมือไม้สั่น หัวใจเต้นโครมครามจนไม่เป็นจังหวะ
ใช่แน่ ๆ !!
คุณหนูเจ้าขาที่ตนเคยเฝ้ามองตั้งแต่คุณหนูยังเป็นแค่เด็กแสบคนนั้น จนมาถึงวันที่เกิดเรื่องขึ้นกับคุณหนูในวันนั้น
ถึงจะไม่ได้เจอกันเป็นเวลาสิบปี แต่ตนจำได้ดี และจำได้ไม่เคยลืม แต่ที่น่าตกใจคือทุกครั้งที่ตนได้เจอกับคุณหนู ทำไมมันถึงต้องมีแต่เรื่องให้คุณหนูต้องเสียน้ำตาด้วยนะ
ทิวไผ่ค่อย ๆ เดินเข้าไปหาคุณหนูตัวน้อยช้า ๆ ด้วยท่าทีประหม่า เพราะไม่มั่นใจว่าคุณหนูเจ้าขาจะจำตนได้หรือเปล่า เมื่อเข้ามายืนใกล้ ๆ ถึงได้รู้ว่าที่ต้นแขนของคุณหนูมีรอยเหมือนถูกของมีคมบาด จนแขนเสื้อเป็นรอยขาด แล้วยังมีเลือดไหลซึมออกมาไม่หยุด
"คุณหนูครับ ไปทำแผลก่อนดีมั้ยครับ แผลของคุณหนูเลือดยังไหลอยู่เลยครับ"
"ฮึก!!" เจ้าขาที่ตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตน จึงไม่ได้รับรู้ถึงการมาของผู้ชายตัวสูงที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ จึงทำให้ตกใจและสะดุ้งจนสุดตัว เมื่อสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างที่ต้นแขนของตนบริเวณที่มันเป็นแผล
"ขอโทษครับที่ทำให้ตกใจ ผมเห็นเลือดมันยังไหลไม่หยุด ผมก็เลยถือวิสาสะเอาผ้าเช็ดหน้ากดที่แผลให้น่ะครับ"
"ขอบคุณครับ"
เมื่อมือบางจับที่ผ้าเช็ดหน้าที่ทิวไผ่กดห้ามเลือดเอาไว้ให้ ทิวไผ่จึงรีบดึงมือกลับทันที เพราะไม่อยากให้ใครมาเห็นและคิดว่าตนล่วงเกินคุณหนูตัวน้อย โดยเฉพาะคนในตระกูลวัชรสกุลกิจ แค่คิดถึงสายตาของคนในตระกูลนี้ ตนก็แทบจะมุดดินหนีไปให้ไกล ๆ แต่ตอนนี้คุณหนูอยู่คนเดียว ถ้าตนจะขอเสนอตัวอยู่เป็นเพื่อนคุณหนูสักห้านาที สิบนาที คงไม่ถูกลากไปกระทืบหรอกมั้ง
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ตนก็อดจะเสียวสันหลังแทนไอ้คนที่มันกล้ามาทำร้ายคุณหนูกับน้องชายของคุณหนูไม่ได้ เพราะโทษของพวกมันคงจะมีแค่ความตายสถานเดียว
"เข้าไปให้หมอทำแผลสักหน่อยนะครับ เดี๋ยวผมพาไป" เมื่อเห็นสายตาที่มองมาพร้อมกับความสงสัยทิวไผ่จึงไม่รอช้าที่จะแนะนำตัวเองให้คุณหนูตัวน้อยได้หายสงสัย "ผมชื่อทิวไผ่ครับคุณหนู เคยทำงานกับคุณทะเลเมื่อนานมาแล้วน่ะครับ แล้วก็เป็นน้องชายของหมอต้นไม้ด้วยครับ แต่คุณหนูน่าจะจำผมไม่ได้แล้ว"
"พี่.. พี่ทิวไผ่ใช่มั้ยครับ หนูจำได้" เมื่อเห็นอาการประหม่าของทิวไผ่ เจ้าขาจึงยิ้มกว้างให้คนตรงหน้าทันที เพื่อยืนยันว่าตนจำได้จริง ๆ
เมื่อได้รับรอยยิ้มจากคุณหนูตัวน้อย จากที่มีอาการประหม่าเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ตอนนี้ไม่ต้องถามว่ารู้สึกยังไง มันทั้งตื่นเต้นที่คุณหนูยิ้มให้ ทั้งดีใจที่คุณหนูยังจำตนได้
"ผมดีใจนะครับที่คุณหนูจำผมได้ แต่ผมว่าคุณหนูไปทำแผลก่อนดีมั้ยครับ เดี๋ยวผมพาไป"
"ไม่เป็นไรครับ แผลแค่นี้เองหนูไม่เป็นไร หนูไม่เจ็บ" พูดจบก็ส่งยิ้มหวานให้กับคนตรงหน้าทันที
คำพูดคำจาของคุณหนูเจ้าขายังเหมือนเดิม แม้จะมีคำว่าครับต่อท้าย แต่ก็ยังพูดแทนตัวว่าหนูเหมือนเดิม แล้วไอ้คำพูดที่บอกว่าหนูไม่เป็นไร หนูไม่เจ็บ มันเป็นคำพูดที่ตนได้ยินจนติดหนู
ตั้งแต่วันแรกที่เจอกัน ทั้ง ๆ ที่ตัวเองจมน้ำเกือบตาย ก็ยังพูดว่าหนูไม่เป็นไร หนูไม่เจ็บ ขนาดวันนั้นถูกยิงจนเลือดท่วมตัว ก็ยังพูดว่าหนูไม่เป็นไร หนูไม่เจ็บ แต่สุดท้ายก็เกือบไม่รอด แต่ยังถือว่าโชคดีที่รอดมาได้
"คุณหนูไม่ต้องเป็นห่วงน้องชายของคุณหนูหรอกครับ ยังไงเขาสองคนก็ต้องปลอดภัย ต้นไม้มันเก่ง ขนาดผมตายไปแล้ว มันยังลากผมกลับมาได้เลย"
"จ...จริงด้วย หนูมัวแต่ตกใจเรื่องน้องชาย เอ่อ..พี่ไม่ได้ตายอย่างที่เขาพูดกันเหรอครับ แล้ว.. แล้วพี่ไปอยู่ที่ไหนมา แล้วพี่เป็นไงบ้าง หนูขอโทษที่ไม่ได้ถาม แล้วก็ขอบคุณที่ช่วยแด๊ดดี๊หนูเอาไว้อีกแล้ว" เมื่อคิดขึ้นมาได้ว่าคนที่อยู่ตรงหน้าคือคนที่เคยมีข่าวว่าเอาตัวเข้ามาขวางและถูกยิงแทนพ่อของตนจนตัวเองต้องตาย แต่ตอนนี้กลับมายืนอยู่ตรงหน้าของตน ฝ่ามือที่มีแต่คราบเลือดยกขึ้นพนมเป็นพุ่มก่อนจะไหว้ขอบคุณผู้ชายตรงหน้าด้วยท่าทางอ่อนน้อม
"ไม่เป็นไรครับ เอาไว้ว่าง ๆ ผมจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังนะครับ แต่ตอนนี้คุณหนูไปทำแผลกับผมก่อนนะครับ ผมขอร้องล่ะ"
"แต่หนูกลัวว่าถ้าทุกคนมาแล้วจะไม่เจอหนู แล้วถ้าเจ้าชายกับเจ้าคุณออกมาไม่เจอหนู สองคนนั้นอาจจะคิดว่าหนูทิ้งพวกเขาก็ได้ หนูไม่อยากทิ้งพวกเขาสองคนไว้ตามลำพังอีกแล้ว"
ทิวไผ่อดที่จะลอบถอนหายใจออกมาไม่ได้ คุณหนูเจ้าขาก็คือคุณหนูเจ้าขาสินะ ตัวเองเป็นยังไงจะเจ็บมากแค่ไหนก็ยังคงเป็นห่วงคนอื่นก่อนเสมอ
คำจำกัดความสำหรับคุณหนูในเวลานี้คงมีแค่คำเดียว
...ดื้อ!!...
"แต่ถ้าคุณหนูไม่ยอมไปทำแผล แล้วคนที่บ้านคุณหนูมาเจอคุณหนูตัวเปื้อนเลือดแบบนี้ พวกเขาคงเป็นห่วงและคิดมากแน่ ๆ เลยครับ ที่ปล่อยให้คุณหนูเจ็บตัวแบบนี้"
ในเมื่อพูดด้วยดี ๆ ไม่เป็นผล ก็คงต้องเอาคนในครอบครัวของคุณหนูมาอ้างแล้วล่ะ
"เอ่อ.. งั้นพี่ช่วยยืนเฝ้าน้องชายให้หนูแป๊บหนึ่งได้มั้ยคะ...เอ่อครับ หนูขอไปทำแผลแป๊บหนึ่ง เดี๋ยวหนูมา"
มันได้ผลจริง ๆ แฮะ เมื่อคุณหนูตัวน้อยยอมไปทำแผลตามที่ตนบอก ทิวไผ่ก็อดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้
"ครับ เดี๋ยวผมเดินไปเป็นเพื่อน ตอนที่คุณหนูเข้าไปทำแผล ผมจะรีบกลับมาที่นี่เพื่อมาเฝ้าน้องชายของคุณหนูเองครับ"
"ขอบคุณครับ" มือเรียวยกขึ้นพนมไหว้ขอบคุณทิวไผ่อีกครั้ง และทิวไผ่เองก็รับไหว้ด้วยการส่งยิ้มและพยักหน้ารับคำขอบคุณของคุณหนูอย่างอ่อนโยน
เมื่อทุกอย่างเป็นไปตามที่ทั้งคู่ตกลงกันไว้ หลังจากที่ทิวไผ่เดินไปส่งคุณหนูเจ้าขาที่ห้องฉุกเฉินเพื่อทำแผล ตนก็รีบวิ่งกลับมาที่หน้าห้องผ่าตัดทันที
แม้ว่าจะได้พูดคุยกับคุณหนูเจ้าขาของตนไปบ้างแล้ว แต่อาการประหม่ากับหัวใจที่มันเต้นแรงจนแทบจะทะลุออกมาจากอกไม่ได้ลดลงเลย
สิบปีที่ไม่ได้เจอกัน คิดว่าคุณหนูเจ้าขาคงจะลืมตนไปแล้ว แต่นอกจากจะไม่ลืม คุณหนูเจ้าขายังจำได้ว่าตนเคยช่วยพ่อของเขาเอาไว้ แล้วไอ้หน้าตาตื่น ๆ ระคนดีใจนั่นอีก ขอคิดเข้าข้างตัวเองได้มั้ยว่าคุณหนูเจ้าขาดีใจที่เจอตน แล้วก็ดีใจที่ตนยังไม่ตาย
ไม่ใช่แค่คุณหนูเจ้าขาหรอกที่ไม่ลืมตน เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา ตนก็ลืมคุณหนูเจ้าขาไม่ได้เช่นกัน
แต่ที่ไม่ได้กลับมาที่นี่ก็เพราะไม่อยากรับรู้เรื่องของผู้ชายคนนั้น และอีกเหตุผลก็คือแม่กับป๊าแล้วก็ไอ้พี่ชายตัวดีไม่ยอมให้กลับ
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้นตนต้องใช้เวลารักษาตัวเกือบสองปี กว่าจะกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติก็ปาเข้าไปเกือบ ๆ สามปี มันเป็นอะไรที่ค่อนข้างหนักเอามาก ๆ แต่ตนยังโชคดีที่มีครอบครัวที่ดี ช่วงที่พักรักษาตัวอยู่ที่อังกฤษ มีแม่ไปอยู่ด้วยไม่ห่าง ส่วนป๊ากับต้นไม้ก็เทียวมาเทียวไปตลอด เรียกได้ว่าตอนนั้นถ้าไม่ได้กำลังใจจากคนในครอบครัว ตนคงไม่ลุกขึ้นมาสู้ และก็คงจะไม่ได้กลับมาเจอกับคุณหนูของตนในวันนี้หรอก
แม้ว่าลึก ๆ จะรู้สึกดีใจอยู่ไม่น้อยที่ได้เจอคุณหนูที่นี่ แต่ในใจที่ลึกกว่านั้นก็ไม่อยากจะคิดถึงตอนที่คนในครอบครัวของคุณหนูมาถึงที่นี่เลย ต่อให้ตนไม่ใช่คนผิด และไม่ได้ทำอะไรผิด สถานการณ์มันก็ชวนอึดอัดจนแทบจะหายใจไม่ออกอยู่ดี
แล้วยิ่งถ้าพี่ชายสองคนนั้นของคุณหนูมาด้วยล่ะก็.. แค่ส่งสายตามาที่ตน ตนก็แทบจะแหลกเหลวเป็นผุยผง ไม่รู้ว่าจะทำหน้าเคร่งขรึมไปถึงไหน ก็รู้หรอกว่าหวงคุณหนูตัวน้อยมากแค่ไหน แต่ก็น่าจะส่งสายตาเป็นมิตรมาให้บ้าง ไม่ใช่มองแบบเชือดเฉือนตลอดเวลา
ถ้าถามว่ากลัวมั้ย ตอบได้เลยแบบไม่ต้องคิด กลัวมาก แต่ถ้าถามว่าตอนนี้ระหว่างกลัวพี่ชายของคุณหนูเจ้าขากับกลัวว่าจะไม่ได้เจอคุณหนูเจ้าขา กลัวเรื่องไหนมากกว่ากัน
ขอตอบว่ากลัวไม่ได้เจอคุณหนูเจ้าขามากกว่า
ในเมื่อคุณหนูตัวน้อยที่ตนเคยเฝ้าฝันอยู่ตรงหน้าแล้ว งานนี้มันก็ต้องเสี่ยง
แม้จะรู้ว่ากำลังจะเล่นของสูง เพราะคุณหนูเจ้าขาเปรียบเสมือนเจ้าหญิงที่อยู่บนหอคอยสูง แถมยังมีองครักษ์อยู่รอบ ๆ หอคอยนั่นอีก ถ้าใจไม่ถึงจริง ๆ ก็ไม่ควรเอาชีวิตไปทิ้ง เพราะนอกจากจะไม่ได้พบกับเจ้าหญิงแล้ว อาจจะถูกเหล่าบรรดาองครักษ์ฆ่าตายก่อนที่จะได้เข้าไปถึงบริเวณของปราสาทเสียด้วยซ้ำ
ถ้าอยากได้ครอบครองเจ้าหญิงผู้สูงศักดิ์ มีอยู่ทางเดียว ตนจะต้องดึงตัวเองขึ้นไปให้สูงเท่าเจ้าหญิงให้ได้ และแน่นอนว่าตนวางแผนเกี่ยวกับเรื่องนี้มานานแล้ว ที่เหลือก็แค่รอเวลา รอให้เหล่าบรรดาองครักษ์พิทักษ์เจ้าหญิง ยอมเปิดประตูต้อนรับตนด้วยความเต็มใจก็พอ
...รอก่อนนะครับ...
...คุณหนูตัวน้อยของทิวไผ่...
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
อัพเดทถึงตอนที่ 9
Comments