"หืม? นี่ผมอยู่ที่ไหนเนี่ย"
ภายในห้องพยาบาลแห่งหนึ่ง ร่างที่หมดสติของนักเรียนชายคนนึงกำลังค่อยๆลืมตาขึ้นอย่างเชื่องช้า น้ำเสียงที่เขาพูดออกมามีความสับสนและความสงสัยแฝงเข้าไปด้วยบางส่วน ดวงตาพยายามกวาดมองไปรอบๆเพื่อพยายามทำความเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น และในตอนนั้นเอง….
"ตอนนี้เธออยู่ห้องพยาบาลนอนพักซักพักแล้วค่อยลุกขึ้นเถอะ"
เสียงของหญิงสาวผู้หนึ่งได้ดังขึ้นและดึงดูดความสนใจจากเขาไป
ทันทีที่เขาหันไปยังที่มาของเสียงนั้น สิ่งแรกที่ปรากฏต่อดวงตาของเขาก็คือ ร่างของหญิงสาวผู้แสนทรงเสน่ห์ยากที่จะต้านทาน ใบหน้าที่งดงามรวมเข้ากับรูปร่างที่สมบูรณ์แบบนี้มันคงเป็นเรื่องยากที่จะห้ามใจไม่ให้รู้สึกหวั่นไหวได้ แน่นอนว่าหญิงสาวคนดังกล่าวไม่ใช่ใครที่ไหนนอกเสียจากคาร่าผู้ซึ่งทำงานอยู่ภายในห้องพยาบาลแห่งนี้
"อาจารย์คาร่า….ทำไมผมถึงมาอยู่ที่นี่? ผมจำได้ว่ากำลังเล่นฟุตบอลอยู่แล้วจู่ๆก็จำอะไรไม่ได้เลย"นักศึกษาชายกล่าวถามด้วยความสงสัย
"เธอหมดสติไประหว่างที่กำลังเล่นฟุตบอลน่ะ สาเหตุน่าจะเกิดสภาวะโลหิตจางสะสม"คาร่าแก้ความสงสัยของอีกฝ่ายอย่างใจเย็น
"โลหิตจาง? เกิดขึ้นได้ไงครับทั้งๆที่ผมก็ดูจะไม่มีอาการแบบนั้นเลย"
"โลหิตจาง เกิดจากร่างกายขาดสารอาหารหรือแร่ธาตุหล่อเลี้ยงร่างกายไม่เพียงพอแปลว่าที่ผ่านมาเธอน่าจะทานอะไรที่ไม่ถูกต้องตามโภชนาการแน่ๆ"หญิงสาวแถลงไขสิ่งต่างๆ จากนั้นจึงเดินไปหยิบใบสั่งยาเปล่าที่ยังไม่ได้เขียนอะไรขึ้นมา จากนั้นจึงเริ่มเขียนรายชื่อยาที่นักศึกษาชายคนนี้ควรได้รับ
"ซื้อยาตามที่เขียนนะ แล้วก็ถ้าเป็นไปได้ก็อย่าเพิ่งเล่นกีฬาในช่วงนี้จนกว่าอาการจะทรงตัวเข้าใจหรือเปล่า?"
"ครับอาจารย์คราวหลังผมจะระวังให้มากกว่านี้ ถ้างั้นผมขอตัวก่อนนะครับ…."เขาตอบรับอย่างว่าง่าย แล้วจากนั้นจึงพยายามที่จะใช้แรงของตนในการพยุงร่างกายให้ลุกขึ้นยืน แต่เหมือนว่านั่นจะเป็นเรื่องยากสำหรับเขาในตอนนี้มาก็พอควร
"มาเถอะเดี๋ยวอาจารย์ช่วยนะ"
เมื่อเห็นว่านักศึกษาคนดังกล่าวลุกเองไม่ได้ คาร่าจึงเดินเข้าไปช่วยพยุงเข้าให้ลุกขึ้นอย่างระมัดระวัง ก่อนที่จะพาเขาเดินออกไปส่งที่หน้าห้องพยาบาล ดวงตาของคาร่าเฝ้าดูอีกฝ่ายเดินจากไปอยู่ชั่วครู่หนึ่งเพื่อให้แน่ใจว่าเขาไม่เป็นอะไรแล้ว จากนั้นร่างบางจึงเดินกลับเข้าไปภายในห้องพยาบาลพร้อมกับเลื่อนปิดประตูให้เรียบร้อย
"เหนื่อยหน่อยนะศาสตราจารย์....ไม่สิต้องเรียก คาร่าถึงจะถูกสินะ"ซาโตริที่นั่งดูสิ่งที่เกิดขึ้นกล่าวออกไปด้วยความคุ้นชินอย่างเผลอตัว
"คิก แปปเดียวนายก็ลืมแล้วเหรอ? ทั้งๆที่เพิ่งเรียกชื่อฉันไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้วเองแท้ๆ"คาร่าหัวเราะคิกคักให้กับคำพูดที่เผลอตัวของอีกฝ่าย
"ปกติผมเรียกเธอว่าศาสตราจารย์ตลอดเลยนี่ แล้วจู่ๆมาขอให้เปลี่ยนวิธีเรียกแบบนี้มันก็ต้องมีไม่ชินกันบ้าง"
"จ้าๆ รู้แล้วล่ะฉันแค่อยากแซวนายเล่นเฉยๆเอง ไม่ต้องจริงจังขนาดนั้นก็ได้ จะว่าไปนี่กี่โมงแล้วล่ะ?"เธอเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มเริงร่า
"ถ้าตอนนี้ก็ 5 โมงเย็นเลยเวลาเลิกงานพอดี"ซาโตริหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดเช็คดูเวลาเล็กน้อย ก่อนที่จะเก็บมันกลับเข้าไปที่เดิม
"5 โมงแล้วเหรอเนี่ย เวลาผ่านไปเร็วดีจัง อื้มมม~"คาร่าบิดร่างกายไปมาเล็กน้อยเพื่อเป็นการคลายกล้ามเนื้อ
"เรากลับกันเถอะซาโตริคุง วันนี้ฉันต้องพานายไปเลี้ยงเครื่องดื่มนี่นะ"
เมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าวซาโตริก็ลุกขึ้นและเริ่มจัดเก็บของทุกอย่างภายในห้องให้อยู่ในสภาพที่เรียบร้อยที่สุด โชคดีหน่อยที่วันนี้ไม่มีงานที่หนักหนาอะไร มากสุดก็มีแค่เข้าห้องเรียนสอนนักศึกษากับเคลียร์รายงานนิดหน่อยเท่านั้นเอง
หลังจากที่จัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้วผมกับคาร่าจึงพากันเดินออกมาจากห้องจากนั้นจึงทำการล็อคประตูให้เรียบร้อย
ใช้เวลาเพียงไม่นานเราก็เดินมาถึงประตูทางออกของมหาลัยแห่งนี้ สายลมเย็นลอยพัดผ่านไปเป็นช่วงๆ แสงแดดยามเย็นที่สาดส่องลงมามอบความอบอุ่นให้กับทุกชีวิตก่อนที่มันจะลับขอบฟ้าไป บรรยากาศรอบด้านเต็มไปด้วยความเงียบสงบชวนให้รู้สึกผ่อนคลายจากความเหนื่อยล้าต่างๆ ระหว่างทางพวกเราทั้งสองไม่ได้พูดคุยกันอะไรมากมายนัก
"ร้านที่เราจะไปอยู่ไม่ไกลเท่าไหร่เดินไปก็ถึงแล้วล่ะ"
"เป็นร้านแบบไหนงั้นหรอครับ?"
"เดี๋ยวไปถึงก็จะรู้เอง"คาร่าหันกลับมายิ้มให้ผมเล็กน้อย แต่ไม่ได้ตอบคำถามอย่างตรงไปตรงมา
คาร่าเดินนำผมไปตลอดทาง บรรยากาศยามเย็นในตัวเมืองค่อนข้างจะเงียบสงบกว่าในช่วงเช้าอยู่บ้างทำให้มลพิษทางเสียงเบาบางลงไปหลายส่วน ผมเดินตามเธอไปเรื่อยๆจนมาหยุดอยู่ที่ร้านคาเฟ่แห่งหนึ่ง มันไม่ได้เป็นร้านที่กว้างสักเท่าไหร่นักเมื่อมองดูจากภายนอก
"ดูเล็กกว่าที่คิดนะ"
"คุณภาพเขาไม่ได้วัดกันที่ตรงนั้นซะหน่อย"
มือบางของคาร่าเอื้อมเข้าไปสัมผัสกับลูกบิดประตูของร้านอย่างเชื่องช้า จากนั้นเธอจึงเปิดมันออกและเดินเข้าไปข้างใน ทันทีที่ผมเข้ามาสายตาของผมก็มองสำรวจไปรอบๆโดยอัตโนมัติ การตกแต่งที่อยู่ภายในร้านไม่ได้ดูหรูหราเท่าไหร่ มันค่อนข้างจะเรียบง่ายเลยซะมากกว่า แต่นั่นก็ทำให้รู้สึกสบายตามากเหมาะแก่การพักผ่อนเป็นอย่างดี
กริ๊งๆ~
เสียงกระดิ่งที่ติดอยู่ตรงประตูทางเข้าดังขึ้นดึงดูดความสนใจของผู้คนภายในร้าน แต่ไม่นานพวกเขาเหล่านั้นก็ละความสนใจออกไป เห็นก็จะมีแต่ชายที่มีร่างใหญ่ในชุดบาร์เทนเดอร์ที่เหมือนว่าจะให้ความสนใจพวกผมมากเป็นพิเศษ ดูจากลักษณะภายนอกแล้วน่าจะมีอายุประมาณ 40-45 เขากำลังใช้ผ้าเช็ดแก้วใบหนึ่งอยู่ ขณะที่สายตาของเขาจ้องมองมายังพวกเราทั้งคู่
"ยินดีต้อนรับครับ โอ้! คุณคาร่านี่เอง วันนี้พาใครมาด้วยหรอครับ?"ราวกับว่าคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ชายในชุดบาร์เทนเดอร์เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเป็นกันเอง
"อ๋อเพื่อนร่วมงานน่ะค่ะคุณเชป เบอร์นาร์ด วันนี้ขอเป็นที่นั่งเงียบๆนะคะ"
"เข้าใจแล้วครับ ถ้างั้นเชิญทางนี้เลย"
บาร์เทนเดอร์ที่ชื่อเชปเดินนำพวกเราไปยังโต๊ะที่อยู่หัวมุมด้านในสุด ซึ่งห่างไกลจากลูกค้าส่วนใหญ่ที่อยู่ภายในร้าน มันเป็นโต๊ะไม้ทรงกลมสไตล์โมเดิร์นขาเดียว ตรงกลางมีกระถางต้นไม้ขนาดเล็กวางประดับเอาไว้อยู่ ส่วนเก้าอี้เป็นแบบเบาะนั่งที่สามารถพบได้ทั่วไปตามร้านต่างๆ แสงไฟสลัวๆเข้ากับความเงียบสงบในที่นั่งตรงนั้นได้เป็นอย่างดี
"ขอนมอุ่นแก้วนึงค่ะ"
"ได้เลยครับ แล้วคุณลูกค้าอีกท่านล่ะ?"เชปหันมามองผม
"เอาเป็นโกโก้ก็พอครับ"
"ได้เลยครับ กรุณารอสักครู่"
ทันทีที่พวกเรานั่งลงคาร่าก็เริ่มสั่งเครื่องดื่มในทันที ผมไม่แน่ใจนักว่าคาเฟ่นี้มีอะไรให้ดื่มบ้างก็เลยเลือกที่จะสั่งอะไรเบสิคๆอย่างโกโก้ไป ระหว่างที่รอเครื่องดื่มอยู่นั้นพวกเราก็เริ่มพูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องต่างๆไปเรื่อยเปื่อยจนในที่สุดเครื่องดื่มที่พวกเราสั่งไว้ก็มาเสิร์ฟเป็นที่เรียบร้อย ผมจึงยกแก้วโกโก้ของผมขึ้นมาดื่ม ในตอนนั้นเองที่คาร่าก็เริ่มเปิดประเด็นพูดคุยกันต่อ
"ซาโตริคุงร้านคาเฟ่ที่พามาวันนี้ถูกใจนายรึเปล่า? "
"หืม....ถ้ามองรวมๆก็เป็นร้านที่เล็กและสงบเหมือนกับคาเฟ่ทั่วไปล่ะนะ"ผมกวาดสายตามองสำรวจไปรอบๆร้าน มันก็ไม่ได้แย่อะไรสำหรับผม
"ซาโตริคุงเนี่ยชอบพูดอะไรในเชิงลบตลอดเลย ขนาดทำงานเป็นอาจารย์แพทย์ด้วยกันนายก็ไม่ค่อยใจดีกับนักศึกษาคนอื่นเลย รู้สึกกังวลยังไงก็ไม่รู้สิ"
"ไม่ต้องกังวลแทนผมหรอกคาร่า ผมก็แค่พูดความจริงเท่านั้น ถ้าความจริงมันทำให้คนอื่นเจ็บปวดคนๆนั้นก็ควรจะแก้ไขตัวเอง แต่ถ้าเจ็บปวดแต่ไม่ยอมแก้ไขให้มันดีขึ้นผมว่าคน ๆ นั้นสอบตกเรื่องพัฒนาตัวเองเพื่ออยู่รอดในโลกใบนี้แล้วล่ะ"พอพูดเสร็จผมก็ยกโกโก้ขึ้นมาดื่มต่อ
"งั้นเหรอ นายคิดแบบนั้นสินะ…ถ้าอย่างนั้นนายพอจะเล่าเรื่องส่วนตัวให้ฉันฟังได้หรือเปล่า? ฉันอยากรู้เรื่องราวเกี่ยวกับซาโตริคุงให้มากขึ้นว่าอะไรทำให้นายเป็นอย่างทุกวันนี้น่ะ"
"แค๊ก! ห๊า? อะไรของเธอเนี่ย? จู่ๆก็มาขออะไรก็ไม่รู้"
"น่านะ การที่เราแบ่งปันเรื่องราวของตัวเองมันทำให้เราเข้าใจคนๆนั้นมากยิ่งขึ้น คอยให้กำลังใจกันได้ด้วย แบบนั้นไม่ดีกว่าเหรอ"
เรื่องส่วนตัวมันเหมือนกับเป็นดาบ 2 คมสำหรับผม ในบางครั้งการเล่าเรื่องราวบางอย่างให้ใครบางคนฟังมันก็เป็นการระบายที่ดี แต่ในบางครั้งมันก็จะกลายเป็นผลร้ายในภายหลัง อย่างที่เห็นได้บ่อยที่สุดก็คงจะเป็นคนที่เราพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวเอาเรื่องที่เราเล่าไปซุบซิบนินทากับคนอื่น หรือที่เลวร้ายกว่าหลายเท่าก็คงเป็นการแบล็คเมล์ แต่ก็รู้กันดีว่ามันไม่ได้เกิดขึ้นได้บ่อยๆ
และตัวของคาร่าเองเท่าที่ผมรู้จักก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร ผมจึงพยายามจ้องมองเธออย่างพินิจเพื่อตรวจเช็คให้แน่ใจว่าเธอมีเจตนาอื่นแอบแฝงหรือไม่ แต่สิ่งที่ผมได้รับกลับมามีเพียงแค่แววตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยอันบริสุทธิ์ไม่มีสิ่งใดเจือปน มันเป็นเหมือนแววตาเวลาที่เด็กคนนึงอยากจะทำความรู้จักกับเพื่อนของตนให้มากยิ่งขึ้น
'เฮ้อ…..ให้ตายสิผู้หญิงคนนี้'
"ถ้าอยากรู้ขนาดนั้นละก็ ผมจะยอมเล่าเรื่องส่วนตัวให้ฟังก็ได้ แต่สัญญาได้หรือเปล่าว่าจะไม่บอกใคร?"
"อื้มๆ สัญญาเลยล่ะจะไม่บอกใครเด็ดขาด"คาร่าพยักหน้าเป็นการตอบรับอย่างกระตือรือร้น
"งั้นตกลงตามนี้"
************************************************
ความทรงจำในช่วงเวลาวัยเด็กของผมค่อยๆผุดขึ้นมาเมื่อผมพยายามนึกถึงมัน
"เรื่องของผมถ้าจะเริ่มจริงๆคงต้องย้อนไปช่วงที่ผมยังเป็นเด็กอยู่เลย ผมเกิดและโตในประเทศไทยโดยที่มีแม่ที่เป็นคนไทยคอยดูแล ส่วนพ่อเป็นคนญี่ปุ่นที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับร้านอาหารเล็กๆน่ะ มันไม่ได้ใหญ่โตอะไรแต่ก็สร้างรายได้ให้ครอบครัวได้เยอะพอควร"
"จุดเปลี่ยนสำคัญก็คงจะเป็นช่วงที่พ่อของผมเดินทางมาที่ประเทศไทยเพื่อเปิดร้านอาหารสาขาใหม่ ก็ไม่รู้หรอกว่าพ่อเขาคิดอะไรอยู่ถึงมาเปิดที่นี่ แต่เพราะแบบนั้นแม่กับพ่อเลยได้เจอกันเป็นครั้งแรก ถึงจะดูน้ำเน่าไปหน่อยแต่สุดท้ายพวกเขาก็รักกันแล้วให้กำเนิดผมออกมา ชื่อซาโตริก็ได้พ่อนี่แหละที่เป็นคนตั้ง"
"ผมไม่เคยมีปัญหาเรื่องของการขาดความอบอุ่นในครอบครัว แต่ที่เป็นปัญหาจริงๆคงจะเป็นชีวิตในรั้วโรงเรียนมากกว่า ถึงจะเห็นผมเป็นคนแบบนี้แต่เมื่อก่อนผมเป็นขี้อายที่ไม่ค่อยสุงสิงกับใครเท่าไหร่ แล้วเพราะไอ้นิสัยแบบนี้นี่แหละมันเลยทำให้ผมกลายเป็นเป้าหมายของการถูกคนอื่นกลั่นแกล้ง ก็….ยังไงมันก็เป็นเรื่องทั่วไปของเด็กวันนี้ล่ะนะ"
"แต่พูดตามตรงนะ มันไม่ใช่อะไรที่คนๆนึงจะทนรับเอาไว้นานนักหรอก ทุกวันกับการที่ต้องทนกับคำพูดที่เต็มไปด้วยความดูถูก ทุกวันกับการที่จะต้องคอยหวาดระแวงว่าวันนี้ผมจะโดนแกล้งอะไรอีก บางทีอาจเป็นจุดไฟเผาแขนเสื้อ? ไม่ก็สาดน้ำใส่จนตัวเปียก? จะแบบไหนมันก็แย่ไม่ต่างกันหรอก ผมทนกับเรื่องพวกนี้มาหลายปีมาก….มากซะจนผมไม่อยากจะทนอยู่กับมันอีกแล้ว"
"มีอยู่วันนึงที่ความอดทนของผมหมดลง เดาได้มั้ยว่าผมคิดจะทำอะไร?....ก็เรื่องโง่ๆนั่นแหละ ผมกะจะแขวนคอฆ่าตัวตายให้มันจบๆไป แต่เหมือนชะตาชีวิตของผมมันยังไม่ถึงคาด ก่อนที่ผมจะทันได้ทำอะไรพ่อแม่ของผมก็มาเจอเข้าโดยบังเอิญพวกเขาเลยหยุดผมเอาไว้ไม่ให้ทำเรื่องบ้าๆนี่ต่อ ถึงจริงๆตอนนั้นผมจะไม่ต้องการก็เถอะ แล้วเย็นวันนั้นผมก็โดนบ่นจนหูชาเลยล่ะ"
"หลังจากเหตุการณ์นั้นคุณพ่อเลยตัดสินใจพาผมไปอยู่กับคุณปู่และคุณย่าที่อาศัยอยู่ที่ญี่ปุ่น ก็ต้องทำเรื่องย้ายโรงเรียนกับเดินทางอีกนิดหน่อยกว่าที่ทุกอย่างจะเรียบร้อย พอผมได้มาเรียนที่ญี่ปุ่นมันรู้สึกเหมือนกับว่าได้หลุดพ้นจากนรกเลยล่ะ เพื่อนใหม่ๆที่ผมเจอแต่ละคนเขาเป็นคนมีฐานะ เพราะงั้นเลยได้รับการอบรมเรื่องมารยาทเป็นอย่างดี"
"มันเลยค่อนข้างต่างจากโรงเรียนเก่าของผมที่มีแต่เด็กที่…..นั่นแหละ น่าจะรู้ๆกันอยู่ จากนั้นชีวิตของผมในรั้วโรงเรียนก็เหมือนกับว่าได้เกิดใหม่ ผมเริ่มเรียนรู้ที่จะปรับตัวและเข้าหาคนอื่น ตั้งแต่ช่วงมัธยมจนถึงมหาลัยผมเลยกลายเป็นคนที่พูดคุยได้อย่างตรงไปตรงมาแบบนี้ แล้วก็เพราะเรื่องวัยเด็กแบบนี้ล่ะมั้งที่ทำให้ผมกลายเป็นคนคิดลบไป ต่อให้โตมาขนาดนี้มันก็ลบความจำส่วนนั้นไม่ออกสักที"
************************************************
หลังจากที่ใช้เวลาเล่าอยู่นานซาโตริจึงค่อยๆยกแก้วโกโก้ขึ้นมาดื่มเพื่อดับความกระหาย จากนั้นจึงกล่าวประโยคต่อไปเพื่อเป็นการปิดท้ายเรื่องราวของเขา
"เรื่องราวของผมทั้งหมดก็ประมาณนี้ล่ะ"
"แบบนี้นี่เอง ฉันพอเข้าใจแล้วละว่าอะไรทำให้ซาโตริเป็นแบบนี้ คงพยายามมากเลยสินะกว่าจะมาอยู่ตรงนี้ได้"คาร่าพยักหน้าเล็กน้อยราวกับว่าเธอเข้าใจสิ่งที่เขาพบเจอมา
"ส่วนนึงก็ต้องขอบคุณเพื่อนใหม่ของผมด้วยแหละที่ไม่ทำตัวเหมือนพวกนั้น มันเลยเปลี่ยนให้ผมกลายเป็นคนใหม่แบบนี้ได้"
"เข้าใจแล้วล่ะ จะว่าไปเมื่อกี้นายบอกว่าเกิดและเติบโตที่ไทยสินะซาโตริคุง?"
"ใช่คาร่า เธอมีอะไรพิเศษกับเรื่องนั้นหรือเปล่า?"
"พิเศษเหรอ ? มันก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก แค่สถานที่แรกที่ฉันเข้าไปศึกษามันอยู่ในไทยน่ะ พวกเขาสอนฉันเสมอว่า รูปแบบการรักษาน่ะไม่มีข้อกำจัดหรือสูตรสำเร็จที่ตายตัวเสมอไป ถ้าวิธีเดิมไม่สามารถใช้รักษาได้ก็จงคิดหาวิธีใหม่เพื่อก้าวข้ามขีดจำกัดเก่าที่เคยถูกสร้างเอาไว้"
"ฟังดู น่าประหลาดใจอยู่เหมือนกันนะ ผมที่เพิ่งจบแพทย์มามักจะยึดถือตำราไว้เสมอไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น จนกว่าจะมีรูปแบบใหม่จากทางการประกาศออกมาอีกที"
"มันคือความแตกต่างทางสังคมน่ะซาโตริคุง มันจะมีประโยชน์ก็ต่อเมื่อเราสามารถนำสิ่งนั้นมาใช้ให้ถูกกับสถานการณ์ อืม…"เหมือนว่าเธอกำลังคิดถึงอะไรบางอย่างอยู่ นิ้วเรียวงามนั้นกำลังลูบวนรอบปากแก้วไปมาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เธอจะเริ่มพูดต่อ
"ถึงจะจบจากที่นั่นเป็นที่แรก แต่ก็น่าเสียดายที่ฉันใช้เวลาทั้งหมดไปกับการอ่านหนังสือและสอบภาคปฎิบัติต่างๆ เลยไม่มีเวลาออกไปไหนหรือแม้แต่การหาเพื่อนสักคน พอมารู้ตัวอีกทีก็เรียนจบ ป.ตรีไปซะแล้ว"ดวงตาของเธอหรี่ลงเล็กน้อยเมื่อคิดถึงเรื่องนี้
"เรื่องนั้นมันก็ถูก…..แต่คิดในอีกมุมหนึ่งเธอคืออัจฉริยะที่สอบข้ามรุ่นจนจบปริญญาเอกได้ด้วยวัยแค่ 24 ปีเลยนะ มันเป็นอะไรที่ยากจะหาใครมาเทียบได้ เพราะงั้นภูมิใจในตัวเองหน่อย"
"นายพูดจริงเหรอ"ด้วยคำพูดนั้นคาร่าจึงเริ่มกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง
"จริงแท้เลยล่ะ และเพราะการที่เธอจบเร็วขนาดนี้มันก็เท่ากับว่าเธอเหลือเวลาชีวิตที่อยากจะทำอะไรตามต้องการได้อีกเยอะ ถ้าช่วงเวลาที่ผ่านมาเธอไม่เคยมีเพื่อนเลยล่ะก็ เธอก็ใช้ช่วงเวลาที่เหลืออยู่ต่อจากนี้ในการหาเพื่อนซะซิ อย่างผมที่เป็นเพื่อนร่วมงานของเธอก็คงจะนับว่าเป็นเพื่อนคนแรกได้อยู่นะ เพราะงั้นขอให้รู้ไว้ว่าเพื่อนคนนี้จะอยู่กับเธอเอง เรื่องในอดีตก็โยนทิ้งไปซะ แล้วสนใจแค่สิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันก็พอ"
ร่างกายของคาร่าแข็งทื่อไปอย่างกระทันหันพร้อมกับใบหน้าที่กำลังแสดงออกถึงความตกตะลึงอยู่บางส่วน ใครจะไปคิดว่าผู้ชายที่มักจะมองทุกอย่างในแง่ลบเสมอจะเป็นคนที่สามารถให้กำลังใจและขจัดความกังวลใจให้เธอได้ จากนั้นรอยยิ้มก็เริ่มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเธอ
"นั้นสินะ ที่ผ่านมาฉันเอาแต่คิดเรื่องอดีตของตัวเองจนไม่มองถึงเรื่องของปัจจุบันเลย"เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความจริงใจ ขณะที่สายตาของเธอจ้องมองไปยังร่างของชายที่นั่งอยู่ตรงหน้าของตน
"ไม่คิดเลยจริงๆว่าคนที่มองโลกในแง่ลบอย่างซาโตริคุงจะพูดให้กำลังใจคนอื่นแบบนี้ ทำเอาคิดว่าเป็นความฝันเลยล่ะ นึกว่าเรื่องแบบนี้จะไม่มีวันเกิดขึ้นซะแล้ว"
'อั๊ก! ทำไมรู้สึกเหมือนมีอะไรมาทิ่งแทง'
คำพูดของคาร่าเหมือนเป็นดั่งมีดแหลมคมที่แทงทะลุกลางอกของผมอย่างจัง สีหน้าของผมกำลังแสดงความเจ็บปวดออกมาอย่างไม่อาจควบคุมได้ ขอบคุณพระเจ้าที่ไม่มีน้ำตาไหลออกมา
"อ๊ะ! ขอโทษซาโตริคุง ฉันแค่ประหลาดใจจริงๆนะ"
บางทีการพูดอะไรออกไปตรงๆมันก็ไม่ใช่เรื่องดีเสมอไปสินะ….
"อะ-มะ-ไม่เป็นไรผมโอเคดีฮะๆ"ผมพยายามที่จะควบคุมสีหน้าให้กลับมาเป็นเหมือนเดิม
ไม่รู้ว่าคิดไปเองรึเปล่า แต่รู้สึกว่าบรรยากาศรอบข้างจะดีขึ้นมานิดหน่อย มันไม่น่าจะเกี่ยวกับของตกแต่งภายในร้านไม่งั้นมันคงส่งผลไปนานแล้ว บางทีคงเป็นเพราะพวกเราได้ระบายเรื่องที่เก็บเอาไว้ในใจออกมามันเลยรู้สึกผ่อนคลายเหมือนได้วางภาระที่แบกเอาไว้บนไหล่ลงก็ได้
"จะว่าไปแล้วนะคาร่า"
"หือ? มีอะไรงั้นหรอ?"
"ผมเล่าเรื่องส่วนตัวของผมไปแล้ว มันคงไม่แฟร์ถ้าผมจะเล่าอยู่ฝ่ายเดียว คงถึงตาเธอที่จะต้องเล่าบ้างแล้วล่ะ"
"เรื่องของฉันงั้นหรอ? แน่นอนสิ ฉันไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว ถ้าซาโตริคุงอยากรู้ล่ะก็เดี๋ยวฉันจะเล่าให้ฟัง"
************************************************
คาร่าเริ่มที่จะเล่าเรื่องราวของเธอ
"เรื่องของฉันมันก็คล้ายกับของซาโตริคุงอยู่บ้าง แต่ก็มีความแตกต่างอยู่ ฉันโตมาในป่าลึกเขตชนบทของประเทศนึง สภาพแวดล้อมส่วนใหญ่ก็เป็นป่าไม้ที่เต็มไปด้วยสัตว์ป่านาๆชนิด ถึงมันจะดูลำบากไปหน่อย แต่มันก็ทำให้ฉันรู้สึกสบายใจเสมอเวลาที่ได้อยู่ที่นั่น"
"คุณพ่อของฉันที่เลี้ยงดูฉันมาตลอดเขาทำอาชีพเป็นหมอ หลายๆครั้งคุณพ่อเลยจะสอนฉันเกี่ยวกับเรื่องต่างๆไม่ต่างอะไรจากเด็กที่อยู่ในเมืองเลยล่ะ ส่วนคุณแม่ก็ทำงานราชการเลยไม่ค่อยมีเวลามาเยี่ยมมากนัก ส่วนใหญ่จะมาแค่อาทิตย์ละ 2 ครั้ง แต่ท่านแทบจะไม่เคยผิดคำสัญญาที่จะมาหาฉันเลยเว้นแต่ช่วงที่มีงานสำคัญจริงๆ"
"ถึงจะอยู่ในป่า แต่ฉันก็รู้จักคนเยอะอยู่นะ ทั้งคนที่มาจากพื้นที่ห่างไกล คนที่เดินทางมาจากตัวเมือง ฉันได้เรียนรู้อะไรหลายๆอย่างจากคนเหล่านั้น มันเลยทำให้ฉันคิดได้ว่าคงจะใช้ชีวิตอยู่ในป่าตลอดไปไม่ได้ พออายุ 16 ฉันเลยขอให้คุณแม่พาฉันไปอาศัยอยู่ภายในเมืองด้วย ที่นั่นมีแต่อะไรที่น่าตื่นเต้นทั้งนั้นเลย แต่ฉันก็ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการอ่านแทนการออกไปเดินเล่นเพื่อเติมเต็มความต้องการของตนเอง"
"พอมาถึงอายุ 18 ปีฉันก็ต้องเข้ารับการเกณฑ์ทหารและอยู่ในค่ายฝึกนานถึง 2 ปี จากนั้นฉันถึงจะออกมาได้ ในระหว่างนั้นคุณแม่ก็มีข่าวดีมาบอก ฉันจะได้ไปต่างประเทศเพื่อศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้นเพื่อนำความรู้กลับมาพัฒนาประเทศ แน่นอนว่าฉันใช้เวลาเพียง 3 ปีเพื่อจบระดับปริญญาทั้งหมด และฉันจะใช้เวลาที่เหลือนี้ไปกับการศึกษาค้นคว้าต่อไป"
************************************************
"เรื่องราวทั้งหมดก็ประมาณนี้น่ะซาโตริคุง"
จากที่ฟังมาทั้งหมดมันก็ทำให้ผมรู้สึกสับสนอย่างช่วยไม่ได้ เรื่องที่เธอเล่ามามันอย่างกับว่าหลุดออกมาจากนิยายก็ไม่ผิดนัก โดยเฉพาะช่วงวัยเด็กของเธอ มีประเทศที่ด้อยพัฒนาขนาดนั้นอยู่ด้วยงั้นหรอ ถึงจะสงสัยมากแค่ไหนผมก็ไม่ได้ถามออกไปเพราะรู้ว่ามันเป็นอะไรที่เสียมารยาทมากๆ แต่พอเอาเรื่องราวต่างๆมาปะติดปะต่อกันมันก็ทำให้ผมเข้าใจอะไรหลายๆอย่าง
ทั้งเหตุผลที่ว่าทำไมเธอถึงสามารถเรียนจบออกมาได้ภายในระยะเวลาเพียงแค่ 3 ปี และทำไมเธอถึงถูกขนานนามว่าเป็นอัจฉริยะ ทั้งหมดมาจากนิสัยส่วนตัวของเธอที่พูดได้อย่างเต็มปากว่าเป็นหนอนหนังสือที่ไม่เข้ากับใครเลย มันจึงทำให้เธอมีเวลาในการอ่านหนังสือมากขึ้นยิ่งกว่าเก่า และด้วยชีวิตที่จากจุดต่ำสุดสู่จุดสูงสุดมันคงทำให้เธอกลายเป็นคนที่ชอบมองโลกในแง่ดีอยู่เสมอๆ
"นำความรู้กลับไปพัฒนาประเทศเหรอ ฟังดูเหมือนเธอแบกรับความคาดหวังของคนทั้งประเทศเลยนะ"
"ประมาณนั้น แต่ถึงจะถูกคาดหวังแบบนั้นก็เถอะ มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอกเพราะฉันเองก็ชอบในสิ่งที่ทำอยู่ในตอนนี้ โดยเฉพาะการเป็นอาจารย์สอนวิชาแพทย์และใช้เวลาว่างศึกษาวิจัย ดูแลนักศึกษา และอื่นๆ ทุกอย่างล้วนเป็นสิ่งที่จะต้องนำกลับไปใช้ที่ประเทศหมดเลย"
'จากที่ฟังดูแล้ว ถ้าเธอกลับไปที่ประเทศของเธอล่ะก็ คาร่าคงกลายเป็นมันสมองให้ประเทศนั้นอย่างไม่ต้องสงสัยเลยแฮะ ต้องเป็นประเทศล้าหลังขนาดไหนถึงคาดหวังให้คนๆเดียวให้ทำเรื่องทุกอย่างขนาดนี้เนี่ย'
"คาร่าผมไม่อยากขัดใจนะ แต่ขอถามอะไรหน่อย ประเทศที่เธอกำลังพูดถึงคือประเทศอะไร ?"ซาโตริถามออกไปด้วยความสงสัย
"คงให้คำตอบตรงๆไม่ได้หรอกซาโตริคุง แต่ขอตอบเพียงว่าเป็นประเทศที่มีเนื้อที่ใหญ่มากๆเลยล่ะ"
'รัสเซียเหรอ? อ่าาถ้าเป็นที่นั้นก็พอเข้าใจอยู่แต่ก็ยังไม่เคลียร์ในเรื่องอื่นๆอยู่ดีแฮะ ช่างมันเถอะ'
"แล้วมีกำหนดการกลับรึเปล่า?"
"ตอนนี้ยังไม่มีหรอก แต่ถ้าถูกเรียกกลับไปก็ต้องไปทันทีน่ะ"คาร่าส่ายหน้าปฏิเสธด้วยท่าทางหดหู่
"อย่างนี้นี่เองผมว่าผมพอเข้าใจละ"
ถ้าวันนึงเธอต้องกลับประเทศของเธอจริงๆบางทีมันอาจไม่มีการกล่าวคำอำลาเลยก็ได้ ถ้าอย่างงั้นก็ควรจะใช้เวลาที่เหลืออยู่สร้างความทรงจำที่ดีต่อกันก็ถือเป็นความคิดที่ไม่เลวเลย
"นี่คาร่าจากที่คุยกันมาเหมือนว่าเธอจะไม่เคยได้ออกไปเที่ยวแบบจริงๆจังๆที่ประเทศไทยเลยสินะ ?"
"ใช่แล้วล่ะ"
"ถ้างั้นเอาแบบนี้ดีมั้ย ? ถ้าเธออยากไปที่นั้นอีกให้บอกผมแล้วกัน เดี๋ยวผมจะเป็นคนพาไปเดินเที่ยวชมสถานที่ต่างๆเอง"
"ดีใจที่ได้ยินแบบนั้นนะ ซาโตริคุงเนี่ยพึ่งพาได้เสมอเลยจริงๆ"
"ไม่ขนาดนั้นหรอก ผมก็แค่อยากช่วยเพื่อนร่วมงานให้มีความสุขกับการไปเที่ยวเท่านั้น"
หลังจากที่ได้พูดคุยอะไรกันหลายๆอย่างก็ดูเหมือนว่าจะได้เวลากลับแล้วล่ะ คาร่ากำลังจะเรียกพนักงานมาเพื่อสั่งเครื่องดื่มให้ผมเพิ่ม แต่ผมก็ปฏิเสธไป พอดีรู้สึกอิ่มแล้วน่ะ ที่อิ่มไม่ใช่ของที่อยู่ในท้องนะ มันเป็นความรู้สึกอิ่มเอมใจซะมากกว่า เพราะในวันนี้ผมกำลังคาร่าต่างก็เปิดเผยเรื่องราวของกันและกันออกมาจนน่าจะเรียกได้ว่าแทบจะหมดเปลือกแล้ว เลยรู้สึกไว้ใจเธอขึ้นมาบ้าง
พอเห็นว่าผมไม่มีความคิดที่จะสั่งอะไรเพิ่มแล้ว คาร่าก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปจ่ายเงินให้กับเจ้าของร้าน จากนั้นเราทั้งสองก็เดินออกไปจากร้านเพื่อเดินทางกลับที่พักของแต่ละคน ในขณะที่ผมกำลังจะแยกทางกับเธออยู่นั้น เสียงเรียกของคาร่าก็ได้หยุดผมเอาไว้
"ซาโตริคุง"
"หืม?"ด้วยความสงสัยผมจึงหันกลับไปมองยังเธอ
"ขอบคุณนะที่คอยรับฟังเรื่องราวทั้งหมดของฉันในวันนี้ รู้สึกดีขึ้นมากเลยล่ะ"เธอกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มพิมพ์ใจพร้อมกับมือของเธอที่กำลังหมุนเกลียวผมเล่น
"ไม่เป็นไรหรอก ผมต่างหากที่ต้องขอบคุณที่คุณเลี้ยงเครื่องดื่มในวันนี้ ไว้ถ้ามีโอกาสผมจะเลี้ยงตอบแทนบ้างนะ"
"คิกๆ ฉันจะรอวันนั้นนะ....ถ้างั้นคืนนี้ราตรีสวัสดิ์นะซาโตริคุง"คาร่าหัวเราะออกมาเบาๆ จากนั้นเธอจึงเริ่มโบกมือลา
"เช่นกันครับคุณคาร่า"ผมเองก็โบกมือลากลับไปเป็นการตอบรับ
จากนั้นพวกเราทั้งสองจึงแยกย้ายกันกลับไปยังที่พักของตัวเอง แต่ในระหว่างทางที่ผมกำลังเดินทางกลับอยู่นั้น ผมก็เงยหน้าขึ้นไปจ้องมองไปยังดวงดาวบนท้องฟ้าจำนวนมากมายนับไม่ถ้วนที่กำลังส่องประกายในยามค่ำคืนอันแสนเงียบสงบ มันช่างสวยงามมากกว่าวันไหนๆที่ผ่านมาราวกับว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ได้ทำให้ทุกอย่างดูดีขึ้นอย่างน่าประหลาด
ในวันนี้ผมกับคาร่าได้ระบายสิ่งต่างๆออกมาอย่างเปิดเผย ความรู้สึกอึดอัดที่เคยแบกรับเอาไว้ก็คลายออกพร้อมกับความสดชื่นที่ไม่ได้สัมผัสมานาน ในอนาคตบางทีพวกเราอาจจะคอยเป็นกำลังใจให้กันและกัน คอยยืนเคียงข้างและปลอบประโลมกันอยู่เสมอ ถ้าหากเป็นแบบนั้นมันอาจไม่จบลงแค่เพียงเพื่อนร่วมงานก็ได้
'ไม่เอาน่าซาโตริ เธอเคยปฎิเสธคำสารภาพพวกดาวมหาลัยมาแล้วนะเว้ย แกคิดว่าเธอจะยอมคบกับคนธรรมดาอย่างงั้นเหรอ'
'หึ! แต่ถ้ามีโอกาสก็อยากลองดูน่ะนะ ขอให้ถึงเวลาที่เหมาะสมก่อนแล้วกัน'
ผมแอบยิ้มให้กับความคิดของตัวเองก่อนจะเดินกลับไปยังหอพักเพื่อเตรียมพักเอาเอาแรงในวันพรุ่งนี้ต่อไป
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
Comments