"หา พึ่งประมูลพื้นที่รอบดันเจี้ยนที่ 7 มาได้เหรอครับ ?"
"ใช่น่ะสิ แต่ว่าทางนี้ยุ่ง ๆ อยู่กับโรงงานผลิตอาร์ติแฟคแหงใหม่อยู่พอดี พี่เลยว่าจะฝากให้นายดูแลแทนสักหน่อยจะได้รึเปล่าล่ะ ?"
นั้นคือหัวข้อพูดคุยระหว่างมื้ออาหารเย็นของครอบครัวสามคน ประกอบไปด้วยคุณพี่สาวผู้น่ารัก ผมแล้วก็คุณแม่ที่มักจะยิ้มด้วยความอบอุ่นเสมอ
มื้อเย็นวันนี้คือขนมปังแท่งยาว ทานกับสตูว์เนื้อง่าย ๆ หม้อโตฝีมือคุณแม่(บุญธรรม) ระหว่างที่ทานกันอยู่นั้นจู่ ๆ พี่สาวก็โพล่งขึ้นถามผมถึงเรื่องงาน คิดอะไรอยู่นะถึงมาถามเด็กวัยรุ่นที่อยู่ในเรียนอย่างเราแบบนี้กันซะได้
แต่ก็เข้าทางเราอยู่ไม่ใช่น้อย ๆ เพราะทางนี้เองก็อยากจะหาเส้นทางในการทำธุรกิจอยู่ด้วย ถึงแม้ว่าจะคิดไว้ว่าจะเริ่มตอนเรียนจบก็เหอะ เดิมทีแล้วคุณลุง(พ่อบุญธรรม)จะทานกับพวกเราด้วยเสมอ แต่ติดที่ว่าตอนนี้ไปติดต่อธุระที่ต่างเมือง ทำให้ครอบครัวของเราเหลือเพียงแค่สามคนเท่านั้น
"จะดีเหรอครับพี่ถ้าเกิดผมทำเจ๊งขึ้นมาล่ะ ?"
"ก็ช่างสิคนเราไม่ลองทำอะไรจะรู้ได้ไงว่ารุ่งหรือล่วงน่ะ อีกอย่างนายเองก็เป็นน้องชายฉันทั้งคน กะอีกแค่บริหารพื้นที่ตรงนั้นคงไม่เหนือบ่ากว่าแรงหรอกมั้ง ไม่ว่าจะภาษาหรือคณิตศาสตร์เกรดนายตรงนั้นก็ดีสุด ๆ เลยไม่ใช่หรือ"
เชี้ย...ยัยพี่นี่จะรู้เรื่องเราดีเกินไปแล้ว ก็จริงที่ว่าคะแนนส่วนนั้นดีแต่ไม่ใช่ว่ามันจะสอดคล้องกับเรื่องงานสักหน่อยนะ
"ก็จริงอยู่ครับแต่ว่าผมไม่มีทุนนะ"
"เรื่องนั้นฉันคิดไว้เแล้วล่ะ ฉันจะให้นายยืมเงินฉันก่อนสักสามแสนเหรียญทองคำขาวเป็นไงพอรึเปล่า ?"
"ขอห้าแสน"
ผมรีบต่อรองทันทีโดยไม่รีรอก็สวยสิครับถ้าให้ยืมทุนแบบนี้ล่ะก็คงไม่มีปัญหา เพราะครอบครัวมีกิจการค้าขายดังนั้นการพูดถึงเงินจำนวนมากขนาดนี้นั้นมันเลยฟังแล้วไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่หากคนนอกได้ยินก็คงตาลุกวาวในทันที
โลกนี้เงินนั้นประกอบไปด้วย เงินเหรียญทองแดง เหรียญเงิน เหรียญทองและเหรียญทองคำขาว
1 เหรียญทองคำขาวแลกได้ 10 เหรียญทอง
1 เหรียญทองแลกได้ 10 เหรียญเงิน
1 เหรียญเงินแลกได้ 10 เหรียญทองแดง
เดิมทีการใช้จ่ายขั้นต่ำของประชาชนนั้นต่อวันอยู่ที่ 4-5 เหรียญเงิน ดังนั้นการที่ผมขอยืมถึงห้าแสนเหรียญทองคำขาวนั้นนับว่าเป็นเงินที่เยอะมาก ๆ พี่สาวที่ได้ยินเงินจำนวนขนาดนั้นก็มองผมด้วยแววตาจิกกัดเอาเรื่องก่อนที่จะตอบกลับมา
"ไม่ได้มันเยอะเกินให้มากสุดแค่สามแสน"
"สามแสนก็สามแสนครับ ก็นะดันเจี้ยนที่ 7 พื้นที่ส่วนนั้นแทบจะไม่มีอะไรเลยนี่นะ"
"ใช่ เพราะแบบนั้นสามแสนที่จะให้ยืมยังถือว่าเยอะไปด้วยซ้ำ แต่ด้วยความเป็นน้องชายของฉันเลยให้ยืมมากถึงขนาดนี้"
"น้ำใจสูงส่งมากครับท่านพี่ แล้วจะให้คืนตอนไหนล่ะ"
"เมื่อไหร่แต่ไม่เกินสองปี ถ้าถึงเวลานั้นหามาคืนไม่ได้หรือกิจการเจ๊งก็จะให้ชดใช้ด้วยอย่างอื่นแทน"
"โครตมัดมือชกกันเลยครับพี่"
"หรือไม่เอา ?"
"เอาครับเอา"
ผมไม่ปฏิเสธอะไรดี ๆ แบบนี้อยู่แล้วสองปีงั้นเหรอนับว่าเยอะเกินไปด้วยซ้ำ แต่ก็นับว่าเสี่ยงมากอยู่ดีนั้นแหละเพราะพื้นที่ตรงส่วนนั้นมันไม่มีอะไรเลยจริง ๆ มันตั้งอยู่นอกเมืองหลวงไปถึงห้ากิโลเมตร มีหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ส่วนใหญ่มักจะทำเกษตรกรรมกันเป็นหลัก พร้อมเส้นทางน้ำเล็ก ๆ ทรัพยการส่วนอื่นนอกจากหญ้าแล้วต้นไม้ใหญ่หรือป่าก็ไม่มีเลย ผมเคยไปตอนทัศนศึกษานอกสถานที่มาก่อนดังนั้นถึงพอรู้จักที่นั้นดี
แต่ใช่ว่ามันไม่มีช่องทางที่จะทำกำไรจากที่นั้นเลยสักทีเดียว...
ในใจผมคิดแบบนั้นแน่นอนว่ามันต้องลงทุนอย่างมีแบบแผน เพื่อให้คุ้มค่ากับเงินที่เสียไปทุกบาททุกสตางค์
"งั้นตกลงตามนี้เดี๋ยวฉันจะไปเปิดบัญชีของนายให้ อ่อแล้วจะไปคุยกับผู้ดูแลหมู่บ้านตรงนั้นให้ด้วยก็แล้วกัน โรงเรียนนายไปเรียนห้าใช่มั้ยล่ะ งั้นลดลงเหลือแค่สี่วันก็พอศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ก็ไปดูแลงานนั้นซะ จะพักที่นั้นหรือกลับบ้านก็แล้วแต่นายตกลงมั้ย ?"
"ครับขอบคุณมาก ๆ นะครับ"
"ไม่เป็นไรเพื่อปลอบใจน้องชายที่อกหักมาทั้งคนนี่นะ"
"...!!"
จะรู้มากเกินไปจริง ๆ ล่ะ คุณแม่ที่ได้ยินแบบนั้นก็ตาลุกวาวพร้อมหันมามองผมด้วยรอยยิ้ม ราวกับจะบอกว่าผมเองก็โตมากขึ้นแล้วหรือเนี่ยอีกด้วย โธ่คุณแม่ครับ!!
"พรุ่งนี้ก็วันพฤหัสแล้วด้วยนี่งั้นวันศุกร์นายก็ไปได้เลยนะฉันจะคุยกับผู้อำนวยการให้ เออ แล้วก็หวังว่าผลการเรียนนายจะไม่ตกลงด้วยเรื่องแค่นี้หรอกนะน้องชาย"
น้ำเสียงอันเย็นยะเยือกนั้นทำเอาผมขนลุกไปทั้งตัว นั้นสินะเพราะต้องแบกรับหน้าตาของตระกูลเอาไว้ หากผลการเรียนตกลงมากกว่านี้ก็คงจะไม่ดีแน่ ๆ แต่ตอนนี้ตัวเราไม่ใช่คนเก่าอีกแล้ว เราจะเป็นเอ็กซ์เซ่คนใหม่
เพราะว่าเราได้ตัดสินใจที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองแล้ว จะไม่เป็นเงาที่คอยหลบหลังดวงอาทิตย์อีกต่อไป เราจะอยู่ในจุดที่ทัดเทียมกับเพื่อนสนิทที่สุดด้วยความมั่นใจ พอถึงวันนั้นสาว ๆ ก็คงจะหันมามองเรามากกว่าเดิม
ว่าแล้วหลังทานอาหารเย็นเสร็จผมก็ไม่รอช้าที่จะเดินขึ้นห้องไปทบทวนเนื้อหาในบทเรียน อ่านหนังสือเศรฐศาสตร์หรือไม่ก็พวกปรัชญาเพิ่มอีกเล็กน้อย ถ้าเป็นโลกเดิมผมคงจะไม่มาทำอะไรแบบนี้ แหม ๆ พอได้อ่านอะไรแบบนี้แล้ว รู้สึกเหมือนความรู้มันเริ่มกลับมาเลยแหะ
*************************************
"ฉันล่ะเกลียดคาบนี้จริง ๆ เลยว่ะเรกกะ"
"ก็เพราะนายเป็นแบบนี้ไงเลยไม่ป็อบปูล่าในหมู่สาว ๆ น่ะ"
ผมกับเรกกะนั่งบนในช่วงก่อนพักเที่ยงที่จะมาถึงในสองชั่วโมง พวกเราเปลี่ยนชุดนักเรียนมาเป็นชุดวอร์มกีฬาแขนยาวสีดำทองพร้อมด้วยกางเกงวอร์มแบบเดียวกัน ทุก ๆ วันพฤหัสบดีนั้นจะเป็นการเรียนที่ต้องใช้แรงซะส่วนใหญ่ ห้องของพวกเราคือห้อง C ที่ถูกตีตราว่าไม่สมกับลำดับที่ได้รับ
ความเก่งของนักเรียนนั้นจะคัดแยกว่าแต่ละคนจะได้อยู่ห้องไหน ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับฐานะทางการเงินด้วยหรือไม่ก็ความสามารถพิเศษ ถึงแม้จะอัจฉริยะแต่ถ้าไม่มีเงินก็อยู่ห้องท้ายแบบนี้ได้ ยกตัวอย่างก็เรกกะนี่แหละ
คาบวิชาพละนั้นส่วนมักจะใช้การสอนแบบรวมห้องกัน ซึ่งพวกเราได้เรียนคู่กับห้อง A ที่มีคนเก่ง ๆ เต็มไปหมด ไม่ก็ลูกขุนนางชั้นสูงมาก ๆ โดยส่วนใหญ่จะเรียนวิชาดาบหรือไม่ก็การต่อสู้หลาย ๆ แบบ สำหรับผมมองว่ามันก็ดีนะ แต่มันเสียเวลา...
เพราะอะไรน่ะเหรอก็เพราะว่าเนื้อหาของโรงเรียนนั้นมันเป็นแค่พื้นฐานที่ทุกคนควรรู้เฉย ๆ พวกที่มีฝีมือนั้นต่างล้วนเรียนจากภายนอก หรือไม่ก็จ้างอัศวินตัวจริง ๆ มาสอนกันตั้งแต่เด็ก ๆ แล้ว นี่มันก็เหมือนแค่การซ้อมเล่น ๆ หรือไม่ก็เป็นแค่การบูลลี่ของคนมีตังค์เท่านั้น
อย่างตอนนี้ตรงหน้าของผมนั้นมีไอ้หนุ่มร่างบางจากห้อง A กำลังถือดาบไม้ด้วยมือที่สั่นไปมาโดยให้เพื่อนร่วมห้องไล่ฟันด้วยดาบไม้เหมือนกันไล่ตีเล่น ๆ
"นายก็เห็นแล้วนี่เรกกะอีกอย่างนะมานั่งคุยกับฉันแบบนี้มันจะดีเหรอ ?"
"ทำไมนายพูดงั้นล่ะ ?"
"ก็เพราะนายมานั่งกับฉันทำให้พวกผู้หญิงเขามองฉันเหมือนจะฆ๋าเลยน่ะสิฟ่ะ ไป ๆ ไปแกว่งดาบโชว์ฝีมือให้พวกนั้นเห็นก่อนที่ฉันจะโดนกระทืบให้ไวเลย"
"ฮ่าฮ่าฮ๋า นั้นสินะงั้นเดี๋ยวกลับมานะ"
เรกกะหัวเราะร่าด้วยความสนุก ใช่แล้วล่ะสำหรับเรกกะนั้นชั่วโมงนี้คือเวลาที่เขาจะได้เชิดชายที่สุด ความฝันของหมอนั้นคือการเป็นอัศวินชั้นสูงสุดของอาณาจักร ด้วยฐานะทางบ้านที่ต่ำต้อยทำให้เขาคิดว่าหากอยู่ในจุดนั้นได้ล่ะก็ จะสามารถขอผู้หญิงที่เขาชอบแต่งงานได้ยังไงล่ะ
ซึ่งคนที่ว่าก็คือมาริน
เพื่อนร่วมห้องที่เก่งการใช้ดาบก็ต่างลุกขึ้นไปฝึกดาบของตัวเอง โดยผมนั้นทำได้แต่นั่งดูอยู่ข้างสนามเพราะขี้เกียจ ทุกครั้งที่เรกกะกวัดแกว่งดาบในมือ สายตาของผู้หญิงมากมายจะมองไปที่เขา เมื่อเขาชนะพวกเธอก็จะกรี๊ดกันดังลั่นพร้อมกับชื่นชม หอมหวานจังเลยนะสิ่งเหล่านั้นน่ะ
แน่นอนว่ามารินเองก็มีความสุขที่มองเรกกะ ทางเพื่อนรักของผมเองก็รู้ว่ามารินกำลังมองอยู่เพราะงั้นเลยจะแพ้ไม่ได้ ทุกครั้งที่เขาชนะใครก็จะหันมาทางผมพร้อมโบกมือไปมาเป็นการบังหน้าเพราะตาของมันนั้นเหลือบไปหามาริน(ฮ่าฮ๋าฮ่า)
"ถ้าฉันมีคนมองแบบนั้นบ้างก็คงจะดีไม่น้อยเลยล่ะ"
ผมบ่นกับตัวเองเบา ๆ เพราะในใจรู้สึกจุกอย่างบอกไม่ถูก เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นไรซ่าที่กำลังพักเหนื่อยจากการซ้อมดาบกับคนอื่น ๆ เธอเองก็กำลังมองเรกกะด้วยสายตาแบบเดียวกับมาริน
นั้นสินะเพราะเป็นเงามาตลอดจะให้เทียบกับดวงอาทิตย์ในทันทีก็คงจะไม่ได้
"นี่นายมานั่งทำอะไรตรงนี้เหรอ ว่างอยู่รึไง ?"
จู่ ๆ ก็มีเสียงหนึ่งทักขึ้นมาจากทางขวามือของผม ใครว่ะไม่คุ้นหน้าเลยคงจะไม่ใช่ห้องเราแน่ ๆ หรือจะเป็นห้อง A อย่างนั้นสินะแล้วต้องการอะไรฟ่ะถึงได้มาหาเรา
"ครับก็ว่างอยู่มีอะไรรึเปล่าครับ ?"
"เปล่าก็แค่เห็นนายว่างก็เลยว่าจะชวนซ้อมดาบด้วยกันสักหน่อย พอดีเพื่อนผมเหนื่อยแล้วก็เลยกะจะขอช่วยสักนิดหนึ่งจะได้รึเปล่า ?"
เจ้าของเสียงนั้นเป็นชายหนุ่มมาดดี สูงใหญ่ขาวหุ่นกำยำใกล้เคียงกับผมและไรกะแต่ใหญ่กว่าตัวผมนิดนึงได้ล่ะมั้ง เขาเดินมากับเพื่อนในเหงื่อเต็มตัวไปหมดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
จะว่าไปถึงจะบอกว่าซ้อมดาบทำไมตัวถึงสะอาดยังฟ่ะ นอกจากเหงื่อไม่เห็นจะมีรอยอะไรเลย ?
ผมเกิดความสงสัยขึ้นมาในทันทีแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร นั้นสินะถ้าเราจะออกจากรัศมีของดวงอาทิตย์ล่ะก็ นาน ๆ ทีออกแรงบ้างก็คงไม่ได้แย่อะไร เมื่อคิดได้แบบนั้นก็ไม่รอช้าพยักหน้ารับทันที
"ได้สิครับไม่มีปัญหา"
"ว้าวดีเลยครับงั้นไปที่กว้าง ๆ กว่านี้กันเถอะ"
แน่นอนว่าผมนั้นถูกชวนให้ไปตรงเกือบใจกลางสนามที่เป็นพื้นหินแข็ง ๆ เพราะมีหลังคาก็เลยทำให้ไมถูกแดดเผา ผมหยิบดาบไม้ขึ้นมาจากตะกล้าใส่อุปกรณ์เดินไปพื้นที่ว่าง โดยมีชายที่ชักชวนตามมาเพื่อน ๆ ของชายคนนั้นเดินตามมาแต่นั่งดูอย่างสบายใจโดยห่างออกไป ก่อนที่จะมีคนหนึ่งเรียกเพื่อน ๆ ในห้อง A ให้มาดูด้วย
เฮ้ย!! เดี๋ยวดิจะให้คนมาดูเยอะ ๆ แบบนี้มันก็เขินเป็นเหมือนกันนะ พอคนจากต่างห้องมาดูเยอะขึ้นก็ทำให้ผมเผลอกวาดตาไปมองพวกเขาโดยไม่รู้ตัว โดยผมเห็นหลายคนในห้องที่เป็นผู้ชายนั้นมีรอยถูกทุบตีบนร่างกาย ชนิดที่เรียกว่าต่างจากไอ้พวกที่มาชวนผมลิบลับ
นั้นก็ทำให้ในหัวพลันนึกอะไรออกขึ้นมาได้
"เอ่อ นายชื่ออะไรงั้นเหรอ ?"
"ผมเหรอครับเอ็กซ์เซ่ครับ แล้วนายล่ะชื่ออะไรเหรอ ?"
"จะตอบดีมั้ยนะแต่ในบอกให้นายรู้ก็คงจะไม่เสีย จำให้ขึ้นใจล่ะผมนั้นมีชื่อว่า 'บัซ' ไม่ต้องออมมือนะเดี๋ยวมันจะไม่สนุก"
"ได้ครับคุณบัซสินะครับงั้นทางนี้ก็...!!"
ยังไม่ทันที่ผมจะได้พูดจบเลยอีกฝั่งก็พุ่งเขามาด้วยรวดเร็วจนน่าตกใจ พร้อมใช้ดาบไม้ในมือฟันเข้ามาใส่หน้าของผม
เฮ้ย!! จะเกินไปรึเปล่าเนี่ย นี่ถ้าทางนี้ยกดาบไม่ทันมีหวังโดนเต็ม ๆ เลยนะเฮ้ย
ผมนึกในใจพร้อมสะดุ้งในทันทีเมื่อดาบในมือผมที่ยกขึ้นมาป้องกันนั้น กระทบกับดาบที่ฟันเข้ามาด้วยความเร็วเต็มพิกัดจนเกิดเสียงกระแทกที่ดังลั่น
จากนั้นภาพที่ผมเคยเห็นก็เกิดขึ้นกับตัวผมเอง ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วว่าอีกบัซนั้นต้องการอะไร ตัวผมกลายเป็นเหมือนตุ๊กตาซ้อมมือของพวกเขา เพราะไม่มีโอกาสจะได้ตั้งตัวเลยทำได้แค่ป้องกันการโจมตีที่เข้ามาแบบต่อเนื่องเพียงอย่างเดียว เท้าทั้งสองข้างต้องถอยหลังไปเรื่อย ๆ พร้อมเสียงเชียร์จากคนที่กำลังดู สายตาก็เหลือบไปเห็นเหล่าผู้คนที่ถูกตีจนเกิดรอยตามร่างกาย พวกเขามองผมด้วยความสงสารและเห็นใจ
"เฮ้ย นายทำอะไรอยู่น่ะเอ็กซ์เซ่"
"...!?"
เสียงเรียกจาด้านหลังทำให้ผมต้องหันกลับไปมอง คนอื่นจากห้อง C เริ่มวิ่งเข้ามาดูผมทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น แน่นอนว่าเรกกะนั้นเตรียมที่จะวิ่งมาเอาเรื่องกับอีกฝ่ายแต่ก็ถูกชายอีกคนหนึ่งดักเอาไว้
"ใจเย็นสิเรกกะคุง เพื่อนนายเขาสมัครใจเป็นคู่ซ้อมให้กับเรานะใจร่ม ๆ หน่อย"
"อย่ามาล้อเล่นนะ ดูก็รู้แล้วว่าสิ่งที่พวกแกทำอยู่น่ะมันไม่ใช่การซ้อมแต่กำลังรังแกเขาอยู่"
ไม่เพียงแค่เรกกะเท่านั้นหลายคนที่เป็นเพื่อนร่วมห้อง มามุงดูผมที่กำลังถูกไล่ต้อนด้วยสายตาที่หลากหลายไม่ว่าจะเป็นห่วงหรือแม้แต่เอาใจช่วย มารินเองก็เช่นกันเธอทำหน้าตาเหมือนจะร้องไห้เลยที่เห็นผมถูกเล่นทำเหมือนเป็นของเล่นแบบนี้
ใจเย็นก่อนนะทุกคนถึงทางนี้จะถูกไล่ฟันก็เถอะ แต่อีกฝั่งก็ยังไม่ได้ฟาดโดนสักครั้งทีนะเออ เล่นจ้องกันแบบนั้นทางนี้ก็ทำสมาธิกับงานไม่ได้กันพอดี
"ป้องกันเก่งเอาเรื่องนี่แต่ว่ามองทางอื่นแบบนั้นจะดีเหรอ ?"
"หะ"
ผมร้องออกมาด้วยความตกใจเมื่ออีกฝั่งเหวี่ยงฟันเข้าใส่จากทางขวามือของผมแบบสุดแรง ทำให้ผมรีบยกดาบในมือขึ้นมาบังเอาไว้เพื่อป้องกันการโจมตีนั้นแทนที่จะหลบ
ใช่แล้วเพราะไม่มีสมาธิเลยทำให้คิดน้อยเกินไป ถ้าหากผมเลือกที่จะหลบก็คงไม่เป็นแบบนี้
"เสร็จล่ะ"
ด้วยการถือดาบแบบไม่ตั้งตัวทำให้ไม่ได้อยู่ในท่าที่ถนัด บัซปล่อยมือขวาที่กำดาบเอาไว้ ก่อนที่จะเปลี่ยนมาใช้มือซ้ายสลับมาถือไว้แทน พร้อมเหวี่ยงตัวฟันแบบสุดวงแขน ทันทีที่ดาบไม้ทั้งสองกระทบกันเสียงแตกของไม้แข็ง ๆ ก็ได้ดังขึ้น
โพละ!! ตุบ
ดาบในมือผมหักครึ่งไปในทันที พร้อมกับร่างของผมที่ร่วงลงไปที่พื้นความเจ็บปวด พร้อมรสฝาดเกิดขึ้นภายในปาก เมื่อกี้ผมหลบเล็กน้อยเลยทำให้ไม่ได้โดนแรงปะทะทั้งหมดแต่นั้นก็พอจะทำให้ปากแตกได้
ทุกสายตาของห้อง C ตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น ส่วนห้อง A นั้นกลับหัวเราะกันด้วยความสนุกสนาน นั้นสินะเพราะอ่อนด้อยกว่าเลยถูกมองว่าต้องอ่อนแอกว่าไปด้วย น่าอายชะมัดที่ต้องมาถูกเล่นงานต่อหน้าทุกคนแบบนี้
"นี่พวกแกมันจะมากไปแล้ว..."
เรกกะที่โมโหสุด ๆ ก็เตรียมจะปะทะแต่ก็ถูกผมยกมือขึ้นมาให้เขาได้เห็นเสียก่อนว่าไม่เป็นไร ผมมองดาบในมือที่หันครึ่งไปเล็กน้อยก่อนที่จะยันตัวเองให้ลกขึ้นมาอีกครั้ง
"เอ็กซ์เซ่ก้อึดเหมือนกันนะเนี่ย ถ้าเป็นผมก็คงแกล้งสลบหรือทำเป็นลุกไม่ขึ้นไปแล้ว"
บัซพูดกับผมด้วยน้ำเสียงที่มีความสุข พร้อมด้วยรอยยิ้มอันสนุกสนาน ผมใช้หางตาเหลือบมามองเขาเล็กน้อยก่อนที่จะหัวเราะในลำคอเบา ๆ
"มีอะไรน่าตลกเหรอ ?"
"เปล่าครับก็แค่คิดว่าสิ่งที่บัซคุงพูดเมื่อกี้มันน่าตลกน่ะ"
"เห ถ้ามีแรงหัวเราะแบบนี้แสดงว่าเราคงจะต่อยกที่สองกันได้อีกใช่มั้ยนล่ะ ?"
"อา...ได้สิไม่มีปัญหาแต่ว่าเพราะทางนี้ดาบหักแล้ว ขอดาบใหม่มาใช้อีกอันจะได้รึเปล่า ?"
"ไม่มีปัญหาแล้วแต่เอ็กซ์เซ่เลย"
"ขอบคุณนะ"
ผมกล่าวขอบคุณเบา ๆ ก่อนที่จะค่อย ๆ หันหน้ามาประจันกับอีกฝ่าย แต่คราวนี้มันต่างออกไปนิดหน่อย
"เอ็กซ์เซ่พอได้แล้วนายไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้ ถอยไปฉันจะสู้แทนเอง"
เรกกะอาสาที่จะสู้แทนผม เข้าใจนะว่าเป็นห่วงไอ้เพื่อนรักแต่ว่าถ้าฉันให้นายสู้แทน ก็คงถูกมองว่าเป็นเอ็กซ์เซ่ผู้อ่อนแอคนเดิมที่คอยหลบอยู่หลังนายมาตลอด
"สายตาของนายมันเปลี่ยนไปนะ เห...สายตาของคนที่คิดจะชนะงั้นเหรอ ไม่เลวเลยนะแต่ว่าเอ็กซ์เซ่เองไม่รู้จริง ๆ เหรอว่าผมน่ะเป็นใคร ?"
"รู้สิครับพึ่งนึกออกเมื่อกี้เลย ขอโทษด้วยที่ผมความจำไม่ค่อยดีเท่าไหร่ บัซนักดาบอันดับ 5 ของห้องอันดับที่ 10 ของสายชั้นผมพูดถูกมั้ย ?"
"อาฮะ ถูกต้องแล้วครับแล้วนี่คิดดีแล้วสินะที่จะสู้ต่อจริง ๆ รอบนี้ผมจะเอาจริงแล้วนะขอบอก"
"เอาสิ ถ้าไม่เอาจริงก็คงไม่สนุกหรอกจริงมั้ย เข้ามาได้ทุกเมื่อเลยบัซ!!"
ผมชี้นิ้วไปยังชายคนหนึ่งที่ตัวสะบักสะบอมไปหมดที่เขานั้นกำลังมองผมอยู่ พร้อมกับแบมือขอดาบจากอีกฝ่าย ร่างนั้นกลืนน้ำลายลงคอก่อนที่จะพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ เขาโยนดาบมาให้พร้อมกับที่ผมนั้นเปลี่ยนมาถือดาบที่หักครึ่งไว้ทางมือซ้ายแทน โดยให้ปลายดาบหันลงชี้ข้างล่างต่างจากปกติ
จังหวะที่ดาบจะมาถึงมือบัซก็ไม่รอช้าพุ่งเข้ามาฟันอีกครั้งด้วยความเร็วเท่าเดิม ซึ่งผมก็ป้องกันไว้ด้วยดาบในมือซ้ายนั้นทันที โดยคราวนี้ผมไม่ได้ก้าวถอยหลังอีกแต่อย่างใด
บัซเองก็ผงะไปเล็กน้อยและเหมือนจะรู้ตัว แต่ว่ามันช้าไปแล้ว ผมไม่รอช้าทันทีที่ดาบอีกเล่มมาอยู่ในมือแทงออกไปโดยออมแรงไว้ครึ่งหนึ่ง
"อึก แค่ก"
บัซร้องออกมาพร้อมรีบถอยหลังออกไป เมื่อถูกกระทุ้งเข้าเต็มคอด้วยปลายดาบไม้ที่ไม่ได้แหลมคมแต่อย่างใด เพราะหากมันแหลมเหมือนดาบจริงล่ะก็ป่านนี้คอเขาทะลุไปแล้ว
ทุกสายตาเริ่มมองดูผมแปลกไป เรกกะที่เห็นผมสู้ได้ก้เหมือนกันแต่ไม่นานนักเขาก็ยิ้มออกมา
"ถ้าบัซคุงไม่เอาจริงสักทีมันจะไม่สนุกเอานะ เอ้า ๆ รีบลุกมาต่อกันได้แล้วครับ เมื่อกี้ผมยังไม่ได้ใส่เต็มแรงเลยนะเออ"
"แค่ก ๆ นี่แกแม่งเอ้ย!!"
หลายคนคงคิดสินะว่าผมกระจอกหรือไม่เก่งด้านการต่อสู้ แต่เดี๋ยวก่อนสิผมน่ะยังไม่เคยบอกสักหน่อยว่าไม่เคยฝึกน่ะ ถึงแม้จะไม่เก่งกีฬาก็พวกฟุตบอลหรืออะไรกลม ๆ แบบนั้นต่างหาก แล้วก็นะคนเรามันก็มักจะมีสิ่งที่ถนัดใช่มั้ยล่ะ สาเหตุที่ผมเกลียดคาบนี้ก็เพราะเวลาฝึกกับใครผมมักจะแพ้เพราะไม่ถนัดการใช้อาวุธมือเดียวยังไงล่ะ
จะโล่ หอก มีด ดาบสั้นหรือดาบอีกเล่มขอแค่อยู่ในมือซ้าย แล้วมีดาบดี ๆ อีกเล่มในมือขวาผมก็พร้อมที่ใส่เดี่ยวได้หมดทุกคนนั้นแหละ แต่ถามว่าชอบไหมก็คงตอบว่าไม่ ก็เพราะว่ามันฟังดูเหนื่อยยังไงล่ะคนเราไม่จำเป็นต้องใช้แรงในการแก้ปัญหาก็ได้ไม่ใช่รึไง
แต่ก็สำหรับคนบางจำพวกน่ะนะ...
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
Comments