...ประเดิมร้าน...
วันนี้เป็นวันที่ผมรู้สึกสดชื่นมากๆ วันหนึ่ง คงเพราะอากาศที่แจ่มใสหลังฟ้าเปิด เมื่อคืนมีฝนตกหนัก มันก็เลยทำให้ผมนอนได้อย่างเต็มอิ่มล่ะมั้ง เช้าวันนี้ร้านของผมก็เปิดให้บริการผู้ป่วยที่ด้านล่างเหมือนเดิม ตึกสองคูหาจะเป็นทั้งบ้านและที่ทำงานของผมตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป!
แม้ว่าจะเคยมาอยู่ที่ชิบุย่าเมื่อสองปีก่อนแต่ก็เป็นแค่ช่วงสั้นๆ เพราะเดิมทีเด็กต่างจังหวัดมักจะไม่ถูกกับความศิวิไลอยู่แล้ว ผมก็เป็นหนึ่งในนั้น แม้จะเป็นเด็กหมอรู้จักเครื่องไม้เครื่องมือเทคโนโลยี แต่ชีวิตธรรมดาๆ ติดดินเนี่ยแหละเหมาะกับผมที่สุดแล้ว
เดิมทีก็ไม่คิดจะมาหากินในเมืองใหญ่หรอก แต่เพราะครอบครัวฝั่งพ่อยากจนก็เลยต้องพึ่งผมเป็นหลักล่ะนะ
“หมอคะ คอเสื้อค่ะ”
“อะ..ขอบคุณครับ” มีพี่เภสัชที่ทำหุ้นส่วนเป็นร้านขายยาอยู่คูหาข้างๆ ก็เหมือนมีเพื่อนสนิทที่สนิทกันมาเป็นสิบๆ ปีแหละนะ “วันนี้อากาศดีจังเลยนะครับ”
“จริงค่ะ ฝนตกเมื่อคืนอากาศก็เลยเย็นๆ หน่อย ที่ต่างจังหวัดก็เป็นแบบนี้หรือเปล่าคะ”
“ที่ต่างจังหวัดเย็นกว่านี้อีกครับ”
“ไว้มีเวลาว่างพี่ต้องไปเที่ยวบ้างแล้วสิ”
“มาได้เลยครับ เดี๋ยวผมพาเที่ยวเอง” เราคุยกันตามประสาคนสนิท พี่เภสัชเช่าคูหาอยู่ที่นี่คนเดียวมานานกว่าผมเสียอีกมันก็เลยไม่แปลกที่แกจะชอบชวนคนอื่นคุย หลังจากทักทายกันตอนเช้าเสร็จ ผมก็ออกมารดน้ำต้นไม้หน้าร้าน มีไม่กี่ต้นที่ยังมีชีวิตรอดเพราะเมื่อคืนฝนตกหนักมากมันก็เลยทำเอาหลายกระถางต้องพรวนดินทิ้งไป
“หือ..?”
จนกระทั่งผมเหลือบไปสังเกตเห็นแผ่นกระจกข้างร้าน มันมีรอยแตกเป็นวงกลม เหมือนกับว่ามีใครเอาของแข็งมาทุบ ผมสงสัยเหลือเกินว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง มันเป็นรอยไม่ใหญ่มาก ทำโปสเตอร์แปะทับเอาไว้ก็คงไม่มีปัญหา ผมจึงไม่ใส่ใจอะไรมากนัก
“รั้วก็ดันเป็นรั้วเหล็กอีกนะ..เฮ้อ” บางทีคงจะเป็นลุงบ้านตรงข้าม แกน่าจะตัดหญ้าแล้วก้อนกรวดกระเด็นมาโดนล่ะมั้ง
ผมเข้าไปหากระดาษมาแปะติดเอาไว้ และก่อนที่ผมจะหงุดหงิดไปมากกว่านี้ รีบไปหาอะไรกินรองท้องก่อนดีกว่า เพราะอีกเดี๋ยวก็คงมีคนมา
“เธอบอกว่าบอกว่าโดนอะไรมานะ?”
“สังกะสีครับ”
“ไปทำอีท่าไหนมาล่ะนั่น” ผมมองรอยแผลเป็นทางยาวที่ด้านหลังของเด็กหนุ่มก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบ สภาพน่าหวาดผวาเหลือเกิน เขาหัวเราะแห้งๆ ตะกุกตะกักเกินจนน่ารำคาญเลยแหละกว่าจะตอบ
“ผม..ตกจากกำแพงครับ!”
“แล้วปีนกำแพงทำไม”
“โดดเรียนครับ” ผมขมวดคิ้ว ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกว่าเขากำลังปั้นน้ำเป็นตัว มันมีแผลฟกช้ำมากมายเต็มตัวเขาไปหมด ยิ่งใบหน้ายิ่งแล้วใหญ่ แต่ยังไงก็ตามมันไม่ใช่เรื่องที่ผมจะต้องเข้าไปยุ่ง หน้าที่ของผมคือรักษาคนไข้คนเจ็บนี่นา..ใช่ไหม?
ผมเช็ดรอบแผลให้เขาก่อนที่จะล้างด้วยน้ำเกลือให้ ปิดแผลด้วยผ้าก๊อซก่อนจะฉีดยากันบาดทะยักให้เขาเป็นอันเสร็จ
“ฮานะกาคิคุง ถ้ามันเลวร้ายจริงๆ เธอควรจะปรึกษาพ่อแม่ไม่ก็แจ้งตำรวจจะดีกว่านะ” ผมกล่าวขึ้น หันหลังไปเก็บอุปกรณ์ทำแผล
“อะ..เรื่องนั้น..”
“สังคมสมัยนี้ชอบบูลลี่คนที่แตกต่าง ก่อนที่มันจะหนักหนาไปมากกว่านี้เธอน่าจะลองฟังคำแนะนำของผมนะ”
“อ่า..ครับ” เมื่อผมหันกลับมาก็เพิ่งมาเห็นว่าเด็กหนุ่มทำหน้าตาเหรอหราแค่ไหนที่โดนจับได้ ผมถอนหายใจ อดไม่ได้ที่จะเข้าไปจัดการกับทรงผมที่เขาเซ็ทไว้
“ทำอะไรครับเนี่ย ผมอุตส่าห์--”
“ผมว่าปล่อยตามธรรมชาติมันดูดีกว่านะ” ผมพูด ฮานะกาคิ ทาเคมิจิจึงอึ้งไป “แบบนี้จะได้ไม่สะดุดตาพวกนักเลงด้วย แต่..”
ผมยิ้มพลางเสยของผมอีกฝ่ายขึ้นไปเหมือนเดิม “จะแบบไหนก็แล้วแต่เธอดีกว่า ใช่ไหม?”
“ค..ครับ”
“เสร็จแล้วล่ะ จะไม่คิดเงินแล้วกัน”
“ฮืออ ขอบคุณมากเลยครับคุณหมอ” เด็กหนุ่มรีบโดดลงจากเตียงแล้วไพ่หลังโค้งคำนับให้ผมอย่างไวว่อง แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งโหยงเพราะความเจ็บจากบาดแผล มันทำให้ผมทั้งรู้สึกสงสารและก็ตลกในเวลาเดียวกันเลย
“แต่ถ้ามีคราวหน้าอีก..จะไม่ฟรีแล้วนะ”
“ครับ!” เขารับปาก จากนั้นก็โค้งให้ผมอีกหนึ่งทีด้วยความปวดร้าวก่อนจะวิ่งออกไปจากคลินิก โดยที่ไม่รอยาแก้ปวดที่ผมกะจะสั่งให้ไปกินเลย
“เป็นไข้หรือเปล่าวะ..ทำไมหน้าแดงแปลกๆ” หรือผมควรเพิ่มยาพาราให้เขาไปด้วยนะ..?
ค่ำวันเดียวกันผมออกมาซุปเปอร์มาเก็ตเพื่อซื้อกับข้าวสำหรับมือเย็น หลังจากที่ทิ้งร้านไว้กับพี่เภสัชดูเหมือนว่าการที่ผมไม่อยู่เพียงครึ่งชั่วโมงจะมีผู้ป่วยมากมายมาจอดรถมอเตอร์ไซค์อยู่เต็มหน้าร้าน รถคันใหญ่แถมท่อยังดังทำใจสั่นไม่เป็นจังหวะเลย ผมที่คร่อมจักรยานเก่าๆ สมัยม.ปลายมาก็ถึงกับชิดซ้ายถนนหลบมุมอยู่มุมตึก
บรึ้น! บรื้นน..!
“อะไรกันวะเนี่ย” ผมเบิกตากว้างเมื่อเพ่งมองดีๆ ก็พบว่าไอ้พวกที่มาบึ้นรถอยู่หน้าร้านผมเป็นแค่เด็กม.ต้น!?
สันหลังผมเสียววาบเพราะถัดจากกลุ่มเด็กแว้นหน้าร้านผมก็เป็นร้านพี่เภสัชที่มีอีกพวกนึงจอดประชันเสียงท่อกันอยู่ ไฟหน้ารถสาดเข้าใส่กันในขณะที่เสียงท่อก้องขึ้นเรื่อยๆ กลิ่นน้ำมันถูกเผาไหม้ทำผมแทบจะสำลักเลย แต่..นี่มันสถานการณ์บ้าบออะไรกันวะเนี่ย!
“มาตีอะไรหน้าร้านกูเนี่ย..” แล้วพี่เภสัชยังมีชีวิตอยู่ไหมก่อน!
“โตมัน..!”
กึก
เสียงเล็กๆ ของใครคนนึงแหวกผ่านเสียงท่อนับสิบที่ประสานกัน ทุกอย่างเงียบลงเพราะรถของทางฝั่งนี้ได้ดับลงแล้ว ก่อนจะตามด้วยอีกฝั่งที่ดับตามแม้ว่าไฟจะยังทำหน้าที่เป็นสปอร์ตไลท์อยู่เหมือนเดิม แก๊งเด็กโข่งโดดลงจากเบาะพอดีกับที่มีลมพัดเข้ามาทำให้เสื้อคลุมสีดำปลิวอย่างช้าๆ โดนสโลว์อย่างกับในหนัง..
“ลุย!”
“ว้ากก..!!”
“ฆ่ามันเลย..!!” สิ้นเสียงนั้นกลุ่มเด็กแว้นทั้งสองฝั่งก็เข้าตะลุมบอนกันทันที ท่ามกลางความช็อคของผมที่ไม่มีสติหลงเหลืออยู่แล้ว
ถามว่ามันคือหนังอะไร..
ก็หนังนักเลงตีกันน่ะสิ ไอ้หน้าห*!!
เพล้งง..!!!
อ๊ากกกก..!!!!
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
Comments
ตะวันแดง🏵️
เล่าซะเห็นภาพเลยค่ะ555
2023-07-23
0