ผู้ฝึกตนที่เเท้จริง
“นกจีจิวขันร้องเรียกหาคู่ อยู่บนเกาะแก่งกลางแม่น้ำ สาวงามแสนดีเอย เจ้าเป็นที่หมายปองของชายหนุ่ม”
“ผักซิ่งในแม่น้ำมีขนาดใหญ่เล็กปะปนกัน สาวเจ้าสาละวันเด็ดผักซิ่ง เดี๋ยวด้านซ้าย เดี๋ยวด้านขวา สาวงามแสนดีเอย ข้าตามเกี้ยวเจ้าทั้งยามตื่นและยามหลับ”
“……”
ยามเฉิน ตะวันแดงฉายแสงสีทอง พร้อมกับหมอกเลื่อนลอยเริ่มจางหายไป
ภายในลานบ้านเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ห่างไกลทางตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองเสี่ยวฉือ มีเสียงอ่านหนังสือดังแว่วออกมา
ชาวเมืองที่กำลังง่วนอยู่กับงานทุกหนทุกแห่งในเมืองเสี่ยวฉือ เมื่อได้ยินเสียงอ่านหนังสือด้วยเสียงอันไพเราะ ต่างก็พากันหันไปทางทิศตะวันออกพร้อมรอยยิ้มชื่นใจ
“……”
ยี่สิบปีก่อน
มีชายวัยกลางคนได้มายังเมืองเสี่ยวฉือ แม้เขา จะอายุเยอะ แต่กลับเป็นชายหนุ่มรูปงามและเปี่ยมไปด้วยความรู้ความสามารถ
หลังจากชายหนุ่มผู้นี้ได้มาที่เมืองเสี่ยวฉือ นับจากนั้นเขาก็ลงหลักปักฐานอาศัยอยู่ที่นี่มาโดยตลอด
ไม่นาน เขาก็ได้ก่อตั้งโรงเรียนแห่งแรกของเมืองเสี่ยวฉือขึ้นมา หวังให้เด็กเล็กจะได้เล่าเรียนอ่านเขียน ส่วนเด็กที่โตขึ้นมาหน่อยจะได้เรียนพิณ หมากล้อม พู่กันและวาดภาพ
ค่าเล่าเรียนนั้นมิมีการกำหนดอย่างชัดเจน หากผู้ใดที่พอมีเงินก็แค่จ่ายเดือนละ 2 ตำลึงก็เพียงพอ ส่วนผู้ใดที่มิมีก็ขอแค่ไข่ไก่มิกี่ฟองก็เพียงพอแล้ว หรือจะเป็นสิ่งของอย่างอื่นล้วนได้ทั้งสิ้น
บางครอบครัวที่กำลังลำบาก ชายหนุ่มที่เข้ากับทุกคนได้ง่ายผู้นี้ก็ยังคอยสมทบทุนช่วยเหลืออีกต่างหาก
เพียงระยะเวลาแค่ 8 ปี ชายหนุ่มผู้นี้ก็มีชื่อเสียงโด่งดังและเป็นที่นับหน้าถือตาอย่างมากในเมืองเสี่ยวฉือ
และเนื่องด้วยเขามีแซ่ว่า ‘ลัง’ ชายหนุ่มผู้นี้จึงถูกทุกคนเรียกขานว่า ‘ลุงลัง’
“ลุงเย่ ขออภัยด้วย ข้าขอขัดจังหวะท่านสักครู่”
ขณะที่ลุงลังกำลังสอนเด็ก ๆ เจ็ดแปดคนท่องบทกวีกวานจวีในคัมภีร์กวีซือจิงอยู่นั้น ได้มีสตรีร่างท้วมใบหน้าคร้ามแดดคนหนึ่งเดินมาที่หน้าประตู
ลุงลังหันไปพร้อมกับยิ้มบาง ๆ ก่อนเอ่ยถาม “ท่านป้าจาง มีอะไรเชิญท่านพูดมาได้เลย”
“วันนี้คนของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนจะมาที่เมืองเสี่ยวฉือของพวกเราเพื่อคัดเลือกลูกศิษย์ ข้าอยากให้เจ้าลูกไก่ของข้าไปทดสอบดู ฉะนั้นก็เลย…”
สตรีผู้นั้นมองเย่ฉางชิงด้วยใบหน้ารู้สึกผิด ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยความลำบากใจ
ลุงลังนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย ดวงตาเรียวยาวคู่นั้นฉายแววบางอย่างที่มิอาจคาดเดาได้ขึ้นมา ก่อนจะยิ้มออกมาน้อย ๆ และเอ่ยว่า “ขอเพียงได้เป็นศิษย์ของของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน ความสำเร็จในอนาคตก็มิอาจประเมินค่าได้ นับว่าเป็นเรื่องที่ดีจริง ๆ ”
“เจ้าลูกไก่ กลับบ้านไปกับแม่เถอะ”
สตรีผู้นั้นพยักหน้าอย่างนอบน้อมให้กับลุงลัง หลังจากนั้นก็หันไปกวักมือเรียกลูกชายของตนที่ยืนน้ำมูกไหลอยู่
“ลุงลัง ข้านำไข่ไก่มาให้ท่านด้วย วางเอาไว้ที่นอกประตู ตอนจะกลับท่านอย่าลืมเอากลับไปด้วยนะเจ้าคะ”
เมื่อพูดจบ สตรีผู้นั้นก็พาลูกชายที่มีอายุเพียงสิบขวบรีบไปทันที
หลังจากสตรีผู้นั้นจากไปแล้ว ก็ได้มีชาวบ้านอีกสามสี่คนในเมืองเสี่ยวฉือเดินเข้ามา
เย่ฉางชิงมองดูชาวบ้านกลุ่มนั้นด้วยใบหน้าที่แฝงไว้ด้วยรอยยิ้ม แม้ใบหน้าจะยังคงมีรอยยิ้มสุภาพประดับเอาไว้ แต่ภายในใจกลับเต็มไปด้วยความหดหู่
เพราะดูท่าโรงเรียนแห่งนี้คงใกล้จะได้ปิดตัวลงเสียแล้ว…
“ลุงลัง เจ้าเสือของข้าก็เตรียมจะเข้าร่วมการทดสอบของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน…”
“ลุงลัง เจ้าก้อนหินของข้าก็เตรียมจะเข้าร่วมการทดสอบของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน…”
“ลุงลัง เจ้าหมาน้อยคนรองของข้าก็เตรียมจะเข้าร่วมการทดสอบของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน…”
“……”
ชั่วเพลามิถึงหนึ่งก้านธูป โรงเรียนที่กว้างใหญ่ก็เหลือเพียงลุงลังแต่เพียงผู้เดียว
ลุงลังนั่งลงบนธรณีประตู ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองหมู่เมฆอันไกลโพ้น มองทิวเขาที่มีนกบินฉวัดเฉวียนไปมาก็อดมิได้ที่จะถอนหายใจออกมาเงียบ ๆ
ความจริงแล้ว เขาเป็นเซียนและได้มายังโลกแห่งนี้เมื่อ 20 ปีก่อน
ที่นี่เป็นโลกบำเพ็ญเพียรที่ มนุษย์ ปีศาจ และอสูรอยู่ร่วมกัน ผู้บำเพ็ญเพียรที่ฝึกตนจนแข็งแกร่งจะสามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ มีพลังผลักภูเขาพลิกทะเล กล่าวได้ว่าคนผู้นั้นจะมีสุดยอดพลังเหนือธรรมชาติ
ตอนที่เขามายังโลกนี้เป็นครั้งแรก ลุงลังในตอนนั้นเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น คิดว่าตนเองจะสามารถอยู่เเบบคนธรรมดาๆ ได้ เหมือนกับผู้บำเพ็ญเพียรคนอื่น ๆ และก้าวขึ้นไปสู่จุดสูงสุดของวิถีเซียนได้อย่างรวดเร็ว และเฝ้ามองดูเหล่าสรรพสัตว์ทั้งหลาย
เมื่อ 10ปี ก่อนตอนที่เข้ารับการประเมินเป็นศิษย์ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนนั้น เขากลับถูกตรวจพบว่าตัวของเขามิมีฐานการฝึกตน
ตัวเขาก็ไม่ได้หวังอะไรอยู่เเล้ว เขาเเค่มาสำรวจดูว่าการประเมิน ศิษย์ เป็นเช่นไรบ้าง เพราะเขา เองก็อยู่มานาน ตั้งเเต่ โลกยังไม่เกิด เเละดู การวิวัฒนาการของมนุษย์
สำหรับลุงลังนั้นยังมิต้องพูดถึงเรื่องการบ่มเพาะของเขาเลยว่า จะเเข็งเเกร่งเพียงใด อาจจะไม่มีผู้ใดต่อกรเลยว่าได้ว่า นั่นหมายความว่าเขาอยากใช้ชีวิตเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาบนโลกนี้เท่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนั้นก็เวลาได้ผันผ่านไปเร็วจริงๆผ่านไป4500ล้านปีเต็ม ๆตั้งเเต่ที่กำลังก่อต้วสร้าง แล้ว --
บางครั้งเขาก็อดที่จะสงสัยมิได้ว่า ผู้แต่งของเรื่องนี้ คิดอะไรอยู่?
แต่ว่าการอยู่ที่เมืองเสี่ยวฉือแห่งนี้มานานถึงหลายปี ก็ทำให้เขาคิดอะไรได้หลายอย่าง
ในโลกที่ปีศาจออกอาละวาดเช่นนี้ ภายนอกนั้นจึงเต็มไปด้วยอันตราย และการที่มีผู้ฝึกตนความจริงแล้วก็ดีเหมือนกันในเรื่องของความปลอดภัย ของชาวเมือง
ณ โลกนี้ มิมีแสงสียามค่ำคืน มิมีความวุ่นวายของเมืองหลวง ทุกวันคอยพร่ำสอนให้คนอ่านเขียน มีเวลาว่างก็วาดภาพทิวทัศน์ เขียนอักษร ดื่มน้ำชา และนั่งดีดพิณอย่างสบายใจ
ในความคิดของเขา การฝึกจิตใจและการปฏิบัติตัวเช่นนี้ก็ถือว่ามิเลวเลย
นอกจากนี้ เพื่อให้ชีวิตได้อยู่อย่างสะดวกสบายยิ่งขึ้น เขาจึงได้เปิดร้านขายของชำขึ้นในเมืองเสี่ยวฉืออีกด้วย
เดิมทีเขาวางแผนที่จะขายหนังสือและภาพวาดของตนเอง แต่คนในเมืองเสี่ยวฉือล้วนเป็นคนหยาบกระด้างหาได้ชื่นชอบสิ่งเหล่านี้ไม่ ดังนั้นการเปิดร้านเช่นนี้จึงมิเหมาะกับที่นี่เท่าใดนัก
สุดท้ายเขาจึงเปลี่ยนมาเป็นร้านขายของชำแทน โดยปกติก็จะขายพวกของป่าต่าง ๆ และหากเป็นช่วงเทศกาลเขาก็จะรับวาดรูปเทพผู้พิทักษ์ประตู และเขียนกลอนคู่สำหรับติดประตูด้วย
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ร้านขายของชำแห่งนี้ก็พอทำให้ชีวิตของลุงลังนั้นมีชีวิตชีวามากขึ้น
และบัดนี้ เด็กนักเรียนสุดที่รักได้จากไปหมดแล้ว ลุงลังจึงทำได้เพียงปิดประตูโรงเรียน ก่อนเตรียมตัวกลับไปเปิดร้านขายของชำต่อ
หลังจากผ่านไปครึ่งก้านธูป ลุงลังก็ได้มาถึงร้านขายของชำของเขานั้นก็คือบ้านของเขา ก่อนจะทำความสะอาดหน้าประตูอย่างลวก ๆ จากนั้นจึงวิ่งไปที่ลานด้านในเพื่อหยิบม้วนภาพวาดทิวทัศน์สองภาพมาแขวนในร้าน
เนื่องจากวันนี้มีคนจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนมารับสมัครลูกศิษย์ คนของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนต่างมีภูมิหลังที่แตกต่างกันไป ไม่แน่ว่าหนึ่งในศิษย์เหล่านั้นอาจมีคนมาจากครอบครัวนักปราชญ์ หรือเป็นผู้ที่ชื่นชอบพู่กันและภาพวาดก็เป็นได้
แน่นอนว่าลุงลัง พอใจผลงานของตนเองมากทีเดียว
สาเหตุส่วนหนึ่งก็เพราะเขา อยากใช้ชีวิตเเบบชิวๆ
และอีกเหตุผลหนึ่งก็เพราะหลังจากที่เขามาถึงที่โลกนี้ ก็ได้ค้นพบว่าตัวเองนั้นมีความเข้าใจในเรื่องพิณ หมากล้อม พู่กัน อย่างถ่องเเท้
เขามั่นใจว่าหากมีคนนำผลงานเหล่านี้ของเขาชิ้นใดชิ้นหนึ่งติดมือกลับไป ต้องเป็นคนที่มีวัสนาที่ดีเเละตาถึง อย่างเเน่นอน
ลุงลังที่นอนอยู่บนเก้าอี้หวายและกำลังชื่นชมภาพไท่เสวียนฉางชิงตรงหน้า จู่ๆ ก็ตบหน้าผากตัวเองไปหนึ่งฉาด ราวกับนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้กะทันหัน
เเต่ก็ไม่มีอะไร
เวลานี้ท้องฟ้าทั่วทั้งเมืองเสี่ยวฉือกำลังมีลำแสงบางอย่างพาดผ่าน เสียงที่ทะลุผ่านอากาศรุนแรงจนแสบแก้วหู
ลุงลังคอยๆขึ้นยืนก่อนจะเดินไปที่ประตู เขามองดูท่าทางสง่างามของเหล่าคนที่ขี่กระบี่อยู่บนท้องฟ้า พวกเขาเหล่านั้นเหาะเหินอยู่บนอากาศอย่างองอาจ ใบหน้าที่หล่อเหลาของเขาจึงเต็มไปด้วยความน่าเกรงขาม
“หากวันหนึ่งพวกเจ้าเป็นคนที่ยิ่งใหญ่พวกเจ้าจะช่วยผู้คนรึป่าว?”
\[1\] ยามเฉิน คือเวลา 07.00 น. – 09.00 น.
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
Comments