act2 จากนั้น
เย็นวันนั้นผมกลับมาบ้าน หลังจากที่กินข้าวเย็นและทำการบ้านเสร็จเรียบร้อยแล้วผมก็มานั่งคิดทบทวนเรื่องที่ผมเจอมาวันนี้ ถ้าคนที่ผมเจอเมื่อตอนเย็นไม่ใช่ทั้งเมกุมิกับฮิคาริ สรุปแล้วพวกเธอยังมีแฝดอีกคนงั้นเหรอ นี่มันแฝดสามเลยนะ
เมกุมิ ติดโบว์สีดำที่ผม เป็นคนที่คุยด้วยง่ายและเป็นกันเองสุดๆ
ฮิคาริ ไม่ติดโบว์ พูดจาสุภาพ ดูจะเป็นคนที่เรียบร้อย แต่ดูเข้าถึงยากไปหน่อย
ส่วนคนที่เจอเมื่อตอนเย็น ยังไม่รู้ว่าเป็น1ใน2คนนั้นรึเปล่า แต่ถ้าดูจากนิสัยแล้วมันตรงกันข้ามกับสองคนนั้นอย่างชัดเจน เธอเองก็ไม่ได้ใส่โบว์ เป็นคนที่ปากร้าย ชอบทำหน้าตาน่ากลัวด้วย แต่ก็ยังไม่แน่ใจว่าเป็นหนึ่งในสองคนนั้นแกล้งผมรึเปล่า แต่น่าจะแยกได้อย่างนี้ละนะแล้วทำไมต้องมาคิดจริงจังด้วยละเนี้ย แล้วผมก็เข้านอน
เช้าวันต่อมา ผมเดินไปโรงเรียนคนเดียวตามปกติ ตัดมาตอนเย็น ผมไปที่ห้องสมุดเพื่อติวหนังสือคนเดียว ผมอยากได้ทุนการศึกษาแต่เกรดที่ได้ต้องสูงพอสมควรจึงจะได้โควต้าเงินทุน ผมเลยต้องตั้งใจเรียนให้มากขึ้น ทันใดนั้นเอง แฝดคนหนึ่งก็เข้ามาทักผม
(โอนามิ-ไง ซาคุตะคุง)
สิ่งแรกที่ผมมองไปเช็คเลยคือที่ผมเธอติดโบว์รึเปล่า ปรากฏว่าเธอติดโบว์สีดำผมเลยมั่นใจเรียกอย่างแน่วแน่
(อาซาฮิ-เมกุมิ ใช่มั้ย?)
ถึงจะบอกว่ามั่นใจอย่างแน่วแน่แต่กลายเป็นเหมือนผมถามเธอกลับเพื่อความแน่ใจอีกครั้งเลย
(โอนามิ-ไม่ใช่นะ)
เธอตอบกลับด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย
(อาซาฮิ-เอ๊ะ?)
ผมถึงกับช็อค อะไรกันอุตส่าห์มั่นใจแล้วแท้ๆ
(เมกุมิ-ล้อเล่นน่า ทักถูกคนแล้ว แล้วนายมาทำอะไรที่ห้องสมุดเหรอ อ๊ะมาห้องสมุดก็ต้องมาอ่านหนังสือนี่นะ)
เธอนี่เป็นคนขี้เล่นจริงๆแฮะ
ผมได้เล่าเรื่องทุนการศึกษาให้เธอฟัง แน่นอนว่าเรื่องที่แม่ของผมป่วยด้วย
(เมกุมิ-งั้นให้ฉันติวด้วยสิ)
เธอขอให้ผมช่วยติวให้เธอด้วยเพราะเธอ หัวไม่ค่อยดีถ้าเทียบกับฮิคาริ ที่ทั้งเรียนเก่งกีฬาก็เก่งแถมเธอยังเป็นที่นิยมมากในหมู่เด็กผู้ชาย
(เมกุมิ-ตัวฉันไม่มีอะไรโดดเด่นเลยสักอย่างทั้งที่หน้าตาเหมือนกันแท้ๆ)
ผมได้ยินก็รู้สึกแปลกใจ เป็นแฝดกันแต่ก็มีบางอย่างที่ต่างกันอยู่สินะ จากนั้นผมก็ประมวลผลสมองอีกครั้ง แล้วพูดออกมา
(อาซาฮิ-การที่เธอเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น มันก็ไม่ได้แย่อะไรหรอกนะ แต่ละคนก็มีความโดดเด่นของตัวเองอยู่ บางทีแค่ยังหาไม่เจอแค่นั้นเอง เธอไม่จำเป็นจะต้องเหมือนคนอื่นทุกอย่างหรอก แค่เป็นตัวของตัวเองก็พอแล้ว แต่กรณีของเธอมันคงจะยากละนะเพราะเป็นแฝดกันด้วย แต่นิสัยแต่ละคนก็ไม่เหมือนกันอยู่แล้ว)
ผมพูดจบปุป เมกุมิก็เงียบไปพักหนึ่ง จากนั้นเธอก็ยิ้มและพูดออกมา
(เมกุมิ-ขอบใจนะ ซาคุตะคุง ฉันจะพยายาม หาความโดดเด่นของตัวเองให้ได้)
รอยยิ้มของเธอดูสดใสสุดๆ เป็นรอยยิ้มที่ดูไร้เดียงสาและอ่อนโยนมาก
แต่นี่ผมพูดมากเกินไปรึเปล่าเนี้ย แต่ถ้าเธอเข้าใจก็ดีแล้ว ตัวผมไม่เคยมีเพื่อนเลยสักคน แต่พอได้คุยกับเมกุมิแล้วทำไมถึงพูดได้เยอะขนาดนี้นะ ผมก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน หรืออาจะเป็นเพราะ ไม่สิคงจะไม่ใช่หรอก
-บ้านเมกุมิ-
เมกุมิกำลังนั่งทำการบ้านอยู่ที่ห้องนั่งเล่น
(เมกุมิ-ข้อนี่ตอบอะไรแล้วนะ....อืม)
ใกล้ๆกันนั่นมีแฝดอีกคนกำลังนั่งดูทีวีอยู่บนโซฟาอยู่
(โอนามิ-เมกุมิฉันลืมเล่าไปเมื่อวันก่อนมีสโตลกเกอร์คอยตามฉันด้วยละ แถมมันยังรู้จักทั้งเธอกับฮิคาริด้วย)
(เมกุมิ-เอ๊ะ จริงเหรอยูกิ ใครน่ะรู้จักมั้ย?)
(ยูกิ-ก็บอกอยู่ว่าเป็นสโตลกเกอร์ จะไปรู้จักได้ยังไง)
(เมกุมิ-เอ๊ะ?...หรือว่าจะเป็นซาคุตะคุงกันนะ)
(ยูกิ-ซาคุตะ?)
เมกุมิได้เล่าเรื่องที่อาซาฮิช่วยเธอหาพวงกุญแจให้ยูกิฟัง
(ยูกิ-น่าแปลกใจนะที่เธอทำของหาย ปกติแล้วเธอจะไม่ค่อยทำอะไรหายเลยนะ เพราะเก็บข้าวของเป็นอย่างดีตลอดแต่ถ้าเป็น ฮิคาริ ก็ไม่แน่หรอกนะ)
ยูกิพูดแซวฮิคาริพร้อมกับทำหน้ากวนๆ
(ฮิคาริ-ใช่สิก็ฉันทั้งซุ่มซามทั้งเงอะงะนี่น้า แต่ถึงเวลาอยู่ต่อหน้าผู้คนเยอะๆ ฉันก็เพอร์เฟคทุกอย่างละนะ เมกุมิเองก็ทำอาหารเก่ง ว่าแต่ยูกิเธอน่ะยังรักษาโรคนั่นไม่หายอีกเหรอ?)
ยูกิถอนหายใจ แล้วตอบกลับ
(ยูกิ-....โรคเกลียดผู้ชายมันแก้ยากละนะ เธอเองก็ระวังหน่อยเถอะผู้ชายทุกคนน่ะเชื่อใจไม่ได้หรอก)
ฮิคาริ เงียบไปสักพักจากนั้นก็เริ่มพูดออกมา
(ฮิคาริ-วันนี้คุณพ่อ ชวนพวกเราไปกินข้าว เธออยากไปด้วย... )
(ยูกิ-ไม่ละ ฉันกินแล้ว)
พูดยังไม่ทันจบประโยค ยูกิก็พูดปฏิเสธ ทันที
จู่ๆบรรยากาศก็เริ่มตึงเครียดขึ้น
(ฮิคาริ-งั้นไว้คราวหน้าละกัน)
เธอพูดและยิ้มบางๆให้ยูกิ
ยูกิเดินกลับเข้าห้องตัวเอง ทีนที
เมกุมิกับฮิคาริหันมามองหน้ากันแล้วก็ถอนหายใจออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
Comments