ตอนที่ 04

“ลูกนำแก้วมณีมาคืนเพคะ” พระลักษะเอ่ยพร้อมยื่นแก้วมณีคืนแก่บิดาในท้องพระโรงกลางตำหนักด้านหน้าฝั่งซ้ายของเวชยันต์มหาปราสาท

“สีกำลังสวยเชียว” องค์อินทร์มองแก้วมณีสีรุ้งในมือด้วยรอยยิ้มพอใจ

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าพ่อจะนำน้ำอมฤตเทวานี้ไปทำอะไร” องค์อินทร์ถามบุตรีที่นั่งต่ำลงไปเบื้องขวา  

“น้ำอมฤตที่ทำพิธีเกษียรสมุทรไม่สำเร็จจะมีฤทธิ์รักษาบาดแผลและโรคต่างๆ แต่หาได้ทำให้เป็นอมตะแลเป็นพิษต่อกายเนื้อ ลูกคิดว่าเสด็จพ่อคงจะสร้างสิ่งที่มีพลังด้านการรักษาเพคะ” พระเทวีร่างสูงตอบพระบิดาด้วยวาจาฉะฉานและรวดเร็ว

“สมกับที่เป็นลูกพ่อแต่มีอีกสิ่งที่เจ้ายังไม่รู้”

“อะไรหรือเพคะ” พระลักษะนิ่วหน้าถามด้วยความสงสัย

“ก็อมฤตเทวาที่ต้องแสงจันทร์เต็มดวงจะมีฤทธิ์ดูดซับพลังที่มากระทบและสะท้อนกลับได้อย่างไรล่ะ” องค์อินทร์ลูบเกศาสีดำสนิทของบุตรสาวอย่างเอ็นดูและภูมิใจที่ธิดาของพระองค์ช่างเก่งกล้าและรอบรู้

“เช่นนั้น.. เสด็จพ่อกำลังจะสร้างสิ่งที่ปราบแก้วมณีที่บรรจุพลังของนพเคราะห์หรือเพคะ” นัยน์ตาสีนิลเป็นประกายเมื่อปัญหาที่กังวลดูเหมือนจะมีทางแก้ไข

“จะว่าเช่นนั้นก็ย่อมได้ แก้วมณีดวงนี้จะคอยดูดซับความรุนแรงของมณีนพเก้าที่กำลังจะเกิดขึ้น หากมณีนพเก้าถูกชิงไปมณีดวงนี้ก็จะมอบพลังแก่ผู้ที่เหมาะสมเพื่อนำทางตามหาและนำมณีนพเก้ากลับคืนสู่ที่เดิม อีกทั้งยังมีฤทธิ์ฟื้นฟูรักษาอาการบาดเจ็บได้เช่นกันเพราะมวลสารหลักคือน้ำอมฤตที่ประกอบพิธีเกษียรสมุทรไม่เสร็จ” องค์อินทร์อธิบายพลางมองแก้วมณีที่ลอยอยู่ตรงหน้าอย่างพินิจ ก่อนจะปล่อยแสงสีเขียวมรกตเข้าสู่มณีสีรุ้งทำให้แสงสีรุ้งหายไปเหลือไว้เพียงแก้วมณีสีขาวนวลดุจไข่มุกเม็ดใหญ่แล้วส่งคืนแก่พระลักษะ  

“สามราตรีที่เหลือเป็นหน้าที่ของลูก”

“หน้าที่ของลูก??” พระลักษะเอียงคอถามบิดาด้วยความสงสัยว่าเกี่ยวอะไรกับตน

“ใช่ จงนำมันไปอาบแสงรัตนะของตรีเจ็ดแสงจนกว่าแก้วมณีดวงนี้จะเปล่งแสงเจ็ดสีด้วยตัวของมันเอง” องค์อินทร์ไขข้อข้องใจของบุตรสาวด้วยน้ำเสียงอบอุ่น

“แล้วพระองค์จะนำแก้วมณีดวงนี้ไปไว้ที่ใดพะยะค่ะ อมฤตเทวาเป็นพิษมหันต์ต่อกายเนื้อของสรรพสัตว์บนโลกเบื้องล่าง” ภาคียะเอ่ยถามพระผู้เป็นใหญ่ด้วยความไม่เข้าใจ เพราะแม้เพียงหนึ่งหยดที่หล่นลงสู่พื้นพิภพที่แห่งนั้นจะเกิดไฟไหม้เป็นวงกว้างหนึ่งโยชน์ถึงสามวันสามคืน

“มันก็ต้องมีที่สำหรับมันอยู่แล้วล่ะภาคียะ หากเจ้าลองนึกดูดีๆก็จะรู้เองว่าที่ใดที่จะสามารถต้านทานพิษที่รุนแรงเช่นนี้ได้” องค์อินทร์หันไปบอกบริวารที่นั่งเยื้องห่างออกไป แต่บริวารคนสนิทยังคงเกาหัวแกรกๆด้วยความไม่เข้าใจ จนองค์อินทร์ส่ายหัวน้อยๆให้กับบริวารของตนก่อนจะเริ่มต้นอธิบายใหม่ เรียกรอยยิ้มน่ารักให้แก่ผู้เป็นธิดาที่นั่งอยู่ข้างๆมองจอมเทพแห่งดาวดึงส์กับบริวารคนสนิทที่กำลังสั่งสอนกันถึงเรื่องของพิภพแห่งมนุษย์

...๐๐๐...

ณ วิมานแก้วที่ทอแสงสว่างไสวอยู่ดินแดนทางทิศทักษิณของสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ห่างจากอุทยานผารุสกวัน*ไปไม่ไกล วิมานแก้วแห่งนี้ถูกประดับไปด้วยอัญมณีหลากหลายชนิดที่ผสมผสานกันอย่างลงตัววิจิตรงดงามล้ำค่ากว่าวิมานใดๆ สีของวิมานแห่งนี้จะเปลี่ยนไปตามกำลังวันของนพเคราะห์ในแต่ละวัน รอบๆวิมานหลังใหญ่มีวิมานของเทพบริวารอีกกว่าสี่ร้อยวิมาน โดยแต่ล่ะวิมานก็มีวิมานเล็กๆของเหล่าเทวดาเป็นบริวารล้อมรอบอีกสี่ทิศซึ่งบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าผู้ครองวิมานแก้วหลังใหญ่นี้มีบารมีมากมายเพียงใด อาณาเขตสีรุ้งแห่งนี้จึงเป็นที่สะดุดตาของเหล่าชาวสวรรค์ทั้งหลายที่ผ่านไปมา เมื่อมาเยือนอุทยานผารุสกวันก็จะมองเห็นอาณาเขตนี้ทอดยาวออกไปจนสุดสายตาในทิศทักษิณ มีวิมานแก้วหลากสีหลังใหญ่ตั้งเด่นตระหง่านอยู่ตรงกลาง ตรงยอดหอสูงของปราสาททอแสงเจ็ดสีอยู่เป็นระยะ

“การัณยะ” เสียงกังวานของผู้ครองวิมานเรียกหาเทวดาคนสนิทที่ทำหน้าที่เฝ้าท้องพระโรงแก้ว แต่ทว่าร่างปราดเปรียวกลับไม่อยู่ในตำแหน่งที่นั่งอยู่ประจำผู้เป็นเจ้าของวิมานก็เริ่มจะไม่พอใจ

“การัณยะ!!!” เมื่อไม่เห็นเจ้าของชื่อขานรับก็ทำให้ผู้เป็นนายชักหงุดหงิดตวาดเสียงดังกึกก้องทั่วทั้งวิมาน

“อยู่นี่พะยะค่ะ!!! เกล้ากระหม่อมอยู่นี่!!” เทวดาเจ้าของชื่อรีบวิ่งกุลีกุจอ ออกมาจากที่แอบงีบทันทีที่เสียงเย็นตวาด

“เจ้านี่นะ เราบอกให้เฝ้าวิมานไม่ใช่ให้นั่งหลับ!!” เสียงดุๆของผู้เป็นนายเหนือหัวทำให้การัณยะได้แต่ทำหน้าแหยๆยิ้มรับอย่างเสียมิได้

“โธ่พระองค์ นั่งเฝ้าเฉยๆมันก็ง่วงนี่พะยะค่ะเกล้ากระหม่อมก็เลย...”  

“หากมันว่างนักเจ้าก็ควรนั่งบำเพ็ญภาวนาจะได้พ้นจากวรรณะเทวดา จะได้เลิกเป็นข้ารองบาทของเราแล้วไปมีวิมานเป็นของตนเองเสียที”

“เกล้ากระหม่อมจะอยู่รับใช้องค์พระลักษะตลอดไปพะยะค่ะ!!!” การัณยะพูดด้วยสีหน้าจริงจังจนทำให้พระลักษะส่ายหน้าน้อยๆให้กับความดื้อดึงของบริวารตน

“เราจะเข้าฌานที่หอไตรสามวัน ห้ามผู้ใดรบกวนหากไม่มีการธุระสำคัญ”

“รับด้วยเกล้าพะยะค่ะ!!!”

หลังจากกำชับบริวารคนสนิทพระลักษะก็เดินตรงไปยังปราสาทที่ตั้งอยู่บริเวณใจกลางของวิมาน เมื่อถึงยังที่หมายพระเทวีร่างสูงก็เดินเข้าห้องไปทันทีมีการัณยะคอยเฝ้าอยู่หน้าประตู

โดยห้องแห่งนี้เป็นห้องที่พระลักษะใช้บำเพ็ญภาวนาเป็นประจำ พอเดินมาถึงศิลาอาสน์ที่ประทับตรงกลางห้องพระลักษะก็เสกดวงแก้วสีขาวนวลให้ลอยขึ้นไปบนเพดานของห้อง เปลี่ยนชุดทรงจากชุดของสตรีสีฟ้าอ่อนที่มีสไบสีขาวบริสุทธิ์บางๆประดับยาวจากหัวไหล่ด้านขวาลงมาปรกถึงกลางหลังเป็นชุดบุรุษสีม่วงอ่อนๆ ซึ่งหากใครได้พบพระลักษะในยามนี้ก็คงคิดว่าผู้ที่ยืนอยู่ตรงนี้คือเทพบุตรเป็นแน่ เพราะใบหน้าที่คมสันได้รูปกับคิ้วเข้มที่โก่งดั่งคันศรรับกับจมูกโด่งรั้นทำให้ใบหน้าขาวนั้นคมเข้มและมีดวงตาคมโต นัยน์ตาสีดำสนิทที่ทอประกายเล็กๆเหมือนบ่อน้ำสีนิลยามต้องแสงจันทร์ชวนให้หลงใหลเข้าคู่กับริมฝีปากสีแดงจางๆหยักได้รูปพอช่วยให้ใบหน้าคมดูหวานขึ้นมาบ้าง แต่ด้วยความที่สูงปราดเปรียวกว่าสตรีทั่วไปจึงทำให้ดูองอาจแลดูแข็งแรง บวกด้วยความน่าเกรงขามที่ถอดแบบมาจากบิดาจึงทำให้พระลักษะดูเหมือนบุรุษมากกว่าจะเหมือนสตรี รัศมีสีทองที่ส่องสว่างช่วยขับให้ผิวขาวละเอียดนั้นน่ามองผมสีดำที่ยาวสลวยถูกเกล้าขึ้นมวยเก็บไว้อย่างเป็นระเบียบพอสวมเครื่องทรงเช่นนี้แล้วจึงมองไม่ออกว่าผู้ที่ยืนอยู่นี้เป็นเทพหรือเทวี

เมื่อเปลี่ยนเครื่องทรงเสร็จแล้วจึงนั่งขัดสมาธิบนแท่นศิลารัศมีสีทองสว่างจ้าไปทั่วทั้งห้องแล้วอ่อนแสงลงดังเดิม เพดานเหนือแก้วมณีมีแสงเจ็ดสีพาดผ่านมณีสีนวลลงมายังผู้ที่นั่งอยู่บนแท่นศิลา

...๐๐๐...

ด้านวิมานสีทองหลังใหญ่ฝั่งทิศบูรพาซึ่งอยู่ห่างจากนันทวันอุทยานพอสมควร เป็นที่ประทับของเทพผู้ดูแลผืนปฐพีและความอุดมสมบูรณ์ของผืนดินบนพื้นพิภพเบื้องล่าง มีหญิงสาวหน้าหวานยืนเหม่อมองดอกไม้ทิพย์ด้วยสีหน้าที่ดูไม่ยินดีกับความงามเบื้องหน้าเท่าใดนัก

“กลุ้มใจเรื่องอะไรอยู่หรือสุชาวดี” เสียงอบอุ่นของผู้เป็นภัสดาดังมาจากด้านหลังของหญิงสาวร่างบางที่ยืนเหม่อมองสวนหย่อมเล็กๆข้างวิมาน

“น้องรู้สึกกังวลแปลกๆเพคะ” สุชาวดีหันมาสบตากับพระศรุตด้วยสีหน้ากังวล

“เจ้าเห็นอะไรรึ บอกพี่ได้หรือไม่”

“น้องก็บอกไม่ได้เพคะว่ามันเป็นเรื่องอะไร ภาพที่น้องเห็นนั้นไม่ชัดเจนนักเหมือนมีหมอกขาวๆมาบดบังเอาไว้ รู้เพียงว่าเจ้าพี่อาจจะต้องจุติลงไปยังโลกเบื้องล่าง” สุชาวดีถอนหายใจเบาๆจับมือหนาของภัสดาไว้แน่นราวกับว่าจะต้องจากกันไปไกล ด้วยนางนั้นมีญาณหยั่งรู้ติดตัวมาตั้งแต่อุบัติขึ้นเป็นอัปสรแต่ก็ไม่ใช่ทุกเรื่องที่จะมองเห็นได้จะมีเพียงลางสังหรณ์บางอย่างเป็นตัวบอกเท่านั้น

“อย่าเพิ่งกังวลไปเลยสุชาวดี หากวันนั้นมาถึงเราก็ทำได้เพียงแค่ยอมรับมันเท่านั้นเอง วงล้อแห่งกรรมไม่มีผู้ใดที่สามารถหยุดได้ดอกเจ้า นอกจากพระพุทธองค์ที่เสด็จดับขันธปรินิพานไปแล้ว อีกอย่างเวลาที่โลกมนุษย์ต่างจากที่นี่อยู่มากนักพี่อาจจักลงไปเพียงหนึ่งวันบนดาวดึงส์ก็ได้” พระศรุตพูดพร้อมโอบเอวบางของพระชายาเข้ามาสวมกอด ความอบอุ่นจากเทพบุตรหนุ่มถูกส่งผ่านไปยังร่างเล็กๆในอ้อมแขนให้ได้คลายความกังวลลง

“น้องจะขอตามเสด็จด้วยเพคะ” สุชาวดีสบตากับคนตัวสูงที่กอดตนอยู่เพื่อยืนยันในสิ่งที่ตนเอ่ยอย่างหนักแน่น

“หากเจ้าต้องการเช่นนั้นพี่ก็ไม่ห้าม แต่เจ้าจงพึงรู้ไว้ว่าพี่ก็ไม่อยากให้เจ้าต้องลำบากเช่นกัน” พระศรุตบอกชายาที่อยู่ในอ้อมแขนด้วยน้ำเสียงอบอุ่นและอ่อนโยนเพราะนางคือทั้งหมดในชีวิตของเขา

“หากที่ใดที่มีเจ้าพี่อยู่ที่นั่นก็เป็นที่ที่หม่อมฉันมีความสุขที่สุดแล้วเพคะ” สุชาวดีเอ่ยกับอกแกร่งของภัสดา สำหรับนางไม่มีบุรุษใดที่จะอ่อนโยนและอบอุ่นได้เท่าคนตัวสูงที่กอดนางไว้อีกแล้ว หากเขาต้องลำบากนางก็พร้อมที่จะลำบากไปด้วยขอเพียงแค่ได้ยืนเคียงข้างเขาเช่นนี้ตลอดไป ต่อให้เขาต้องจุติลงไปยังนรกภูมินางก็พร้อมที่จะตามลงไปอย่างเต็มใจ 

เทพบุตรหนุ่มก้มลงมอบจุมพิตที่แสนหวานให้แก่ร่างบางในอ้อมกอดเป็นการยืนยันว่าเขารับรู้ได้ถึงความรักที่นางมีให้ สุชาวดีเงยหน้ารับจุมพิตแสนหวานที่มีแต่ความอบอุ่นจากภัสดาด้วยความเต็มใจเพราะนางเองก็รับรู้ได้ว่าเขานั้นก็รักนางไม่น้อยไปกว่ากัน ความหวานที่แผ่ซ่านเข้ามาพร้อมความอบอุ่นทำให้นางแทบจะลืมสิ้นในทุกสิ่งอย่าง อยากจะอยู่เช่นนี้ให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้อยู่ในอ้อมกอดของเขาเพียงผู้เดียว

มหาเทพผู้ครองพิภพแห่งโลกเบื้องล่างผู้ที่ดูสุขมและน่ายำเกรงซึ่งเป็นที่เกรงขามมากในหมู่เทพ แต่หากคราใดที่มีสุชาวดีผู้นี้ยืนอยู่เคียงข้างก็จะมีความอบอุ่นเพิ่มเข้ามาให้เห็นเสมอ นางคือผู้เติมในส่วนที่เขาขาดให้เต็มซึ่งไม่มีผู้ใดจักเหมือนนางอีกแล้ว เขาหลงรักนางตั้งแต่ครั้งแรกที่พบกันและเขาก็จะรักมั่นเพียงนางในอ้อมกอดตลอดไปตราบสิ้นอายุขัยบนดาวดึงส์ แม้ว่าหมดบุญไปเกิดในที่ใดเขาก็จะรักมั่นเพียงนางผู้เดียว

...๐๐๐...

ตู้ม!!!!!!

เสียงระเบิดดังสนั่นท้ายสวนของวิมานด้านทิศอุดร เป็นเหตุให้เหล่าชาวสวรรค์ที่อยู่แถวนั้นพากันแตกตื่นหลบหนีกันพัลวัน

“ฝีมือกระจอกเช่นนี้เจ้าคิดว่าจะหยุดข้าได้งั้นรึ ฮ่าๆๆ” เสียงแหบพร่าเจือความชั่วร้ายหัวเราะร่าเมื่อเห็นร่างของเทพบุตรโดนพลังของตนเข้าเต็มๆ  

“ต่อให้เราต้องตายเราก็จะนำเจ้าลงสู่นรกภูมิให้จงได้!!!!” เทพบุตรหนุ่มวิ่งเข้าใส่จอมอสูรอีกครั้ง เพราะเขาได้รับบัญชาให้ส่งอสูรตนนี้ลงไปยังนรกภูมิ แต่เขาดันประมาทเกินไปเลยทำให้เสียทีจนอสูรตนนี้ขึ้นมาถึงดาวดึงส์ได้หากท้าวสักกะเทวราชทรงทราบเขาคงไม่พ้นต้องโทษหนักเป็นแน่แท้

...๐๐๐...

...๐๐...

...๐...

[1] ผารุสกวัน อ่านว่า ผา - รูด - สะ - กวัน

เลือกตอน

กกาวน์โหลดทันที

ชอบผลงานนี้ไหม? ดาวน์โหลดแอพ บันทึกการอ่านของคุณจะไม่สูญหาย
กกาวน์โหลดทันที

โบนัส

ผู้ใช้ใหม่ที่ดาวน์โหลดแอพสามารถปลดล็อค 10 ตอนได้ฟรี

รับ
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!