หยางหลงถึงกลับขมวดคิ้วทันทีอย่างสงสัย หลังจากที่ได้ทราบเรื่องจากองครักษ์เงาที่ให้ตามดูและรายงานพฤติกรรมของไป๋เสวี่ยเฟินที่ได้ตามดูมาเจ็ดวัน
“ทูลฝ่าบาท ฮองเฮาทรงทำแต่พฤติกรรมเดิม ๆ ซ้ำทุกวัน ทรงตื่นยามเหม่า (05.00 – 06.59 น.) จากนั้นจะออกมานั่งนิ่ง ๆ ที่ศาลาในสวนดอกไม้จนถึงยามเฉิน (07.00 – 08.59 น.) และยังทรงเหม่อลอยอีกด้วยพ่ะย่ะค่ะ จากนั้นก็ทรงลุกขึ้นกลับตำหนักประมาณครึ่งชั่วยามก็เดินออกมา และทรงเข้าครัวทำอาหารด้วยตนเองทุกมื้อเลยพ่ะย่ะค่ะ หลังจากรับอาหารเช้าก็ทรงงานในห้องหนังสือจนถึงยามโหย่ว (17.00 – 18.59 น.) และทรงรับประทานอาหารเย็น หลังจากนั้นพระตำหนักก็ดับไฟทุกดวงในยามห้าย (21.00 – 22.59 น.) พ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อได้ฟังเรื่องที่ตนให้สืบหยางหลงก็สะบัดมือไล่ให้องครักษ์เงาออกไปจากห้องทำงานของเขา
ไป๋เสวี่ยเฟินเป็นอันใดกัน เหตุใดถึงทำตัวเยี่ยงนี้ หรือยังไม่หายป่วยอย่างนั้นรึ แต่ช่างเถอะเป็นแบบนี้ก็ดี จะได้หยุดก่อกวนวังหลวงเสียที หยางหลงคิดในใจ
ตั้งแต่ฮ่องเต้หยางหลงเสด็จไปเยี่ยมวันนั้นก็มิได้ไปเยี่ยมไป๋เสวี่ยเฟินแต่อย่างใด และไป๋เสวี่ยเฟินก็ไม่ก้าวเท้าออกจากตำหนักอีกเลยนานถึงสามเดือนแล้ว
วังหลวงเงียบสงบมานานถึงสามเดือน ไม่มีข่าวว่าวันนี้ฮองเฮาทรงไปรังแกสนมคนไหน ฮองเฮาไปป่วนฮ่องเต้เยี่ยงไร หรือทรงไปด่าทอไป๋หวงกุ้ยเฟยแต่อย่างใด ข่าวคราวแพร่สะพัดไปทั่ว บ้างก็เล่าว่าฮองเฮาป่วยหนักเพราะบาปกรรมที่ชอบรังแกผู้อื่น บ้างก็บอกว่าทรงถูกฮ่องเต้สั่งกักขังห้ามออกจากเรือน แย่หน่อยก็คือฮองเฮาทรงสิ้นแล้ว เพราะทรงโศกเศร้าที่ตนเองไม่ได้รับความรักมานานหลายปีจึงยอมปลิดชีพตัวเอง
แต่ข่าวลืออย่างไรก็เป็นแค่ข่าวลือ หากผู้ใดผ่านมาบริเวณตำหนักฮองเฮาก็คงจะรู้ว่าข่าวเหล่านั้นหาใช่เรื่องจริงไม่ ไป๋เสวี่ยเฟินกำลังนั่งหัวเราะอย่างสนุกสนานกับจูจ้านจินและผิงผิงอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเรื่องราวที่ตึงเครียด
“เจ้าคิดดีแล้วหรือเสวี่ยเฟิน?” จูจ้านจินถามออกมาอย่างเป็นห่วง
“ข้าคิดดีแล้วจ้านจิน อันใดที่ไม่ใช่ของข้าตั้งแต่แรก ข้าก็มิสมควรจะเก็บไว้อีก เขามิได้รักข้า เจ้าก็รู้ดี” เขาในที่นี้ไป๋เสวี่ยเฟินหมายถึงหยางหลงฮ่องเต้ ก่อนจะยกชาขึ้นมาจิบ
“ฝ่าบาทจะทรงยอมหย่ากับเจ้ารึ โปรดทบทวนอีกครั้งเถิดพ่ะย่ะค่ะฮองเฮา” การที่จูจ้านจินเรียกไป๋เสวี่ยเฟินว่าฮองเฮาในเวลาส่วนตัวเยี่ยงนี้ แสดงให้เห็นว่าจูจ้านจินคิดหนักกับเรื่องที่ไป๋เสวี่ยเฟินจะกระทำ
“ข้าไม่ใช่เด็กสิบห้าสิบหกที่วิ่งอ้อนวอนขอความรัก ความเมตตาจากฝ่าบาทแล้วหนาจ้านจิน อีกอย่างข้ากับฝ่าบาทไม่เคยดื่มสุรามงคลด้วยกัน เราสองคนมิใช่สามีภรรยากันตั้งแต่แรกอยู่แล้ว อีกอย่างข้าเป็นฮองเฮามาแล้วห้าปี ครบสัญญาที่ข้าให้กับฮ่องเต้พระองค์ก่อนไว้แล้วด้วย”
“ครบห้าปีแล้วเยี่ยงไร! ที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนทรงตรัสเช่นนั้นก็เพราะรู้ว่าเจ้าไม่มีทางยอมแยกจากฝ่าบาทเป็นอย่างแน่!” จูจ้านจินทราบเรื่องสัญญาที่ไป๋เสวี่ยเฟินและหยางเฉิน
ฮ่องเต้พระองค์ก่อนก็คือ หยางเฉิน บิดาของหยางหลง พระองค์ได้ทำพันธสัญญากันเอาไว้ ไป๋เสวี่ยเฟินต้องแต่งงานกับหยางหลงเพื่อส่งเสริมดวงบารมีของหยางหลง และหากอยากให้ดวงเด่นตลอดไปต้องตบแต่งอย่างน้อยห้าปี และถ้าหากเป็นได้หยางเฉินเองก็อยากให้ไป๋เสวี่ยเฟินอยู่กับหยางหลงตลอดไป ไม่ใช่เพราะดวงชะตาที่หนุนกัน แต่เพราะหยางเฉินสัมผัสได้ถึงความรักและความเสียใจของไป๋เสวี่ยเฟินที่มอบให้แก่หยางหลง
หยางเฉินจึงได้เอ่ยปากว่าให้ไป๋เสวี่ยเฟินอยู่กับหยางหลงอย่างน้อยห้าปี ในระหว่างห้าปีนั้นหยางเฉินได้อนุญาตให้ไป๋เสวี่ยเฟินก่อความวุ่นวายในวังหลวงได้อย่างเต็มที่เพื่อเรียกความรักจากหยางหลง ขอแค่อย่าได้ลงมือฆ่าใครก็พอ หากเหนื่อยที่จะวิ่งตามหยางหลงแล้ว ไป๋เสวี่ยเฟินต้องการหย่าก็ทรงอนุญาตให้หย่า พร้อมกับมอบใบหย่าที่มีตราประทับของหยางเฉินไว้ด้วยเพื่อไม่ให้หยางหลงปฏิเสธ
ที่หยางเฉินกล้าทำแบบนั้นก็เพราะว่ารู้ดีว่าไป๋เสวี่ยเฟินคงไม่ยอมหย่าเป็นแน่จึงพูดออกไปแบบนั้น แต่หยางเฉินคงไม่รู้ว่านั้นคือไป๋เสวี่ยเฟินคนเก่าไม่ใช่ไป๋เสวี่ยเฟินคนใหม่ที่ฟื้นขึ้นมาจากความตาย ใบหย่านั้นไป๋เสวี่ยเฟินเก็บไว้เป็นอย่างดีและไม่เคยคิดจะใช้มัน แต่ความคิดของมนุษย์มักเปลี่ยนแปลงกันได้
“เจ้าไม่อยากให้ข้ามีความสุขหรือจ้านจิน” น้ำเสียงอ่อนหวานของไป๋เสวี่ยเฟินทำเอาจูจ้านจินที่กำลังโกรธอยู่นั้นเย็นลงทันที
“ไม่ใช่ข้าไม่อยากเห็นเจ้ามีความสุข แต่ฝ่าบาทก็คือหนึ่งในความสุขของเจ้ามิใช่รึเสวี่ยเฟิน”
“นั่นมันเมื่อก่อนที่ข้าจะฟื้นจากความตาย จ้านจิน...ข้าได้ตายไปแล้วครั้งหนึ่ง ข้าไม่อยากตายตกเพราะความรักทำให้ข้าเป็นทุกข์อีกแล้ว” จูจ้านจินมองใบหน้าที่เศร้าสร้อยของไป๋เสวี่ยเฟินก็รับรู้ได้ทันที สหายของตนคงเหนื่อยแล้วจริง ๆ ใบหน้าที่ยิ้มแย้มหรือแม้แต่ใบหน้าอันโหดร้ายของไป๋เสวี่ยเฟินที่คนอื่นเห็นหาใช่ไป๋เสวี่ยเฟินตัวจริง ภายใต้หน้ากากนั้นมีแต่ความโศกเศร้าแฝงอยู่
“เฮ้อ แล้วเจ้าจะยื่นเรื่องเมื่อใด” สุดท้ายจูจ้านจินก็ต้องยอมจำนน
“อีกสามวัน ข้าต้องจัดการเรื่องบางเรื่องให้เข้าที่เข้าทางเสียก่อนถึงจะหมดห่วง”
“จะไปวันใดก็บอกข้าก่อน ถ้าไม่อย่างนั้นข้าจะบุกไปหาเจ้าถึงหมู่บ้านกวงเยว่เป็นแน่” จูจ้านจินกล่าวอย่างติดตลก
หมู่บ้านกวงเยว่เป็นหมู่บ้านเกือบแถบชายแดนของแคว้นฉิน ที่นั่นเป็นหมู่บ้านที่ไป๋เสวี่ยเฟินสร้างขึ้นเพื่อช่วยเหลือคนยากจนก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ไป๋เสวี่ยเฟินขึ้นเป็นฮองเฮา ตอนนี้ก็ห้าปีแล้วตามระยะเวลาที่ไป๋เสวี่ยเฟินดำรงตำแหน่ง
หมู่บ้านกวงเยว่มีคนอาศัยอยู่ไม่ถึงสี่สิบครัวเรือน ทุกคนที่นั่นทำนา ปลูกผัก เลี้ยงสัตว์ หรือหาเก็บของป่าเพื่อประทังชีวิต การใช้ชีวิตแบบพอเพียงทำให้ชาวบ้านเหล่านั้นอยู่รอดอย่างมีความสุขมาจนถึงทุกวันนี้ และบางครั้งก็นำของมาขายในเมืองเพื่อทำเงินมาซื้อผ้าห่มเอาไว้แจกจ่ายยามเข้าหน้าหนาว
แม้ไป๋เสวี่ยเฟินจะมอบเงินให้หมู่บ้านเป็นประจำทุกเดือนแต่ชาวบ้านพวกนั้นกลับปฏิเสธ บอกเพียงว่าการที่ไป๋เสวี่ยเฟินสร้างหมู่บ้านกวงเยว่ให้พวกเขามีที่ซุกหัวนอนก็มีพระคุณมากพออยู่แล้ว เรื่องบางเรื่องพวกเขาก็ไม่อยากให้ไป๋เสวี่ยเฟินเข้ามายื่นมือ เพราะความปลอดภัยของไป๋เสวี่ยเฟินเอง
ชาวบ้านที่มีอายุมากแล้วพวกเขาทราบดีว่า คุณชายที่ช่วยเหลือพวกเขามีฐานะเป็นถึงฮองเฮาของฮ่องเต้แคว้นฉิน และรู้อีกด้วยว่าข่าวลือที่ปล่อยออกมานั้นหาใช่เรื่องจริงไม่ ฮองเฮาไม่ใช่ปีศาจ คงไม่มีปีศาจตนใดใจดีกับพวกเขาได้แบบนี้หรอก หมู่บ้านกวงเยว่ไม่ได้อยู่ในแผนที่ของแคว้นฉินอย่างที่สมควรจะอยู่ เพราะพื้นที่ตรงนี้เป็นที่หยางเฉินประทานให้ลูกสะใภ้อย่างเงียบ ๆ
“ก่อนจะบุกไปหาข้า เอาตัวเองให้รอดจากองครักษ์หลิวก่อนเถอะ” ได้ยินเช่นนั้นจูจ้านจินอยากจะลุกขึ้นตีไป๋เสวี่ยเฟินจริง ๆ แต่ถ้าลุกขึ้นตีจริงตัวเขามีหวังโดนอาญาเพราะทำร้ายมารดาของแผ่นดินเป็นแน่
ไป๋เสวี่ยเฟินเห็นท่าทางที่หงุดหงิดของจูจ้านจินก็อดที่จะหัวเราะออกไม่ได้ ทั้งสองยังคงสนทนากันไปเรื่อย ๆ โดยมีบางครั้งที่ผิงผิงออกความคิดเห็นบ้าง โดยไม่รู้เลยว่าพวกเขากำลังถูกจ้องมองอยู่
***ดาวน์โหลด NovelToon เพื่อเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์การอ่านที่ดียิ่งขึ้น!***
อัพเดทถึงตอนที่ 50
Comments