แสงไฟสลัวจากโคมไฟหัวเตียงทอดเงาอ่อนๆทาบลงบนร่างทั้งสองที่ทับซ้อนกันอยู่บนที่นอน เสียงลมหายใจหนักสลับถี่ก้องอยู่ในห้องเงียบสงบ ธันวาที่ตอนแรกพยายามจะผลักออก กลับค้างมือกลางอากาศ ราวกับกำลังชั่งใจอย่างหนักว่าจะหยุดหรือจะปล่อยให้เลยเถิดไป
ริมฝีปากของไลก้ากดแนบแน่นลงมาอีกครั้ง คราวนี้แผ่วเบากว่าครั้งแรก แต่เต็มไปด้วยความโหยหาและความอ่อนโยนที่ไม่อาจหลีกหนี ธันวาหลับตาลงอย่างยอมแพ้ ปล่อยให้สัมผัสนั้นเข้ามากัดกินหัวใจที่สั่นไหว
มือที่เคยยันอกไลก้าไว้ค่อยๆคลายลง ก่อนจะเลื่อนไปจับต้นแขนอีกฝ่ายแน่นแทน เสียงหัวใจเต้นแรงสะท้อนอยู่ในอกจนแทบปะทุออกมา
“อือ…” ธันวาเผลอครางเบาๆระหว่างจูบ ราวกับยอมรับโดยไม่ตั้งใจ
ทันใดนั้น ไลก้าก็ผละริมฝีปากออกเล็กน้อยเพื่อมองสบตาคนพี่ ดวงตาสีน้ำตาลเข้มฉายแววทั้งตื่นเต้นและอ่อนโยน “วันนี้ผมขอทำได้ไหมครับ” น้ำเสียงสั่นเล็กน้อยแต่เต็มไปด้วยความคาดหวัง
ธันวาเบือนหน้าหนีเล็กน้อย แก้มแดงจัดจนเห็นได้ชัด “วันนี้ไลก้าเหนื่อยมากแล้วนะ พี่ว่าไว้วันอื่นดีกว่าไหม” เขาพยายามปฏิเสธ แต่ปลายนิ้วที่เผลอจิกลงบนแขนของไลก้ากลับเป็นหลักฐานชัดเจนว่าเขาไม่ได้ผลักอีกฝ่ายออกไปเลย
เด็กหนุ่มยิ้มกว้าง ราวกับได้ยินคำตอบที่ต้องการแล้ว เขาก้มลงประทับจูบอีกครั้ง คราวนี้ลึกซึ้งกว่าเดิม ปลายลิ้นแตะไล่ตามเรียวปากของธันวาอย่างอ้อนวอน ก่อนที่คนพี่จะเผลอเปิดปากรับโดยไม่รู้ตัว
บรรยากาศในห้องยิ่งอ่อนไหวขึ้นทุกที เสียงเสียดสีเบาๆของเสื้อผ้าดังสอดประสานกับเสียงหอบหายใจที่ขาดห้วง
“ไล…ก้า…” ธันวาเรียกชื่ออีกฝ่ายเสียงพร่าเมื่อริมฝีปากผละออก สายตาที่สบกลับมาทำให้ใจสั่นวูบ
“ครับ…” ไลก้าตอบเบาๆแต่แฝงด้วยความมั่นคง มือใหญ่ยกขึ้นลูบแก้มแดงระเรื่อของคนพี่ด้วยความทะนุถนอม “สัญญาว่าวันนี้จะเบามือ”
คำพูดนั้นทำให้ธันวาชะงักไปชั่วขณะ ก่อนจะค่อยๆเงยหน้าขึ้นสบตาเด็กตรงหน้า ความอบอุ่นบางอย่างเอ่อท้นในใจจนไม่อาจปฏิเสธได้อีก
ริมฝีปากทั้งคู่แนบกันอีกครั้ง คราวนี้ไม่ใช่เพราะความร้อนแรงหรือความเร่งรีบ แต่เป็นเพราะความรู้สึกที่เอ่อล้นออกมาอย่างจริงใจ—ความรัก ความผูกพัน และความต้องการที่จะอยู่ใกล้กัน
มือของธันวาที่เคยแข็งทื่อ ค่อยๆเลื่อนขึ้นโอบรอบแผ่นหลังของไลก้าแน่น ราวกับจะยอมรับการมีอยู่ของเด็กคนนี้ในอ้อมกอดเสียที
เสียงหัวใจเต้นแรงดังประสานกันในความเงียบของค่ำคืน ราวกับเป็นบทเพลงที่มีเพียงทั้งสองเท่านั้นที่ได้ยิน…
💜💜💜