ภายใต้ฟากฟ้าอันสงบเงียบ ยุคแห่งเซียนและมารยังไม่แยกขาดชัดเจนเช่นปัจจุบัน...
ในกาลก่อน อาณาจักรแห่งสวรรค์และแดนมารยังไร้เส้นแบ่ง ความขัดแย้งระหว่างคุณธรรมและความมืดดำยังมิได้ปะทุเป็นเพลิงสงคราม ฟ้าดินเฝ้าสังเกตเงียบงัน มนุษย์ยังศรัทธาในสิ่งลี้ลับ ทั้งเซียนและมารล้วนก้าวเดินภายใต้ร่มไม้เดียวกัน
ณ กลางป่าเขาแดนมนุษย์ น้ำตกสายหนึ่งไหลหลั่งจากหน้าผาสูงเสียดฟ้า ละอองน้ำกระจายดุจม่านหมอกเย็นเยียบ พืชพันธุ์รอบข้างสงบนิ่งราวกำลังภาวนา
บนโขดหินหน้าม่านน้ำตก ชายหนุ่มผู้หนึ่งนั่งขัดสมาธิ ผิวกายเปล่งแสงเงินจาง ๆ อักขระสีเงินลอยวนรอบกายเป็นม่านพลังสงบ เขาคือ “เทพมังกรแห่งสงคราม” ผู้ถูกยกย่องดั่งเทพ ผู้สยบมารแต่ไม่ยอมภักดีต่อสวรรค์
ทว่า...ความสงบนั้นกลับถูกทำลาย
เสียงหัวเราะแผ่วเบาดุจระลอกน้ำ แทรกเข้ามาในห้วงเวลานิ่งงัน
เทพมังกรลืมตาขึ้นช้า ๆ
หญิงสาวผู้หนึ่งก้าวออกจากม่านน้ำตกอย่างไร้เสียง อาภรณ์ชาวบ้านเปียกแนบผิว ผิวขาวซีด ดวงตาเร้นลึก และรอยยิ้มที่บิดเบี้ยวราวเย้ยหยันโลกทั้งใบ
ใต้รอยยิ้มงดงามนั้น...คือสายตาของผู้เข่นฆ่าคนนับพัน
เธอคือ “ราชินีมาร” แห่งยุค ผู้ที่แม้แต่มารยังยอมก้มศีรษะให้
เมื่อสายตาของเทพมังกรกับมารสาวประสานกัน ละอองน้ำในอากาศเหมือนหยุดเคลื่อนไหว
โลกทั้งใบเงียบงัน หนึ่งสงบนิ่งดั่งสายน้ำ อีกหนึ่งเปี่ยมไฟแห่งปรารถนา
มิใช่เสียงคำรามแห่งศึกที่บังเกิด...
แต่คือเสียงหัวใจที่เต้นพร้อมกันโดยไม่รู้ตัว
และจากจุดนั้น
ตำนานของเทพผู้ไม่เคยรัก และมารผู้ไม่เคยศิโรราบ ก็ได้เริ่มต้นขึ้น
จากความสัมพันธ์ต้องห้ามนั้น...
ไม่ช้านานก็ได้ให้กำเนิดเด็กแฝดสองคน
ผู้หนึ่งเปล่งรัศมีดั่งเทพบนฟ้า
อีกผู้หนึ่งคลุ้งกลิ่นเลือดดั่งปีศาจในนรก
ฟางเฟยหรู เด็กชายผู้สงบนิ่ง เปี่ยมพลังเซียนบริสุทธิ์
โม่อวี่เหิง เด็กชายที่เกิดมาพร้อมพลังมารรุนแรงจนแทบจะกลืนกินตนเอง
เทพมังกรไม่อาจปล่อยให้บุตรกลายเป็นหายนะ และภัยอันตรายต่อแดนสวรรค์ได้ จึงออกเดินทางไปยังยอดเขาเทียนกู่ เพื่อตามหาเซียนเพียงผู้เดียว...
ผู้ที่อาจควบคุมพลังมารได้โดยไม่หลงในอำนาจนั้น
เขาพบ เยี่ยนชิงหยวน ราชครูแห่งสำนักเมฆขาว ผู้เยือกเย็นดั่งหิมะ ดำรงธรรมะอย่างมั่นคง ไร้ราคะ ไร้ความหลงใหล
ใต้หิมะขาวกลางยอดเขา เทพมังกรส่งบุตรชายที้งสองไว้ในมือของเขา
"มิใช่เพื่อกำจัด
แต่เพื่อให้เขา...มีชีวิตอยู่ได้โดยไม่ต้องทำลายสิ่งใดอีก"
เยี่ยนชิงหยวนลืมตาขึ้น
ดวงตาสีชาดสดแต่กลับสัมผัสได้ถึงความสงบประสานกับสายตาของเทพมังกร เขารับเด็กทั้งสองไว้ในอ้อมแขนอย่างไม่ลังเล
"ในโลกนี้ ไม่มีผู้ใดเลือกได้ว่าจะเกิดมาเช่นไร
แต่ข้า...จะเลือกให้เขาได้ว่า เขาจะเติบโตไปเป็นเช่นไร"
ทั้งเฟยหรูและโม่อวี่เหิงจึงเติบโตใต้ชายคาเดียวกัน ภายใต้การสั่งสอนของเยี่ยนชิงหยวนอาจารย์ผู้เมตตาเท่าเทียมดั่งฟ้าดิน
ฟางเฟยหรูเงียบขรึม มีระเบียบและมั่นคง ราวกับหิมะนิ่งบนยอดเขา ทุกคำของอาจารย์ เขาจารลงในใจดั่งคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ กระบี่ไม่เคยห่างกาย ดวงตาไม่เคยมองใครนอกจากผู้เป็นอาจารย์
โม่อวี่เหิงกลับตรงกันข้ามร้อนแรงและดื้อเงียบ เปี่ยมพลังที่ปั่นป่วนภายใน แต่ในทุกค่ำคืน...เขากลับแอบมองเงาหลังของเยี่ยนชิงหยวนจากระเบียงศิลา เฝ้าดูแสงจันทร์ตกกระทบเสี้ยวหน้าที่สงบดั่งเทพเซียน
และนั่น...คือแสงเดียวที่ทำให้เขารู้สึกว่า ตนไม่ใช่ 'ปีศาจ' อย่างที่ใครกล่าวหา
เยี่ยนชิงหยวนไม่เคยรู้ว่า ในใจของศิษย์ทั้งสอง ได้ถือกำเนิดบางสิ่งบางอย่างขึ้นมาแล้ว
ค่ำคืนเงียบสงบ ณ ศาลาริมผา
หมอกบางลอยอ้อยอิ่งล้อมรอบไปทั่ว
ไฟประทีปที่ห้อยจากชายคาพลิ้วไหวเบา ๆ เมื่อถูกลมพัดผ่านมา
โม่อวี้เหิงยืนอยู่เงียบ ๆ พิงเสาไม้ มือหนึ่งกำชายเสื้อแน่น สายตาจ้องเงาสะท้อนในอ่างน้ำเบื้องหน้า
ม่านตาของเขาเรืองแสงสีม่วงอ่อน ลึกลงไปในเนื้อดวงตาเหมือนมีบางอย่างกำลังเคลื่อนไหว
"เจ้าแอบมาซ่อนที่นี่อีกแล้ว"
เสียงของฟางเฟยหรุดังขึ้นจากทางเดินหิน
โม่อวี้เหิงไม่หันมอง
"เฟยหรู…ข้าบอกแล้วอย่าตามมา"
ฟางเฟยหรูก้าวเข้ามา นั่งข้าง ๆ อย่างไม่แคร์คำไล่
"โตมาด้วยกัน ยังจะแอบทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ ข้าไม่ใช่คนอื่นนะ"
โม่อวี้เหิงนิ่ง ก่อนเอ่ยเสียงเบา
"เพราะเจ้าไม่เหมือนข้า"
"เจ้าคือเซียน…ข้าไม่ใช่ ข้ากำลังเปลี่ยนไป"
มือข้างหนึ่งของเขาขยับขึ้น ดึงแขนเสื้อให้เห็นรอยมารดำเรืองจาง ๆ ใต้ผิว
"พลังมารของแม่...มันแผ่ซ่านเข้ามาทุกวัน ข้าเริ่มควบคุมมันไม่ได้"
ฟางเฟยหรูมองน้องชาย ไม่พูดอะไรสักคำ ก่อนจะฟาดมือลงบนหลังหัวอีกฝ่ายเสียงดัง
"เพี๊ยะ!"
"เจ้าโง่!"
โม่อวี้เหิงตกใจ "ฟะ...เฟยหรู!"
"ต่อให้เจ้าจะกลายเป็นมารเป็นอสูร เป็นสัตว์หางสิบห้า...เจ้าก็ยังเป็นน้องข้า เข้าใจไหม?"
เขาว่าแล้วหันหน้าหนีไปอีกทางแต่ก็ยังนั่งอยู่ข้างกันไม่ลุกหนีไปไหน
บรรยากาศอึ้งเงียบไปครู่หนึ่ง...
แล้วจู่ ๆ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากมุมมืดของศาลา
"วาจาเช่นนั้น…เจ้าจำมาจากตำราไหนหรือ?"
ทั้งสองสะดุ้ง
เยี่ยนชิงหยวนยืนพิงเสาอีกด้าน ผ้าคลุมพลิ้วเบาใต้แสงจันทร์ ริมฝีปากโค้งยิ้มนิด ๆ เหมือนเยาะแต่อ่อนโยน
"ช่างกล้าดีนะ เจ้าแฝดแห่งฟางหลิงเฉิน พูดอะไรไม่ดูหน้าข้าเลย"
ฟางเฟยหรูชะงัก แต่พึมพำตอบ
"ท่านมาแอบฟัง..."
"ข้าไม่ได้แอบ ข้าแค่อยู่ตรงนี้มาตั้งแต่พวกเจ้าทะเลาะกันเรื่องแซ่แล้ว"
เยี่ยนชิงหยวนเดินเข้ามาใกล้ มองทั้งคู่ก่อนหันไปทางโม่อี้เหิง
"เจ้า...คิดว่าการเป็นมารคือสิ่งที่น่ารังเกียจนักหรือ?"
โม่อี้เหิงไม่กล้าสบตา เขากำหมัดแน่นก่อนพึมพำ
"มันอาจไม่ใช่สำหรับท่าน แต่...ข้ากลัว กลัวจะเป็นภัยต่อคนรอบตัว"
เยี่ยนชิงหยวนหัวเราะเบา ๆ ไม่ใช่เสียงเย้ยหยัน...แต่เหมือนถอนใจอย่างเข้าใจ
"เพราะเจ้ากลัว นั่นแหละที่ทำให้เจ้าไม่ใช่ภัย"
"มีผู้คนมากมายที่มีพลังมาร แต่สิ่งที่เปลี่ยนเขาให้กลายเป็นปีศาจตัวจริง…ไม่ใช่สายเลือด แต่คือ ‘ความโหยหาทำร้ายผู้อื่น’"
เขาหยุดเล็กน้อยก่อนพูดต่อ
"เจ้ามิได้โหยหาเช่นนั้น เจ้ายังมีสติ ยังรู้จักห่วงพี่ชายเจ้า ยังกลัวจะทำร้ายผู้อื่น…เจ้าไม่ใช่ปีศาจหรอก แม้เจ้าจะมีสายเลือดของโม่เยวี่ยฮวา แต่มันไม่สามารถเปลี่ยนตัวเจ้าไปได้หรอกนะ โม่อี้เหิง"
คำพูดเรียบ ๆ นั้น ค่อย ๆ ซึมเข้าสู่หัวใจโม่อี้เหิงช้า ๆ
เขาเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย สบตากับดวงตาคมคู่นั้น สงบ นิ่ง เย็นชา
แต่แฝงด้วยบางอย่างที่อบอุ่นเกินจะอธิบาย
หัวใจของเขา...สั่นไหวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
บทสนทนานั้นจบลงด้วยเสียงหัวเราะของศิษย์และอาจารย์ทั้งสาม
แต่ทว่า ทั้งหมดอาจยังไม่รู้ว่า สิ่งหนึ่งที่กำลังคืบคลานเข้ามาอย่างเงียบ ๆ
กำลังจะทำให้ความสัมพันธ์อันอบอุ่นนี้แตกต่างไป และต้องกลับมาเผชิญหน้ากันเร็วกว่าที่ใครคาดคิดไว้
ฤดูเหมันต์ปีนั้น...
บรรยากาศทั่วแดนฟ้าดินเงียบงันราวลมหายใจของฟ้าได้ขาดช่วง หิมะตกตลอดเจ็ดวันเจ็ดคืนไม่หยุด
ภายใต้ม่านขาวแห่งหิมะ เทพมังกรแห่งสงครามนั่งนิ่งอยู่บนบัลลังก์เหล็กสลักลายมังกรเก่าแก่
เงาร่างสูงใหญ่ที่ครั้งหนึ่งเคยสยบทั้งแดนมาร วันนี้กลับต้องเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง
"ข้าอยากแต่งกับเซียนซือเยี่ยนชิงหยวน...ขอรับ!"
เสียงนั้นดังขึ้นพร้อมกัน
ไม่ใช่จากคนเดียว แต่เป็นจาก ศิษย์ทั้งสองของราชครูเซียน
ฟางเฟยหรู...และโม่อวี้เหิง
พลังในกายของเทพมังกรพลุ่งพล่านโดยมิได้ตั้งใจ สายลมในตำหนักพัดกระหน่ำ กระถางธูปล้มครืน ม่านไหมขาวปลิวกระจาย เศษน้ำแข็งแตกร้าวบนพื้นกระเบื้อง
"พวกเจ้า...ว่าอย่างไรนะ?"
เขาถามเสียงต่ำ ดวงตาสีเงินจับจ้องลูกชายทั้งสองราวมองเห็นเงาอดีตสะท้อนซ้อนทับเข้ามา
ภายใต้ห้องโถงของหอเมฆาเซียน ไม่มีใครกล่าวสิ่งใดอีกหลังคำพูดตรงไปตรงมาของสองพี่น้องจบลง...
ชายผู้หนึ่งในชุดเซียนสีดำขลิบเงินยืนอยู่เงียบ ๆ เบื้องหลังตลอดมา มิเอ่ยวาจาแม้ครึ่งคำ
กระทั่งเยี่ยนชิงหยวนเงยหน้าสบตาเขา แสงแวววาวในดวงตาคู่นั้นก็ไหววูบ อย่างเงียบงันและเจ็บแปลบในใจ
ในที่สุด บิดาของทั้งสองก็เอ่ยเสียงเรียบ:
"ราชครู...ข้าเคยคิดว่าวันหนึ่ง พวกเขาคงเติบโตพอจะเข้าใจความรักในโลกเซียนว่ามันยากเพียงใด"
"แต่ไม่คิดเลย...ว่าจะเป็นเจ้าที่พวกเขาเลือกจะมอบใจให้"
เขาไม่มองบุตรของตน แต่พูดต่อเหมือนกล่าวกับตนเอง
"ข้าเคยเป็นศิษย์เจ้า…ข้าเคารพเจ้าอย่างที่สุด เหตุใดจึงไม่บอกตั้งแต่แรกว่า เจ้าหาใช่สตรีไม่"
เยี่ยนชิงหยวนหลุบตาลงก่อนเอ่ยอย่างแผ่วเบา
"เพราะข้าไม่คิดว่าจะต้องบอกใคร ข้าเป็นข้า ไม่ใช่สิ่งใดที่ต้องเลือกให้ถูกใจผู้อื่น"
ชายผู้นั้นนิ่งไป ก่อนเอ่ยอย่างเจ็บลึก
"พวกเจ้าสองคน...เป็นฝาแฝดแท้ ๆ ยังจะมารักคนเดียวกันอีกหรือ"
ในแววตาเซียนอาวุโส มีทั้งความปวดร้าว ความห่วงใย และอดีตบางอย่างที่เก็บซ่อนไว้เงียบงัน
"เยี่ยนชิงหยวน ท่านเคยสอนข้าว่าอย่ายื่นดอกไม้ให้มือเปื้อนเลือด หากท่านยังจำได้ช่วยเลือกเสียที...ท่านจะเลือกผู้ใด"
"ข้าไม่คิดที่จะเลือกพวกเจ้าหรือผู้ใดก็ตาม ศักดิ?ของข้าคืออาจารย์ จะแต่งกับศิษย์ได้อย่างไร"
"เหตุใดจะไม่ได้เล่า!"
ฟางเฟยหรูยืนนิ่ง เงยหน้าตรง แววตาแน่วแน่ไม่มีความลังเลแม้แต่น้อย
ข้างกายเขา โม่อวี่เหิงกลับมีแววแฝงความกลัวในแววตาเล็กน้อย แต่ริมฝีปากยังคงเอ่ยด้วยเสียงหนักแน่น
"ข้า...ก็รักอาจารย์ ไม่ได้น้อยไปกว่าเขา"
แววตาที่เคยมองน้องชายด้วยความอบอุ่นในตอนนี้กลับเปลี่ยนเป็นแววตาที่คมกริบ
ราวกับกำลังจ้องมองศัตรูของหัวใจอย่างไม่ละสายตา
เทพมังกรหลับตาลงช้า ๆ ลมหายใจกลายเป็นไอขาวที่แผ่ซ่านไปทั่ว
เขารู้ดีว่า เยี่ยนชิงหยวน ไม่ใช่บุรุษที่จะตกลงเรื่องเช่นนี้ด้วยใจง่าย ๆ
แต่เมื่อบุตรทั้งสองของเขาเลือกจะเปิดเผยมาถึงเพียงนี้...
"เช่นนั้น...ประลองกันที่หุบเขากระจกสวรรค์”
“ไม่ใช่เพื่อแย่งชิงความรัก แต่เพื่อทดสอบใจของผู้ต้องการครอบครองแสงที่พวกเจ้าทั้งคู่ไม่เคยคว้าไว้ได้จริง”
หุบเขากระจกสวรรค์ในตำนาน
สถานที่ที่สะท้อน 'ใจแท้' ของผู้เข้าสู้
ที่นั่นไม่มีเพียงพลังภายนอก แต่รวมถึงบาดแผลในใจที่ลึกที่สุดของแต่ละคน
เสียงกระบี่ปะทะกันดังก้องในหุบเขาเงียบงัน
เลือดสาดกระเซ็นบนกระจกสีฟ้า ท้องฟ้ามืดมัว
แสงและเงาเต้นรำในวงจรแห่งการยื้อแย่ง แต่สิ่งที่ไร้เสียงที่สุดคือ 'หัวใจของเยี่ยนชิงหยวน' ซึ่งไม่มีอยู่ในที่นั้น
หรือทั้งหมดนี้…จะเป็นเพราะเขา?
อาจารย์ผู้หนึ่ง ที่ยืนมองศิษย์ทั้งสองของตนห้ำหั่นกันเองด้วยดวงใจที่แตกแยก
ผู้ใดจะรู้…ว่าเบื้องหลังแววตาเรียบนิ่งนั้น
แท้จริงกลับกำลังปวดร้าวทุกคราที่ต้องเห็นภาพดาบฟันเข้าหากัน โดยมีตนเป็นจุดเริ่มต้นของทุกความสั่นไหว
เยี่ยนชิงหยวนไม่ได้ไร้หัวใจ
แต่เพราะมีหัวใจ…จึงต้องนิ่งเฉย
เพราะรู้อย่างแจ่มชัดว่า ไม่ว่าจะแย้มใจให้แก่ผู้ใด
อีกคน…ย่อมแตกสลาย
แต่บทสรุปสุดท้ายของศึกนี้ก็คือ...
โม่อวี่เหิง เป็นผู้ชนะ
เขาล้มศิษย์พี่ลงด้วยคมกระบี่ที่แทงลึกกลางอก ท่ามกลางม่านหิมะขาวโพลนที่ย้อมแดงด้วยเลือด
ต่อให้ความสัมพันธ์ฉันพี่น้องเคยลึกซึ้งเพียงใดในยามนี้...ย่อมไม่อาจหวนกลับได้อีก
และด้วยชัยชนะนั้นเอง
เทพมังกรก้าวลงจากบัลลังก์มังกรเงิน ยื่นมือออกพลางกล่าวเสียงก้อง
"ด้วยชะตาฟ้ากำหนด ข้าบัญชาให้ราชครูเยี่ยน...เข้าสู่พิธีวิวาห์กับผู้ชนะ"
วันแต่งงานถูกจัดอย่างเงียบงันในวังฟ้า
หิมะยังคงตกไม่หยุด ราวกับฟ้ากำลังกลบเสียงร่ำไห้ของใครบางคนที่ไม่มีสิทธิ์เอ่ยออกมา
เยี่ยนชิงหยวนนั่งนิ่งในอาภรณ์สีขาวบริสุทธิ์
ชุดที่ควรเป็นสีแดงชาดแสดงความยินดี กลับถูกเปลี่ยนเป็นชุดไว้ทุกข์อย่างเงียบงัน
แม้แต่ดอกเหมยที่ประดับบนเรือนผม ก็ไร้กลิ่นหอมราวกับถูกแช่แข็งในฤดูหนาว
เขายิ้มบาง ๆ ให้ทุกขั้นตอนของพิธีการ
แต่แววตาคู่นั้นกลับเวิ้งว่างดั่งทะเลหิมะ...เยือกเย็น ไร้จิตวิญญาณ
ราวกับวิญญาณของเขามิได้อยู่ ณ ที่ตรงนั้นอีกต่อไปแล้ว
เยี่ยนชิงหยวนไม่พูดคำว่า "ตกลง"
เขาไม่ปฏิเสธ...
และก็ไม่เคยยิ้มให้โม่อวี้เหิง แม้แต่เพียงครั้งเดียว
ไม่ใช่เพราะไม่รู้สึกอะไร
แต่เพราะรู้สึกมากเกินกว่าจะเอ่ยวาจาใดออกไป
คืนแรกหลังพิธี...
โม่อวี้เหิงนั่งพิงเสาไม้เพียงลำพังในเรือนหิมะ
แสงจันทร์เล็ดลอดผ่านช่องหน้าต่าง บางเบาราวแสงที่ไม่กล้าแตะต้อง
ข้างหลังเขาคือประตูห้องที่ปิดเงียบ...
ราวกับไม่เคยมีใครอยู่ในนั้นเลยตั้งแต่ต้น
"ทำไมข้า...ไม่รู้สึกเหมือนผู้ชนะเลยสักนิด"
เสียงพึมพำนั้นแผ่วเบา ราวกับกลัวแม้แต่เงาของตนเองจะได้ยิน
ดวงตาคู่นั้นหลุบต่ำ ก่อนจะเอ่ยคำที่เขาไม่กล้าแม้แต่จะถามออกไปตรง ๆ
"หรือแท้จริงแล้ว...เขาไม่เคยเลือกใครเลย
...ตั้งแต่ต้น"
ข้างนอก...หิมะยังตกไม่หยุด
และเสียงกระซิบของหัวใจที่ไม่มีใครได้ยิน ก็ค่อย ๆ แหลกสลายลงกลางความเงียบ เมื่อถึงคืนบำเพ็ญร่วม เยี่ยนชิงหยวนไม่อาจขัดขืนชะตาฟ้า
เขาหลับตา ปล่อยให้โม่อวี่เหิงถ่ายพลังมารออกไปสู่ความสงบ นั่นคือครั้งแรก...ที่โม่อวี่เหิงสัมผัสได้ถึง หัวใจของอีกฝ่าย แม้จะเพียงเสี้ยวเดียว
หัวใจที่ซุกซ่อนบาดแผลไว้ลึกสุดใจ เปราะบางจนไม่กล้าให้ใครแตะต้อง
"ท่านกำลัง...กลัวงั้นหรือ"
เสียงแผ่วเบาถามขึ้นท่ามกลางกระแสพลังที่อ่อนจางลง
แต่ไม่ใช่เสียงตำหนิ ไม่ใช่คำกล่าวหา
หากคือการยอมรับ และอ้อมกอดเงียบงันจากใครบางคนในคืนหนาว
"อาจารย์...ข้าขอถามท่านสักคำเถิด"
เสียงของโม่อวี่เหิงสั่นเล็กน้อย แม้อีกฝ่ายจะเบือนหน้าหนี ไม่กล่าวสิ่งใดใต้ร่างของเขา
แต่ความเย็นชาอันเงียบงันนั้น กลับทำให้ผู้ที่เอ่ยปากอ้อนวอนดูน่าสงสารยิ่งกว่าใคร
เยี่ยนชิงหยวนยังคงไม่ตอบ เขาเพียงเงียบราวรูปสลักหิน
"ท่านเห็นข้าเป็นสิ่งใดกันแน่"
"ข้ายังใช่คนรักของท่านอยู่หรือไม่... หรือข้า...เป็นเพียงคนที่ใกล้เคียงกับคำว่าคนรักเท่านั้นงั้นหรือ"
ไม่มีคำใดหลุดจากปากเยี่ยนชิงหยวน
มีเพียงแววตาที่มืดหม่นยิ่งกว่ารัตติกาล ราวกับซ่อนบางสิ่งไว้ใต้เงามืดของอดีต
เขาเพียงปล่อยให้อีกฝ่ายกอดไว้แน่นขึ้น...
แน่นพอจะกักความเจ็บปวดทั้งหมดไว้แทนเขา
แน่นเสียจนเหมือนอยากจะรวมสองใจนี้ไว้ด้วยกัน—แม้เพียงชั่วขณะ
"โม่อวี่เหิง" เยี่ยนชิงหยวนเอ่ยเสียงเบาในที่สุด
"...เจ้าไม่มีวันเข้าใจข้าหรอก"
คำพูดนั้นไม่ได้เย้ยหยัน ไม่ได้ผลักไส
แต่ช่างห่างไกล ราวกับผู้ที่อยู่คนละโลก
โม่อวี่เหิงไม่กล่าวอะไรอีก
เขาเพียงกอดเยี่ยนชิงหยวนเอาไว้ แม้ในขณะที่รู้ดีว่าหัวใจของอีกฝ่ายนั้น
อาจไม่เคยเปิดออกมาให้ใครเลยนับตั้งแต่แรก
ภายใต้เปลวเทียนที่ค่อย ๆ ริบหรี่ลงในยามดึก
เงาของสองร่างซ้อนทับกันเงียบงันในห้องเย็น
โม่อวี้เหิงค่อย ๆ กดหน้าผากลงแนบข้างแก้มของเยี่ยนชิงหยวน
ลมหายใจอุ่นรินรดซอกคออย่างอ่อนโยน
มือหนึ่งของเขาคลายผ้าคลุมที่บังแผ่นหลังขาวซีดราวหิมะ
อีกมือไล้ปลายนิ้วไปตามแนวไหล่ที่เคยแข็งแกร่งแต่เวลานี้สั่นไหวไม่ต่างจากหัวใจของเจ้าของมัน
"อาจารย์..."
เขากระซิบแผ่ว เบาราวเสียงลมผ่านผ้าม่าน
ไม่มีการเร่งเร้า ไม่มีการพร่ำร้องเรียกร้องคำตอบ
มีเพียงสัมผัสเงียบงันที่เหมือนต้องการบอกว่าแม้ท่านจะไม่พูด ไม่เปิดใจ
...ข้าก็จะยังอยู่ตรงนี้ อยู่ในความเงียบนี้กับท่าน
เยี่ยนชิงหยวนมิได้ขัดขืน มิได้กล่าวห้าม
เขาเพียงปล่อยให้มือเย็นเฉียบของตนถูกโอบกุมไว้ในฝ่ามืออุ่นร้อนของผู้ที่เคยเป็นเพียงศิษย์
ค่ำคืนนี้…เขาเหนื่อยเกินกว่าจะผลักไสใครทั้งสิ้น
ดังนั้นจึงปล่อยให้สัมผัสแผ่วเบาเหล่านั้น...
ค่อย ๆ ละลายกำแพงที่แช่แข็งอยู่ในใจของเขาอย่างช้า ๆ
เสียงลมหายใจประสานกันในความเงียบของราตรี
เงาเทียนบนผนังไหววูบ ตามแรงลมแผ่วผ่านหน้าต่างที่เปิดค้างไว้เล็กน้อย
เยี่ยนชิงหยวนรู้สึกได้ถึงความร้อนที่แนบเข้ามาเรื่อย ๆ จากด้านหลัง
ร่างของโม่อวี้เหิงโน้มเข้าหาเขาอย่างแผ่วเบา ไม่มีคำพูดใดออกจากปากอีกฝ่าย มีเพียงอ้อมแขนที่โอบรัดจากด้านหลัง
ปลายนิ้วที่เคยไล้แผ่นหลัง ตอนนี้ค่อย ๆ สัมผัสผ่านแผ่นอกด้านซ้าย
เหมือนกำลังจะบอกว่า "หัวใจดวงนี้ ข้ายินดีฟังมันแทนท่านเอง"
เยี่ยนชิงหยวนเม้มริมฝีปากแน่น
เขารู้สึกได้ถึงแรงสั่นเบา ๆ จากร่างของตนเอง ไม่ใช่ความกลัว...แต่คือความอ่อนแรงจากการกักเก็บทุกอย่างไว้มาเนิ่นนาน
เมื่อริมฝีปากของโม่อวี้เหิงแตะเบา ๆ ลงบนลาดไหล่ พรมจูบไซร้ขึ้นจนถึงซอกคอ เยี่ยนชิงหยวนไม่คิดหลบ
เขาเพียงยกมือขึ้นวางทับลงบนมือของอีกฝ่ายที่กุมอกเขาอยู่...นิ้วเรียวเย็นเฉียบของเขากลับวางนิ่งนั้น ไม่ถอน ไม่ผลัก ไม่ต่อต้าน
"...แม้ร่างกายข้าจะอยู่ตรงนี้ แต่ข้าไม่อาจปักใจรักศิษย์เช่นเจ้าได้หรอกนะ"
เขากระซิบเสียงแผ่ว ดวงตายังไม่ลืมขึ้นจากหมอน
คำพูดนั้นแผ่วเบา...แต่กลับดังสนั่นในอกของผู้ฟัง
โม่อวี้เหิงนิ่งงันไปชั่วครู่
คล้ายกำลังกลืนบางสิ่งที่ขมขื่นลงคออย่างเงียบงัน ก่อนค่อย ๆ เอ่ยเสียงเบา
"ข้าไม่กลัวความเสียใจ หากมันสามารถแลกกับการได้อยู่เคียงข้างท่านแม้เพียงคืนเดียว...ข้าก็ยินดี"
เขาหยุดไปครู่หนึ่ง ริมฝีปากคล้ายจะสั่นเล็กน้อย แต่ยังฝืนยิ้มจาง ๆ
"ท่านไม่เคยมองข้าเป็นคนรัก ข้ารู้...
ข้ารู้มาตลอด แต่ก็ยังดื้อรั้นอยู่ใกล้ ๆ ท่าน ราวกับตัวข้าเพียงพอจะทดแทนใครบางคนในใจท่านได้"
มือที่โอบรัดอยู่รอบร่างอาจารย์แน่นขึ้นนิดหน่อย ทว่าก็คลายลงอย่างอ่อนแรง
"บางครั้งข้าก็เฝ้าถามตัวเอง...
หากข้าไม่ได้เป็นศิษย์ของท่าน หากข้าไม่ได้ชื่อว่า 'โม่อวี้เหิง' ...ท่านจะมองข้าด้วยสายตาที่ต่างไปจากนี้บ้างหรือไม่?"
เขายิ้มเจื่อน เสียงหัวเราะแผ่วเบาราวกับหิมะตกใส่ใจ
"ช่างเถอะ...ต่อให้คำตอบคือไม่ ข้าก็ยังยินดียืนอยู่ตรงนี้อยู่ดี"
เยี่ยนชิงหยวนหัวเราะเบา ๆ
หัวเราะที่ฟังดูเหมือนจะเยาะเย้ย แต่แท้จริงแล้ว...คือเสียงของคนที่ยอมปล่อยใจให้ลอยตามกระแสห้วงหนึ่ง ห้วงที่ทั้งอ่อนหวานและเจ็บปวดในเวลาเดียวกัน
เขาหันใบหน้าไปช้า ๆ ให้ดวงตาของทั้งสองได้สบกันในเงามืดของห้อง แม้ไม่มีคำว่ารักเอื้อนเอ่ยจากปาก แต่การที่เขาไม่หันหนีในยามนี้ ก็คือคำตอบเดียวที่โม่อวี้เหิงต้องการมากแล้ว
โม่อวี้เหิงเอื้อมลำแขนแกร่งโอบลงไปยังจุดซ่อนเร้นด้านหลังของผู้เป็นอาจารย์อย่างเบามือค่อยๆเปิดช่องทางลงลึกไปทีล่ะขั้น สัมผัสนั้นทั้งอ่อนนุ่นและอ่อนโยน
"อาห์...ฮึก...อืม..."เสียงครางแผ่วลอดออกมาในลำคอของผู้ที่อยู่ใต้ร่างทั้งยังสั่นระริกเกร็งไปทั่วลำตัว
แผ่นอกขาวซีดประดับมุกประทุมเชดชมพูอ่อนค่อยๆถูกผู้แซ่โม่พรมจูบลงอย่างนุ่มนวลไอร้อนจากลิ้นแผ่ซ่านลงไปยังแผ่นอกของราชครู จนรู้สึกได้ถึงความร้อนเล็กๆ ที่สัมผัสได้จากปลายลิ้นรสอุ่นเพียงจางๆ ร่างบางร่างนั้นพลันสั่นสท้านไปทั่วผิวกาย ทรวดทรงลำตัวแทบจะม้วนงอติดเข้ากับมัดกล้ามที่เรียงงามบริเวณท้องน้อยของอีกฝ่ายซึ่งอยู่เหนือร่างของตน
เมื่อปลายนิ้วหนาขยับลงลึกเข้าไปยังจุดเร้นแก่นกายด้านหลังของบุรุษร่างบางเข้า ก็พลันสัมผัสเข้าออกอย่างถี่ขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่ริมฝีปากกร้านประทับลงบนลำท้องน้อยของอีกฝ่าย ไล้โลมลงมาเกือบถึงปลายลำขาอ่อน เขาประทับคมเคี้ยวลงบนลำต้นอ่อนของเยี่ยนชิงหยวนอย่างนุ่วมนวล เรียวขาอ่อนของอาจารย์ถูกยกขึ้นพาดไหล่ของผู้ที่เคยเป็นทั้งศิษย์และในยามนี้เขายังเป็นผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีของเขา
"อ๊ะ! ...เจ้าช้าลงหน่อย...ข้าเจ็บ อืมห์..." เขาครางเสียงสั่นออกมาแม้จะไม่ดังมากแต่ก็เพียงพอที่จะเร้าอารมณ์ให้ผู้ที่กระทำการอยู่เหนือร่างของเขาได้บ้างเล็กน้อย
โม่อวี้เหิงค่อย ๆ ปลดอาภรณ์ของตนออกทีละชั้นต่อหน้าราชครูเยี่ยน แววตานั้นสั่นไหวพร่าเลือน คล้ายสัตว์นักล่าที่จ้องเหยื่อด้วยแรงปรารถนาเกินยับยั้ง
จ๊วบ!
ริมฝีปากของทั้งสองประสานกันอีกครั้งอย่างแผ่วเบา...แต่เมื่อไฟที่หลบซ่อนอยู่ลุกโชนขึ้น สัมผัสนั้นจึงร้อนแรงราวเปลวเพลิงที่พร้อมแผดเผาทุกสิ่ง
มือหยาบกร้านของโม่อวี้เหิงไล้ไปตามลาดไหล่เนียนดุจหิมะ แววตาคมเข้มราวจะจดจำทุกส่วนของร่างกายนั้นไว้ให้ฝังแน่น...ไม่มีแม้แต่จุดใดที่เขาไม่ต้องการครอบครอง เมื่อร่างสูงใหญ่ก้มลงทาบกับร่างเปลือยปล่าวของผู้อยู่ด้านล่าง อย่างปลุกเร้า เสียงแชะของหยดรักก็ดังขึ้นในห้องที่เงียบสงัด
"ฮึก ...อ๊ะ...อืมห์" เยี่ยนชิงหยวนครางแผ่วลอดใต้ร่างหนาขึ้นมาอีกครั้ง
...แก่นกายของโม่อวี้เหิงค่อยๆเคลื่อนลงไปยังม่านสีประทุมอ่อนทางช่องด้านหลังของอีกฝ่ายเขาสอดไส่เข้าไปเพียงลำต้นบนเพราะเขาอาจทำให้ผู้ที่เขาทะนุทะนอมมาทั้งชีวิตผู้นั้นบาดเจ็บได้ เขาไม่รั้งที่จะขยับสะโพกหนาแม้จะเริ่มขยับจากช้าๆ แต่ก็ไม่เสมอไป เขาค่อยๆขยับความเร็วจนเริ่มถี่ขึ้นเรื่อยๆ
...เสียงหอบหายใจหนักแน่นสลับกับเสียงเนื้อกระทบกันเบา ๆ เริ่มดังก้องในห้อง ท่ามกลางแสงเทียนริบหรี่ที่ไหวระริกตามแรงลม
"อ๊ะ ...อ๊า ฮึก อือ....!"ความรู้สึกเสียวซ่านไปทั่วทั้งตัว สะโพกของเยี่ยนชิงหยวนแทบจะขยับไหลไปตามแรงกระแทกที่อัดแน่นเข้ามาในลำตัว
"อือ..."
และในยามที่สองร่างเคลื่อนไหวประสานเป็นหนึ่งเดียวพลันเริ่มขยับเร็วและถี่ขึ้นเรื่อยๆ
"จะ...เจ้า อ๊ะ...อื้อ!"
น้ำรักสีใสกรุ่นเปรอะทั่วบริเวณองเอวของผู้เป็นราชครู ที่เคยใสสะอาดผุดผ่องดั่งเทพเซียนที่ไร้มลทิน บัดนี้ภาพตรงหน้ากลับมีเพียงร่างเปลือยเปล่าเปรอะน้ำราคะแม้จะดูน่าชมชอบเพียงใด แต่กลับแปดเปื้อนความสำส่อนสลักลงรากเนื้อของผู้เป็นอาจารย์
น้ำรักอีกสายเล็ดลอดออกมาจากช่องสีปทุมดั่งดอกเหมยที่เริ่มพลิพาน โม่อวี้เหิงชักแก่นกายของตนออกอย่างเบามือ พลางทำความสะอาดให้อีกฝ่าย
ทุกขั้นตอนของทั้งสองดำเนินมาอย่างไม่อื้อนเอ่ยสิ่งใดออกมา มีเพียงเสียงกระทบของเนื้อผิวและเสียงครางแผ่วของผู้ที่อยู่ใต้ร่าง...จนกระทั้ง เสียงกระซิบแผ่วของโม่อวี้เหิงดังขึ้นที่ปลายข้างหู ของผู้ที่นอนแผ่อยู่ใต้ร่างกำยำ
"ท่าน... อย่าใจร้ายกับข้านักเลยได้ไหมขอรับ อย่าให้ข้ารู้สึกเหมือนถูกทอดทิ้งกลางความมืดมิดนี้อีกเลย..."
แม้คำพูดนั้นจะไม่หนักแน่นนัก ทว่ากลับเต็มเปี่ยมด้วยความอ่อนโยนลึกซึ้ง ราวกับทั้งหัวใจของเขาได้หลอมรวมและมอบไว้แก่ผู้ที่อยู่ตรงหน้าอย่างหมดสิ้นแล้ว
แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่เอ่ยวาจาใดใด ใบหน้านิ่งเฉยราวกับศพไร้ชีวิตที่ไม่รับรู้ถึงความรู้สึกใด ๆ ใบหน้าของโม่อวี้เหิงค่อย ๆ ซบลงบนซอกคอของเยี่ยนชิงหยวน น้ำตาสีใสไหลรินช้า ๆ จนเปรอะเปื้อนไปทั่วผิวเนียนนุ่มนั้น
"อย่าผลักไสข้าอีกเลย..."
เสียงกระซิบแผ่วเบาราวลมหายใจแผ่วสุดท้ายของผู้วางหัวใจไว้กับใครสักคน
"แม้ท่านจะไม่เหลือสิ่งใดในโลกนี้ แม้ทุกสิ่งรอบตัวจะพังทลาย...ข้าก็ยังจะเลือกเดินมาหาท่าน"
แขนเรียวหนายกขึ้นโอบกอดผู้ที่อยู่ใต้ร่างไว้แน่น แรงสั่นจากอกของโม่อวี้เหิงเผยให้เห็นถึงความกลัว ความเจ็บ และความรักที่ท่วมท้นจนเอ่อล้นทุกถ้อยคำ
"ได้โปรด...ได้โปรดเถิด อย่าใจร้ายกับข้านักเลย...หากท่านไม่รัก ก็อย่าไล่ให้ข้าต้องหายไปจากแสงตะวันของท่านเลย..."
เขากระชับอ้อมแขนแน่นขึ้นเล็กน้อย คล้ายกลัวว่าหากปล่อยเพียงนิดเดียว ร่างที่กอดไว้จะละลายหายไปจากอกของเขาตลอดกาล
เยี่ยนชิงหยวนยังคงเงียบงัน ราวกับไม่รับรู้ถึงทุกสิ่งที่อีกฝ่ายมอบให้ ทว่าลมหายใจอุ่นของเขาที่ค่อย ๆ เปลี่ยนจังหวะ กลับบอกชัดเจนว่า หัวใจภายใต้แววตาเรียบเฉยนั้น… กำลังสั่นไหว