บทนำ
“ชีวิตของเราทุกคน ล้วนมี ‘เงา’ บางอย่างตามติดอยู่… บางคนมองเห็นมัน…แต่ทำเป็นไม่รู้ บางคนหลอกตัวเองว่าไม่มีมันอยู่จริง แต่เมื่อถึงเวลา ‘เงานั้น’ ก็จะปรากฏขึ้นในวันที่เราไม่ทันตั้งตัว”
ไม่มีใครคาดคิดว่า “วันเกิด” ที่ควรเป็นวันแห่งความสุข จะกลายเป็นจุดเริ่มต้นของโศกนาฏกรรม
ห้าปีต่อมา
ในคืนวันเกิดที่ดูเหมือนจะเป็นคืนธรรมดา
เสียงระเบิดดังขึ้น
เสียงกรีดร้องปะปนกับเสียงเพลงวันเกิด
เลือดไหลรินลงบนพื้นดินที่เคยอบอุ่นด้วยความรัก
และนับจากวันนั้นเป็นต้นมา
มีบางสิ่ง…เงียบงัน แต่ไม่เคยหายไป
มันซ่อนตัวอยู่ในมุมมืดของความทรงจำ
ในความฝันที่เด็กชายคนหนึ่งไม่เคยลืม
ในแผลใจของเด็กหญิงที่ไม่เคยพูดออกมา
เพราะบางครั้ง…ความตายไม่ได้พรากคนที่เรารักไป แต่มันฝาก “เงา” บางอย่างไว้กับเราแทน
ตอนที่ 1: เสียงลมหายใจแรกของชีวิต
พ.ศ. 2540
กลางฤดูหนาวที่ฟ้าหม่นมัวและหมอกคลุมทั่วหมู่บ้านในหุบเขาเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง ชีวิตสองชีวิตกำลังจะถือกำเนิดขึ้นในคืนเดียวกัน คืนที่ดวงดาวเหมือนจะพร่างพรายน้อยลง และลมหนาวพัดแรงราวกับจะเตือนถึงโชคชะตาบางอย่าง
ณ บ้านหลังหนึ่งที่ตั้งอยู่ริมถนนดินสายหลักของหมู่บ้าน ครอบครัวเล็ก ๆ ที่มีร้านขายของชำหน้าบ้านอาศัยอยู่กันอย่างเรียบง่าย สามีภรรยาคู่นี้ตั้งใจจะเลี้ยงลูกด้วยมือของตัวเอง ไม่เคยทิ้งให้ใครดูแล พวกเขานอนอยู่บนฟูกผืนเก่าในห้องเล็ก ๆ จนกระทั่งเสียงครวญเบา ๆ ปลุกสามีให้ตื่นขึ้น
“โอ้ยยย… พี่… พี่ ฉันปวดท้อง…” เสียงภรรยาสะอื้น พร้อมกับน้ำคล่ำที่ไหลผ่านขาลงพื้นกระเบื้องเย็นเยียบ
สามีสะดุ้งลุกขึ้นแทบไม่ทัน รีบประคองร่างภรรยาที่กำลังเจ็บท้อง พร้อมทั้งตะโกนเรียกแม่ของเขาที่อยู่ห้องถัดไปให้ช่วยเตรียมตัวไปโรงพยาบาล ช่วงเวลานั้นไม่มีเวลาคิดอะไรมาก นอกจากความกลัว ความตื่นเต้น และความหวังว่าทุกอย่างจะผ่านไปด้วยดี
เวลา 22.30 น. รถกระบะเก่า ๆ แล่นฝ่าความมืดออกจากหมู่บ้าน มุ่งหน้าไปยังโรงพยาบาลอำเภอ
ขณะเดียวกันนั้นเอง ในอีกฟากหนึ่งของหมู่บ้าน ครอบครัวเล็กอีกครอบครัวหนึ่งก็กำลังพบกับเหตุการณ์คล้ายกัน
“โอ๊ะ…โอ้ยยย… น้ำคล่ำไหลแล้วพี่!” ภรรยาที่เพิ่งกลับจากฝากลูกคนโตไว้กับแม่ของเธอ กำลังจะวางจานข้าวเมื่อความปวดแล่นวาบทั่วท้อง
“ใจเย็นนะ เดี๋ยวพาไปโรงพยาบาลเลย” สามีพูดพลางโทรบอกแม่ยายให้ช่วยมาเฝ้าบ้าน จากนั้นก็รีบอุ้มภรรยาขึ้นรถมอเตอร์ไซค์พ่วงข้างคันเก่าที่ใช้งานมานับสิบปี
ความบังเอิญหรือโชคชะตาก็ไม่อาจบอกได้ ว่าเหตุใดเด็กสองคนถึงได้เลือกมาเกิดในคืนเดียวกัน
เวลา 02.00 น. ที่ห้องคลอดโรงพยาบาลอำเภอ
ภรรยาของเจ้าของร้านขายของชำกำลังอยู่ในช่วงวินาทีสำคัญ
“ปากมดลูกเปิดพร้อมแล้ว เตรียมการคลอดธรรมชาติได้เลย” เสียงหมอบอกพยาบาลอย่างมั่นใจ
“คนไข้เบ่งนะคะ อึดด… อึดด…”
เสียงครวญและแรงเบ่งของแม่ที่เจ็บปวดประสานกับคำพูดปลอบของพยาบาลที่จับมือเธอไว้แน่น
“อีกนิดเดียวค่ะ… อึดดดด กรี๊ดดด!”
เสียงเด็กร้องแว่วขึ้น
“อุแว้ อุแว้”
“คุณแม่ได้ลูกสาวนะคะ”
ดวงตาของแม่เปียกชื้นด้วยน้ำตาแห่งความสุข สามีที่ยืนอยู่ข้างเตียงยิ้มทั้งน้ำตา
เวลา 05.45 น. ห้องผ่าคลอดอีกฝั่งหนึ่ง
ภรรยาของคนรับจ้างทั่วไปนอนนิ่งอยู่บนเตียงผ่าตัด แพทย์ลงมีดอย่างรวดเร็วด้วยท่าทีเร่งรีบ
“อุแว้ อุแว้”
เสียงทารกร้องขึ้นในขณะที่เจ้าหน้าที่รีบเช็ดตัวเด็กชายแรกเกิดอย่างรวดเร็ว
“คุณแม่ได้ลูกชายนะคะ”
ผู้เป็นพ่อรีบเดินมาดูหน้าเด็กชายตัวน้อย ก่อนจะหันไปมองภรรยาที่ยังนอนหลับอยู่จากฤทธิ์ยา
—
ณ ห้องพักฟื้น
เมื่อภรรยาทั้งสองถูกเข็นมาไว้ห้องเดียวกัน พวกเธอต่างยิ้มให้กันเมื่อเห็นหน้าคุ้นเคยจากหมู่บ้านเดียวกัน
“อ้าว น้องคลอดวันนี้เหมือนกันหรอจ้ะ?”
“ใช่จ้าพี่ ได้ลูกชายจ้ะ แล้วพี่ล่ะ?”
“ได้ลูกสาวจ้ะ”
เสียงหัวเราะและคำอวยพรแลกเปลี่ยนกันอย่างเรียบง่าย
สามีทั้งสองคนหันมองหน้ากันแล้วพูดพร้อมกัน
“เกิดวันเดียวกันเลยเนอะ โตมาคงเป็นเพื่อนกันแหละ”
แสงแดดอ่อน ๆ ส่องลอดหน้าต่างไม้เข้ามา เสียงเด็กทารกร้องแว่วอยู่ในห้อง ทั้งสองครอบครัวไม่รู้เลยว่า… เส้นทางชีวิตของเด็กทั้งสองคนนี้จะขนานกันไปอย่างไร และความสุขเพียงชั่วครู่ในวันนี้ อาจเป็นบทนำของโศกนาฏกรรมที่ไม่คาดฝันในอนาคต
ตอนที่ 2: วันเกิดปีที่ห้า
12 มกราคม 2545
ลมหนาวยังคงพัดโชยผ่านหมู่บ้านเหมือนวันนั้นเมื่อห้าปีก่อน แต่ปีนี้แตกต่างออกไป เพราะเด็กสองคนที่เคยร้องไห้พร้อมกันในห้องคลอดวันนั้น... วันนี้โตพอจะยิ้ม หัวเราะ และเป่าเทียนวันเกิดด้วยตัวเองแล้ว
ณ บ้านครอบครัวที่ 1 — บ้านไม้สองชั้นหลังเก่าๆ ที่คุ้นตา
แม่จัดโต๊ะอาหารเรียบง่ายในห้องโถง พ่อกำลังล้างมือจากร้านขายของหน้าบ้าน เดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้ม
“วันนี้วันเกิดลูกสาว เราซื้อเค้กให้ลูกเป่าพอเนาะ”
“ก็คงต้องเป็นอย่างนั้นแหละพ่อ” แม่ตอบยิ้ม ๆ ขณะจัดจานกับช้อน “ลูกเรายังเล็กอยู่ ไม่ต้องจัดงานใหญ่โตหรอกเนอะ”
เวลา 20.00 น.
แม่เดินถือเค้กปอนด์เล็ก ๆ ที่จุดเทียนห้าดวงเรียงราย พ่อเดินไปปิดสวิตช์ไฟในบ้านจนเหลือแค่แสงเทียนสลัว ๆ
“พ่อ…แม่…” เด็กหญิงตัวน้อยสะดุ้งเล็กน้อยกับความมืด ก่อนจะได้ยินเสียงเพลง
Happy birthday to you…
Happy birthday to you…
Happy birthday to you…
เธอยิ้มออกมา มือเล็ก ๆ ปรบจังหวะอย่างดีใจ ร้องเพลงตามเสียงพ่อแม่อย่างตื่นเต้น
พ่อกับแม่นั่งลงข้างลูก ตบไหล่เบา ๆ แล้วพูดพร้อมกันว่า
“วันนี้วันเกิดลูกสาวของพ่อกับแม่ ขอให้ลูกเติบโต ใช้ชีวิตให้มีความสุข เป็นเด็กดี เป็นที่รักของผู้คนนะลูก”
“ขอบคุณค่ะพ่อจ๋า แม่จ๋า” เด็กหญิงไหว้พร้อมรอยยิ้มไร้เดียงสา
เพียงชั่วอึดใจหลังจากเทียนดับลงจากแรงเป่า…
ปั้งงงงงงง!!!!
เสียงดังสนั่นจากด้านนอกบ้าน สะท้านไปทั้งหมู่บ้าน
“กรี๊ดดดดด!”
แม่สะดุ้งเฮือก รีบคว้าตัวลูกมากอดแน่น พ่อรีบลุกขึ้น ยืนฟังอย่างระแวดระวัง
“พ่อ…เสียงอะไรหนะ”
“นั่นสิแม่… เหมือนเสียงปืนเลย”
พ่อเดินไปเปิดหน้าต่างชะโงกดู สายตาสอดส่ายไปทั่วทางหมู่บ้าน
ไม่ทันไร… แสงไฟจากรถพยาบาลและรถตำรวจสาดเข้ามายังถนนหน้าบ้าน
แม่หันไปมองพ่อ สีหน้ากังวล
“รอดูสถานการณ์ก่อนละกันเนอะ…”
—
ณ บ้านครอบครัวที่ 2 — บ้านปูนชั้นเดียวในตรอกถัดไป
งานวันเกิดถูกจัดขึ้นอย่างอบอุ่น มีญาติพี่น้องและเพื่อนบ้านมาร่วมงานจำนวนหนึ่ง เสียงเพลงจากเครื่องคาราโอเกะคลอเบา ๆ อาหารพื้นบ้านถูกวางเรียงบนโต๊ะไม้ยาว
แม่อุ้มลูกชายวัยห้าขวบไว้แน่น ขณะที่พ่อเดินออกไปที่หน้าบ้าน มีชายคนหนึ่งเรียกหาเขาด้วยเสียงเร่งรีบ
“เป่าเค้กกันก่อนเลยนะ เดี๋ยวพ่อมา” พ่อพูดก่อนจะเดินออกไป
ไฟในบ้านดับลงชั่วครู่เพื่อเตรียมเซอร์ไพรส์เค้กวันเกิด
เสียงเพลงเริ่มขึ้นอีกครั้ง
Happy birthday to you…
Happy birthday to you…
Happy birth…
ปั้งงงง!!!!
เสียงปืนหนึ่งนัดแทรกกลางบทเพลง ทุกอย่างเงียบกริบในทันที ก่อนจะแตกตื่นด้วยเสียงกรีดร้องของผู้หญิง
แม่รีบคว้าลูกมากอดแน่น เสียงตะโกนโกลาหลดังขึ้นรอบตัว
“พ่อ…พ่ออยู่ไหน!” แม่ตะโกนออกไปยังหน้าบ้าน
ญาติพี่น้องที่อยู่ในงานกรูกันออกไปดู บางคนวิ่งออกไปท้ายหมู่บ้าน
“ใครหนะ!! ใครยิง!!” เสียงตะโกนดังขาดใจ
แม่วิ่งตามเสียงไป จนเห็นร่างของสามีตัวเองนอนจมกองเลือดอยู่หน้าบ้าน
ร่างเขานิ่งสนิท ดวงตาเบิกโพลงกับเลือดที่ไหลนองพื้น ชายที่มายืนคุยเมื่อครู่หายตัวไปแล้ว วิ่งหนีเข้าป่าท้ายหมู่บ้าน
แม่ร้องไห้โฮ กรีดร้องอย่างไม่อายใคร เธอทิ้งตัวลงกับพื้น กอดร่างไร้วิญญาณของสามีไว้อย่างหมดแรง
ลูกชายวัยห้าขวบยังคงยืนอยู่หน้าบ้าน ถือลูกโป่งในมือ ใบหน้าไม่เข้าใจว่าทำไมวันเกิดของเขาถึงได้กลายเป็นวันสุดท้ายที่เขาได้เห็นหน้าพ่อ
—
เสียงปืนหนึ่งนัดเปลี่ยนความสุขให้กลายเป็นบาดแผล
และเปลี่ยนวันเกิดให้กลายเป็นวันตายของคนสำคัญ
ตอนที่ 3: คำสาบานในงานศพ
14 มกราคม 2545
เสียงพระสวดศพดังกังวานทั่วศาลาวัดกลางหมู่บ้าน บรรยากาศเงียบงันปกคลุมไปด้วยความโศกเศร้า
หน้าหีบบรรจุร่างของสามีผู้จากไป คือพ่อของเด็กชายที่เพิ่งเป่าเทียนวันเกิดไปเพียงสองวันก่อน ถูกประดับด้วยดอกไม้ขาวเรียบง่าย แต่ดูขัดแย้งกับบรรยากาศแห่งความทุกข์ของครอบครัว
แม่แต่งชุดดำ นั่งหน้าศพ แขนหนึ่งโอบลูกชายไว้แน่น แต่อีกมือยังคงกำผ้าเช็ดหน้าแน่น จนข้อนิ้วซีดขาว
ญาติพี่น้องและชาวบ้านทยอยกันเข้ามาวางดอกไม้จันทน์ บางคนกระซิบถาม บางคนแค่ก้มหน้า ไม่กล้าเอ่ยคำใด
“เขาไปมีเรื่องกับใครเหรอ”
“เคยติดคดีมาก่อนไม่ใช่เหรอ…”
“ว่าแต่คนนั้นที่มาหาหน้าบ้านวันนั้น…เห็นหน้าไม่ชัด แต่เหมือนจะไม่ใช่คนในหมู่บ้าน…”
เสียงกระซิบกระซาบลอยมาเป็นระลอกคลื่น แม่ได้ยินทุกคำ แต่ไม่อาจตอบโต้อะไรได้ หัวใจของเธอเหมือนถูกฝังไปพร้อมสามีแล้ว
—
“แม่…พ่อจะกลับมาไหม”
เสียงเล็ก ๆ ของเด็กชายวัยห้าขวบถามขึ้นในความเงียบ
แม่หันมามองหน้าเขา สะอื้นแต่พยายามยิ้มทั้งน้ำตา
“ไม่จ้ะลูก…พ่อหลับแล้ว พ่อจะอยู่บนฟ้า คอยมองเราจากข้างบน…”
เด็กชายไม่เข้าใจนัก แต่เขาเงียบลง สายตาจ้องไปยังภาพถ่ายของพ่อที่ตั้งอยู่หน้าหีบศพ
—
หลังพิธี พระกำลังจะสวดบทสุดท้าย มีเสียงฝีเท้าของใครบางคนเดินเข้ามา
แม่และเด็กชายหันไปมอง — เป็นแม่ลูกจากบ้านร้านขายของชำ ครอบครัวที่คลอดลูกวันเดียวกันกับพวกเขา
“พี่…ฉันเสียใจด้วยนะ” แม่ของเด็กหญิงกล่าวเบา ๆ
แม่ของเด็กชายพยักหน้าช้า ๆ ก่อนหันไปหาลูกสาวของอีกฝ่าย
เด็กหญิงเดินถือช่อดอกไม้เล็ก ๆ มาให้ เธอยื่นให้เด็กชาย
“สุขสันต์วันเกิดย้อนหลังนะ” เธอพูดเสียงเบา สายตาใสซื่อไม่รู้ว่าความตายคืออะไร
เด็กชายรับดอกไม้เงียบ ๆ กำแน่นในมือ เหมือนจะเข้าใจบางอย่างในแบบของเขาเอง
“ขอบใจนะ” เขาพูดก่อนเงยหน้ามองไปยังรูปพ่อ แล้วพูดต่อกับตัวเองว่า…
“โตขึ้น…ผมจะหาคนที่ทำแบบนี้ให้พ่อให้ได้”
“ผมสัญญา…”
—
เสียงสวดศพจบลง แต่คำสาบานของเด็กชายยังไม่จบ
และในความเงียบของความตาย ความแค้นเริ่มหยั่งรากลึกลงไปในใจเด็กคนหนึ่ง…
ตอนที่ 4: รอยเลือดหลังเงาไม้
ฤดูร้อน ปี 2550
เวลาล่วงเลยจากวันแห่งโศกนาฏกรรมมาหลายปี เด็กชายที่สูญเสียพ่อในคืนวันเกิด กำลังเติบโตเป็นเด็กชายวัย 10 ขวบ ดวงตาของเขาเปลี่ยนไปจากความสดใสในวัยเยาว์ กลายเป็นสายตานิ่งขรึม — และเงียบขรึมเกินวัย
แม่ของเขา ยังอยู่ที่เดิม บ้านหลังเดิม เธอทำงานหนัก รับจ้างทุกอย่างเพื่อเลี้ยงลูกชายคนเดียวที่เหลืออยู่
ทุกเช้า เด็กชายเดินผ่านซากต้นไม้เก่าท้ายหมู่บ้าน — ต้นไม้ที่อยู่ไม่ไกลจากจุดที่พบศพพ่อในวันนั้น — ต้นไม้ที่ทุกคนพูดถึงว่า “ผีเฮี้ยน” แต่เขาไม่เคยกลัว เขากลับรู้สึกเหมือนมันมีบางอย่างรอคำตอบ
“พ่อ…ใครกันแน่ที่ทำแบบนั้นกับพ่อ” เขาคิดในใจขณะยืนมองเงาไม้ทาบลงบนพื้นดินที่เคยมีรอยเลือด
—
วันหนึ่งหลังเลิกเรียน เด็กชายเดินกลับบ้านตามลำพัง ท่ามกลางแดดบ่ายและเสียงจักจั่นที่ดังระงม เขาหยุดยืนใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นเดิม สายตาจ้องไปยังผิวดินที่แห้งแตก
พลันสายลมเย็น ๆ วูบหนึ่งพัดมาท่ามกลางความร้อน —
เขาได้ยินเสียงกระซิบแผ่วเบา ราวกับแว่วมาจากใต้รากไม้
“...ไอ้…หนุ่ม...มันชื่อไอ้หนุ่ม...”
เด็กชายหันขวับไปมา ไม่มีใคร ไม่มีเสียงอื่น ไม่มีแม้แต่เงาของคน
เขาใจเต้นแรง รีบวิ่งกลับบ้านทันที
—
คืนนั้น เขาล้มตัวลงนอน แต่ภาพพ่อยังไม่เคยหายไปจากใจ
เขาลืมตากลางดึก พลันนึกขึ้นได้ว่า “ไอ้หนุ่ม” เป็นชื่อที่เคยได้ยินแม่พูดถึงในตอนที่ยังเด็ก เป็นชื่อของคนที่มาหาที่หน้าบ้านวันเกิดปีนั้น ก่อนเสียงปืนจะดัง
เขารีบลงจากเตียง ค่อย ๆ เปิดลิ้นชักโต๊ะไม้ใบเก่า หยิบสมุดบันทึกของแม่ที่เคยแอบเก็บไว้ออกมา
พลิกหน้าหลังๆ จนมาถึงหน้าหนึ่ง ที่เขียนด้วยลายมือรีบเร่งว่า
“...หนุ่มเคยมาขอเงินพ่อของลูก แต่พ่อไม่ให้ บอกว่าเลิกยุ่งกับของผิดกฎหมายซะที แต่หนุ่มขู่ไว้ก่อนจะไป… ฉันกลัว...”
เขานิ่งงัน สมองเริ่มเชื่อมโยงสิ่งต่าง ๆ เข้าด้วยกัน
ไอ้หนุ่ม…
เงิน…
ของผิดกฎหมาย…
ขู่…
ปืน…
“มันคือคนที่ฆ่าพ่อจริงๆ…”
เขากำมือแน่น ดวงตาฉายแววแข็งกร้าว — ดั่งเงาไม้ในยามค่ำคืน
—
คืนนั้น เด็กชายลุกขึ้นอีกครั้ง
เขาเดินไปยืนใต้ต้นไม้ใหญ่ที่เคยมีเสียงกระซิบ
และพูดกับลมกลางคืนว่า…
“ถ้าใครอยู่ตรงนี้จริง…ช่วยพาผมไปเจอมันที…ผมขอแค่ได้รู้ว่า ‘ไอ้หนุ่ม’ อยู่ที่ไหน…”
สายลมพัดแรงขึ้นทันที — ใบไม้ปลิวว่อน เหมือนคำขอของเขาได้ถูกใครบางคนรับฟังแล้ว…
—
ตอนที่ 5: ใต้เงาเสียงกระซิบ
กลางดึกคืนนั้น
หลังจากคำพูดของเด็กชายถูกลมพัดพาไป — ท่ามกลางเงาไม้และเสียงจักจั่นเงียบลงราวกับโลกทั้งใบกำลังตั้งใจฟังคำขอของเขา
จากนั้น…
เสียงกระซิบเบา ๆ ก็ดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ชัดเจนกว่าเดิม
“…มันอยู่…ท้ายตลาด…บ้านไม้เก่า…ใต้เพิงสังกะสี…”
เด็กชายเบิกตากว้าง เสียงนั้นไม่ได้แค่แว่ว…แต่มันตอบกลับเขา
เขากลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก หัวใจเต้นโครมครามด้วยความกลัวผสมความอยากรู้
“ท้ายตลาด…บ้านไม้เก่า…” เขาพึมพำตาม
—
เช้าวันรุ่งขึ้น
เด็กชายตื่นขึ้นด้วยความตั้งใจแน่วแน่ — เขาอ้างกับแม่ว่าต้องไปเรียนเสริมที่โรงเรียน เพื่อให้มีเวลาสืบหาความจริง
แต่จุดหมายของเขาไม่ใช่โรงเรียน…
หากคือ “บ้านไม้เก่าท้ายตลาด” ที่เสียงกระซิบบอกไว้
—
ตลาดเล็ก ๆ ของหมู่บ้านดูเหมือนจะไม่มีอะไรน่าสงสัย แต่เมื่อเขาเดินลึกเข้าไปด้านหลัง ผ่านร้านขายของเก่าและโรงเก็บไม้ร้าง เขาก็เริ่มได้กลิ่นของ “ความลับ” ลอยมาแตะจมูก
และแล้วเขาก็พบ…
บ้านไม้เก่า ที่หลังคาเป็นเพิงสังกะสี ผุพังและเต็มไปด้วยเถาวัลย์ มีรั้วไม้เตี้ย ๆ ที่แทบจะพังหมดแล้ว
ภายในมีเสียงคนพูดคุยเบา ๆ และเสียงหัวเราะแหบพร่าของชายแก่
เด็กชายย่องเข้าไปช้า ๆ จากข้างบ้าน ใช้รูแตกของฝาผนังมองลอดเข้าไป
ภายในบ้าน มีผู้ชายคนหนึ่ง อายุราว ๆ 40 ปี หน้าตาหยาบกร้าน ใส่เสื้อลายเก่า ๆ นั่งดื่มเหล้าอยู่คนเดียว หน้าเขามีแผลเป็นเล็ก ๆ ตรงคิ้วซ้าย — ภาพนั้นจู่ ๆ ก็ทำให้เด็กชายจำได้… นี่คือ “ไอ้หนุ่ม” คนที่เคยเห็นหน้าวันเกิดปีนั้นจากระยะไกล!
“มันยังอยู่ที่นี่…ยังมีชีวิตอยู่…”
“มันใช้ชีวิตปกติ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น…แต่พ่อของเรากลับไม่มีโอกาสแม้แต่จะร่ำลา…”
—
ขณะเขากำลังจะถอยออกมา เสียงแหบของชายในบ้านก็ดังขึ้น
“จะยืนส่องอีกนานไหมวะ ไอ้หนู…”
เด็กชายชะงัก หัวใจแทบหยุดเต้น
ไอ้หนุ่มเดินออกมาช้า ๆ จากประตูไม้ที่ขึ้นสนิม ตรงมายังข้างบ้าน
เขากำไม้หน้าสามในมือ พูดเสียงเย็นเฉียบ
“มึงลูกมันใช่ไหม…ไอ้แก้ว…”
—
ฉับพลัน
เงาไม้ใหญ่ข้างบ้านเอนแรงราวกับถูกพายุพัด ทั้งที่ลมไม่มีแม้แต่น้อย
เสียงกระซิบดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ก้องในหูเด็กชายราวกับมาจากใต้โลก
“…วิ่ง…หนีไปก่อน…ยังไม่ถึงเวลา…”
เขาวิ่งสุดฝีเท้า ไม่หันกลับ
เสียงของไอ้หนุ่มด่าตามหลังมา
“ถ้ามึงกลับมาอีกครั้ง…กูไม่ไว้ชีวิตแน่!”
—
เด็กชายวิ่งกลับบ้าน ใจเต้นระรัว ทั้งกลัว ทั้งแค้น
เขารู้แล้วว่าใครคือฆาตกร
เขารู้แล้วว่าความยุติธรรมยังไม่เกิดขึ้น
แต่เขาก็รู้แล้วว่า…เขายังไม่พร้อม
เขาต้องรอ…ให้ถึง “เวลา” ที่เสียงนั้นบอกไว้
และเมื่อวันนั้นมาถึง
เขาจะกลับไปหา “ไอ้หนุ่ม”…พร้อมกับ “บางสิ่ง” ที่มากกว่าความแค้น
—
ตอนที่ 6: เงารอวันทวงคืน
หลังเหตุการณ์วันนั้น เด็กชายแทบไม่หลับไม่นอน ภาพของ “ไอ้หนุ่ม” ที่ถือไม้หน้าสามเดินตรงเข้ามา กับคำพูดสุดท้ายที่มันขู่ไว้ ยังก้องอยู่ในหัวไม่จาง
เขาไม่บอกแม่ ไม่บอกใคร เก็บทุกอย่างไว้ในใจ
แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด คือแววตา
มันไม่ใช่แค่นิ่งขรึมอีกต่อไป
แต่มันคือ "ความตั้งใจ" ที่ถูกไฟแค้นเผาไว้ลึกๆ
—
หลายวันผ่านไป
ในคืนเดือนมืด เด็กชายกลับไปใต้ต้นไม้ใหญ่ท้ายหมู่บ้านอีกครั้ง
เงียบ…แต่ไม่ว่างเปล่า
เสียงกระซิบกลับมา
“…ยังไม่ถึงเวลา…ต้องเติบโตอีกนิด…ต้องรู้จักอีกมาก…แล้วเราจะช่วย…”
เด็กชายพยักหน้า ไม่ได้กลัว ไม่ได้ลังเล
“ผมจะรอ ผมจะเรียนรู้ทุกอย่าง จนกว่าผมจะเอาความยุติธรรมคืนให้พ่อได้…”
—
5 ปีผ่านไป
ปี พ.ศ. 2555
เขาอายุ 15 ปีเต็ม อยู่ชั้น ม.3
เด็กชายคนนั้นไม่ใช่แค่ “เด็ก” อีกต่อไปแล้ว
เขาโตมาพร้อมกับตำราเกี่ยวกับกฎหมาย หนังสือสืบสวน และฝึกซ้อมมวยกับครูพละจนเริ่มชกเก่ง
ใครๆ ในหมู่บ้านเริ่มรู้ว่า “ไอ้บูม” เป็นเด็กที่นิ่ง พูดน้อย แต่เรียนดีและต่อยเจ็บ
แม้แม่จะรู้สึกว่าลูกเปลี่ยนไป แต่ก็ไม่เคยเอ่ยปากถาม
เพราะลึกๆ แล้ว เธอก็รู้…ความตายของพ่อยังไม่เคยได้คำตอบ
—
วันหนึ่ง หลังเลิกเรียน
บูมเดินผ่านท้ายตลาดอีกครั้ง บ้านไม้หลังนั้นยังอยู่ แต่เก่าผุขึ้นเรื่อยๆ
มีชาวบ้านบางคนเริ่มพูดกันว่า “ไอ้หนุ่มมันเป็นบ้า พูดคนเดียว เดี๋ยวหัวเราะ เดี๋ยวโวยวาย”
ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้บ้านมัน แม้แต่เด็กในตลาดก็ยังหลีกเลี่ยงทางนั้น
—
บูมยืนมองอยู่ไกลๆ
เงาไม้ใหญ่ริมรั้วบ้านนั้นขยับเบาๆ เหมือนโบกมือเชื้อเชิญ
“…ถึงเวลาแล้ว…ไปดูมันให้ชัดเจน…ว่า ‘ปีศาจ’ ที่ฆ่าพ่อ…กลายเป็นอะไรไปแล้ว…”
บูมเดินเข้าไปอย่างเงียบงัน
ในบ้านนั้น
ไอ้หนุ่มนั่งอยู่กับขวดเหล้าเก่าๆ ผมเผ้ายุ่งเหยิง ดวงตาข้างหนึ่งดูเหม่อลอย
มันพูดคนเดียว
“อย่าตามกูเลย…กูแค่…กูแค่ขอเงิน…มันไม่ให้…”
“…มึงนั่นแหละผิด…ไอ้สินมึงไม่ควรตะคอกกู…กูแค่จะยืมเงิน…”
“…มึงไล่กู…กูโกรธ…กูยิงไปเพราะกูโมโห…”
คำพูดของมันเหมือนเข็มแทงใจ
บูมกำหมัดแน่น…แต่ไม่ก้าวเข้าไป
เขายืนอยู่ในความมืด ฟังทุกคำสารภาพที่ไม่รู้ว่าพูดกับใคร
—
เขากลับบ้าน
หยิบกระดาษขึ้นมาเขียนจดหมายด้วยลายมือเรียบง่าย
“ถึง สภ.ตำบล…
ข้าพเจ้ามีหลักฐานเกี่ยวกับผู้ต้องสงสัยในคดีฆาตกรรมเมื่อ 10 ปีก่อน…”
พร้อมแนบภาพถ่ายล่าสุดที่เขาแอบถ่าย และรายละเอียดทั้งหมด
เขาไม่ใช่แค่จะล้างแค้นด้วยกำลัง…
แต่จะใช้ “ความจริง” และ “ความยุติธรรม” ที่พ่อเขาเคยยึดมั่น
—
คืนนั้น
เสียงกระซิบใต้ต้นไม้กลับมาอีกครั้ง
“…เจ้าทำดีแล้ว…เจ้าจะไม่โดนคำสาป…เจ้าจะได้ใช้ชีวิต…ไม่ต้องเป็นเงาอีกต่อไป…”
บูมยิ้มเจื่อน ๆ หันหน้าขึ้นไปมองยอดไม้
“แค่พ่อได้ยิน…แค่นั้นก็พอแล้วครับ”
—
ตอนที่ 7: เงาที่หายไป...และคำสาปสุดท้าย
หลังจากบูมส่งจดหมายนิรนามไปยังตำรวจในพื้นที่ เรื่องราวที่เหมือนจะถูกลืมก็เริ่มกลับมาเป็นข่าวในหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งนี้อีกครั้ง
สองวันต่อมา รถตำรวจเข้ามาจอดหน้าบ้านไม้เก่าของไอ้หนุ่ม
ชาวบ้านยืนมองกันเงียบ ๆ ไม่มีใครพูดอะไร แต่ทุกคนรู้ว่ามันเกี่ยวกับ “คดีที่ยังไม่ถูกปิด”
ไอ้หนุ่มถูกควบคุมตัวไป แม้มันจะพูดจาวกวน สติไม่ค่อยดี แต่เมื่อเจ้าหน้าที่พูดถึงชื่อของ “นายสิน” ผู้ตายเมื่อห้าปีก่อน มันก็เงียบไป แล้วพูดเบา ๆ ว่า…
“กูขอโทษ…กูไม่ได้ตั้งใจ…มันแค่ไม่ให้กูยืมเงิน…แค่พันเดียวเอง…”
คำพูดนั้นเหมือนสลักลงในใจบูมอีกครั้ง
เขาไม่ได้ร้องไห้…แต่เขานิ่งไปนานมาก
—
คืนนั้น
ใต้ต้นไม้ใหญ่ท้ายหมู่บ้าน
เขากลับไปนั่งตรงจุดเดิม ที่เขาเคยนั่งทุกปี ในวันเกิดตัวเอง
เงาสีดำที่เคยคล้ายจะโอบเขาไว้…วันนี้กลับบางเบา
เสียงกระซิบแผ่วเบาดังขึ้นอีกครั้ง
“เจ้าทำสำเร็จแล้ว…คำสาปจะไม่ส่งต่อไปที่เจ้า…”
บูมนิ่ง
“…แต่ผมยังรู้สึกผิดครับ…ผมรู้ว่าผมไม่ได้ฆ่าเขาเอง แต่ผมก็เคยเกลียดเขา…เคยอยากให้เขาตาย…”
เสียงเงียบไปชั่วขณะ
ก่อนตอบกลับมาว่า
“มนุษย์ย่อมมีเงา…แต่ใครที่รู้จักยอมรับมัน…คือผู้ควบคุม ไม่ใช่เหยื่อ…”
แสงบางอย่างส่องลอดผ่านกิ่งไม้ด้านบน ราวกับแสงจันทร์ช่วยเปิดทาง
บูมหยิบเศษกระดาษในกระเป๋าเสื้อ—ภาพเก่า ๆ ของครอบครัวเขาในวันเกิดเมื่อ 5 ปีก่อน พ่อยังอยู่ แม่ยังยิ้ม
เขามองมันอยู่เงียบ ๆ แล้วพูดเบา ๆ
“พ่อครับ…ผมโตพอที่จะปกป้องแม่ได้แล้ว…ผมจะใช้ชีวิตให้ไม่ต้องหนีเงาของใครอีก”
—
วันรุ่งขึ้น
บูมพาแม่ไปไหว้ศพพ่ออีกครั้งที่วัด
เขายืนอยู่นานหน้าหลุมศพ
ไม่ใช่ด้วยน้ำตา…แต่ด้วยความสงบ
เด็กชายที่ครั้งหนึ่งเคยจมอยู่กับความแค้น วันนี้เขาโตพอจะ “ปล่อยวาง” ได้
และในขณะที่แม่กำลังจัดดอกไม้
บูมก็หันหลังกลับ
แวบหนึ่ง เขาเห็นเด็กหญิงคนหนึ่งยืนอยู่ใต้ต้นโพธิ์หลังวัด—ใบหน้าเหมือนเคยเห็นที่ไหน
ใช่…เธอคือ “ลูกสาว” ของครอบครัวอีกบ้านหนึ่งที่เกิดวันเดียวกับเขา
เธอยิ้มให้เขาเล็กน้อย
แล้วเดินหายไปในแสงแดดยามเช้า
—
เงา…อาจไม่ได้มีไว้ตามหลอกหลอนเสมอไป…หากเราเรียนรู้จะอยู่กับมัน
—
จบบริบูรณ์