เสียงขลุ่ยไม้ไผ่ลอยแผ่วมาในลานวังร้างที่มีเงาจันทร์ทาบทา ชายหนุ่มผู้หนึ่งในชุดสีครามยืนอยู่ตรงศาลาหลังคาแตกครึ่ง เขาคือ “อวิ๋นเซิง” ผู้เคยเป็นนักปราชญ์เอกแห่งแคว้นหลงฮวา จนวันหนึ่งทุกสิ่งกลับมลาย
“ซือหยวน…” เขาพึมพำชื่อหนึ่งแผ่วเบา ดวงตาคมเศร้าหมองยิ่งกว่าหมอกขาวเหนือแม่น้ำ
ซือหยวน คือนางในห้องหอที่เขาเคยสัญญาว่าจะกลับมารับตัว หลังจากเสร็จศึกสงคราม ทว่าโชคชะตากลับกลั่นแกล้งเขากลับมาพร้อมข่าวการกบฏ และเห็นเพียงเรือนร่างเยือกเย็นของนางบนแท่นบูชา
เสียงพิณแว่วเศร้ากลางลมหนาว เขานึกถึงวันที่เธอเคยยิ้มให้เขาภายใต้ต้นเหมย “ข้าจะรอเจ้า… แม้เพียงหนึ่งลมหายใจ”
ทว่าลมหายใจนั้นขาดหายเมื่อฤดูหนาวมาเยือน
เขาหยิบปิ่นปักผมลายดอกเหมยที่เธอเคยฝากไว้ขึ้นมาแนบอก ราวกับจะปลอบใจวิญญาณของคนรักที่ไม่มีวันได้กลับมาอีก
“ซือหยวน… ข้ากลับมาแล้ว”
ลมหนาวหอบกลีบดอกเหมยปลิวไหวบนพื้นศาลา เสมือนวิญญาณของนางยังคงร่ำไห้อยู่ในลานวังนี้
อวิ๋นเซิงหลับตาลง สองมือยกปิ่นปักผมแนบอก น้ำตาไหลเงียบในแสงจันทร์ ท่ามกลางความเงียบที่กัดกินหัวใจ
“บุปผาเหี่ยวโรยในสายลม ข้าก็จักกลายเป็นเถ้าถ่าน… เพื่ออยู่เคียงข้างเจ้า”