บทนำ
ทางออกที่ช่วยหาให้
ทั่วทั้งเมืองเจียงอี้มีผู้ใดไม่รู้บ้างว่าคุณหนูรองแห่งตระกูลเหลียงนั้นอ่อนแอเพียงใด แต่ละครั้งยามที่นางล้มป่วยลงนั้นทำเอาหมอทั่วทั้งเมืองถูกตามตัวไปรักษาจนวุ่นวายไปหมด
ตระกูลเหลียงนั้นเป็นตระกูลร่ำรวยมีหน้ามีตา ย่อมไม่ใช่เรื่องลำบากอันใดหากจะให้หมอทั้งเมืองไปค่อยดูอาการเจ็บไข้ของคุณหนูรองที่มักจะล้มป่วยบ่อยๆถึงขั้นเรียกได้ว่าสามวันดีสี่วันเจ็บไข้เช่นนี้
ทว่าแม้ตระกูลเหลียงจะมีเงินทองมากมายเช่นนี้ ทว่าสิ่งที่ทำได้ก็คือรักษาตามอาการของคุณหนูรองพวกเขายังไม่สามารถหาหมอหรือวิธีรักษาให้คุณหนูรองแห่งตระกูลเหลียงผู้นี้หายขาดจากโรคภัยไข้เจ็บได้ต่างๆได้
“พี่เหม่ยหลันยามนี้ข้าทุกข์ใจยิ่งนัก” เหลียงฮูหยินเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเจ็บปวดอย่างยิ่ง
เมื่ออี้เหม่ยหลันเห็นท่าทีสิ้นหวังของเหลียงฮูหยินที่ระหว่างพวกนางสองคนนับถือกันเป็นพี่เป็นน้องมาเนินนานก็อดที่จะสงสารอีกผู้หนึ่งเป็นอย่างมากไม่ได้
“น้องซูมี่เจ้าอย่าได้ทุกข์ใจไปนักเลยเมิ่งเมิ่งลูกสาวเจ้าก็ปลอดภัยดีแล้วอย่างไรเล่า”
ยามนี้อี้เหม่ยหลันทำได้เพียงพยายามเอ่ยปลอบใจ อย่างน้อยๆก็อยากจะให้น้องซูมี่ของนางนั้นพอจะคลายกังวลลงได้บ้าง
“ยามนี้เมิ่งเมิ่งของข้าปลอดภัยดีแล้วอย่างไร อีกไม่กี่วันก็คงต้องเจ็บไข้ลงอีก ใจข้านี้เจ็บปวดยิ่งนัก”
นางเอ่ยไปร่ำไห้ไปอยากทุกข์ตรม
“หรือชาติก่อนข้าทำบาปเอาไว้นักหนา ลูกสาวขอข้าจึงต้องมาทุกข์ทนกับโรคภัยไข้เจ็บมาเนินนานเช่นนี้”
“เจ้ายิ่งคิดยิ่งพูด เรื่องราวยิ่งตีกันยุ่งไปหมดแล้ว น้องซูมี่เจ้าใจเย็นก่อนเถิด หากเมิ่งเมิ่งรู้ว่าเจ้าร้องไห้เสียใจเช่นนี้นางคงไม่สบายใจ”
ใช้เวลาประมาณเกือบครึ่งชั่วยามเห็นจะได้กว่าที่เหลียงฮูหยินจะสงบลง
หลังจากนั้นทั้งสองจึงได้พากันเข้ามาดูอาการของลูกสาวของเหลียงฮูหยิน
เหลียงฮูหยินหรือฟางซูมี่อดไม่ได้ที่จะน้ำตาไหลอีกครั้งเมื่อเห็นใบหน้าของลูกสาวคนรองที่นางรักสุดหัวใจขาวซีดแทบจะไร้ซึ้งสีเลือดอยู่บนใบหน้า
เหลียงฮูหยินกลั้นเสียงสะอื้นไห้ของตนอย่างยากลำบากก่อนจะเอื้อมมือของนางไปกุมมือของลูกสาวที่ยามนี้ช่างเย็นราวกับถูกนำไปแช่เอาไว้ในน้ำแข็ง
“เมิ่งเมิ่งลูกแม่ เจ้าไม่เป็นอันใดแล้ว อีกไม่นานก็จะตื่นขึ้นมายิ้มให้แม่ได้แล้ว ระหว่างนี้แม่จะเข้าครัวไปทำซุปอร่อยๆเอาไว้ค่อยเจ้าตื่นขึ้นมากินดีหรือไม่” นางยิ้มอยากมีความหวังให้กับลูกสาวของนาง ถึงแม้ว่าลูกสาวของนางจะไม่ได้ส่งยิ้มกลับคืนมาให้ก็ตาม
อี้เหม่ยหลันที่ยืนอยู่ไม่ไกลและเฝ้ามองอยู่ตั้งแต่แรก รู้ดีว่าเป็นจังหวะนี้แหละที่ควรจะดึงเหลียงฮูหยินออกไปกับนางได้จึง รีบเอ่ยขึ้น
“มากับข้าเถิดน้องซูมี่ข้าจะช่วยเจ้าทำซุปให้เมิ่งเมิ่งเอง”
ณ ห้องครัวตระกูลเหลียง
พวกนางทั้งสองคนอยู่ในครัวกับมาได้เกือบจะสองชั่วยามแล้ว บนเตามีซุปที่พวกนางทั้งสองคนตั้งใจต้มเป็นอย่างมาก ทุกอย่างถูกทำ อย่างใส่ใจทุกขั้นตอน ของที่นำมาทำซุปทุกวัตถุดิบล้วนเป็นของชั้นดีทั้งสิ้น
“ข้าเป็นแม่ ยามลูกเจ็บป่วยกับทำได้เพียงแค่นี้เพียงเล็กน้อยแค่นี้” เหลียงฮูหยินเอ่ยขึ้นเสียงเบา มือของนางยังคงเคี้ยวซุปในหม้อตรงหน้าอย่างระมัดระวัง
“เล็กน้อยสำหรับเจ้า แต่สำหรับเมิ่งเมิ่งมันอาจจะมหาศาลจนเจ้าคิดไม่ถึง” ฟางอี้หลันยังคงเอ่ยเตือนสติเหลียงฮูหยิน
“พี่เหม่ยหลัน ข้าคิดมาตลอดว่าที่เมิ่งเมิ่งป่วยเช่นนี้เป็นเพราะข้าไม่อาจคลอดนางออกมาอย่างแข็งแรงได้” นางเอ่ยออกมาก่อนจะหวนคิดไปถึงครั้งที่ตัวของนางนั้นกำลังตั้งครรภ์เมิ่งเมิ่งได้เจ็ดเดือน ตอนนั้นเพราะความนึกสนุกไม่ได้ทันได้คิดถึงความปลอดภัยของนางและลูกในครรภ์ นางเดินเล่นอยู่ข้างๆบึงน้ำในสวนไม่ทันระวังตกน้ำลงไปจนได้
จำได้ว่านางถูกช่วยขึ้นมาได้จากสาวใช้และบ่าวรับใช้หลายคน โชคดีที่ครรภ์ของนางไม่ได้กระแทกรุนแรงทำให้เด็กในครรภ์ยังอยู่ แต่กลับโชคร้ายเมื่อนางเกิดจับไข้อย่างหนักจนท่านหมอถึงขั้นเอ่ยปากว่าเด็กในครรภ์ของนางซึ่งก็คือเมิ่งเมิ่งในเวลานั้นอาจจะไม่ได้เกิดแล้ว หรือหากคลอดออกมาได้ก็จะมีร่างกายไม่แข็งแรงเช่นที่ควรเป็น
“หากเจ้าคิดเช่นนี้เมิ่งเมิ่งรู้เข้านางจะเสียใจแค่ไหนเจ้ารู้หรือไม่” นางถามออกมา
“เจ้ารักเมิ่งเมิ่งแค่ไหนทุกคนรวมทั้งเมิ่งเมิ่งลูกสาวของเจ้ารู้ดี เจ้าไม่จำเป็นต้องมานั่งโทษตัวเอง มานั่งทนทุกข์เช่นนี้มันทำให้ตัวเจ้าเองแย่แค่ไหนข้าคงไม่ต้องบอก”
“พี่เหม่ยหลันถึงจะอย่างนั้น ข้าก็ไม่อาจปล่อยวางได้ง่ายๆหรอก เมิ่งเมิ่งนางดื่มยาขมมามากมายนัก ข้ายังจำได้ว่านางบ่นออกมาว่าขมจนเลิกบ่นเพราะเคยชินกับยาขมๆพวกนี้อย่างไร ข้ารู้เมิ่งเมิ่งทำเป็นดื่มยาได้ง่ายๆเพราะไม่อยากทำให้ข้าเป็นกังวล เมิ่งเมิ่งมักแสดงออกให้ข้าเห็นว่านางไม่เป็นอะไรนั้นยิ่งทำให้ข้าเจ็บปวดใจยิ่งนัก”
“ตั้งแต่เล็กๆเมิ่งเมิ่งออกไปเล่นไม่ได้ ไปเที่ยวเล่นแบบคนอื่นๆก็ไม่ได้ ปีนี้เมิ่งเมิ่งอายุสิบเจ็ด หากเป็นลูกสาวบ้านอื่นไม่หมั้นหมายแล้วก็คงจะขึ้นเกี้ยวเจ้าสาวตบแต่งออกเรือนไปแล้ว ชีวิตของเมิ่งเมิ่งควรจะดำเนินไปอย่างผู้อื่น เวลานี้นางควรได้แต่งเข้าไปในตระกูลดีๆมิใช่หรือ”
ในที่สุดเหลียงฮูหยินก็พรั่งพรูเรื่องในใจที่กังวลออกมาจนหมด
อี้เหม่ยหลันที่ได้ฟังเรื่องทั้งหมดก็พลันคิดได้ จึงเอ่ยออกมาทันทีว่า
“เช่นนั้นก็ให้เมิ่งเมิ่งแต่งเข้าตระกูลข้าก็แล้วกัน
หนึ่งเดือนต่อมา ณ เรือนหน้าแห่งจวนสกุลเว่ย ฮูหยินเว่ยและผู้เป็นสามีกำลังนั่งรอการกลับมาของบุตรชายคนของพวกเขาอย่างเว่ยมู่เหยียนอยู่ นั่งรอได้พักใหญ่บุตรชายที่พวกนางรอคอยจึงได้ก้าวเข้ามา
“คาราวะท่านพ่อท่านแม่ขอรับ” เขาเอ่ยเคารพต่อบิดามารดาของตนที่ไม่ได้พบปะกันมาเป็นเวลาหนึ่งเดือนเต็มๆ
“เดินทางเรียบร้อยดีใช่หรือไม่” คำถามนี้ออกจากจากของผู้เป็นบิดา
“เรียบร้อยดีขอรับ” เขาเอ่ยตอบผู้เป็นบิดา
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว”
น้ำเสียงยินดีเอ่ยขึ้นกับลูกชายของตนอย่างไม่ปิดบัง พลางอดคิดในหัวไม้ได้ว่าทั้งที่ตัวเขาผู้เป็นบิดาแท้ๆยังเป็นผู้เปิดเผยทั้งด้านอารมณ์และสีหน้าเช่นผู้อื่น
หากแต่เหตุใดบุตรชายผู้นี้ของเขาจึงมักจะแสดงสีหน้าเรียบเฉยอยู่เสมอไม่ว่าจะพูดคุยเรื่องใดล้วนแล้วแต่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงของสีหน้าแต่อย่างใด
บุตรชายผู้นี้ของเขา ในหัวคิดสิ่งใดล้วนยากแท้จะรู้ได้ รู้สึกเช่นใดอยู่ยิ่งดูยากยิ่งนัก แต่ถึงอย่างนั้นกับดูสมกับที่เป็นบุตรผู้ที่ขึ้นมากุมบังเหียนการค้าของตระกูลแทนเขายิ่งนัก
“เจ้ามีสิ่งใดจะเอ่ยกับลูกก็รีบเอ่ยเถอะ ลูกเดินทางมาเหนื่อยจะได้รีบกลับไปพักผ่อนที่เรือน”
เว่ยจิ่งหยวนหันไปเอ่ยบอกผู้เป็นภรรยาที่นั่งอยู่ข้างกัน
ทั้งที่นางเป็นคนชวนเขาออกมารอลูกอยู่ที่เรือนหน้าเองแท้ๆแต่พอลูกมาแล้วดันทิ้งให้เขาเป็นคนเริ่มเอ่ยบทสนทนาออกมาก่อน
“วันที่สี่เดือนหน้าห้ามออกไปทำงาน” ฮูหยินเว่ยเอ่ยออกมา
แน่นอนว่าพอได้ยินประโยคที่มารดาเอ่ยออกมาเว่ยมู่เหยียนก็ยังคงมีสีหน้าเรียบเฉยเช่นเดิม มีเพียงคิ้วเรียวเท่านั้นที่ขมวดขึ้นเล็กน้อยด้วยความไม่เข้าใจ
“วันที่สี่เดือนหน้าเป็นวันที่จะมีสินค้ามาส่งเข้าร้านครั้งใหญ่ขอรับ ข้าคงไม่อาจหยุดงานได้” เขาตอบไปตามตรง แม้จะไม่เข้าใจว่าเหตุใดมารดาจึงอยากให้เขาหยุดงานในวันนั้น
“มอบงานให้ผู้อื่นไปทำ ส่วนเจ้าหยุดงานเพื่อไปรับเกี้ยวเจ้าสาวซะ”
“รับเกี้ยวเจ้าสาว?” เขาเอ่ยขึ้นอย่างไม่เข้าใจ
“ใช่แล้ว หนึ่งเดือนที่เจ้าไม่อยู่แม่จัดการเรื่องสู่ขอและเรื่องสินสอดเอาไว้เสร็จสิ้นแล้ว กำหนดวันแต่งงานคือวันที่สี่เดือนหน้า” นางเอ่ยไขข้อสงสัยให้บุตรชายตนด้วยท่าทีเรียบเฉย หาได้สนใจไม่ว่ายามนี้ใบหน้าที่มักจะเรียบเฉยเสมอของบุตรชายนั้นกำลังยับยุ่งไปกว่าครึ่งหน้าด้วยความไม่สบอารมณ์เพียงใด
“เฮ้อ”
เสียงถอนหายใจดังออกมาจากบุรุษที่ยามนนี้กลับมาแสดงสีหน้าเรียบเฉยไร้ความรู้สึกอีกครั้ง
มารดาถือโอกาสยามที่เขาไม่อยู่แอบจัดการทุกอย่างอีกแล้ว ครั้งนี้เขาคงจะต้องแต่งงานตามที่มารดาได้เตรียมการเอาไว้ให้จบๆกันไปเสียที อย่างน้อยๆจะได้ตัดปัญหาเรื่องแต่งงานของเขาไปได้เรื่องหนึ่ง
“ขอถามท่านแม่ ไม่ทราบว่า ว่าที่เจ้าสาวคือผู้ใดกัน” เขาตัดสินใจเอ่ยถามขึ้นแทนจะแสดงทีท่าขัดขืนหรือไม่เห็นด้วยกับงานแต่งงานที่มารดาได้กำหนดเอาไว้แล้ว
“ไม่ใช่คนอื่นคนใกล้หรอก บุตรสาวคนรองของสกุลเหลียง เหลียงซูเมิ่งอย่างไรเล่า”
ตอนที่ 1
เตรียมการงานวิวาห์
“วันที่สี่เดือนหน้าเจ้าให้ผู้ดูแลร้านค้ารอตรวจรับของที่จะมาส่งก็แล้วกัน”เว่ยมู่เหยียนเอ่ยกับคนสนิทของตนที่ยืนรอท่าอยู่ไม่ไกล ก่อนจะยกชาที่คนสนิทของตนเป็นผู้รินให้เมื่อครู่ขึ้นจิบแก้ดับกระหาย
“วันที่สี่เดือนหน้าคุณชายจะออกเดินทางไปที่ใดหรือขอรับ
ข้าน้อยจะได้เตรียมของเอาไว้ล่วงหน้าได้ถูก”
จินข่ายเอ่ยถามคุณชายของตนอย่างแปลกใจเล็กน้อย เพราะยามปกติแล้วหากไม่ใช่เรื่องสำคัญจริงๆวันส่งของคุณชายของเขาจะเป็นผู้ควบคุมดูแลเองทั้งหมด หรือหากมีธุระที่ต้องไปจัดการกับนายท่านเว่ยหรือฮูหยินเว่ย คุณชายก็จะมอบหมายให้เขาไปเป็นผู้ดูแลควบคุมแทน
ในเมื่อครั้งนี้คุณชายไม่ได้มอบหมายให้เขาดูแลแทนก็แสดงว่าตัวเขานั้นย่อมต้องติดตามคุณชายไปด้วย
อาจจะไปต่างเมืองเช่นปกติหรือไม่ก็อาจจะพาฮูหยินเว่ยไปเที่ยวชมนอกเมืองหรือต่างเมือง
“ไม่ต้องเตรียมสิ่งใด ข้าไม่ได้จะออกไปไหน เพียงแค่อาจจะต้องวุ่นวายตลอดวันเสียหน่อยก็เท่านั้น”
เขาเอ่ยตอบคนสนิทของตนสายตาก็มองสำรวจเรือนพักของตนไปทั่วอย่างต้องการตรวจดูสิ่งต่างๆภายในเรือน
จินข่ายมองคุณชายของตนที่มองสำรวจไปทั่วเรือนอย่างสงสัยก่อนจะเอ่ยถามออกไป “ไม่ทราบว่าคุณชายมองหาสิ่งใดหรือขอรับให้บ่าวช่วยท่านหาดีหรือไม่ขอรับ”
“ช่างเถอะ
เจ้าไม่ต้องตามข้าไปที่ร้านจนกว่าจะเลยวันที่สี่เดือนหน้าระหว่างนี้ก็อยู่ที่จวนค่อยช่วยงานท่านแม่ของข้าก็แล้วกัน”
“ขอรับบ่าวทราบแล้ว” จินข่ายรับคำผู้เป็นนาย ในหัวยามนี้กำลังนึกว่าบังเอิญไปล่วงเกินหรือทำสิ่งใดให้คุณชายของตนไม่พอใจไปหรือไม่ถึงขนาดไม่ให้เขาคอยติดตามไปด้วยเช่นปกติ
กว่าที่จินข่ายนั้นจะเข้าใจก็รอจนช่วงเช้าของอีกวันหลังจากที่รอส่งคุณชายของตนที่หน้าประตูจวนเรียบร้อยแล้วนั่นแหละ
จึงได้เดินไปที่เรือนของฮูหยินเว่ยเพื่อรอท่ารับใช้ตามที่คุณชายได้สั่งไว้
ฮูหยินเว่ยเมื่อเห็นเขาก็รีบเรียกเขาไปหาทันทีพร้อมกับสั่งการงานมากมายให้เขาไปจัดการจนในที่สุดเขาก็รู้ว่าที่จวนสกุลเว่ยกำลังวุ่นวายกันเช่นนี้นั้นเป็นเพราะคุณชายของเขากำลังจะแต่งงานในวันที่สี่เดือนหน้าที่กำลังจะมาถึงนี้
จะว่าดีใจเขาก็ดีใจที่จะได้เห็นคุณชายของตนแต่งงานเสียทีแต่อันที่หน้าเป็นกังวลอยู่ก็คงจะเป็นว่าที่เจ้าสาวอย่างคุณหนูรองสกุลเหลียงกระมั่งข่าวลือหนาหูว่าอ่อนแอขี้โรคเช่นนี้ไม่ใช่ว่าการแต่งงานครั้งนี้คุณชายของเขาช่างเป็นคนที่น่าสงสารหรอกหรือ
แต่เอาเถอะอย่างไรงานแต่งของคุณชายของเขาจะต้องออกมาดีที่สุด
ยิ่งใหญ่สมศักดิ์ศรีสกุลเว่ยและศักดิ์ศรีของคุณชายของเขาที่เป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของสกุลเว่ย
ส่วนอีกด้านหนึ่งที่จวนสกุลเหลียงยามนี้ที่เรือนของเหลียงซูเมิ่ง สาวใช้นามว่าติงหยู่ซึ่งเป็นสาวใช้คนสนิทของเหลียงซูเมิ่งกำลังสาวเท้าเข้ามาหาคุณหนูของตนด้วยท่าทางรีบร้อนอยากจะรีบรายงานข่าวที่นางได้มาให้ผู้เป็นนายของตนได้ฟัง
“คุณหนูเจ้าค่ะเมื่อครู่บ่าวไปแอบฟังที่เรือนหน้ามาเจ้าค่ะเห็นว่าพรุ่งนี้จะมีช่างมาวัดตัดและนำแบบชุดแต่งงานมาให้คุณหนูเลือกเจ้าค่ะ”
ติงหยู่เอ่ยรายงานทันทีที่เห็นว่ายามนี้คุณหนูของนางกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่เก้าอี้มุมหนึ่งด้านในเรือนพัก
“แล้วมีข่าวอย่างอื่นอีกหรือไม่” เหลียงซูเมิ่งเอ่ยถามสาวใช้ของตนต่อ
“ไม่มีแล้วนะเจ้าคะ ที่บ่าวได้ยินมีเพียงเท่านี้เจ้าค่ะคุณหนูอยากทราบเรื่องใดอีกอย่างนั้นหรือเจ้าค่ะ” สาวใช้คนสนิทเอ่ยถามออกมาอย่างไม่เข้าใจ
ก่อนจะนึกขึ้นมาได้จึงได้รีบกล่าวออกไป “บ่าวได้ยินคนจากห้องครัวพูดกันมานะเจ้าคะว่าเมื่อเช้าพวกนางเห็นคุณชายเว่ยที่ตลาด คุณชายเว่ยไม่มีท่าทีใดเป็นพิเศษเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นรึขอบใจเจ้ามาก” เจ้าของเสียงหวานเอ่ยออกมาเบาๆ ก่อนจะเอ่ยให้สาวใช้คนสนิทของนางไปนำของว่างมาให้ใหม่
หลับจากที่ติงหยู่ออกไปแล้วในเรือนจึงเหลือเพียงแค่นางและสาวใช่ที่ยืนรอท่าอยู่ใกล้ๆอีกสองคนเท่านั้น
นางปิดหนังสือในมือลงก่อนจะวางลงที่โต๊ะด้านข้างก่อนจะหันหน้าออกไปมองนอกหน้าต่างบานที่อยู่ห่างออกไปเล็กน้อย
อีกไม่กี่วันนางจะได้แต่งงานแล้วแถมยังโชคดีที่ได้แต่งกับบุรุษที่นางแอบหลงรักมานาน
นางจำได้ครั้งแรกที่ได้ยินเรื่องแต่งงานจากปากของท่านแม่นางดีใจมากแต่เมื่อเวลาผ่านมานางกลับรู้สึกหวั่นใจ
นางหวั่นใจว่าตัวเองนั้นจะไม่สามารถทำหน้าที่ภรรยาได้เป็นอย่างดี กลัวหากแต่งไปเป็นภรรยาของบุรุษที่นางหลงรักมาเนินนานแล้วจะทำให้เขารู้สึกผิดหวังหรือเสียใจที่แต่งงานกับนาง
เหลียงซูเมิ่งรู้ดีการแต่งงานนี้เกิดขึ้นเพราะท่านแม่ของนางและท่านแม่ของเว่ยมู่เหยียนเห็นดีด้วยเท่านั้น
หาได้มาจากความต้องการหรือเต็มใจที่จะแต่งแต่อย่างใด
เมื่อครู่ที่นางถามติงหยู่เกี่ยวกับเรื่องของเว่ยมู่เหยียนก็เพราะอยากจะรู้ว่าหลังจากที่เขารู้แล้วว่าอีกไม่นานจะต้องแต่งกับนางจะมีท่าทีอย่างไรบ้างหากเขาไม่เต็มใจหรือทะเลาะกับผู้ใหญ่ในสกุลเว่ยเพราะงานแต่งครั้งนี้จะทำอย่างไร
นางกังวลว่าอาจจะถูกเกลียดกังวลว่าจะให้เขาไม่พอใจเป็นที่สุดหลังจากที่ได้รู้ว่าเขากลับทำตัวเป็นปกติไม่มีสิ่งใดผิดแปลกไปนางก็แอบโล่งใจเล็กน้อยแต่ก็อดคิดไปไม่ได้ว่าอาจจะเป็นเพราะเขาไม่สนใจนางแต่แรกแล้ว ถึงจะต้องแต่งกับนางอีกไม่ช้าก็ไม่ใช่เรื่องราวใหญ่โตที่จะต้องเก็บมาใส่ใจแต่อย่างไร
ในสถานนะแอบหลงรักเขามาเนินนานแอบมองอยู่เพียงใกล้ๆเท่านั้นครั้งนี้มีโอกาสให้นางรักเข้าไปเป็นอีกส่วนหนึ่งของชีวิตของเขาแล้ว แน่นอนว่าตัวของนางนั้นยิ่งกว่าดีใจเสียอีก ได้เพียงแค่หวังว่าตัวนางนั้นจะได้อยู่ในหัวใจของเขาเข้าสักวัน
แม้จะเป็นเพียงเศษเสี้ยวเล็กๆก็ขอให้มีสักวันหนึ่งที่นางจะได้ครอบครองเป็นเจ้าของเศษเสี้ยวเล็กๆนั้น
เมื่อเช้าอยู่ๆท่านแม่ก็ให้คนมาบอกนางว่าจะให้นางไปอารามนอกเมืองเป็นเพื่อน
แน่นอนว่านางที่ไม่ค่อยได้ออกจากจวนนั้นตอบตกลงกับมารดาอย่างรวดเร็ว
ครั้นเมื่อถึงเวลานัดนางก็เดินออกมายังหน้าประตูจวนเพื่อที่จะขึ้นรถม้าไปเช่นดังปกติ
หากแต่คราวนี้ไม่เป็นเช่นทุกครั้งเมื่อยามที่นางเดินมาใกล้ประตูทางเข้าจวนกับได้ยินเสียงพูดคุยกันอย่างสนุกสนานที่ดังลอยมาเสียก่อน
เสียงหนึ่งในผู้ที่สนทนาอยู่นั้นเป็นน้ำเสียงที่นางคุ้นหูมากทีเดียวซึ่งแน่นนอนว่าเจ้าของเสียคงจะเป็นผู้ใดไปไม่ได้นอกจากท่านแม่ของนางนั้นเอง
พอเดินไปถึงจึงพบกับคู่สนทนาของมารดานางซึ่งก็ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นท่านป้าอี้ผู้เป็นเพื่อนสนิทของมารดานางและยังเป็นว่าที่แม่สามีของนางอีกด้วย
“ซูเมิ่งคาราวะท่านป้าอี้เจ้าค่ะ” นางเอ่ยขึ้นพร้อมทั้งโค้งคำนับทันทีเมื่อเดินมาถึงจุดที่ท่านแม่ของนางกับท่านป้าอี้ยืนอยู่
“เมิ่งเมิ่งหายเจ็บไข้แล้วใช่หรือไม่”
ท่านป้าอี้เอ่ยขึ้นกับนางด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงแน่นอนว่านางยิ้มเป็นเชิงของคุณที่ผู้ใหญ่เป็นห่วงก่อนจะเอ่ยตอบกลับท่านป้าไปอย่างอ่อนน้อม
“หลานดีขึ้นมากแล้วเจ้าค่ะขอบคุณท่านป้ามากที่เป็นห่วงหลานเสมอมา”
นี้คือสิ่งที่นางตอบกลับไปตัวนางนั้นไม่สามารถเอ่ยได้ว่าหายขาดเพราะรู้ดีว่าอีกไม่กี่วันตัวนางก็จะลดป่วยเช่นเดิมอีก
ได้แต่ตอบให้อีกฝ่ายสบายใจและรู้ว่าตัวนางนั้นไม่ได้เป็นอะไรในตอนนี้
“แดดเริ่มแรงแล้วเจ้ารีบใส่หมวกคลุมเถอะ อีกเดียวรถม้าก็จะมาถึงแล้ว” เหลียงฮูหยินที่เห็นว่าแดดกำลังจะออกเอ่ยขึ้นกับบุตรสาวตนอย่างเป็นห่วง
ซึ่งแน่นอนว่าหลังจากที่เหลียงฮูหยินเอ่ยขึ้น ติงหยู่สาวใช้คนสนิทของเหลียงซูเมิ่งก็รีบนำหมวกคลุมมาช่วยใส่ให้คุณหนูของนางอย่างคล่องแคล่วว่องไว
เมื่อสวมหมวกคลุมแล้วแทบทั้งตัวของเหลียงซูเมิ่งก็สามารถกล่าวออกมาได้เลยว่าไม่มีร่างกายส่วนใดๆของนางที่สามารถลอดผ่านเสือผ้าออกมาต้องแดดต้องลมได้แม้แต่น้อย
หากผู้ใดมองมาจะเห็นเพียงร่างของสตรีผอมเพรียวผู้หนึ่งซึ่งตั้งแต่ศีรษะจรดเท้านั้นมีเพียงข้อมือเล็กๆเท่านั้นที่สามารถเล็ดลอดออกมาจากแขนเสื้อได้เพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น
ยืนรออยู่อีกไม่นานนักก็มีรถม้าคันหนึ่งมาจอดเทียบอยู่ที่หน้าประตูจวนเหลียงซูเมิ่งขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจเท่าใดนัก
เมื่อรถม้าที่จอดเทียบอยู่ในขณะนี้หาใช้รถม้าของจวนของนางไม่
แต่แล้วนางก็หายข้องใจในทันที
เมื่อร่างสูงแสนคุ้นเคยก้าวออกมาจากด้านในรถม้าอย่างสง่าผ่าเผย
ร่างสูงที่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์แห่งบุรุษเพศยามนี้มายืนอยู่ไม่ไกลจากนางเท่าใดนัก
ใบหน้าเรียบเฉยเพียงมองมาที่นางเล็กน้อยเท่านั้นพร้อมกับโค้งศีรษะให้นางเล็กน้อยเป็นการทักทายก่อนที่เขาจะหันไปทางที่ท่านแม่ของนางและท่านแม่ของเขายืนอยู่
นางเห็นเขาพูดคุยกับผู้ใหญ่ทั้งสองหลายคำระหว่างนั้นจึงได้โอกาสมองสำรวจเขาดูเหมือนเขาจะดูซูบลงไปบ้าง คงเป็นเพราะต้องออกเดินทางไปไกลบ้านเป็นเวลานานแน่นอนว่าระหว่างทางคงไม่ได้สะดวกสบายเท่าที่ควร
แต่ถึงจะดูซูบลงไปบ้างแต่ก็ไม่ทำให้ความสง่างามของเขาน้อยลงไปด้วยเลยเขายังคงสง่างามเช่นเดิมไม่เปลี่ยน
“ไปกันเถอะ มาน้องสาวเจ้าขึ้นไปก่อน” เป็นท่านป้าอี้ที่เอ่ยกับมารดาของนาง
เมื่อทั้งสองเข้าไปยังรถม้าเสร็จก็เหลือเพียงแค่นางเท่านั้นที่ยังไม่ได้ก้าวขึ้นไป “มาเจ้าค่ะคุณหนู บ่าวจะประคองท่านเอง” ติงหยู่รีบขันอาสาก่อนจะรีบเดินเข้ามาจับประคองคุณหนูของนางขึ้นไปยังรถม้า
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยรถม้าจึงได้ออกตัวเดินทางไปสู่อารามจี๋ฟาซุ่น
ระหว่างทางซูเมิ่งได้เพียงมองออกไปด้านนอกหน้าต่างของรถม้าเท่านั้นนางทำทีเป็นมองทิวทัศน์ด้านนอกแต่ความจริงแล้วแอบมองบุรุษผู้หนึ่งที่ควบม้าอยู่ด้านข้างไกลๆต่างหากเล่า
ในใจยามนี้ของนางเปรียบดังกำลังมีดอกไม้เบ่งบานอยู่แม้เขาจะไม่ได้เอ่ยสิ่งใดกับนางสักคำหรือไม่แม้จะจ้องมองมาที่นางให้นานอย่างที่นางแอบหวังแต่เพียงเท่านี้นางก็ดีใจมากแล้ว
ท่านแม่ของนางและท่านป้าอี้สนิทสนมกับถึงขั้นนับถือกันเป็นพี่สาวน้องสาวแน่นอนว่าบุตรยอมต้องเคยเล่นด้วยกันในวัยเด็กเพียงแต่ในวัยเด็กมีเพียงพี่สาวของนางเหลียงซีซีเท่านั้นที่ได้เป็นเพื่อนในวัยเด็กของเขาส่วนตัวนางนั้นเกิดห่างจากพี่สาวเกือบสามปี ซึ่งแน่นอนว่าเขาในวัยเก้าขวบย่อมไม่อาจมาเล่นกับนางแน่
สองปีก่อนจำได้ว่านางถึงขั้นแอบปวดใจอยู่หลายครั้งเมื่อพี่สาวของนางมักจะได้รับของจากเขาอยู่หลายครั้ง
ของที่ส่งมาล้วนเป็นของจากต่างเมืองมีราคาสูง
นางเคยแอบคิดว่าทั้งสองคนมีใจให้กันด้วยซ้ำนางเก็บความเสียใจเอาไว้มาตลอดจนกระทั่งพี่สาวของนางออกเรือนไปกับพี่เขยของนางเมื่อสองปีก่อนแล้วเขาก็ได้ส่งของขวัญแสดงความยินดีมาให้กับพี่สาวของนางนั่นแหละนางถึงได้รู้ว่าคนทั้งสองต่างรักใคร่ประหนึ่งพี่น้องเท่านั้นหาใช่เป็นความรักแบบชาวหญิงที่นางคิดไม่
แน่นอนว่านางนั้นโล่งใจเป็นที่สุดหลังจากนั้นมานางก็เฝ้ามองเขาอยู่ห่างๆมาตลอดไม่ได้คิดว่าจะต้องให้เขารักนางตอบเพียงแค่อยากได้รักเขาไปเช่นนี้ก็พอแล้วแต่ก็เหมือนเรื่องตลกที่อยู่ๆนางก็จะได้แต่งงานกับเขาเสียอย่างนั้นทุกอย่างเหมือนกับความฝันในยามหลับเหลือเกิน
ฝันที่นางไม่เคยกล้าที่จะฝันแต่กลับกลายมาเป็นสิ่งที่ใกล้จะเป็นความจริงแล้วในที่สุด
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!