บทนำ ยามเมื่อฤดูใบไม้ผลิพลันแปรเปลี่ยน
ร่างบอบบางของหญิงสาวเดินด้วยท่าทางงามสง่านั้นเป็นที่ชินตาของเหล่าคนรับใช้ยิ่งนัก ใบหน้าที่สวยหวานนั้นก็เชิดขึ้นเล็กน้อย อาภรณ์สีเขียวอ่อนที่ปักลวดลายเฉพาะตัวของนางเอง ดวงตาที่ราวกับนัยน์ตาหงส์นั้นมีเสน่ห์จนทำให้คนรับใช้อดเงยหน้ามองเสียไม่ได้
“ฮูหยินรองเจ้าคะ ฮูหยินรอง”เสียงของสาวรับใช้คนหนึ่งดังขึ้น เพียงแค่พบหน้าของหญิงรับใช้ผู้นั้นฮูหยินรองอย่างนางจึงต้องปั้นหน้ายิ้มรับทั้งที่ในใจแสนจะเกลียดชังนาง คนรับใช้คนสนิทของฮูหยินใหญ่เซียวหวังซื่อยิ้มรับก่อนจะกล่าวคำพูดที่นายตนฝากบอกเอาไว้
“ฮูหยินรอง ฮูหยินใหญ่กล่าวว่า วันนี้ยามเว่ย (13.00 – 14.59 น.) ฮูหยินผู้เฒ่าจะคอยอยู่ที่เรือนของท่าน โปรดมาตามเวลาด้วย”
ฮูหยินรองพยักหน้าก่อนจะเอ่ยถามคนสนิทว่าตอนนี้ยามใดแล้วจึงได้ความว่าตอนนี้แค่ยามอู่(11.00 – 12.59 น.) จึงได้บอกให้คนสนิทไปที่ห้องครัวเพื่อเตรียมอาหารให้ ร่างระหงก้าวเดินต่อทันทีเมื่อหมดธุระจากที่แห่งนี้แล้ว
“น่าสงสารฮูหยินรองเสียจริง วันเกิดตนเองแท้ๆ ยังต้องมาเจออะไรแบบนี้อีก”เสียงเอ่ยของคนรับใช้สาวไม่เบานักจึงได้ยินกันทั่วบริเวณ ส่วนผู้อื่นนั้นก็ได้แต่ซ่อนใบหน้าที่เวทนานั้นด้วยการก้มหน้าลง พวกเขาทั้งหมดก็คิดเช่นเดียวกันแต่เพียงไม่มีใครกล้าเอ่ยมันออกมา
เมื่อถึงเรือนตนเองฮูหยินรองผู้ทรงสง่าเมื่อครู่ก็มลายหายเหลือเพียงหญิงสาวผู้เสียใจกับความรักเท่านั้น มือเรียวงามจับที่ปิ่นปักผมอันหนึ่งที่มีค่าไม่มากนักแต่ก็สำคัญยิ่งของตนเอง
ปิ่นที่ชายคนนั้นมอบให้ตอนที่เป็นเพียงแค่นายกอง ปิ่นถูกๆ ที่เธอซื้อได้ไม่ยากเย็น ยิ่งเมื่อหยิบมันมาดูนั้นก็ยิ่งทำให้นางเศร้าใจจนน้ำตาไหลออกมา คำกล่าวรักที่สลักบนปิ่นนี้นางยังมิเคยลืมเลือน แต่เขาคงไม่... เขาลืมนางแล้วกระมัง
“ฮูหยินรองท่านทานอะไรบ้างเถิด... นะเจ้าคะ”เสี่ยวฟงเอ่ยขอร้องนายหญิงของตน นางจึงยอมทานแต่ก็ทานเข้าไปเพียงเล็กน้อย เมื่อทานเสร็จหญิงสาวผู้เป็นนายแย้มยิ้มเล็กน้อยนั่นทำให้เสี่ยวฟงรู้แทบจะทันที
ฮูหยินกำลังเศร้าและกดดัน
เมื่อถึงยามเว่ยนางจึงลุกขึ้นไปหยิบของบางสิ่งจากกล่องไม้แล้วเดินออกไป ในเรือนของฮูหยินผู้เฒ่านั้นจุดกำยานกลิ่นอ่อนนัก นางเดินผ่านจุดที่ตนเคยเห็นว่าเคยจุดกำยานเอาไว้แต่ตอนนี้กลับไม่มีพวกมันเลยแม้แต่น้อย บ่าวรับใช้เปิดประตูให้นางอย่างน้อบน้อม
“คาราวะฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าค่ะ”ร่างบางยอบกายเคารพฮูหยินผู้เฒ่าอย่างอ่อนหวานแล้วยื่นบางสิ่งไปให้กับฮูหยินผู้เฒ่า เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าของบ้านได้อ่านก็อุทานออกมาเบาๆ นางไม่คาดคิดเลยว่าเด็กคนนี้จะทำเรื่องราวที่เหมือนกับจะฆ่าตัวตายเช่นนี้
“อิงอิงเจ้ารู้หรือเปล่าว่าทำเช่นนี้มันจะเกิดอะไรขึ้น”
“ข้าทราบดีเจ้าค่ะ”ฮูหยินผู้เฒ่ามองหญิงสาวผู้เป็นฮูหยินรองของบ้านด้วยความเอ็นดู ก่อนจะเรียกคนใช้คนสนิทไปหยิบเงินจำนวนมากให้แก่หญิงสาว
“อิงอิง ตัวข้านั้นเอ็นดูเจ้าเหมือนลูกสาวแท้ๆ ของตนเอง ข้านั้นอยากให้เจ้าไปมีชีวิตที่ดีกว่าเดิม นี่คือเงินส่วนตัวของข้าเอง เจ้ารับไปเถอะ”คำกล่าวของฮูหยินผู้เฒ่าทำให้นางอดที่จะน้ำตาคลอเสียไม่ได้ ร่างบางกล่าวลาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่ตนจะรีบจัดการเรื่องที่เหลือต่อ
ในวันนี้เองที่สำนักคุ้มภัยดูครื้นเครงเป็นอย่างมาก คงเพราะวันนี้มีอดีตฮูหยินรองอย่าง เซียวเหมยอิง มาว่าจ้างให้คุ้มครองรถม้าที่นางขนสินเดิมออกจากจวนแม่ทัพ และยังย้ายไปทางชายแดนของทางเหนืออีกด้วย การเดินทางจะเริ่มขึ้นในวันที่สามนับจากวันนี้
เซียวเหมยอิงเก็บของตนเองอย่างไม่รีบร้อนนัก คนรับใช้คนสนิทอย่างเสี่ยวฟงก็ช่วยด้วย การเก็บของเป็นไปอย่างเรียบร้อย ไม่นานพวกนางทั้งคู่ก็เก็บของจนเสร็จ เซียวเหมยอิงนำปิ่นปักผมสุดรักของนางออกมาแล้วนำมันไปขีดที่ต้นเหมยหน้าเรือนอย่างเจ็บช้ำ รอยที่ปรากฎบนปิ่นนั่นช่างเหมือนกับจิตใจของนางเหลือเกิน
“นายหญิงพวกสำนักคุ้มภัยมากันแล้วนะเจ้าคะ”เสี่ยวฟงเอ่ยเรียกนายตนที่หายไปเนิ่นนาน ก่อนจะร้องเสียงหลงเมื่อเห็นว่ามือของนายตนเต็มไปด้วยเศษดินเศษหญ้า ที่มือก็ปรากฎเลือดให้เห็นแม้มันจะเล็กน้อยก็ตาม เสี่ยวฟงวิ่งวุ่นหาน้ำเปล่ามาล้างมือและหายามาให้ เมื่อทำความสะอาดแผลแล้วทายาเรียบร้อยเหมยอิงก็จัดระเบียบชุดและทรงผมเล็กน้อยก่อนจะเดินออกจากจวนนี้ไป
ทิ้งไว้เพียงต้นไม้ตนหนึ่งที่เริ่มร่วงโรย ดอกเหมยที่ผลิบานนั่นค่อยๆ ปลิวไหวลงมาตามแรงลม ตัวอักษรที่สลักเอาไว้เตือนใจตนและหลุมที่พึ่งกลบไปหมาดๆ
‘ความรักดั่งฤดูใบใม้ผลิ ตัวข้านั้นหลงคิดผิดเองว่ามันจักยาวนานชั่วชีวา หากแต่ฤดูกาลยังคงแปรเปลี่ยน มีหรือที่รักของเราจะไม่แปรผัน’
บทที่ 1 โรงน้ำชา
การเดินทางไปยังชายแดนเป็นไปด้วยความราบรื่น
ธรรมชาติรอบตัวทำให้เซียวเหมยอิงเปิดเผยอีกด้านหนึ่งให้ผู้อื่นเห็น
หญิงสาวที่ไร้เหตุผล ช่างพูด สงสัยไปทุกเรื่อง ไม่สนมารยาทมากนัก
นั่นทำเอาเหล่าคนจากสำนักคุ้มภัยถึงกับเหวอออกนอกหน้า
“คุณหนูเซียว ตอนนี้เราใกล้ถึงที่หมายแล้วขอรับ”หัวหน้าของเหล่าสำนักคุ้มภัยกล่าวบอกกับคนในรถม้า
ไม่สิตอนนี้นางมาขี่ม้าอยู่หลังเขาแล้วต่างหาก
“ข้าทราบแล้ว ท่านฟาง”เซียวเหมยอิงยิ้มแย้มพร้อมตอบออกไป ดวงตาสีดำสนิทเปล่งประกายถึงความตื่นเต้น
เมื่อผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองแล้วก็ผ่านได้อย่างสะดวก
ทั้งคณะเดินทางไปที่บ้านหลังหนึ่งที่มีขนาดกลางๆ
มันคือบ้านที่เซียวเหมยอิงเคยซื้อเอาไว้เมื่อเนิ่นนานมาแล้วและตัวนางก็ไม่คาดคิดว่าจะได้ใช้มันในเวลานี้
สภาพในตัวบ้านนั้นยังคงเรียบร้อยดีอยู่และปราศจากฝุ่นเนื่องจากเซียวฮูหยินส่งคนมาทำความสะอาดทุกๆ
อาทิตย์และตัวนางก็พึ่งส่งข่าวบอกแม่ตนเองเอาไว้ว่าจะมาที่นี่
เซียวฮูหยินจึงส่งทำมาทำความสะอาดล่วงหน้าก่อนที่นางจะมาถึง
เหล่าคนคุ้มกันก็มาช่วยกันขนของเข้ามาในบ้าน
เซียวเหมยอิงก็เดินสำรวจสิ่งต่างๆ หลังจากไม่ได้มาเยือนนาน
ไม่นานนักเหล่าคนคุ้มภัยก็ขอกลับไปก่อนเหมยอิงจึงให้เงินเพื่อเป็นสินน้ำใจและค่าแรงช่วยขนของให้เป็นจำนวนไม่น้อย
“เสี่ยวฟง ไปสำรวจตลาดกันเถอะ”เสี่ยวฟงที่แค่ได้รู้ว่าไปตลาดก็ยิ้มกว้างกุลีกุจอใส่หาชุดที่เรียบง่ายตามคำบอกของเหมยอิง
สาวใช้ตัวน้อยทำทุกอย่างด้วยความรวดเร็วอีกทั้งยังเกล้าผมเป็นทรงของคนที่ออกเรือนแล้วอีกด้วย
ปิ่นเงินหลากหลายแบบถูกปักใส่ผมด้วยความระมัดระวังไม่ให้สีและรูปแบบตีกันเอง
“เจ้าก็ยังเอาใจใส่เรื่องเล็กน้อยแบบนี้เสมอเลยนะเสี่ยวฟง”เสี่ยวฟงที่ได้ยินก็ยิ้มกว้าง น้อยครั้งนักที่จะได้ยินนายหญิงพูดเช่นนี้
นายหญิงต่างหากที่ไม่สังเกตมากนักในเวลาหลายปีที่ผ่านมา ตั้งแต่...
นางหลงรักชายผู้นั้นก็ละเลยสิ่งรอบตัวไปจนสิ้น
“ไปกันเถอะเจ้าค่ะ”เซียวเหมยอิงยืนมือให้เสี่ยงฟงพยุงร่างตนลุกขึ้นจากเก้าอี้ก่อนจะเดินนำหน้านางไปที่ประตูบ้าน
พอเปิดประตูออกแล้วเดินไปเพียงชั่วครู่ก็พบตลาดที่เหล่าแม่ค้าพ่อค้าพากันพูดแนะนำและชักชวนมาดูสินค้าตน
แผงลอยที่เปิดอยู่ก็วางแสดงสินค้ามากมายให้เลือก
“นายหญิงดูนั่นสิเจ้าคะ
นั่นคงเป็นร้านน้ำชาที่เป็นที่นิยมในตอนนี้เป็นแน่แท้เจ้าค่ะ”เสี่ยวฟงพูดพร้อมชี้นิ้วไปที่อาคารไม้สามชั้นหลังงาม
รอบข้างมีแต่ทางเดินหินที่นำไปสู่ศาลาในสวนของร้านที่ดูสงบอย่างบอกไม่ถูก
“เจ้าไปรู้ข้อมูลพวกนี้มาตั้งแต่ตอนไหนกัน”เซียวเหมยอิงถามเสี่ยวฟงที่ตอนนี้มาเดินนำหน้านางด้วยความสนใจ
“ก็เพราะว่าบ่าวชอบไปพูดคุยกับคนอื่นๆ
ในจวนและที่ต่างๆ เลยหลอกถามข้อมูลมาได้มากเลยล่ะเจ้าค่ะ”ความสามารถเฉพาะตัวของเสี่ยวฟงที่เข้ากับคนง่าย
พูดคุยเก่ง
เป็นคนที่นิสัยน่ารักพร้อมกับใบหน้าที่ใสซื่อและความซื่อบื้อทำให้คนส่วนใหญ่มักจะวางใจ...
ละมังนะ
“เสี่ยวเอ้อร์
ขอขนมขึ้นชื่อกับชาที่ดีที่สุด”เหมยอิงกล่าวกับเสี่ยวเอ้อร์ก่อนจะหันไปมองรอบๆ
ภายในร้านชาร้านนี้ช่างเงียบสงบยิ่งนัก ดูร้างผู้คน...
“วันนี้ไม่มีคนเลยนะเจ้าคะ”เสี่ยวฟงคนเดิมเดินไปพูดคุย
ไม่สิเรียกว่าหลอกถามข้อมูลจากเสี่ยวเอ้อร์ต่างหาก จนได้ความมาว่า
ช่วงนี้เมืองแห่งนี้มักถูกรบกวนด้วยสัตว์อสูรปราณขั้นสูงนาม เจิ้น
เป็นนกที่มีความร้ายกาจเป็นอย่างมาก
นกตัวนี้นอกจากจะตัวใหญ่เท่าพญาอินทรีแล้วก็ยังมีพิษทั่วกาย มีขนสีม่วง
แม้จะมีข้อดีที่ชอบกินงูพิษ ทำให้เป็นการกำจัดงูอันตรายไปด้วยในตัว
แต่ทว่าเจ้าตัวนี้ดันแปลกประหลาดเพราะไม่เพียงไม่ช่วยกิน
มันยังยืนเป็นรูปปั้นหินขู่งูเล่นจนพวกงูพากับอพยบมาที่เมืองอีก
ทำเอาชาวเมืองปวดหัวกับงูพิษกันเป็นว่าเล่น
พอนานเข้าพวกชาวบ้านจึงย้ายบ้านไปที่อื่นกันหมด กลัวจะตายในสักวันด้วยงูพิษ
“แล้วทางการไม่ส่งคนมาจัดการเลยหรือ”
“บ่าวสอบถามมาแล้วเจ้าค่ะ
เสี่ยวเอ้อร์ผู้นั้นบอกว่า แจ้งแล้ว ร้องเรียนก็แล้วไม่มีคนจากทางการมาช่วยเหลือเลนล่ะเจ้าค่ะ
อีกทั้งยังบอกอีกด้วยว่า อีกไม่นานที่แห่งนี้ก็จะต้องถูกขายด้วยเช่นกัน
เพราะเถ้าแก่ของเขาจะย้ายไปขายที่เมืองอื่นแทนแล้ว”เหมยอิงจิบชาเล็กน้อยก่อนจะเหม่อมองออกไปที่นอกหน้าต่างแล้วพบกับชายหญิงคู่หนึ่งวิ่งออกมาจากบ้านตนด้วยสีหน้าแตกตื่น
เนื้อตัวไม่เรียบร้อยคล้ายว่ากำลังประกอบกิจกันอยู่
“พวกเจ้าสองคนทำไมออกมาจากบ้านด้วยสภาพเช่นนี้!”ชาวบ้านคนหนึ่งที่มุงดูอยู่เอ่ยปากถามแต่ยังไม่ทันที่จะได้พบคำตอบพวกเขาก็พบกับงูตัวใหญ่ที่มีลำตัวสีดำสนิทเลื้อยออกมาจากบ้านของทั้งคู่
ทันทีที่พบมันชาวบ้านก็แตกหือทันที
สัตว์ตัวนี้แม้เป็นอสูรระดับต่ำแต่ก็มิอาจดูเบาได้
เหมยอิงที่นั่งจิบชาอยู่ถึงกับสำลักชาในทันทีที่เห็นมัน
หากนางจำไม่ผิดเจ้าตัวนี้คือเสี่ยวเฮยที่นางเคยเลี้ยงไว้ในสวนหลังจวนที่นางซื้อเอาไว้
ทั้งมันยังเป็นสัตว์ในพันธสัญญาเลือดนางจึงได้ยินความคิดที่เป็นต้นเหตุในนางแสดงกิริยาเช่นนี้
ทำไมไม่จัดกันต่อนะ
ข้าอุตส่ารอชม กำลังจะถึงจุดนั้นกันแล้วเชียว!
เสี่ยวเฮยน้อยแสนน่ารักนางหายไปไหนแล้ว
สองปีที่นางหายไปถึงกับทำให้งูน้อยแสนน่ารักกลายเป็นงูจอมเผือกเรื่องในมุ้งชาวบ้านเขาแล้วหรือ
ไอปราณขั้นกลางแทบจะพวยพุ่งออกมาจนคุมไม่อยู่
เสี่ยวเฮยน้อยในตอนนี้ก็หันไปพบกับคนคุ้นหน้าที่ร้านน้ำชา
ทั่วทั้งกายราวกับถูกแช่ด้วยเหมันต์
ดวงตาสีดำสนิทนั้นช่างน่าหวาดกลัว
งูน้อยได้แต่คอตกแล้วเลื้อยไปที่หลังบ้านของสองสามีภรรยาคู่นั้นแล้วลัดเลาะกลับบ้านตน
สายตาที่เย็นชานั้นเขาไม่เคยพบมันมาเนิ่นนานแล้ว
ไม่คาดคิดว่านางจะกลับมาที่แห่งนี้ แม้วรยุทรจะไม่ก้าวหน้าขึ้น
แต่เขากลับรู้สึกได้ทันทีที่สบตาของนาง
นางโหดเหี้ยมขึ้นอย่างแน่นอน
เหมยอิงมองไปยังงูสีดำตัวนั้นก่อนจะวางเงินไว้บนโต๊ะแล้วจากนั้นก็เดินลงมาทันที
เห็นทีนางคงหมดอารมณ์ดื่มชาเพราะเจ้านั่นแท้ๆ
น่ารำคาญจริงๆ
คงต้องกำจัดงูพวกนั้นออกไป ความสงบถึงจะเยือนเมืองนี้สินะ
เสี่ยวฟงที่เห็นสีหน้าของนายตนก็ยิ้มแย้มแล้วนำทางหญิงสาวผู้สูงศักดิ์ไปยังจุดที่ชาวบ้านบอกเอาไว้
พอไปถึงก็ต้องประหลาดใจนัก เจิ้นตัวนี้นอกจากจะตัวใหญ่กว่าปกติแล้ว
มันก็ช่างดูแสนรู้นัก ดูท่าทางและไอปราณที่มันปล่อยออกมาแล้วคงไม่พ้นอายุพันปี
“เจิ้นพันปีงั้นหรือ”เหมยอิงหัวเราะเบาๆ เมื่อกล่าวจบ ดวงตาของมันที่เคยปิดสนิทก็ลืมตาขึ้น
เพียงมันสะบัดปีกพิษก็ฟุ้งไปทั่วบริเวณ
สตรีทั้งสองจึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องหยิบยาจากในแขนเสื้อมากินลงไปเพื่อต้านพิษของมัน
“มนุษย์ แถมยังเป็นสตรีอีกงั้นเรอะ
เหอะ! คราวนี้จะเอาข้ากลับไปด้วยมารยาหญิงงั้นหรือ”เสี่ยวฟงชักสีหน้าทันที
ดูท่าเจ้านกนี่จะลามปามนายหญิงของนางเกินไปแล้วกระมัง
นายหญิงของนางไม่ใช่สตรีแบบนั้นเสียหน่อย
“เจิ้นเอ่ย ข้ามีนามว่า เหมยอิง
แซ่ เซียว พอรู้จักบ้างหรือไม่”เจิ้นมองตาของหญิงสาวเล็กน้อยก่อนจะเลี่ยงหลบสายตาของนาง
“ข้าคือ หยางจิ้ง แซ่
เซียวนี้ข้านั้นรู้จักดี อดีตนายข้าคือคนแซ่เซียว นามเยี่ยหยาง”เหมยอิงชะงักเล็กน้อย ท่านปู่ของนางเคยเป็นนายของนกตัวนี้หรือ
ทำไมนางถึงไม่เคยรู้เลย
“ข้าไม่ยักรู้ว่าท่านปู่เคยมีสัตว์อสูรในพันธะเป็นเจ้าด้วย”
“ข้านนั้นเคยรับใช้ท่านก่อนที่ท่านจะเสียชีวิต
ผู้คนต่างกล่าวขานว่าพิษของข้าพรากเขาไปจากทุกคน ข้าคือตัวอัปโชค”
“แล้วท่านอยากจะพิสูจน์บ้างหรือไม่ว่าท่านไม่ใช่อย่างที่เขากล่าวกัน”
“อยากสิ แต่ไร้โอกาส”
“งั้นท่านคงต้องมากับข้าแล้ว
เพราะข้าจะเป็นโอกาสให้ท่านได้พิสูจน์เอง”
“อย่างนั้นข้าคงต้องรับไว้ด้วยความเต็มใจเสียแล้ว”
“เสี่ยวเฮย”งูตัวสีดำวาวหันมาตามเสียงเรียกทันทีทันใดก่อนจะรีบเลื่อยไปหาเหมยอิง
นกเจิ้งเองก็โบยบินในบริเวณบ้านอย่างอิสระ
“ข้าอยากท่องเที่ยวในยุทภพ
เจ้าอยากจะไปด้วยไหม”เสี่ยวเฮยมองหน้าเจ้านายตนก่อนจะพูดในใจ
‘เอาสินายท่าน
ไร้คนเคียงแล้วไปย้อมใจด้วยสุราและการผจญในใต้หล้าจะดีกว่า’
นกเจิ้งหันหัวมามองก่อนจะพยักหัวเล็กน้อย
ตัวมันเองก็คิดว่าเวลาคนช้ำใจนั้นก็ควรหาอะไรทำเสียบ้าง อย่ามานั่งเศร้าเสียใจ
แต่ดูไปดูมานางก็มีส่วนนี้ที่คล้ายกับ เซียวช่างเม่ย ผู้เป็นย่าของเซียวเหมยอิง
เหมยอิงมองฟ้าที่เริ่มมืดลงแล้วจึงเดินเข้าเรือนเพื่อพักผ่อน
เมื่อตื่นเช้าแล้วจึงค่อยไปเจรจาซื้อขายกับเถ้าแก่โรงน้ำชา
แล้วนางยังต้องไปที่อื่นอีกมา คาดเดาจากเวลาแล้วนางคงต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะตั้งตัวได้
ช่วงนี้นางคงต้องฝึกวรยุทย์เอาไว้ก่อน
“เสี่ยวฟง”สิ้นเสียงเรียกร่างของบ่าวสาวก็แทบจะปรากฎออกมาทันทีทันใด
“เตรียมอาหารเย็น
อย่าลืมเตรียมของตนเองด้วยล่ะ”
“เจ้าค่ะ”
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!