องค์หญิงแฝดแห่งวังอวี่เฟิง
                                                        ควบคุมพลังอัสนีโลหิตนิรันดร์
                    
        💮 บทนำ
“ดอกเหมยสองสี...เมื่อบานพร้อมกันคือวันที่สวรรค์จะเปลี่ยนชะตาราชวงศ์” ณ วังอวี่เฟิงกลางหิมะขาว มีหญิงสาวสองนางงามประหนึ่งภาพวาด—องค์พี่อวิ๋นเซียนผู้เยือกเย็นดั่งจันทร์ และองค์น้องอวิ๋นหลิงผู้ร้อนแรงดั่งเพลิง ทั้งคู่คือแฝดแห่งราชวงศ์ที่ถือชะตาตรงข้ามกัน หนึ่งเกิดมาเพื่อค้ำบัลลังก์ อีกหนึ่งเกิดมาเพื่อเผาผลาญสวรรค์ ทว่าภายใต้รอยยิ้มอ่อนโยนนั้นคือหัวใจที่เปราะบางและหึงหวงไม่ต่างกัน จนเมื่อบุรุษปริศนาผู้มีแววตาอ่อนโยนดั่งจันทร์ก้าวเข้าสู่วัง สายใยของสององค์หญิงก็เริ่มสั่นไหว ความรักและความหวงค่อยๆ กลายเป็นไฟที่เผาใจทั้งคู่ให้มอดไหม้ช้าๆ ท่ามกลางกลีบเหมยที่ร่วงหล่นราวน้ำตาแห่งชะตา
 
       
        👑 องค์หญิงแฝดแห่งวังอวี่เฟิง
🌕 องค์พี่: “อวิ๋นเซียน (雲仙)” — ดอกเหมยขาวใต้จันทรา
> ผู้สวมอาภรณ์ขาว งามเยือกเย็นดั่งหิมะ แต่แฝงความอ่อนโยนดั่งแสงจันทร์
> “ข้าอาจดูสงบ…แต่ใจของข้าแหลกยับทุกครั้งที่เห็นเขายิ้มให้ผู้อื่น”
บุคลิก:
สุขุม เยือกเย็น พูดน้อยแต่คม
มีความเมตตาแต่ไม่ยอมให้ใครล้ำเส้น
ชอบใช้เหตุผลและการวางแผนมากกว่าความรู้สึก
เป็นที่เคารพของเหล่าขุนนางในฐานะ “หญิงผู้ปกครองด้วยปัญญา”
มีความสามารถด้าน วรรณศิลป์ ดนตรี และการเจรจา
เวลามีอารมณ์เศร้าจะมองพระจันทร์และดีดพิณเงียบ ๆ
คำพูดติดปาก: “ความสงบคือคำตอบของทุกความวุ่นวาย”
💠 บุคลิก (ฉบับขี้หึง–ขี้แย–ขี้หวง)
ภายนอกยังคงสุขุม เยือกเย็น แต่ลึกในใจ เปราะบางและหวั่นไหวง่ายมาก
เมื่อคนที่ชอบพูดกับหญิงอื่น จะเงียบไปทั้งวัน แล้วทำเป็น “ไม่สนใจ” แต่ในใจแทบร้องไห้
เวลาหึงจะไม่พูดตรง ๆ แต่จะ “ประชดแบบนุ่มนวล” เช่น
> “เจ้าคงมีเรื่องให้ยิ้มกับนางมากสินะ... ข้าไม่กล้ารบกวนหรอก”
เมื่ออยู่ลำพังจะมักร้องไห้เงียบ ๆ แล้วปลอบตัวเองด้วยเสียงพิณ
ชอบแอบมองคนที่รักจากมุมไกล ๆ
หึงแรงแต่ไม่กล้าแสดงออกตรง ๆ — จึงกลายเป็นความเจ็บปวดเงียบ
เวลาโดนงอนกลับจะใจอ่อนทันที มักเป็นฝ่ายขอโทษก่อนเสมอ
รักแบบยอมทุ่มทั้งหัวใจ แต่ไม่ยอมให้ใครรู้ว่าตัวเองอ่อนแอ
💠 คำพูดติดปาก:
> “ข้าไม่โกรธ…แต่ข้าเพียงแค่ไม่อยากเห็นเขามองใครอีก”
“หากเจ้าจะอยู่เคียงใคร ก็ขอให้เงาของข้ายังอยู่ในใจเจ้าเท่านั้น”
ภาพลักษณ์:
> เสื้อคลุมสีงาช้างปักดอกเหมยแดง สื่อถึงความงามที่ซ่อนพลังไว้ภายใน
ดวงตานิ่งสงบ แต่เมื่อมองใครจะรู้สึกเหมือนถูกอ่านใจ
---
🔥 องค์น้อง: “อวิ๋นหลิง (雲鈴)” — ดอกเหมยแดงในเพลิงสุริยา
> ผู้สวมอาภรณ์แดง งามร้อนแรงดั่งเพลิงอรุณ แต่หัวใจอ่อนโยนยิ่งกว่าผ้าไหม
> “อย่ามองนาง! มองข้าสิ—ข้าสวยกว่านางตั้งหลายเท่า!”
💠 บุคลิก (ฉบับขี้หึง–ขี้แย–ขี้หวง)
หึงแบบเปิดเผย! เห็นก็พูดเลย ไม่แคร์ใคร
ขี้งอน ขี้อ้อน ชอบทำหน้าบึ้งใส่คนที่ตัวเองรัก แต่พออีกฝ่ายลูบหัวหรือพูดดี ๆ ก็หายงอนทันที
เวลาหึงจะชอบ “แกล้งงอน” เช่น ไม่พูดด้วย หันหลังหนี แต่ก็แอบมองตลอด
ขี้แยแบบไม่ยอมรับ — เวลาเสียใจจะพูดว่า “ข้าไม่ได้ร้อง!” ทั้งที่น้ำตาไหลอยู่
ชอบแสดงความเป็นเจ้าของ เช่น “เจ้าห้ามยิ้มให้ใครอีกนอกจากข้า!”
หวงจนบางครั้งถึงขั้น “กอดแขนแน่นไม่ปล่อย” หรือ “ยืนข้างตลอดเวลา”
แม้ดูร้อนแรง แต่ถ้าเห็นพี่สาวร้องไห้ จะเป็นคนแรกที่เข้ากอดปลอบ
เวลารักใครแล้ว จะรักสุดหัวใจแบบไม่เผื่อทางหนี
บุคลิก: พวกนางขี้เขินขี้อายสุดๆขี้แยสุดๆเมื่ออยู่ต่อหน้าหลงซินขี้อ้อนบางเวลาที่อดทนฮึกความกล้าขึ้นมา
ร่าเริง กล้าหาญ ไม่กลัวชนชั้นอำนาจ
ซื่อตรงต่อความรู้สึกและพร้อมปกป้องสิ่งที่รัก
อารมณ์ร้อนบ้างแต่จิตใจบริสุทธิ์
ชอบศิลปะการต่อสู้และขี่ม้า
มีความสามารถด้าน กลยุทธ์รบและการใช้พลังปราณ
เวลาคิดถึงพี่สาวจะมักมองผ้าคาดเอวที่พี่ให้ไว้
คำพูดติดปาก: “ถ้าใจยังเต้นอยู่ ข้าก็ยังไม่แพ้”
> “ถ้าเจ้าจะอยู่ข้างนาง ข้าจะหนีไปให้ดูเลย!”
“ข้าร้องเพราะฝุ่นมันเข้าตา ไม่ใช่เพราะเจ้านะ!”
ภาพลักษณ์:
> ชุดสีแดงเข้มปักลายทอง สื่อถึงพลังและศักดิ์ศรีแห่งราชวงศ์
ดวงตาเปล่งประกาย มีชีวิตชีวาและความกล้าหาญอยู่ในนั้น
---
💠 ความสัมพันธ์ระหว่างสององค์หญิง
ทั้งคู่รักกันมาก แม้ต่างขั้วแต่พึ่งพาและปกป้องกันอย่างแน่นแฟ้น
อวิ๋นเซียนคือ “สมอง” ส่วนอวิ๋นหลิงคือ “หัวใจ” ของคู่แฝด
เวลามีศัตรูหรือปัญหาใหญ่ พวกนางจะเข้าใจแผนของกันและกันโดยไม่ต้องพูด
เรื่องเล่าระบุว่า “เมื่อดอกเหมยสองสีบานพร้อมกัน คือวันที่ราชวงศ์จะเปลี่ยนชะตา”
💞 ความสัมพันธ์ระหว่างสององค์หญิง (ฉบับอารมณ์)
ทั้งคู่ “หึงแทนกัน” ด้วย เช่น ถ้ามีคนมาชมองค์น้อง องค์พี่จะยิ้มแต่ตาเย็นเฉียบ ส่วนองค์น้องจะยกพัดขึ้นกันไม่ให้ใครมองพี่
เวลาทะเลาะกัน จะหันหลังใส่กันคนละทาง แต่สุดท้ายก็มากอดกันกลางคืน
ทั้งคู่ต่างมี “คนในใจ” ของตัวเอง แต่ไม่มีใครกล้าบอก เพราะกลัวอีกฝ่ายจะเสียใจ
ในวังมีคำล่ำลือว่า —
> “เมื่อองค์หญิงแฝดร้องไห้พร้อมกัน ฟ้าจะครืนและดอกเหมยทั้งวังจะร่วงลงเหมือนน้ำตาแห่งโชคชะตา”
 
       
        ⚔️ บทนำ : เงาใต้ดอกเหมย
“ดอกเหมยสองสี...จะบานพร้อมกันเพียงครั้งเดียวในรอบพันปี และในค่ำคืนนั้น ผู้ถือกำเนิดใต้แสงหิมะจักเปลี่ยนชะตาฟ้า...”
คือคำทำนายเก่าแก่แห่งวังอวี่เฟิง วังที่ตั้งอยู่เหนือขุนเขาหิมะอันเยือกเย็น ดอกเหมยสีแดงและสีขาวบานสลับไปทั่วผืนดิน ราวโลกนี้มีทั้งเพลิงและน้ำแข็งอยู่ร่วมกัน
ในค่ำคืนที่ดาวดับ เสียงสายลมพัดผ่านหลังคามังกร องค์หญิงแฝดแห่งราชวงศ์ได้ถือกำเนิดขึ้น —
องค์พี่ “อวิ๋นเซียน” ดั่งแสงจันทร์บนผืนน้ำ นางเยือกเย็น สงบนิ่ง และมีดวงตาอ่อนโยนที่สามารถปลอบความโกรธของใครได้เพียงแค่ยิ้ม
องค์น้อง “อวิ๋นหลิง” ดั่งเพลิงแห่งฤดูเหมันต์ นางเปี่ยมชีวิตชีวา หัวรั้น และเจ้าอารมณ์ มักซ่อนรอยยิ้มไว้ใต้แววตาที่แฝงความอ่อนไหวและหึงหวงในสิ่งที่รัก
สององค์หญิงเติบโตท่ามกลางความรักของจักรพรรดิและฮองเฮา แต่ในยุคที่บ้านเมืองสั่นคลอน กบฏชายแดนลุกฮือ โจรภูเขาครอบครองหุบเขา วังอวี่เฟิงจึงตกเป็นเป้าของความริษยาและการลอบสังหาร
ในปีนั้น...หิมะตกหนักจนปกคลุมทั่ววัง เสียงม้าและดาบดังก้อง ทัพโจรนับร้อยบุกจู่โจมขบวนเกี้ยวขององค์หญิงทั้งสอง—
และในห้วงวินาทีที่สิ้นหวัง...เงาหนึ่งก็พุ่งแหวกพายุหิมะออกมา
ชายหนุ่มเรือนผมแดงเพลิง ยืนอยู่ท่ามกลางสายลมที่สะบัดกลิ่นเลือด
แววตาแดงฉานของเขาเยือกเย็นจนแม้หิมะยังไม่กล้าเกาะไหล่
ในมือเขาคือ “ดาบคู่แสงจันทร์” ที่ส่องวาบราวอัสนีบนท้องฟ้า
เขาคือ หลงซิน — บุรุษลึกลับผู้สืบสายเลือดแห่ง “อัสนีแดง” และ “โลหิตมาร”
เลือดในกายของเขามิใช่เลือดธรรมดา แต่เป็นโลหิตที่สามารถปลุกพลังสายฟ้าให้แผดเผาวิญญาณศัตรูได้ในชั่วพริบตา
ครั้งแรก เขาใช้พลังอัสนีแดงฟาดฟันโจรภูเขากว่าห้าสิบชีวิตกลางหิมะ เพียงเพื่อพาองค์พี่อวิ๋นเซียนหนีรอด
ครั้งต่อมา เขาใช้โลหิตของตนเองสร้างกำแพงโลหิตป้องกันธนูพิษที่พุ่งเข้าหาองค์น้องอวิ๋นหลิง—แม้เลือดจะไหลไม่หยุด แต่เขากลับยังยิ้มบางๆ พลางกล่าวว่า
> “ตราบใดที่พวกท่านยังหายใจ...โลหิตข้าก็ยังมีค่า”
และในคืนแห่งกบฏ วังอวี่เฟิงลุกเป็นไฟ เสียงร้องของทหารดังทั่วทั้งอาณาเขต หลงซินคือผู้เดียวที่ฝ่ากองเพลิงเข้าไปพาองค์หญิงทั้งสองหนีผ่านทางลับใต้กำแพงหิมะ เขาอุ้มนางหนึ่งไว้ในแขน อีกนางพิงอยู่บนหลัง—ร่างเขาเต็มไปด้วยบาดแผลแต่ไม่ยอมล้ม
หลังคืนนั้น จักรพรรดิทรงมีรับสั่งพิเศษ
> “หลงซิน ผู้ถวายชีวิตปกป้องสายเลือดแห่งสวรรค์ จงได้รับสิทธิ์เข้าออกวังอวี่เฟิงได้ตามใจ ไม่ต้องรอราชโองการ”
จากวันนั้น หลงซินจึงได้กลายเป็น “เงาใต้ดอกเหมย”
กลางวันเขาเป็นเพียงองครักษ์ผู้เงียบงัน เดินตามเงาแสงขององค์หญิงทั้งสองโดยไม่ทิ้งระยะ
ยามราตรี เขาคือเงาที่คอยยืนใต้ต้นเหมยทุกคืน กลีบเหมยสีแดงปลิวร่วงราวเลือดที่ค้างในใจ
องค์พี่อวิ๋นเซียนมักมองเขาผ่านม่านหน้าต่าง ริมฝีปากนางเคยขยับแต่ไม่กล้าเอื้อนเอ่ย ดวงตาเธออ่อนโยนปนเศร้า เหมือนรู้ดีว่าความรู้สึกนั้นไม่มีวันสมหวัง
ส่วนองค์น้องอวิ๋นหลิง...เธอไม่เคยปิดบังอารมณ์ เมื่อเห็นเขายืนคุยกับพี่สาว หัวใจเธอเต้นแรงจนแทบขาด กลีบปากสั่นงันด้วยความหึงหวง ทั้งยังมีน้ำตาซ่อนอยู่หลังดวงตาที่ไม่ยอมกะพริบ
หลงซินรู้ เขาเห็นทุกอย่าง แต่เขาเลือกจะเงียบ เพราะรู้ดีว่าสถานะของตนเป็นเพียงเงาที่ไม่คู่ควรกับแสงสว่าง
เขาอาจสามารถฆ่ากบฏร้อยนาย แต่ไม่อาจฆ่าความรู้สึกที่กำลังเติบโตในหัวใจของตน
ยามดึกในคืนเดือนเพ็ญ เมื่อหิมะโปรยบางเบา ดอกเหมยสองสีบานพร้อมกันอีกครั้ง—
ใต้ต้นเหมยนั้น หลงซินยืนอยู่เงียบๆ ดาบคู่ในมือสะท้อนแสงจันทร์จนแทบแสบตา
เบื้องบนระเบียงหิน อวิ๋นเซียนยืนมองลงมาด้วยแววตาอ่อนโยน ส่วนอวิ๋นหลิงกลับซ่อนตัวหลังเสา น้ำตาไหลรินโดยไม่รู้เหตุผล
เสียงสายลมพัดผ่านเบาๆ ราวกับจะบอกชะตาแห่งสามดวงใจนี้ว่า—
> “เงา...ไม่อาจอยู่คู่แสงได้ตลอดไป”
แต่แม้รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ หลงซินก็ยังเลือกจะยืนตรงนั้น ยืนใต้ต้นเหมยที่ทั้งสองรัก และเฝ้าปกป้องแสงนั้น แม้จะต้องแผดเผาตนเองด้วยพลังอัสนีแดงจนมอดสิ้นก็ตาม...
และในคืนต่อมา ดอกเหมยสีแดงร่วงกลีบแรก—
นั่นคือสัญญาณแห่งชะตาที่ไม่มีวันหวนกลับมาอีก...
 
       
        เมื่อหลงซินเดินผ่านทางพวกนางก็เหลือบไปเห็นพวกนางยังชุดเปิดอกจนเกือบจะเห็นหัวนมในวังเป็นประจำ
 
       
        
        หลงซิน
พวกเจ้าใส่ชุดอะไรนั่นถ้าพวกเจ้าเอาแต่ใส่ชุดแบบนี้แต่ไปข้าจะหายไปนะ
 
        
       
        เสียงฝีเท้าของหลงซินแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน แต่คำพูดที่เย็นชาและเฉียบคมดุจใบมีดนั้นกลับดังก้องไปทั่วระเบียงทางเดินที่ประดับประดาด้วยภาพวาดดอกเหมย สองพระธิดา อวินเซียนและอวินหลิง ชะงักงันในทันทีที่ได้ยิน
ชุดผ้าไหมบางเบาที่พวกนางสวมอยู่ดูเหมือนจะเย็นวาบขึ้นมาทันตาเห็น อวินเซียนผู้เยือกเย็นดุจจันทราถึงกับเผยแววประหลาดใจเล็กน้อย ดวงตาคู่สวยเบิกพองโตขึ้นอย่างไม่ตั้งใจ ริมฝีปากอิ่มเม้มเข้าหากันเบาๆ พลางก้มหน้าลงซ่อนความรู้สึก ส่วนอวินหลิงผู้ร่าเริงดุจเปลวเพลิงนั้น ดวงตาคมกริบเหลือบมองหลงซินทันควัน ก่อนที่รอยยิ้มซุกซนจะปรากฏบนใบหน้า แต่ก็แฝงไว้ด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย
 
       
        
        🔥 องค์น้อง: อวิ๋นหลิง
“ท่านพี่… หลงซินเขาว่าอะไรนะ?” อวินหลิงกระซิบถามพี่สาว เสียงของนางแผ่วพร่าจนแทบไม่ได้ยิน “หายไป… หมายความว่าอย่างไร?”
 
        
       
        
        🌕 องค์พี่: “อวิ๋นเซียน
อวินเซียนส่ายหน้าเบาๆ พลางหลุบตาลงมองชายผ้าที่พริ้วไหวของตน “ข้า… ข้าไม่แน่ใจ” นางตอบ เสียงหวานใสยังคงมีความสงบ แต่แฝงไว้ด้วยความสับสนเล็กน้อย “แต่หลงซินไม่เคยพูดอะไรโดยไม่มีเหตุผล”
 
        
       
        
        🔥 องค์น้อง: อวิ๋นหลิง
“งั้นเราควรเปลี่ยนชุดหรือ?” อวินหลิงถามกลับทันที น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความไม่เต็มใจ “แต่ชุดนี้สบายที่สุดแล้วนะ ยามอยู่ในตำหนัก” นางเหลือบมองหลงซินอีกครั้งที่กำลังจะเดินลับหายไปในเงามืด “หรือไม่… เขากำลังหึงเราหรือเปล่า?” นางกระซิบถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ แต่ดวงตาเป็นประกายวาววับ
 
        
       
        
        🌕 องค์พี่: “อวิ๋นเซียน
อวินเซียนมองน้องสาวด้วยแววตาที่ยากจะคาดเดา “ไม่หรอก เขาคงแค่ไม่อยากให้เราเป็นอันตราย” นางกล่าวเสียงเรียบ “แต่… บางที ชุดที่รัดกุมกว่านี้ก็อาจจะดีกว่า”
 
        
       
        เงาของหลงซินเคลื่อนไหวอย่างเงียบเชียบไปตามทางเดินที่คดเคี้ยวของตำหนักยามเย็น แสงสุดท้ายของวันสาดส่องเข้ามาทางช่องหน้าต่าง บรรยากาศเริ่มโรยตัวลงสู่ความสงบ แต่ภายในอกของชายหนุ่มกลับไม่สงบเช่นนั้น เขาเร่งฝีเท้าให้ห่างจากสายตาของสองพระธิดา อวินเซียนและอวินหลิง จนแน่ใจว่าไม่มีใครได้ยินจึงเริ่มพึมพำกับตัวเองเบาๆ
 
       
        
        หลงซิน
เห็นแล้วแข็งเลยวุ้ย....ไม่ไหวไม่ไหว น่าจัดสักดอกสองดอกจริงจริ๊ง....!!
 
        
       
        เสียงนั้นแผ่วเบาจนแทบไม่เป็นคำ แต่ความร้อนผ่าวแล่นริ้วไปทั่วสรรพางค์กายของเขา ดวงตาคมกริบเหลือบมองกลับไปยังทิศทางที่จากมา ภาพเรือนร่างอรชรอ้อนแอ้นภายใต้ผ้าไหมบางเบายังคงฉายชัดในมโนสำนึก เลือดในกายเดือดพล่านราวกับกระแสอัสนีสีแดงที่ไหลเวียนอยู่ในเส้นเลือด มันไม่ใช่ความรู้สึกที่ไม่คุ้นเคย แต่เป็นสิ่งที่เขาต้องสะกดกลั้นไว้อย่างหนักแน่นเสมอมา
หลงซินหยุดยืนตรงมุมหนึ่งที่มืดสลัว มือข้างหนึ่งกำเข้าหากันแน่นจนเส้นเอ็นปูดโปน สัมผัสเย็นเฉียบของกำแพงหินไม่ได้ช่วยบรรเทาความร้อนรุ่มภายในจิตใจได้เลย ลมหายใจของเขาเริ่มหนักหน่วงขึ้นเล็กน้อย แต่ใบหน้ายังคงเรียบเฉยไร้ความรู้สึก เขามักจะใช้ความเย็นชาภายนอกปกปิดพายุอารมณ์ภายในไว้เสมอ การจะควบคุมพลังอัสนีโลหิตนิรันดร์ได้นั้น จำเป็นต้องมีจิตใจที่มั่นคงดุจหินผา แต่บางครั้ง… หินผาก็ไม่อาจต้านทานกระแสธารแห่งความปรารถนาอันลึกซึ้งได้
 
                                                                แวะโรงเตี๊ยม
                    
        เงาของหลงซินทอดตัวยาวตามพื้นถนนที่เปียกชื้นยามพลบค่ำ ก่อนจะก้าวเข้าไปในโรงเตี๊ยม "แสงจันทร์" ที่ตั้งอยู่หัวมุมถนน เสียงจอแจของผู้คนที่พูดคุยหัวเราะดังระงม ปะปนกับกลิ่นสาโทหมักและอาหารคาวหวาน บรรยากาศแตกต่างจากความเงียบสงบในตำหนักอย่างสิ้นเชิง
เขากวาดสายตาคมกริบไปรอบๆ ก่อนจะหยุดที่เคาน์เตอร์ไม้เก่าคร่ำคร่า ชายร่างท้วมเจ้าของโรงเตี๊ยม หรือที่รู้จักกันในนามเฒ่าแก่ กำลังง่วนอยู่กับการรินเหล้าให้ลูกค้า เฒ่าแก่เหลือบมองมาทางหลงซิน ดวงตาเบิกตาโพลงขึ้นเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจระคนเกรงใจ ก่อนจะรีบวางขวดเหล้าลง
 
       
        
        หลงซิน
“เฒ่าแก่ สาโทหนึ่งไห พร้อมกับแก้ม” หลงซินเอ่ยเสียงเรียบ แต่แฝงด้วยความเฉียบคมดุจใบมีด ดวงตาที่แดงก่ำราวโลหิตมองตรงไปยังเฒ่าแก่ “ซ่าจิ้นสูตรภาคเหนือของไทย ใส่ดีสุกขมหนักๆ จัดๆ ถ้าไม่หนักไม่จัด ข้าจะพังร้านเจ้าซะ”
 
        
       
        
        เฒ่าแก่โรงเตี๊ยมข้างวัง
เฒ่าแก่กลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ ใบหน้าซีดเผือดเล็กน้อย
 “อะ…ขอรับท่าน ซ่าจิ้นดีสุกขมหนักๆ จัดๆ ได้เลยขอรับ”
 เขาตอบเสียงสั่นเครือเล็กน้อย ก่อนจะรีบจดจำคำสั่ง
 
        
       
        
        หลงซิน
“แล้วเม็ดมะม่วงหิมพานต์หนึ่งจาน” หลงซินเสริม ทิ้งท้ายด้วยประโยคที่ทำเอาเฒ่าแก่แทบจะทรุดลงไปกองกับพื้น “จำไว้ให้ดีล่ะ”
 
        
       
        
        เฒ่าแก่โรงเตี๊ยมข้างวัง
“ขอรับ! กระผมจะจัดให้เดี๋ยวนี้เลยขอรับท่าน!”
 
        
       
        
        เฒ่าแก่โรงเตี๊ยมข้างวัง
“มาแล้วขอรับท่าน!” เฒ่าแก่ร้องเสียงดัง ดวงตาเล็กๆ ของเขาฉายแวววูบไหวด้วยความกระตือรือร้นและหวาดหวั่นไม่ต่างกัน มือที่สั่นเทานิดๆ รีบวางไหสาโทสีขุ่น และแก้วไม้ลงบนโต๊ะตรงหน้าหลงซินอย่างรวดเร็ว กลิ่นหอมฉุนของสาโทและกลิ่นสมุนไพรบางอย่างเริ่มลอยฟุ้งไปทั่วบริเวณเล็กๆ นั้น
 
        
       
        
        เฒ่าแก่โรงเตี๊ยมข้างวัง
จากนั้น จานซ่าจิ้นก็ถูกยกมาวางตามติดๆ เนื้อหมูสับละเอียดคลุกเคล้ากับเครื่องเทศหลากชนิด สีสันเข้มข้นบ่งบอกถึงความจัดจ้าน และที่สำคัญคือกลิ่นขมจางๆ ของดีสุกที่ผสมผสานอย่างลงตัว
 “ซ่าจิ้นดีสุกขมจัดๆ ตามคำสั่งเลยขอรับ! สูตรเด็ดภาคเหนือของร้านเรา” 
เฒ่าแก่รีบกล่าว พลางเช็ดมือกับผ้ากันเปื้อนอย่างลวกๆ
 “รับรองว่าถึงใจท่านแน่ขอรับ”
 
        
       
        
        หลงซิน
หลงซินเพียงพยักหน้าเล็กน้อย ไม่เอ่ยคำใด สายตาคมกริบกวาดมองอาหารตรงหน้า ก่อนจะหยิบแก้วไม้ขึ้นมาเทสาโทลงไปจนเกือบเต็ม เสียงของเหลวที่รินไหลกระทบแก้วดังกังวานเบาๆ ในความเงียบชั่วขณะนั้น เฒ่าแก่ยืนตัวตรง ก้มหน้าเล็กน้อยรอฟังคำวิจารณ์ด้วยใจระทึก
“เม็ดมะม่วงหิมพานต์เล่า?”
 
        
       
        
        เฒ่าแก่โรงเตี๊ยมข้างวัง
เฒ่าแก่รีบผงกศีรษะรับคำสั่งอย่างขะมักเขม้น “ขอรับ! กระผมจะจัดให้เดี๋ยวนี้เลยขอรับท่าน!”
 
        
       
        ทันใดนั้น ดวงตาคมกริบของหลงซินเหลือบมองไปยังจานซ่าจิ้นที่วางอยู่ตรงหน้า กลิ่นหอมฉุนของเครื่องเทศผสมกับกลิ่นคาวอ่อนๆ ของเลือดและดีสุกโชยขึ้นมา แผ่นเนื้อหมูสับละเอียดคลุกเคล้ากันจนเป็นเนื้อเดียว
 
       
        
        หลงซิน
“ซ่าจิ้นบ้านบิดาเจ้าสิเขาหั่นเนื้อเป็นชิ้นแผ่นเล็กพอดีคำ ไม่ใช่สับ” เสียงเรียบเย็นของหลงซินดังก้องในความเงียบชั่วขณะนั้น ราวกับคมมีดที่กรีดลงบนแผ่นน้ำแข็ง ดวงตาคู่สีแดงเข้มที่จ้องมองเฒ่าแก่เหมือนจะทะลุปรุโปร่งไปถึงไส้ใน ทำให้เฒ่าแก่สะดุ้งสุดตัว เหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดขึ้นที่หน้าผาก
 
        
       
        
        เฒ่าแก่โรงเตี๊ยมข้างวัง
“นะ…นายท่าน!” เฒ่าแก่ร้องเสียงหลง ใบหน้าซีดเผือดลงกว่าเดิม มือไม้เริ่มสั่นเทาจนแทบทำอะไรไม่ถูก เขามองจานซ่าจิ้นสลับกับใบหน้าไร้อารมณ์ของหลงซิน พลางคิดถึงคำขู่ที่ว่า “จะพังร้าน” ที่เพิ่งได้ยินมา
 
        
       
        
        เฒ่าแก่โรงเตี๊ยมข้างวัง
“กระ…กระผมต้องขออภัยด้วยขอรับ! ผิดไปแล้วขอรับท่าน!” เฒ่าแก่รีบโค้งตัวลงต่ำจนศีรษะเกือบจะจรดพื้น เสียงสั่นเครือเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นและสำนึกผิด “กระผมจะรีบเปลี่ยนให้เดี๋ยวนี้เลยขอรับ! เดี๋ยวนี้เลย!”
 
        
       
        
        เฒ่าแก่โรงเตี๊ยมข้างวัง
เขารีบคว้าจานซ่าจิ้นบนโต๊ะออกไปอย่างรวดเร็ว ชนิดที่แทบจะวิ่งชนโต๊ะข้างๆ พลางตะโกนบอกลูกมือในครัวด้วยเสียงที่ดังกว่าปกติ “เฮ้ย! พวกเอ็ง! ซ่าจิ้นหั่นชิ้นพอดีคำ! ไม่ใช่สับ! เอาใหม่! เร็วเข้า!”
 
        
       
        
        เฒ่าแก่โรงเตี๊ยมข้างวัง
“มาแล้วขอรับท่าน! ซ่าจิ้นเนื้อหั่นชิ้นพอดีคำตามบัญชาขอรับ!” เฒ่าแก่รีบวางจานซ่าจิ้นใหม่ลงตรงหน้าหลงซินอย่างรวดเร็ว เนื้อหมูสีชมพูอ่อนถูกหั่นเป็นชิ้นบางเฉียบ เรียงตัวสวยงาม คลุกเคล้าด้วยสมุนไพรสดสีเขียวเข้มและพริกแดงเม็ดเล็กๆ กลิ่นหอมระอุของเครื่องเทศกับกลิ่นคาวอ่อนๆ ของเลือดและดีสุกที่ผสมผสานกันอย่างลงตัวลอยขึ้นแตะจมูกอีกครั้ง
 
        
       
        
        เฒ่าแก่โรงเตี๊ยมข้างวัง
“อาหารไทยเราอร่อยอยู่แล้วขอรับท่าน รับรองว่าไม่มีที่ไหนเทียบได้” เฒ่าแก่กล่าวด้วยน้ำเสียงเจื้อยแจ้ว พยายามคลายบรรยากาศตึงเครียดที่ปกคลุมอยู่ ดวงตาของเฒ่าแก่ฉายแววหวังดีเล็กน้อย แม้ยังคงมีความระแวงระวัง
 
        
       
        หลงซินไม่ตอบ เขาจ้องมองจานซ่าจิ้นนั้นครู่หนึ่ง ก่อนจะใช้ตะเกียบคีบเนื้อหมูชิ้นหนึ่งขึ้นมา กลิ่นหอมของเครื่องเทศและดีสุกที่ชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่ออยู่ใกล้ รสชาติแรกที่สัมผัสลิ้นคือความขมขื่นของดีสุกที่เข้มข้น จัดจ้านอย่างที่เขาต้องการ ตามมาด้วยความเผ็ดร้อนจากพริก และความหอมมันของเนื้อหมูที่ถูกหั่นอย่างปราณีต มันละลายในปากอย่างรวดเร็ว ทิ้งไว้เพียงรสชาติซับซ้อนที่ติดตรึงในลำคอ
 
       
        
        หลงซิน
“อืม… ก็พอได้ ” หลงซินเอ่ยเสียงเรียบ ดวงตาคู่สีแดงก่ำกวาดมองไปที่เฒ่าแก่วูบหนึ่ง ก่อนจะยื่นมือไปหยิบเม็ดมะม่วงหิมพานต์ที่ถูกยกมาวางข้างๆ
 
        
       
        
        เฒ่าแก่โรงเตี๊ยมข้างวัง
เฒ่าแก่ถอนหายใจอย่างโล่งอก “ขอบพระคุณขอรับท่าน! ซ่าจิ้นของเราขึ้นชื่อเรื่องความจัดจ้านขอรับ แล้วสาโทของเราเล่าขอรับ? รับรองว่าหอมกลมกล่อม ไม่แพ้ใคร” เขากล่าวพลางผายมือไปยังไหสาโทสีขุ่นที่ยังไม่ได้ถูกเปิด
 
        
       
        หลงซินไม่ตอบ เขาเทสาโทลงแก้วไม้จนเกือบเต็ม ปล่อยให้ฟองละเอียดผุดขึ้นมาเล็กน้อย กลิ่นของข้าวหมักหอมกรุ่นปะปนกับกลิ่นดินจางๆ ลอยขึ้นมาแตะจมูก เขายกแก้วขึ้นจิบช้าๆ รสชาติหวานปนเปรี้ยวเล็กน้อยของสาโทแผ่ซ่านไปทั่วลิ้น บรรเทาความร้อนแรงของซ่าจิ้นได้อย่างดีเยี่ยม
 
       
        
        หลงซิน
“เฒ่าแก่” หลงซินเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “แต่ว่าที่นี่ไม่ใช่แคว้นไทยนะเพี้ยนจังเลยนะเจ้านี่”
 
        
       
        
        เฒ่าแก่โรงเตี๊ยมข้างวัง
เฒ่าแก่ถึงกับตัวแข็งทื่อกับที่เมื่อได้ยินคำพูดของหลงซิน ใบหน้าที่เคยเปื้อนยิ้มแหยๆ กลับซีดเผือดลงทันตาเห็น “หะ…หา? นายท่านหมายความว่าอย่างไรขอรับ?” เสียงของเฒ่าแก่สั่นเครือเล็กน้อย สายตาหลุกหลิกมองซ้ายมองขวาอย่างไม่สบายใจ ราวกับว่ามีคนอื่นกำลังฟังอยู่
 
        
       
        
        หลงซิน
“ก็อย่างที่ข้าพูด” หลงซินตอบเสียงเรียบ เขาวางแก้วสาโทลงบนโต๊ะเบาๆ เสียงกระทบกันของแก้วไม้กับพื้นโต๊ะดังก้องในความเงียบชั่วขณะนั้น “เจ้ากำลังบอกว่าอาหารของเจ้าเป็น ‘อาหารไทย’ ทั้งที่พวกเราไม่ได้อยู่ในแคว้นนั้น”
 
        
       
        
        เฒ่าแก่โรงเตี๊ยมข้างวัง
เฒ่าแก่กลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ พยายามรวบรวมความกล้า “เอ่อ… คือว่า… กระผมหมายถึงว่ามันเป็น ‘รสชาติ’ ที่สืบทอดกันมาขอรับ! แม้เราจะอยู่ที่นี่ แต่บรรพบุรุษของเราก็มาจากแดนไกล กระผมเลยเรียกแบบนั้นเพื่อบอกเล่าถึงที่มาของรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์… ใช่ขอรับ! เป็นรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์!” เขาพยายามอธิบายด้วยเสียงที่ดังขึ้นเรื่อยๆ ราวกับจะโน้มน้าวตัวเองให้เชื่อตามคำพูดนั้นด้วย
 
        
       
        
        หลงซิน
หลงซินจ้องมองเฒ่าแก่นิ่งๆ ไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆ ออกมา ดวงตาคู่สีแดงก่ำนั้นลึกหยั่งยากจะคาดเดา ทำให้เฒ่าแก่รู้สึกกดดันอย่างหนัก “แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะเข้าใจตามที่เจ้าอ้าง” หลงซินกล่าวช้าๆ น้ำเสียงยังคงราบเรียบ “การเรียกขานสิ่งใด ควรเป็นไปตามบริบทที่ผู้คนส่วนใหญ่เข้าใจ”
 
        
       
        
        เฒ่าแก่โรงเตี๊ยมข้างวัง
“จริงขอรับท่าน! จริงอย่างที่ท่านว่าทุกประการ!” เฒ่าแก่รีบผงกหัวรับคำทันที “กระผมจะปรับปรุงแก้ไขโดยด่วนขอรับ! ต่อไปจะเรียกแค่ ‘ซ่าจิ้นสูตรลับโรงเตี๊ยมแสงจันทร์’ ก็พอ!” เขากล่าวพลางเช็ดเหงื่อที่หน้าผากด้วยหลังมือ
 
        
       
        ในขณะนั้นเอง เสียงกระหึ่มจากภายนอกโรงเตี๊ยมก็ดังขึ้น มีกลุ่มคนท่าทางนักเลงกำลังเดินเข้ามาอย่างเอะอะมะเทิ่ง เสียงพูดคุยโหวกเหวกของพวกเขากลบเสียงอื่นๆ ในโรงเตี๊ยมไปเกือบทั้งหมด หนึ่งในชายฉกรรจ์คนหนึ่งในกลุ่มนั้นกวาดตามองไปรอบๆ ก่อนจะหยุดที่หลงซินที่นั่งอยู่คนเดียว
 
       
        
        หัวหน้านักเลง
“เฮ้ย! ไอ้หน้าจืดนั่นนั่งทำอะไรอยู่คนเดียววะ!”
ชายคนนั้นตะโกนเสียงดัง ลากเสียงยาวอย่างกวนโอ๊ย พลางยกมือขึ้นชี้มาที่หลงซิน กลุ่มพวกพ้องของเขาหัวเราะครืน ก่อนจะเริ่มก้าวเข้ามาใกล้โต๊ะของหลงซิน
 
        
       
        หลงซินเพียงแค่ช้อนสายตาขึ้นมอง ใบหน้ายังคงเรียบเฉย ไร้อารมณ์ใดๆ ดวงตาคู่สีแดงก่ำราวโลหิตเย็นชาจนทำให้คนมองรู้สึกหนาวสะท้านเข้าไปถึงกระดูก เฒ่าแก่ซึ่งยืนอยู่ใกล้ๆ ถึงกับตัวแข็งทื่อ ไม่กล้าขยับ ร้อนรนใจว่าจะมีเรื่องวิวาทเกิดขึ้น
 
       
        
        หลงซิน
“เอ้า… เฮ้ย…” หลงซินเอ่ยเสียงเรียบ แต่แฝงด้วยความเฉียบขาดคมกริบดุจใบมีด “พูดจาหมาๆ เดี๋ยวจับตัดหัวซะนี่”
 
        
       
        คำพูดสั้นๆ เพียงไม่กี่คำนั้นกลับทำให้เสียงหัวเราะของกลุ่มนักเลงเงียบกริบลงทันตาเห็น ชายร่างกำยำที่เมื่อครู่ยังหัวเราะเสียงดังค้างอยู่ในลำคอ ดวงตาที่เคยเต็มไปด้วยแววหาเรื่องบัดนี้เต็มไปด้วยความประหลาดใจระคนไม่พอใจ เขาผงะไปเล็กน้อยเมื่อเผชิญหน้ากับความเย็นชาไร้อารมณ์ของหลงซิน เฒ่าแก่ถึงกับตัวสั่นเทา เหงื่อกาฬไหลซึมไปตามแผ่นหลัง
 
       
        
        หัวหน้านักเลง
“ฮะ… อะไรนะไอ้หนุ่ม” ชายร่างกำยำถามกลับ เสียงของเขาเริ่มมีแววลังเลและไม่มั่นใจ ไม่ดังกร้าวเหมือนเมื่อครู่
 
        
       
        หลงซินไม่ตอบ เขาเพียงแค่ยกแก้วสาโทขึ้นจิบช้าๆ อีกครั้ง สายตาคมกริบยังคงจับจ้องไปที่กลุ่มนักเลงอย่างไม่เกรงกลัว ราวกับว่าพวกเขาก็เป็นเพียงอากาศธาตุ กระแสพลังงานบางอย่างที่มองไม่เห็นแผ่ออกมาจากตัวหลงซิน ทำให้บรรยากาศในโรงเตี๊ยมตึงเครียดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ผู้คนรอบข้างเริ่มมองมาด้วยความสนใจแต่ก็ไม่กล้าเข้ามายุ่งเกี่ยว ชายฉกรรจ์ในกลุ่มนักเลงเริ่มมองหน้ากันไปมาอย่างลังเล ยังคงตัดสินใจไม่ได้ว่าจะถอยหรือจะสู้ต่อ
 
       
        
        หัวหน้านักเลง
“เจ้า… เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครกัน”
 
        
       
        ชายร่างกำยำเอ่ยซ้ำอีกครั้ง เสียงแข็งกร้าวขึ้นเล็กน้อย แต่ก็แฝงไว้ด้วยความไม่มั่นใจอย่างเห็นได้ชัด ดวงตาของเขาจ้องมองหลงซินราวกับพยายามหาคำตอบในความว่างเปล่าเย็นชาบนใบหน้านั้น กลุ่มเพื่อนของเขาเริ่มยืนห่างกันเล็กน้อย สลับกันมองหลงซินและหัวหน้าของพวกเขาอย่างลังเลใจ
 
       
        หลงซินวางแก้วสาโทลงบนโต๊ะเบาๆ เสียงกระทบกันของแก้วไม้ดังกังวานคล้ายเสียงเตือนภัย ดวงตาคู่สีแดงก่ำเฉยชาจนดูเหมือนไม่รับรู้อารมณ์ใดๆ ช้อนมองขึ้นไปยังชายร่างกำยำช้าๆ ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มเล็กน้อย แต่เป็นรอยยิ้มที่ดูอันตรายมากกว่าเป็นมิตร
 
       
        
        หลงซิน
“ข้าน่ะหรอ…” หลงซินตอบเสียงเรียบ ชัดเจนทุกถ้อยคำ แต่กลับแฝงด้วยความกดดันที่มองไม่เห็น “ข้าคือองครักษ์องค์หญิงแฝดในวังนี้”
 
        
       
        คำพูดนั้นคล้ายกับสายฟ้าฟาดลงกลางโรงเตี๊ยม เฒ่าแก่ถึงกับตัวแข็งทื่อ ปากอ้าค้างเล็กน้อย ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตื่นตระหนกปนประหลาดใจ ส่วนชายร่างกำยำและพรรคพวกถึงกับผงะไปข้างหลัง สีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนจากความหึกเหิมเป็นความหวาดหวั่นในพริบตา พวกเขารู้ดีว่า “องครักษ์องค์หญิงแฝด” มีความหมายเช่นไร และใครคือผู้ที่กล้าพอจะกล่าวอ้างตำแหน่งนั้นอย่างไม่เกรงกลัว
 
       
        
        ลูกน้องนักเลง
“องครักษ์… องค์หญิงแฝด…” หนึ่งในลูกน้องพึมพำเสียงแผ่ว ใบหน้าซีดเผือด
 
        
       
        เสียงอุทานแผ่วๆ ดังขึ้นจากกลุ่มนักเลงที่รายล้อมอยู่รอบโต๊ะของหลงซิน ใบหน้าของพวกเขาที่เคยโอหังบัดนี้เต็มไปด้วยความหวาดกลัว เฒ่าแก่ถึงกับทรุดลงนั่งหลังเคาน์เตอร์ ดวงตาเหลือกมองเหตุการณ์อย่างหวาดหวั่น
 
       
        
        หัวหน้านักเลง
“องครักษ์องค์หญิงแฝด!” ชายร่างกำยำที่เคยเป็นหัวหน้ากลุ่มพึมพำเสียงสั่น “ทะ…ท่านคือหลงซิน!”
 
        
       
        หลงซินไม่ได้ตอบคำ เขายังคงจิบสาโทอย่างไม่รีบร้อน สายตาคู่สีแดงก่ำกวาดมองไปทั่วใบหน้าของกลุ่มนักเลงทีละคน ราวกับจะจดจำพวกเขาไว้ในความทรงจำ เสียงกุกกักของเม็ดมะม่วงหิมพานต์กระทบฟันดังขึ้นท่ามกลางความเงียบงันที่น่าอึดอัด
 
       
        
        หลงซิน
“อยู่นิ่งๆ ถ้าวิ่งหนีข้าจะตัดหัวพวกเจ้าทุกคน” หลงซินเอ่ยเสียงเรียบ คำพูดนั้นแผ่วเบา แต่กลับดังก้องในความเงียบราวกับฟ้าร้อง ท่ามกลางบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความกดดัน กลุ่มนักเลงหลายคนเริ่มถอยหลังไปหนึ่งก้าวอย่างไม่รู้ตัว มือของบางคนเริ่มสั่นเทา พยายามจะเอื้อมไปจับอาวุธที่ซ่อนอยู่ใต้เสื้อผ้า
 
        
       
        
        หลงซิน
“พวกเจ้าได้ยินหรือไม่” หลงซินเอ่ยถาม น้ำเสียงยังคงราบเรียบ แต่แฝงด้วยความเฉียบขาดที่ทำให้กระดูกสันหลังเย็นวาบ “ข้าไม่ชอบพูดซ้ำ”
 
        
       
        ชายร่างกำยำกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ เขารู้ดีว่าชื่อของหลงซินนั้นเป็นที่เลื่องลือถึงความเหี้ยมโหดและพลังอำนาจที่เหนือธรรมชาติของอัสนีสีแดง หากหลงซินต้องการปลิดชีพพวกเขา ก็ทำได้ง่ายดายราวพลิกฝ่ามือ เขามองไปยังเพื่อนร่วมกลุ่ม เห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวไม่ต่างกัน
 
       
        
        หลงซิน
“พวกเจ้าไม่มีโอกาสหนี” หลงซินกล่าวต่อ ราวกับจะอ่านความคิดของพวกเขาได้ “เส้นทางเดียวคือการยืนอยู่ตรงนี้”
 
        
       
        เสียงอึกทึกในโรงเตี๊ยมเงียบสนิทลงอย่างน่าใจหาย มีเพียงเสียงจิบสาโทของหลงซินเท่านั้นที่ยังคงดังแผ่วเบา กลุ่มนักเลงที่เคยฮึกเหิมบัดนี้ยืนตัวแข็งทื่อราวกับถูกสาป แต่ละคนหน้าซีดเผือด สีหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด เมื่อชื่อของ “หลงซิน” ถูกเอ่ยออกมา
 
       
        
        ลูกน้องนักเลง
“หลงซิน… ผู้ที่… ผู้ที่จัดการข้าศึกเป็นล้านในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วยามนั่นหรือ…” หนึ่งในนักเลงที่อยู่ด้านหลังพึมพำออกมาอย่างไม่เชื่อสายตา เสียงของเขาแหบพร่า “เขาคืออัสนีสีเลือดที่สังหารกองทัพหมาป่าแห่งภาคเหนือทั้งหมดด้วยตัวคนเดียวน่ะหรือ?”
 
        
                                                                ร่างระวังภัย
                    
        
        หัวหน้านักเลง
“เงียบ!” ชายร่างกำยำที่เป็นหัวหน้ากลุ่มกัดฟันกรอด เขากวาดสายตาไปยังลูกน้องที่เริ่มแตกตื่น ก่อนจะหันกลับมาเผชิญหน้ากับหลงซินอีกครั้ง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยเหงื่อเย็นเยียบ
 “ท่าน…ท่านหลงซิน โปรด…โปรดอภัยให้พวกข้าน้อยด้วย”
 
        
       
        
        หลงซิน
หลงซินวางแก้วสาโทลงช้าๆ พลางเช็ดริมฝีปากด้วยหลังมือ สายตาคมกริบเหลือบมองชายร่างกำยำ ดวงตาแดงก่ำราวโลหิตฉายแววเย็นชา “เจ้ายังจำได้ก็ดี”  
เขาเอ่ยเสียงเรียบ แต่กลับทรงพลังและกดดันอย่างยิ่ง
 “แล้วเจ้าคิดว่าข้าจะจัดการกับพวกเจ้าอย่างไรดี?”
 
        
       
        
        หัวหน้านักเลง
คำถามนั้นทำให้กลุ่มนักเลงตัวสั่นสะท้าน ชายร่างกำยำถึงกับทรุดเข่าลงกับพื้นทันที
 “โปรดไว้ชีวิตด้วยเถิดขอรับ! พวกข้าน้อยไม่ทราบจริงๆ ว่าท่านคือองครักษ์ผู้สูงศักดิ์” 
เขาก้มลงกราบอย่างนอบน้อม
 “พวกข้าน้อยยินดีทำทุกอย่างเพื่อไถ่โทษขอรับ”
 
        
       
        
        หลงซิน
หลงซินไม่ได้ตอบในทันที เขาจ้องมองไปยังชายร่างกำยำที่คุกเข่าอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหันไปทางเฒ่าแก่ที่ยืนตัวลีบอยู่หลังเคาน์เตอร์
 “เฒ่าแก่”
 หลงซินเอ่ย
 “ส่งบิลค่าเสียหายมาให้พวกมัน”
 
        
       
        
        เฒ่าแก่โรงเตี๊ยมข้างวัง
เฒ่าแก่สะดุ้งสุดตัว ก่อนจะรีบหยิบกระดาษกับพู่กันออกมาด้วยมือที่สั่นเทา เขารีบจดรายการอาหารและเครื่องดื่มที่กลุ่มนักเลงได้สั่งไปเมื่อครู่ รวมไปถึงค่าทำความสะอาดโต๊ะเก้าอี้ที่ดูเหมือนจะถูกรบกวน 
“เอ่อ… ทั้งหมด… ทั้งหมดก็…” 
เฒ่าแก่คำนวณในใจอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองชายร่างกำยำด้วยความกังวลเล็กน้อย 
“ก็… ห้าตำลึงเงินขอรับ!”
 
        
       
        
        หัวหน้านักเลง
ชายร่างกำยำเงยหน้าขึ้นทันที เบิกตาโตลุกโพลงขึ้น
“ห้าตำลึงเงิน! เฒ่าแก่ เจ้าคิดจะปล้นข้าหรือไง!”
 
        
       
        
        หลงซิน
หลงซินตวัดสายตาคมกริบไปทางชายร่างกำยำ คำพูดของเขาเย็นชาดุจน้ำแข็ง 
“เจ้าคิดว่าสิ่งที่เจ้าทำไปมันคุ้มกับราคาแค่ห้าตำลึงหรือ?” 
เขาจ้องมองไปในดวงตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวนั้นอย่างไม่ลดละ
 “ที่นี่ข้างวังนะ ไม่ใช่สนามประลอง”
หลงซินเหลือบมองชายร่างกำยำที่ยังคงคุกเข่าอยู่เบื้องหน้า ดวงตาคู่สีแดงก่ำไม่แสดงความรู้สึกใดๆ ท่ามกลางความเงียบงันที่กดดันเสียจนอากาศในโรงเตี๊ยมดูจะเบาบางลง
 
        
       
        
        หลงซิน
“ถ้าเจ้าไม่จ่าย”
 หลงซินเอ่ยเสียงเรียบเนิบช้า แต่ทุกถ้อยคำคมกริบราวใบมีด
 “จะมีสองทางเลือกให้เดิน”
 
        
       
        ชายร่างกำยำเงยหน้าขึ้นอย่างช้าๆ ใบหน้าซีดเผือด เต็มไปด้วยเหงื่อกาฬ ดวงตาหวาดกลัวจ้องมองหลงซินอย่างไม่เข้าใจ คำว่า ‘สองทางเลือก’ ทำให้จิตใจของเขาสับสนวุ่นวาย
 
       
        
        หลงซิน
“จะนอนคุกใต้ดิน… หรือจะสิ้นชีพ”
 
        
       
        คำพูดนั้นราวกับฟ้าผ่าลงกลางใจกลุ่มนักเลง พวกเขาตัวแข็งทื่อ บางคนถึงกับกลั้นหายใจ ชายร่างกำยำถึงกับผงะ ใบหน้าถอดสี ไม่คิดว่าหลงซินจะยื่นข้อเสนอที่โหดเหี้ยมเช่นนี้ เฒ่าแก่ที่แอบมองอยู่หลังเคาน์เตอร์ถึงกับตัวสั่นเทา มือไม้จับอะไรไม่ถูก
 
       
        
        หัวหน้านักเลง
“ทะ…ท่านหลงซิน” 
ชายร่างกำยำพยายามเปล่งเสียงออกมา
 “โปรด…โปรดให้โอกาสพวกข้าน้อยได้ไถ่โทษด้วยเถิดขอรับ! พวกข้าน้อยไม่…ไม่ทราบจริงๆ”
 
        
       
        
        หลงซิน
หลงซินไม่สนใจคำอ้อนวอน เขายกสาโทขึ้นจิบช้าๆ อีกครั้ง พลางเหลือบมองไปรอบๆ กลุ่มนักเลงอย่างประเมินค่า
“ข้าไม่ชอบรอ”
 
        
       
        
        หลงซิน
“จ่ายให้ครบแล้วไปได้…แต่อย่ามีครั้งหน้า” หลงซินเอ่ยเสียงเรียบ ดวงตาคู่สีแดงก่ำกวาดมองไปทั่วใบหน้าซีดเผือดของกลุ่มนักเลง “ถ้าข้าเห็นว่าพวกเจ้าทำตัวเป็นนักเลงที่ไหน…จะจับขังลืมที่คุกใต้ดิน”
 
        
       
        คำพูดนั้นสะท้านเข้าไปถึงโสตประสาทของทุกคนในโรงเตี๊ยม หัวหน้ากลุ่มนักเลงถึงกับตัวสั่นสะท้าน เขารีบก้มลงกราบอีกครั้ง
 
       
        
        หัวหน้านักเลง
“ขอรับ! ขอรับท่าน! พวกข้าน้อยจะไม่กล้าอีกแล้วขอรับ! โปรดเมตตาด้วยเถิด”
 
        
       
        
        หลงซิน
“เมตตาไม่ใช่สิ่งที่พวกเจ้าคู่ควร” หลงซินตอบกลับอย่างเย็นชา เขาจิบสาโทอีกครั้ง ปล่อยให้ความเงียบเข้าปกคลุมชั่วขณะ “เฒ่าแก่” เขากวักมือเรียก “นำเงินจากพวกมัน”
 
        
       
        เฒ่าแก่สะดุ้งเล็กน้อย แต่ก็รีบเดินโซซัดโซเซมาข้างหลงซิน
 
       
        
        เฒ่าแก่โรงเตี๊ยมข้างวัง
“อะ…เอ่อ… นายท่าน… นี่…” เขายื่นถุงเงินที่ดูเหมือนจะเล็กไปสำหรับห้าตำลึงให้กับหัวหน้ากลุ่มนักเลง
 
        
       
        หัวหน้ากลุ่มนักเลงรีบควักเหรียญเงินออกมาจากอกเสื้อด้วยมือที่สั่นเทา เหงื่อกาฬผุดขึ้นเต็มหน้าผาก เขานับเงินอย่างรีบร้อนก่อนจะยื่นให้เฒ่าแก่
 
       
        
        หัวหน้านักเลง
“นี่…นี่คือทั้งหมดที่พวกข้าน้อยมีขอรับ…ห้าตำลึงเงินพอดี” เขาเงยหน้าขึ้นมองหลงซินด้วยแววตาหวาดหวั่น “หวังว่าท่านจะไว้ชีวิตพวกข้าน้อย”
 
        
       
        
        หลงซิน
“ครั้งนี้ข้าจะปล่อยไป” หลงซินกล่าวเสียงเรียบ “แต่จำไว้ให้ดี… ถ้ามีครั้งหน้า… เจ้าจะไม่ได้เห็นแสงตะวันอีก” ดวงตาคู่สีแดงก่ำจับจ้องไปที่หัวหน้ากลุ่มนักเลงอย่างไม่คลาดสายตา
 
        
       
        กลุ่มนักเลงรีบโค้งคำนับอย่างพร้อมเพรียง ก่อนจะรีบหันหลังก้มหน้าก้มตาออกจากโรงเตี๊ยมไปอย่างรวดเร็วราวกับมีผีไล่ตามหลัง ทิ้งไว้เพียงความเงียบและเฒ่าแก่ที่ยืนถอนหายใจอย่างโล่งอก เขาเก็บถุงเงินไว้ในอกเสื้อ ก่อนจะหันมามองหลงซินด้วยแววตาซาบซึ้งระคนหวาดเกรง
 
       
        
        หัวหน้านักเลง
“ขอบพระคุณท่านหลงซินมากขอรับ… ที่ช่วยจัดการคนพาล” เฒ่าแก่กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
 
        
       
        เงาของหลงซินเคลื่อนไหวอย่างเงียบงันกลับสู่วัง ผ่านประตูวังที่สูงตระหง่าน แสงจันทร์สาดส่องลงมาต้องพื้นหินอ่อนเย็นยะเยือก ยามเฝ้าประตูโค้งคำนับเล็กน้อยด้วยความเคารพยำเกรง โดยไม่เอ่ยคำใด หลงซินเพียงพยักหน้าตอบรับเบาๆ กลิ่นหอมจางๆ ของดอกเหมยยามค่ำคืนลอยมาปะทะจมูก บรรยากาศภายในวังสงบนิ่ง แต่ก็แฝงไว้ด้วยความรู้สึกที่ไม่อาจคาดเดาได้
 
       
        ระหว่างทางเดินกลับตำหนัก หลงซินได้ยินเสียงกระซิบกระซาบจากนางกำนัลสองสามคนซึ่งกำลังเดินสวนมา พวกนางรีบโค้งคำนับเมื่อเห็นเขา แต่ก่อนที่หลงซินจะเดินผ่านไป เสียงกระซิบของหนึ่งในนางกำนัลก็แว่วเข้าหู
 
       
        
        ???
“ได้ยินว่าองค์หญิงอวินหลิงทรงปรารภถึงชุดราตรีไหมใหม่ที่งดงามยิ่งนัก จะทรงฉลองในงานเทศกาลฤดูหนาว” นางกำนัลคนหนึ่งเอ่ยเบาๆ “แต่ทรงรับสั่งให้ตัดแบบที่… รัดกุมขึ้นกว่าเดิมเสียอีก”
นางกำนัลอีกคนหัวเราะคิกคัก “จริงหรือ? ปกติองค์หญิงไม่โปรดชุดรัดกุมนี่นา”
 
        
       
        หลงซินหยุดชะงักเพียงเสี้ยววินาที ก่อนจะเดินจากไปอย่างไม่เร่งรี้นัก เขาหันไปมองต้นเหมยแดงที่กำลังเริ่มโรยรา พลางเอ่ยกับยามที่เดินตรวจตราอยู่ใกล้ๆ
 
       
        
        หลงซิน
“คืนนี้อากาศเย็น เจ้าเพิ่มเวรยามให้ถี่ขึ้นอีกหน่อย” หลงซินกล่าว “ระวังอย่าให้มีผู้ใดรบกวนความสงบของวัง”
 
        
       
        หลงซินก้าวเท้าเข้าสู่เขตตำหนักขององค์หญิง กลิ่นกำยานอ่อนๆ คละคลุ้งผสมผสานกับกลิ่นดอกเหมยที่ลอยมาจากสวนหย่อม แสงจันทร์ส่องลอดผ่านม่านผ้าไหมบางเบา ทำให้เกิดเงามืดและแสงสว่างสลับกันไปตามโถงทางเดินที่วิจิตรบรรจง เขาเคลื่อนไหวอย่างเงียบเชียบ ราวกับเงาที่กลืนไปกับรัตติกาล
 
       
        ทันใดนั้น เสียงกระแอมไอเบาๆ ก็ดังขึ้นจากห้องโถงด้านหน้า อวินเซียนในชุดคลุมผ้าไหมสีขาวบริสุทธิ์ กำลังยืนมองออกไปยังสวนดอกเหมยยามราตรี นางดูราวกับเทพธิดาจันทราที่ก้าวลงมาจากฟากฟ้า เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าเบาๆ นางก็หันกลับมาอย่างช้าๆ ดวงตาสีน้ำตาลเข้มฉายแววอ่อนโยน แต่ก็แฝงไว้ด้วยความรู้สึกที่อ่านไม่ออก เมื่อเห็นว่าเป็นหลงซิน นางก็แย้มยิ้มเล็กน้อย
 
       
        
        🌕 องค์พี่: “อวิ๋นเซียน
กลับมาแล้วหรือหลงซิน” เสียงของนางแผ่วหวานดุจสายลมที่พัดผ่านดอกไม้ “เจ้าไปไหนมา ข้าไม่เห็นเจ้าตั้งแต่บ่ายคล้อย”
 
        
       
        
        หลงซิน
หลงซินหยุดยืนห่างจากนางพอสมควร ก้มศีรษะเล็กน้อย “พ่ะย่ะค่ะ มีเรื่องที่โรงเตี๊ยมเล็กน้อย”
 
        
       
        
        🌕 องค์พี่: “อวิ๋นเซียน
“เรื่องโรงเตี๊ยม?” อวินเซียนเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย แววตาฉายความสงสัย “เกิดอะไรขึ้นหรือ”
 
        
       
        
        หลงซิน
“ไม่มีอันใดพ่ะย่ะค่ะ แค่คนพาลเล็กน้อย” หลงซินตอบเสียงเรียบ สีหน้าไม่แสดงความรู้สึก “จัดการเรียบร้อยแล้ว”
 
        
       
        
        🌕 องค์พี่: “อวิ๋นเซียน
อวินเซียนพยักหน้าช้าๆ “ข้าเชื่อว่าเจ้าจัดการได้เสมอ” นางเอ่ยพลางก้าวเท้าเข้ามาใกล้หลงซินเล็กน้อย “แต่…เจ้าดูเหนื่อยล้า” นางยื่นมือออกไปราวจะสัมผัสแขนของเขา แต่ก็ชะงักไว้กลางอากาศ
 
        
       
        
        หลงซิน
“ข้าไม่เป็นไรพ่ะย่ะค่ะ” หลงซินตอบ
 
        
       
        
        🌕 องค์พี่: “อวิ๋นเซียน
“จริงหรือ… แต่สายตาของเจ้าไม่เหมือนอย่างนั้น” อวินเซียนกล่าว สีหน้าฉายแววกังวลจางๆ “วันนี้เจ้าพูดเรื่องชุดของพวกเราด้วย”
 
        
       
        เสียงฝีเท้าที่เร่งรีบดังขึ้นจากทางเดินด้านหลัง อวินหลิงปรากฏตัวขึ้น ใบหน้าของนางมีร่องรอยของความหงุดหงิดเล็กน้อย เมื่อเห็นหลงซินและอวินเซียนยืนอยู่ใกล้กัน สายตาของนางก็หรี่ลงเล็กน้อย
 
       
        
        🔥 องค์น้อง: อวิ๋นหลิง
“พี่หญิง! เจ้าไม่ควรจะมาสนทนากับเขาในยามวิกาลเช่นนี้” อวินหลิงเอ่ยเสียงดังพอให้ได้ยิน ก่อนจะตวัดสายตาคมกริบไปยังหลงซิน “ส่วนเจ้า… ทำไมถึงมาอยู่ในตำหนักของพี่หญิงได้”
 
        
       
        
        หลงซิน
“ข้าก็แค่ผ่าน” หลงซินตอบเสียงเรียบ ไม่แสดงความรู้สึกใดๆ บนใบหน้า ดวงตาคู่สีแดงก่ำกวาดมองไปที่อวินหลิงชั่วครู่ ก่อนจะหันไปทางอวินเซียนที่ยืนมองอย่างสงบ “งั้นข้าไปห้องตนเองก่อนนะพ่ะย่ะค่ะ”
 
        
       
        
        🔥 องค์น้อง: อวิ๋นหลิง
อวินหลิงขมวดคิ้วเล็กน้อย ปากอิ่มเม้มเข้าหากันด้วยความไม่พอใจ
 “เดี๋ยวสิ! เจ้ายังไม่ได้ตอบคำถามของข้าให้ชัดเจนเลย!” 
น้ำเสียงของนางแฝงความไม่พอใจชัดเจน แต่อวินเซียนกลับก้าวเท้าเข้ามาเล็กน้อย ราวกับจะคลี่คลาย
สถานการณ์ที่ตึงเครียด
 
        
       
        
        🌕 องค์พี่: “อวิ๋นเซียน
“หลิงเอ๋อร์” อวินเซียนเอ่ยเสียงอ่อนโยน “หลงซินคงมีธุระของเขา ปล่อยให้เขาพักผ่อนเถิด”
 
        
       
        
        หลงซิน
หลงซินไม่รอช้า เขาโค้งคำนับเล็กน้อยให้ทั้งสองพระธิดา 
“ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ” 
กล่าวจบก็หมุนตัวหันหลังเดินจากไปอย่างเงียบเชียบ ร่างสูงโปร่งหายลับไปกับเงามืดในโถงทางเดินอย่างรวดเร็ว ทิ้งไว้เพียงกลิ่นอายเย็นเยียบที่ยังคงอบอวลอยู่จางๆ
 
        
       
        
        🔥 องค์น้อง: อวิ๋นหลิง
อวินหลิงมองตามหลังหลงซินไปจนสุดสายตา ใบหน้าบึ้งตึง ปากอิ่มยื่นออกมาเล็กน้อย
 “ท่านพี่! ทำไมท่านถึงได้ใจดีกับเขาเช่นนี้” 
นางหันกลับมาทางอวินเซียน “เขาไม่เคยให้เกียรติพวกเราเลย!”
 
        
       
        
        หลงซิน
“ไม่ใช่ไม่ให้เกียรติหรอก… แต่อย่าดื้อออกนอกวังนะ ถ้าเจ้าสองคนเป็นอะไรไปมันยากที่จะแก้ไข” เสียงของหลงซินดังกังวานไปตามห้องโถง แม้ร่างของเขาจะลับหายไปจากสายตาแล้วก็ตาม น้ำเสียงนั้นราบเรียบ ทว่าแฝงด้วยความเฉียบคมและทรงพลัง ราวกับกระแสอัสนีที่พุ่งตรงเข้ามากระทบใจ
 
        
       
        
        🔥 องค์น้อง: อวิ๋นหลิง
อวินหลิงถึงกับชะงักค้าง ปากอ้าเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจระคนไม่พอใจ
 “นี่มัน… เขาพูดอะไรน่ะ!”
 นางตวัดสายตาไปยังทิศทางที่เสียงนั้นดังมา แม้จะมองไม่เห็นร่างของหลงซินแล้วก็ตาม
 “เขาคิดว่าพวกเราเป็นเด็กๆ หรือไง ถึงได้มาสั่งสอนกันเช่นนี้!”
 
        
       
        
        🌕 องค์พี่: “อวิ๋นเซียน
อวินเซียนยังคงยืนนิ่ง นางไม่ได้แสดงความไม่พอใจออกมาเหมือนน้องสาว ดวงตาที่เคยอ่อนโยนกลับฉายแววครุ่นคิด
 “หลิงเอ๋อร์… เจ้าไม่คิดว่าเสียงของเขา… มาจากไกลเกินไปหรือ?” 
นางเอ่ยเบาๆ
 “เขาน่าจะเดินลับไปถึงสุดทางเดินแล้ว แต่เรายังได้ยินชัดเจนขนาดนี้”
 
        
       
        
        🔥 องค์น้อง: อวิ๋นหลิง
“ก็ใช่สิ! นั่นแหละที่ทำให้ข้าโมโห!” 
อวินหลิงตอบอย่างหัวเสีย
 “เขาตั้งใจจะให้พวกเราได้ยินชัดๆ นี่นา!”
 นางกอดอก ใบหน้าบึ้งตึง 
“หรือว่าเขาเป็นห่วงเราจริงๆ อย่างที่ท่านพี่ว่า?” 
น้ำเสียงของนางแผ่วลงเล็กน้อย แฝงความสงสัยที่ปนเปกับความขุ่นเคือง
 
        
       
        
        🌕 องค์พี่: “อวิ๋นเซียน
อวินเซียนหันมามองน้องสาว พลางยื่นมือไปแตะแขนอวินหลิงเบาๆ 
“หลงซินไม่ใช่คนที่จะพูดอะไรโดยไม่มีเหตุผล” 
นางกล่าว 
“คำพูดของเขาอาจจะฟังดูแข็งกระด้าง แต่ข้าคิดว่า… เขากำลังเตือนพวกเราจริงๆ”
 
        
       
        
        🔥 องค์น้อง: อวิ๋นหลิง
“เตือนอะไรล่ะ! พวกเราก็ไม่ได้จะออกไปก่อเรื่องสักหน่อย!” อวินหลิงเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย แต่แววตาเริ่มมีความลังเล
 
        
       
        
        🌕 องค์พี่: “อวิ๋นเซียน
“อาจจะไม่ใช่เรื่องก่อเรื่อง” อวินเซียนตอบ “แต่เป็นการระวังภัย เขาอาจจะรู้เห็นบางสิ่งบางอย่างที่พวกเราไม่รู้”
 
        
       
        
        🔥 องค์น้อง: อวิ๋นหลิง
“แต่เขาจะรู้ได้อย่างไร” อวินหลิงถามกลับ “แล้วทำไมไม่บอกกันตรงๆ”
 
        
       
        
        🌕 องค์พี่: “อวิ๋นเซียน
อวินเซียนส่ายหน้าเล็กน้อย “ข้าเองก็ไม่รู้… แต่ข้าเชื่อว่าเขามีเหตุผลของเขาเสมอ” นางเงยหน้ามองเพดานสูงของห้องโถง “เจ้าจำได้หรือไม่ ว่าเขาไม่เคยพลาดเรื่องการรักษาความปลอดภัยของพวกเราเลย”
 
        
                                                            
                    เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!