ในห้วงป่าสนธยา... ไม่ได้มีเพียงความเงียบงัน แต่มีจังหวะของชีวิตที่ซ่อนเร้นอยู่ภายใต้แสงที่ทอดตัวลงมาเป็นลำริ้วสีทองอ่อนๆ ฟงหลง ยืนอยู่ท่ามกลางฉากหลังนั้น ร่างกายสูงสง่ากำยำถูกปกคลุมด้วยเสื้อเชิ้ตสีดำสนิทและกางเกงยีนส์ที่รัดตึง เผยให้เห็นกล้ามเนื้อที่ซ่อนอยู่ภายใต้เสื้อผ้า เส้นผมสีเทาเข้มตัดกับใบหน้าคมคาย ดวงตาสีเหลืองอำพันฉายแววเย็นชาและระมัดระวัง เป็น 'เงาหมาป่า' ที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งทุกคนในป่าแห่งนี้ต่างเคารพยำเกรง
เขาไม่ใช่แค่มนุษย์หมาป่า แต่เป็นผู้นำเผ่า เป็นโล่ป้องกัน เป็นผู้ตัดสินที่เด็ดขาด ทุกการกระทำของเขามีน้ำหนัก มีความรับผิดชอบต่อความอยู่รอดของเผ่าพันธุ์ และในฐานะผู้นำ เขาควรจะรักษา 'ความถูกต้อง' และ 'กฎโบราณ' ที่ห้ามการข้องแวะกับเหล่าจิ้งจอกอย่างเคร่งครัด
แต่ในอ้อมกอดของเขา… ในวินาทีนี้ มีเพียง หงเจวี๋ย—หมาจิ้งจอกน้อยผู้เป็น 'รอยยิ้มจิ้งจอก' ที่สามารถทำลายทุกกำแพงที่เขาสร้างขึ้นมา
หงเจวี๋ยเงยหน้าขึ้นมามองเขา ดวงตาสีฟ้าใสราวกับน้ำในลำธารสะท้อนภาพของฟงหลงที่เต็มไปด้วยความกังวล รอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความร่าเริงตามธรรมชาติของหงเจวี๋ย แม้จะมีความเศร้าสร้อยซ่อนอยู่เบื้องลึกจากการสูญเสียครอบครัว แต่ก็ยังคงความสดใสไว้ได้อย่างน่าประหลาด
"ฟงหลง... ท่านคิดอะไรอยู่หรือ" เสียงใสเล็กๆ เอ่ยถามพร้อมซบหน้าลงกับแผงอกที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อของมนุษย์หมาป่า
ฟงหลงกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นอีกเล็กน้อย ราวกับต้องการตอกย้ำว่าเขาจะไม่มีวันปล่อยให้ใครมาทำร้ายจิ้งจอกแดงตัวนี้ได้ สัมผัสที่คุ้นเคยของขนหางสีส้มแดงที่พันรอบขาเขา และหางสีเทาเข้มของเขาที่ตวัดโอบรอบหางของหงเจวี๋ย เป็นการแสดงออกถึงความเป็นเจ้าของที่เงียบงัน
"ข้าคิดว่า... ดอกไม้นี่สวยงาม" ฟงหลงตอบเสียงทุ้มต่ำ พลางใช้ปลายนิ้วเกลี่ยเส้นผมสีส้มที่ปรกหน้าผากของหงเจวี๋ยออกเบาๆ ใบหน้าของเขาแม้จะดูเคร่งขรึม แต่แววตาที่มองหงเจวี๋ยนั้นอ่อนโยนจนน่าประหลาดใจ
หงเจวี๋ยหัวเราะคิกคัก "โกหก ท่านไม่เคยสนใจดอกไม้ ท่านสนใจแต่การฝึกซ้อมและการล่า" จิ้งจอกน้อยยื่นมือไปแตะดอกไม้ป่าสีม่วงดอกเล็กๆ ที่อยู่ข้างเท้า
"ก็จริง..." ฟงหลงยอมรับ แต่ไม่ได้ละสายตาจากหงเจวี๋ย "แต่เจ้า... สวยงามกว่าดอกไม้เหล่านั้นเสียอีก"
ประโยคที่คาดไม่ถึงนี้ทำให้แก้มของหงเจวี๋ยขึ้นสีแดงเรื่อ มนุษย์หมาป่าผู้โด่งดังเรื่องความเย็นชา กลับพูดจาหวานซึ้งออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติ เขาซ่อนความเขินอายไว้ภายใต้รอยยิ้มกว้าง ก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง
"ท่านจะให้ข้าอยู่กับท่านนานแค่ไหน? เผ่าของท่าน... พวกเขายังมองข้าเป็นศัตรูอยู่ไม่ใช่หรือ" น้ำเสียงของหงเจวี๋ยลดลงเล็กน้อย เมื่อนึกถึงสายตาเต็มไปด้วยความหวาดระแวงและรังเกียจที่เขาได้รับจากมนุษย์หมาป่าคนอื่นๆ
ประเด็นนี้คือบาดแผลที่ฟงหลงรู้ดี การรับหงเจวี๋ยเข้ามาในเขตแดนของเผ่าหมาป่า เป็นการตัดสินใจที่ฝืนกฎเหล็กที่สืบทอดกันมายาวนานหลายร้อยปี หมาป่าและจิ้งจอกถูกกำหนดให้เป็นศัตรูทางสายเลือด จากเหตุการณ์กบฏครั้งใหญ่เมื่อสามสิบปีก่อน
"ตราบเท่าที่เจ้าต้องการ ตราบเท่าที่ข้ายังมีชีวิตอยู่..." ฟงหลงเอ่ยเสียงหนักแน่น "ไม่มีใครแตะต้องเจ้าได้"
เขาคือผู้พิทักษ์ที่เปรียบเสมือนกำแพงหินผาสำหรับหงเจวี๋ย แม้ว่าการยืนหยัดเพื่อจิ้งจอกน้อยคนนี้จะทำให้เขาต้องเผชิญหน้ากับเหล่าผู้อาวุโสของเผ่า หรือแม้แต่... การถูกปลดออกจากตำแหน่งผู้นำก็ตาม
"แต่พวกเขาบอกว่า... ข้าคือผู้ที่นำความพินาศมาสู่เผ่าพันธุ์ของท่าน พวกเขาบอกว่าความสัมพันธ์ของเรามันผิด" หงเจวี๋ยซบหน้าลงอีกครั้งเพื่อซ่อนน้ำตาที่คลออยู่
ฟงหลงใช้มือข้างหนึ่งเชยคางมนขึ้นมาให้สบตากับเขา "ใครเป็นคนบอกเจ้า?"
"เซียนเหลียง..." หงเจวี๋ยตอบเบาๆ หมายถึงมนุษย์หมาป่าหนุ่มคนหนึ่งที่มีความทะเยอทะยานและไม่พอใจการกระทำของฟงหลงอย่างเปิดเผย
"เซียนเหลียงพูดอะไรก็ช่างเขา" ฟงหลงพูดด้วยน้ำเสียงที่เด็ดขาดและแฝงไปด้วยอำนาจ "เจ้าไม่ได้ผิดอะไร อดีตคือเรื่องของอดีต และข้า... เชื่อในตัวเจ้า"
การเชื่อในตัวหงเจวี๋ยไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะหงเจวี๋ยคือทายาทของตระกูลจิ้งจอกที่มีพลังพิเศษในการล่อลวง และเป็นเป้าหมายของทั้งศัตรูภายนอกและภายในเผ่า แต่ความรู้สึกที่ฟงหลงมีต่อหงเจวี๋ยนั้นลึกซึ้งเกินกว่าจะอธิบายด้วยเหตุผลได้ มันเป็นสัญชาตญาณของหมาป่าที่ต้องการปกป้องคู่ของตนเอง
"ข้าไม่รู้ว่าข้าต้องทำอย่างไร... ถ้าวันหนึ่งข้าทำให้ท่านต้องเดือดร้อนจริงๆ" หงเจวี๋ยส่ายหน้าอย่างเป็นกังวล
ฟงหลงยิ้มเล็กน้อย รอยยิ้มที่แทบจะไม่เคยปรากฏบนใบหน้าคมคายของเขา มันเป็นรอยยิ้มที่ทำให้หงเจวี๋ยรู้สึกถึงความปลอดภัยอย่างที่สุด "ถ้าเจ้าทำให้ข้าเดือดร้อน... ข้าก็จะยอมเดือดร้อนอยู่กับเจ้า"
เขาโน้มตัวลงไปใกล้ ใบหน้าของทั้งคู่อยู่ห่างกันเพียงลมหายใจ ดวงตาที่เคยเต็มไปด้วยความหวาดระแวงของหงเจวี๋ยเริ่มทอประกายแห่งความรักและความเชื่อมั่นเข้ามาแทนที่
"ความรักของเรา... มันอาจเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามครั้งใหม่" หงเจวี๋ยกระซิบ
"หรือ... อาจเป็นจุดเริ่มต้นของสันติสุขที่แท้จริง" ฟงหลงสวนกลับทันควัน ก่อนจะประทับจูบลงบนหน้าผากของหงเจวี๋ยอย่างอ่อนโยน เป็นการยืนยันถึงความรู้สึกทั้งหมดที่เขามีต่อจิ้งจอกน้อยตัวนี้
อ้อมกอดที่แนบแน่นใต้แสงแดดอุ่นๆ ในป่าสนธยาแห่งนี้ เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการผจญภัยครั้งยิ่งใหญ่ ที่ "เงาหมาป่า" ต้องยืนหยัดต่อสู้กับโลกทั้งใบเพื่อรักษา "รอยยิ้มจิ้งจอก" อันเป็นที่รักไว้ให้ได้
รุ่งอรุณของวันใหม่ไม่ได้นำมาซึ่งความสงบสุขอย่างแท้จริงสำหรับผู้นำเผ่าหมาป่า ฟงหลงลืมตาขึ้นมาในถ้ำลับข้างกายหงเจวี๋ย แสงเช้าสีทองอ่อนๆ ลอดผ่านช่องหินเข้ามาทำให้เห็นใบหน้าของจิ้งจอกน้อยที่กำลังหลับอย่างเป็นสุข แขนของหงเจวี๋ยพาดอยู่บนแผงอกของเขาอย่างเป็นธรรมชาติราวกับเป็นสถานที่ที่เหมาะสมที่สุด
กลิ่นหอมอ่อนๆ ของสมุนไพรป่าและกลิ่นเฉพาะตัวของจิ้งจอกที่ติดอยู่กับตัวหงเจวี๋ยทำให้ฟงหลงรู้สึกสงบ แต่ความสงบนั้นอยู่ได้ไม่นาน หน้าที่และความรับผิดชอบที่เขามีต่อเผ่า ทำให้เขาต้องตื่นตัวอยู่เสมอ
ฟงหลงค่อยๆ ขยับตัวอย่างระมัดระวัง เพื่อไม่ให้รบกวนการนอนของหงเจวี๋ย แต่หงเจวี๋ยกลับรู้ตัวทันที ดวงตาสีฟ้าใสเปิดขึ้นมองฟงหลงอย่างงัวเงีย
“ท่านจะไปแล้วหรือ?” เสียงเล็กๆ นั้นฟังดูแผ่วเบาและน่าสงสาร
“ข้าต้องไปก่อนที่พวกนักรบจะเริ่มฝึกซ้อม” ฟงหลงตอบพลางลูบผมสีแดงส้มของหงเจวี๋ยเบาๆ “อย่าออกมาจากถ้ำจนกว่าข้าจะกลับมานะ ข้างนอกไม่ปลอดภัย”
“แต่ข้าเบื่อ” หงเจวี๋ยบ่นเบาๆ พลางทำหน้ามุ่ย แต่ก็ยอมขยับตัวลุกขึ้นนั่ง พลังของจิ้งจอกที่อยู่ในตัวเขาทำให้เขาฟื้นฟูได้เร็ว “ท่านไปจัดการพวกผู้อาวุโสเรียบร้อยแล้วใช่ไหม? ท่านจะไม่ได้ยินเสียงบ่นของท่านเซียนเหลียงใช่ไหม?”
ฟงหลงยิ้มเล็กน้อย พยักหน้ารับ “พวกเขาจะไม่ทำอะไรตราบใดที่ข้าอยู่ แต่ข้าต้องทำให้พวกเขารู้สึกว่าการมีเจ้าอยู่มีประโยชน์จริง ๆ”
“แผน ‘เหยื่อล่อ’ ของท่านน่ะหรือ?” หงเจวี๋ยเลิกคิ้วอย่างเจ้าเล่ห์ “ท่านคิดจริง ๆ หรือว่าจะมี ‘นักล่า’ โผล่มาเร็วขนาดนี้?”
“ร่องรอยของการตามล่าเจ้ามันมีอยู่ทุกที่หงเจวี๋ย” ฟงหลงพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังขึ้น “กลุ่มมนุษย์ที่เรียกว่า ‘เงาเพลิง’ พวกเขาคลั่งไคล้พลังของสัตว์วิเศษ โดยเฉพาะเลือดของจิ้งจอกที่มีพลังล่อลวงสูง ข้าเพิ่งพบกับดักที่พวกมันวางไว้ใกล้เขตแดนของเราเมื่อสองวันก่อน พวกมันกำลังเข้ามาใกล้ และข้าเชื่อว่าพวกมันรู้แล้วว่าทายาทจิ้งจอกยังไม่ตาย”
เมื่อได้ยินชื่อ ‘เงาเพลิง’ รอยยิ้มบนใบหน้าของหงเจวี๋ยก็จางหายไปทันที ดวงตาของเขาฉายแววหวาดกลัวและเกลียดชัง
“พวกนั้นฆ่าครอบครัวข้า” หงเจวี๋ยกระซิบเสียงสั่น “ข้าจำกลิ่นของไฟและกลิ่นอับของชุดหนังที่พวกมันสวมได้ พวกมันตามล่าข้ามานานหลายปี”
ฟงหลงดึงหงเจวี๋ยเข้ามาในอ้อมกอดอีกครั้ง เขากดศีรษะของจิ้งจอกน้อยให้แนบชิดกับอกของเขา “เพราะอย่างนั้น เจ้าถึงต้องเชื่อฟังข้า อยู่ในนี้ให้ปลอดภัย ข้าจะออกไปสำรวจร่องรอยของพวกมันให้แน่ชัด”
หงเจวี๋ยพยักหน้าอย่างเงียบๆ เขาเข้าใจดีว่าฟงหลงไม่ได้ทำไปเพราะหน้าที่เท่านั้น แต่เพราะความรู้สึกที่ปกป้องอย่างลึกซึ้ง
ฟงหลงจุมพิตที่หน้าผากของหงเจวี๋ยอีกครั้ง ก่อนจะแปลงร่างเป็นหมาป่าและวิ่งหายไปจากถ้ำ มุ่งหน้าไปยังชายป่าด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
ในขณะที่ฟงหลงออกไปปฏิบัติภารกิจ หงเจวี๋ยอยู่ในถ้ำเพียงลำพัง เขานั่งมองหยดน้ำที่ไหลลงมาจากเพดานถ้ำอย่างเบื่อหน่าย ความสามารถในการล่อลวงของเขานั้นมีอยู่จริง แต่หงเจวี๋ยใช้มันเพียงเล็กน้อยและไม่เคยทำร้ายใคร แต่เป็นพลังที่ทำให้เขากลายเป็นเป้าหมายของคนชั่วและศัตรูของเหล่าหมาป่า
ไม่นานนัก ความเงียบงันก็ถูกทำลายลง
ครืนนน!
เสียงหินกระทบกันดังขึ้นที่ปากถ้ำ หงเจวี๋ยชะงัก หางของเขากระตุกด้วยความระมัดระวัง เขาได้ยินเสียงฝีเท้าที่หนักและจงใจ
“ข้ารู้ว่าเจ้าอยู่ในนี้ จิ้งจอกน้อย”
เสียงนั้นไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็น เซียนเหลียง มนุษย์หมาป่าหนุ่มที่เต็มไปด้วยความทะเยอทะยานและเกลียดชังเผ่าจิ้งจอก
หงเจวี๋ยยืนขึ้นช้าๆ ร่างกายของเขาสั่นเทาด้วยความกลัว แต่เขาก็พยายามควบคุมตัวเอง
เซียนเหลียงเดินเข้ามาพร้อมกับนักรบหมาป่าอีกสองคน ใบหน้าของเขาดูเย้ยหยัน “คิดว่าผู้นำจะปกป้องเจ้าได้ตลอดไปหรือ? พวกเรานักรบต้องทนเห็นศัตรูมายืนหายใจรดต้นคอในอาณาเขตของเราไม่ได้!”
“ท่านฟงหลงสั่งให้ท่าน... ให้ท่านออกไป” หงเจวี๋ยพยายามพูดอย่างกล้าหาญที่สุด
เซียนเหลียงหัวเราะเสียงดัง “คำสั่งของเขามีความหมายสำหรับผู้อ่อนแอเท่านั้น! พวกเรากำลังทำสิ่งที่ถูกต้องเพื่อความบริสุทธิ์ของเผ่า! เจ้าเป็นแค่จิ้งจอกขี้ขลาดที่ซ่อนตัวอยู่หลังเงาหมาป่า”
ทันทีที่พูดจบ เซียนเหลียงก็พุ่งเข้าใส่หงเจวี๋ยพร้อมกับเสียงคำราม หงเจวี๋ยกระโดดหลบอย่างว่องไว สัญชาตญาณเอาตัวรอดของจิ้งจอกทำให้เขาว่องไวกว่ามนุษย์หมาป่ามาก
“ข้าไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายใคร!” หงเจวี๋ยตะโกน
“โกหก!” เซียนเหลียงตะคอก “เจ้ากำลังหลอกล่อฟงหลงด้วยรูปลักษณ์ที่น่ารักของเจ้า! ข้าจะกำจัดเจ้าเสียที่นี่ ก่อนที่เจ้าจะนำความพินาศมาสู่เรา!”
การต่อสู้เล็กๆ เกิดขึ้นภายในถ้ำ หงเจวี๋ยใช้ความคล่องตัวหลบหลีกการโจมตีอันดุดันของเซียนเหลียง เขาแปลงกายเป็นหมาจิ้งจอกแดงตัวเล็กๆ ที่รวดเร็ว ใช้ความเล็กของตัวเองในการพรางตัว
ในขณะเดียวกัน...
ฟงหลง กำลังสำรวจบริเวณใกล้ชายป่า เขาพบกับดักที่ทำจากโลหะผสมและร่องรอยการเดินเท้าที่สลับซับซ้อน มันเป็นฝีมือของกลุ่ม ‘เงาเพลิง’ อย่างไม่มีผิด
“พวกมันเร็วกว่าที่คาดไว้” ฟงหลงคิด เขากำลังจะวิ่งกลับไปที่ถ้ำเพื่อไปรับหงเจวี๋ย ทันใดนั้น เขาก็ได้ยินเสียงคำรามของมนุษย์หมาป่าที่ดังมาจากทิศทางของถ้ำลับ—ไม่ใช่เสียงคำรามที่ดุดัน แต่เป็นเสียงคำรามที่บ่งบอกถึงความโกรธและความเจ็บปวด
‘เซียนเหลียง...’
ฟงหลงเปลี่ยนเป็นร่างหมาป่าที่ใหญ่ที่สุดอย่างเต็มกำลัง เขาพุ่งทะยานผ่านป่าด้วยความเร็วเหนือเสียง ทิ้งรอยเท้าลึกๆ ไว้บนพื้นดิน
เมื่อมาถึงหน้าถ้ำลับ ฟงหลงเห็นหินก้อนใหญ่ถูกผลักออกไป และเห็นร่างของหงเจวี๋ยที่พยายามต่อสู้กับเซียนเหลียง
กรรร...
เสียงคำรามจากลำคอของฟงหลงดังกึกก้อง มันคือเสียงคำรามของผู้นำที่โกรธจัดจนควบคุมไม่อยู่
การปรากฏตัวของฟงหลงในร่างหมาป่าขนาดมหึมาทำให้การต่อสู้หยุดชะงัก นักรบหมาป่าอีกสองคนถึงกับเข่าอ่อนด้วยความเกรงกลัว
“เซียนเหลียง! เจ้ากำลังทำอะไร!” ฟงหลงคำรามก้องเป็นภาษาหมาป่าที่เต็มไปด้วยอำนาจ
เซียนเหลียงที่เพิ่งถูกหงเจวี๋ยข่วนเข้าที่แขนจนเลือดซึม หันมามองผู้นำของเขาด้วยความตกตะลึง “ท่านฟงหลง! ข้า... ข้ากำลังจะกำจัดภัยคุกคามให้เผ่าของเรา!”
ฟงหลงไม่พูดอะไร เขาพุ่งเข้าใส่เซียนเหลียงอย่างรวดเร็วจนไม่มีใครมองเห็นทัน เซียนเหลียงถูกกระแทกเข้ากับผนังถ้ำอย่างแรงจนร่างทรุดลง
ฟงหลงลดตัวลง หางสีเทาเข้มของเขาล้อมรอบร่างหมาจิ้งจอกแดงตัวเล็กๆ ที่กำลังสั่นเทาด้วยความตกใจ
“เจ้า... เจ้ากล้าฝ่าฝืนคำสั่งของข้าหรือเซียนเหลียง” ฟงหลงพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำและเย็นยะเยือกในร่างมนุษย์ที่กลับมาแล้ว “ข้าบอกแล้วว่าไม่มีใครแตะต้องหงเจวี๋ยได้โดยปราศจากคำสั่งของข้า”
“เขาคือ... เขาคือจิ้งจอก!” เซียนเหลียงกัดฟันพูด “ท่านถูกเขาหลอกแล้ว! เขาจะทำลายท่าน!”
“เขากำลังจะทำลายความสงบสุขของเราต่างหาก!” ฟงหลงตวาดกลับ “เจ้ากำลังทำลายอำนาจของข้า และทำให้แผนการที่ข้าแจ้งแก่ผู้อาวุโสต้องล้มเหลว เจ้าทำให้ศัตรูรู้ถึงความขัดแย้งภายในเผ่าของเรา!”
ฟงหลงอุ้มหงเจวี๋ยที่กลับเป็นร่างมนุษย์แล้วขึ้นมาแนบอกอย่างปกป้อง “เจ้าสมควรได้รับโทษจากการฝ่าฝืนคำสั่ง!”
แต่ก่อนที่ฟงหลงจะลงโทษ เซียนเหลียงก็พยายามที่จะอ้างเหตุผลสุดท้าย
“ท่านฟงหลง... มีร่องรอยของ ‘เงาเพลิง’ อยู่ทางทิศตะวันตก ข้าไปเห็นมากับตา พวกมันอยู่ใกล้กว่าที่เราคิด พวกมันกำลังจะมา!”
คำพูดนั้นทำให้ฟงหลงชะงัก แต่ไม่ใช่เพราะความกลัว แต่เพราะความจริงจังที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงของเซียนเหลียง
ฟงหลงมองไปที่เซียนเหลียงด้วยสายตาที่เย็นชา ก่อนจะตัดสินใจอย่างรวดเร็ว
“พาตัวเซียนเหลียงไปขังไว้ใต้ดินสามวัน” ฟงหลงสั่งนักรบหมาป่าอีกสองคน “และห้ามนำเรื่องนี้ไปพูดกับผู้อาวุโสคนอื่นเด็ดขาด! ถ้าพวกเจ้าพูด... โทษจะหนักกว่าเซียนเหลียง”
นักรบทั้งสองรีบพยักหน้ารับและพาตัวเซียนเหลียงออกไป
เหลือเพียงฟงหลงและหงเจวี๋ยในถ้ำ หงเจวี๋ยมองฟงหลงด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อน ทั้งซาบซึ้งและรู้สึกผิด
“ท่าน... ท่านไม่ควรทำขนาดนี้เพื่อข้า” หงเจวี๋ยกล่าวเบาๆ
ฟงหลงกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นอีก “ข้าทำเพื่อความปลอดภัยของเจ้า... และเพราะข้าไม่สามารถทนเห็นใครทำร้ายเจ้าได้”
“พวก ‘เงาเพลิง’ มาแล้วจริง ๆ หรือ?” หงเจวี๋ยถาม
ฟงหลงพยักหน้า สีหน้าเคร่งเครียด “ใช่... และเจ้าทำให้พวกมันเห็นตัวตนของเจ้ามากขึ้นแล้ว”
หงเจวี๋ยซบหน้าลงกับอกฟงหลง “ข้าขอโทษ... ข้าไม่ได้ตั้งใจให้ท่านต้องเดือดร้อน”
“ไม่ต้องขอโทษ” ฟงหลงลูบหลังหงเจวี๋ยอย่างปลอบโยน “ตอนนี้... เจ้าต้องปลอดภัย”
ฟงหลงพาหงเจวี๋ยไปที่เตียงหญ้าในถ้ำ แล้วเขาก็นั่งลงข้างๆ โอบกอดจิ้งจอกน้อยไว้แนบแน่น
“ข้าจะไม่ออกไปไหนอีก จนกว่าจะแน่ใจว่าพวกมันจากไป” ฟงหลงกระซิบเสียงทุ้มต่ำ “เราจะอยู่ด้วยกันตรงนี้... เพื่อให้ความอบอุ่นแก่กัน”
ในอ้อมกอดของหมาป่า หงเจวี๋ยรู้สึกถึงความปลอดภัยอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน แม้ว่าจะมีภัยอันตรายจาก ร่องรอยของนักล่า รอบด้าน แต่ในอ้อมกอดของ เงาหมาป่า ที่แข็งแกร่ง หงเจวี๋ยก็ยังสามารถรักษา รอยยิ้มจิ้งจอก ไว้ได้
คืนที่สามผ่านไปอย่างเงียบสงบในถ้ำลับ นับตั้งแต่เหตุการณ์วุ่นวายที่เซียนเหลียงบุกเข้ามา ฟงหลงก็ไม่ยอมให้หงเจวี๋ยห่างจากสายตาเลยแม้แต่วินาทีเดียว เขาแทบไม่ได้กลับไปยังหมู่บ้านหมาป่าด้วยซ้ำ ทำเพียงส่งสัญญาณให้นักรบที่เชื่อใจนำอาหารและรายงานสถานการณ์มาให้เท่านั้น
ภายในถ้ำ บรรยากาศอบอวลไปด้วยความใกล้ชิดที่ไม่อาจปฏิเสธได้ ทั้งคู่นั่งอยู่ข้างกองไฟเล็ก ๆ ที่ฟงหลงก่อขึ้น หงเจวี๋ยกำลังใช้ปลายนิ้ววาดลวดลายบนแผงอกเปลือยเปล่าของฟงหลง ซึ่งตอนนี้สวมเพียงกางเกงขายาวอย่างสบาย ๆ
“ท่านแน่ใจหรือว่าไม่เป็นอะไรที่หายไปจากเผ่านานขนาดนี้?” หงเจวี๋ยถามเบา ๆ ดวงตาที่เคยสั่นไหวด้วยความหวาดกลัวในวันแรก ๆ ตอนนี้เต็มไปด้วยความไว้วางใจ
ฟงหลงหลับตาลงรับสัมผัสอ่อนโยนนั้น ความนุ่มนวลของจิ้งจอกน้อยเป็นยาบรรเทาความเครียดที่ยอดเยี่ยมที่สุดสำหรับเขา “ข้าบอกพวกเขาไปว่าข้ากำลังติดตามร่องรอยของ ‘เงาเพลิง’ อย่างใกล้ชิด และข้าต้องการความเงียบเพื่อค้นคว้าวิธีรับมือ”
“แล้วพวกเขาเชื่อหรือ?”
“พวกเขาไม่มีทางเลือก” ฟงหลงตอบเสียงทุ้ม “อำนาจของผู้นำไม่ได้มาจากการออกคำสั่งเท่านั้น แต่มาจากการรักษาความลับและความแข็งแกร่งในการตัดสินใจ”
หงเจวี๋ยซบหน้าลงบนหน้าอกของฟงหลง สูดดมกลิ่นดิน กลิ่นป่า และกลิ่นหมาป่าที่เป็นเอกลักษณ์ของเขา “แต่ท่านโกหกพวกเขานะ”
“ข้าไม่ได้โกหกทั้งหมด” ฟงหลงยิ้มมุมปาก “ข้ากำลัง ‘ค้นคว้า’ วิธีรับมือกับปัญหาที่สำคัญที่สุดอยู่จริง ๆ”
เขาเลื่อนมือไปโอบรอบเอวของหงเจวี๋ยให้เข้ามาใกล้ขึ้นอีก การได้กอดหงเจวี๋ยไว้แนบชิดแบบนี้ ทำให้เขารู้สึกว่าทุกความเสี่ยงที่ยอมแลกไปนั้นคุ้มค่า
“ข้ากลัวว่าพวกเซียนเหลียงจะ... จะยุยงให้ผู้อาวุโสไม่พอใจท่านมากขึ้น” หงเจวี๋ยเอ่ยด้วยความเป็นห่วง
“ปล่อยให้พวกเขาทำไป” ฟงหลงกล่าวอย่างไม่ยี่หระ “ความเชื่อใจ... คือสิ่งที่สำคัญที่สุดในการเป็นผู้นำ และความเชื่อใจก็ต้องแลกมาด้วยการพิสูจน์”
“บทเรียนแห่งความเชื่อใจงั้นหรือ?”
“ใช่” ฟงหลงตอบพลางลืมตาขึ้นมองจิ้งจอกน้อยอย่างจริงจัง “ข้ากำลังให้บทเรียนแก่เผ่าของข้าว่าพวกเขาควรเชื่อใจการตัดสินใจของข้าในฐานะผู้นำ แม้ว่าการตัดสินใจนั้นจะดูขัดต่อกฎโบราณก็ตาม และข้า... ก็กำลังพิสูจน์ความเชื่อใจของข้าที่มีต่อเจ้า”
หงเจวี๋ยเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อย ๆ เอื้อมมือไปสัมผัสบาดแผลที่แขนของฟงหลง ซึ่งเกิดจากการถูกลูกธนูอาบพิษของ ‘เงาเพลิง’ ข่วนเข้าเล็กน้อยระหว่างการสำรวจร่องรอยในตอนแรก แต่ฟงหลงไม่ยอมให้หงเจวี๋ยรู้เรื่องนี้ จนกระทั่งจิ้งจอกน้อยสังเกตเห็นเอง
“ท่านบาดเจ็บแล้วยังโกหกข้า” น้ำเสียงของหงเจวี๋ยติดจะงอน ๆ เล็กน้อย
“มันแค่บาดแผลเล็กน้อย” ฟงหลงกล่าว
“ไม่เล็กน้อยเลย! ท่านเลือดออกเยอะมากตอนที่ข้าเห็น” หงเจวี๋ยรีบลุกขึ้นนั่ง “ข้าสามารถใช้สมุนไพรของข้าช่วยได้”
หงเจวี๋ยเป็นทายาทจิ้งจอกที่มีความรู้เรื่องสมุนไพรและเวทมนตร์เล็กน้อย เขาเริ่มหยิบใบไม้สีเขียวเข้มและรากไม้แห้งออกจากถุงผ้าเล็ก ๆ ที่พกติดตัวมา แล้วเริ่มบดขยี้ด้วยมืออย่างชำนาญ
“เจ้าไม่จำเป็นต้องทำถึงขนาดนั้น”
“จำเป็นสิ!” หงเจวี๋ยเงยหน้าขึ้นมามองฟงหลงอย่างเอาจริงเอาจัง “ท่านปกป้องข้า ข้าก็ต้องตอบแทนท่าน ความเชื่อใจไม่ได้มาจากแค่คำพูด แต่มาจากการกระทำด้วย ข้าไม่ได้มีพลังต่อสู้เหมือนท่าน แต่ข้ามีพลังในการรักษา”
ฟงหลงยอมปล่อยให้หงเจวี๋ยจัดการแต่โดยดี เขาเฝ้ามองดวงหน้ามุ่งมั่นที่กำลังตั้งใจบดสมุนไพรอย่างพิถีพิถัน แสงไฟที่ลุกโชนสะท้อนอยู่ในดวงตาสีฟ้าใสคู่นั้น ทำให้ใบหน้าของหงเจวี๋ยดูอ่อนโยนและน่าทะนุถนอมอย่างที่สุด
หงเจวี๋ยค่อย ๆ บรรจงทาสมุนไพรที่บดแล้วลงบนบาดแผลของฟงหลง กลิ่นฉุนของสมุนไพรทำให้ฟงหลงรู้สึกชาเล็กน้อย
“เสร็จแล้ว” หงเจวี๋ยกล่าวด้วยรอยยิ้มแห่งความภาคภูมิใจ
ฟงหลงเลื่อนมือขึ้นไปจับมือของหงเจวี๋ยที่กำลังแตะอยู่บนบาดแผลของเขาไว้แน่น เขาไม่พูดอะไร แต่การกระทำนั้นสื่อถึงความรู้สึกทั้งหมดที่เขามี
“ขอบคุณ... หงเจวี๋ย”
“ข้าอยากให้ท่านสบายใจ” หงเจวี๋ยพูด “ข้าไม่เหมือนพวกที่เคยทรยศเผ่าท่าน ข้าไม่ต้องการทำร้ายใคร ข้าแค่ต้องการที่พักพิง”
ฟงหลงดึงหงเจวี๋ยเข้ามาในอ้อมกอดอีกครั้ง เขากอดจิ้งจอกน้อยไว้แน่นราวกับกลัวว่าถ้าปล่อยไปแล้วจะสลายหายไป
“ข้ารู้... ข้ารู้ดี” ฟงหลงกระซิบข้างหูของหงเจวี๋ย “และเจ้ามีที่พักพิงแล้ว เจ้าจะอยู่ที่นี่... ตราบใดที่เจ้ายังต้องการข้า”
ขณะที่ทั้งคู่กำลังใช้เวลาในความสงบนั้น สายตาที่คมกริบของฟงหลงก็เหลือบไปเห็นบางอย่างที่ผิดปกติ
กรอบแกรบ!
เสียงกิ่งไม้หักเบา ๆ ดังมาจากทางเข้าถ้ำ เสียงนั้นเบามาก จนมีเพียงสัญชาตญาณของหมาป่าชั้นยอดเท่านั้นที่จะได้ยิน
ฟงหลงผลักหงเจวี๋ยให้ซ่อนตัวอยู่ด้านหลังของเขา แล้วเปลี่ยนเป็นโหมดตื่นตัวในทันที เขาหยิบมีดสั้นที่เหน็บอยู่ที่เอวไว้แน่น ดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีทองอำพันที่ลุกโชนในความมืด
“หงเจวี๋ย... อย่าส่งเสียง” ฟงหลงกระซิบเสียงต่ำ
หงเจวี๋ยรู้ดีว่านี่ไม่ใช่เซียนเหลียง หรือนักรบธรรมดา กลิ่นที่ลอยมาพร้อมกับอากาศเย็น ๆ นั้นคือกลิ่นของ... ‘เงาเพลิง’ กลิ่นคาวเลือดและโลหะที่เขาจำได้ดีตั้งแต่ตอนเด็ก ๆ
“ท่าน... ท่านบาดเจ็บอยู่” หงเจวี๋ยกระซิบด้วยความกังวล
“บาดแผลนี้ไม่ใช่ปัญหา”
ฉัวะ!
จู่ ๆ ก็มีลูกธนูอาบยาพิษพุ่งเข้ามาในถ้ำ พุ่งเข้าใส่ตำแหน่งที่หงเจวี๋ยเคยนั่งอยู่ ฟงหลงใช้แขนข้างหนึ่งกางออกเพื่อบังหงเจวี๋ยไว้
“พวกมันรู้ที่ซ่อน!” ฟงหลงกล่าวอย่างเดือดดาล
เสียงหัวเราะเยือกเย็นดังมาจากด้านนอกถ้ำ มีร่างมนุษย์ที่สวมชุดหนังสีดำเข้มพร้อมหน้ากากปิดบังใบหน้าสองคนกำลังยืนอยู่
“เรามาตามหาสมบัติที่เหลือรอดอยู่นานแล้ว ผู้นำเผ่าหมาป่า!” หนึ่งในนักล่ากล่าวอย่างเยาะเย้ย
“ปล่อยจิ้งจอกตัวนั้นมาให้เราซะ แล้วเราจะไว้ชีวิตเจ้า!” นักล่าอีกคนตะโกน
ฟงหลงคำรามก้องในลำคอ เขาจับจ้องไปยังศัตรูอย่างไม่เกรงกลัว เงาหมาป่า ที่ไม่เคยถอยหนี พร้อมที่จะต่อสู้กับคนทั้งโลกเพื่อ รอยยิ้มจิ้งจอก ที่อยู่เบื้องหลังเขา
“ถ้าพวกเจ้าอยากได้... ก็ก้าวข้ามศพของข้าไปก่อน!”
ฟงหลงพุ่งเข้าใส่ศัตรูทันที การต่อสู้เริ่มต้นขึ้นอย่างดุเดือดกลางป่าสนธยา การปะทะกันของความมืดมิดจากนักล่าและพลังป้องกันอันแข็งแกร่งของหมาป่าได้เริ่มขึ้นแล้ว หงเจวี๋ยในตอนนี้... ก็ทำได้เพียงภาวนาให้ความเชื่อใจที่เขามีต่อผู้นำเผ่าคนนี้ นำพาพวกเขาให้รอดพ้นจากอันตรายครั้งนี้ไปได้
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!