นิทาน: ป่ามหัศจรรย์แห่งแสงสวรรค์
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในอาณาจักรที่อยู่ห่างไกลจากโลกของมนุษย์ มีป่าลึกลับที่เรียกกันว่า ป่ามหัศจรรย์แห่งแสงสวรรค์ ป่าดังกล่าวไม่ได้เหมือนป่าธรรมดา เพราะทุก ๆ คืน ดวงดาวในท้องฟ้าจะส่งแสงสีทองลงมาสะท้อนกับน้ำค้างบนใบไม้ ทำให้ป่าดูเหมือนเต็มไปด้วยเพชรและอัญมณีที่เปล่งประกาย
ในหมู่บ้านเล็ก ๆ ใกล้ป่า มีเด็กชายคนหนึ่งชื่อ เลโอ เลโอเป็นเด็กที่ใฝ่ฝันอยากเห็นสิ่งมหัศจรรย์ ทุกคืนเขาจะมองดาวบนท้องฟ้าและพูดกับตัวเองว่า “ถ้าวันหนึ่งฉันได้เข้าไปในป่าแห่งแสงสวรรค์ ฉันคงได้พบกับความลับของโลกใบนี้แน่”
วันหนึ่ง ขณะที่เลโอกำลังเดินเล่นใกล้ชายป่า เขาได้ยินเสียงร้องเรียกอย่างแผ่วเบา “ช่วยด้วย…ช่วยฉันด้วย…” เลโอใจเต้นแรง แต่ด้วยความอยากรู้อยากเห็น เขาเดินตามเสียงไปจนเจอ สิงโตตัวเล็กแปลกตา ตัวหนึ่งที่มีขนสีฟ้าอ่อนและดวงตาเหมือนมรกต สิงโตตัวนี้ติดอยู่ในกับดักของนักล่าสัตว์
เลโอใจหายวูบ แต่เขาไม่ลังเล เขารีบวิ่งไปปลดกับดักและช่วยสิงโตออกมา สิงโตค่อย ๆ ก้าวออกมาแล้วพูดด้วยเสียงนุ่มเหมือนลมพัดว่า “ขอบคุณเจ้ามาก ข้าเป็น ซิรัส ผู้พิทักษ์ป่ามหัศจรรย์แห่งแสงสวรรค์ เจ้าช่วยข้าไว้ ข้าจะตอบแทนเจ้าด้วยสิ่งที่เจ้าปรารถนา”
เลโอตะลึง แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความตื่นเต้น “เจ้าจะช่วยฉันได้จริง ๆ เหรอ?” เขาถาม
ซิรัสพยักหน้า “ตามข้ามา เจ้าจะได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยมีใครเห็น”
ในเช้าวันรุ่งขึ้น เลโอและซิรัสเริ่มเดินทางเข้าสู่ป่ามหัศจรรย์ ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยเสียงน้ำไหล ใบไม้ส่องแสง และสัตว์ป่าที่พูดได้ เลโอรู้สึกเหมือนฝัน ต้นไม้ยักษ์สูงตระหง่านมีดอกไม้เรืองแสงเต็มไปหมด และแม่น้ำที่ไหลผ่านป่าเป็นสีรุ้งเหมือนอัญมณี
ระหว่างทาง พวกเขาเจอ นกเงือกสีเงิน ชื่อ ลูมินา ลูมินากล่าวว่า “เจ้ามาถึงป่ามหัศจรรย์ ต้องผ่านสามบททดสอบเพื่อพิสูจน์หัวใจของเจ้าว่าแท้จริงหรือไม่”
บททดสอบแรกคือ ทดสอบความกล้าหาญ เลโอและซิรัสต้องข้ามสะพานไม้ที่โยกเยกเหนือหน้าผาลึก แม้ว่าลมจะแรงและไม้จะเสียงดัง “ครืด…ครืด” เลโอใจเต้นแรง แต่เขาจับมือซิรัสไว้แน่นแล้วก้าวไปอย่างมั่นคง จนสามารถข้ามไปได้
บททดสอบที่สองคือ ทดสอบความฉลาด พวกเขามาถึงปริศนาโบราณที่สลักอยู่บนก้อนหินใหญ่
> “ข้าอยู่ในใจของทุกคน
ข้าส่องสว่างยามมืดมน
หากเจ้ารู้จักข้า เจ้าจะผ่าน
แต่หากเจ้าหลงทาง ข้าจะจางหายไป”
เลโอคิดนานแล้วตอบว่า “ข้าเชื่อว่าเจ้าคือ ความหวัง เพราะหัวใจของเราจะส่องสว่างเมื่อเรามีความหวัง”
ทันใดนั้น ก้อนหินสว่างวาบและเปิดทางให้พวกเขาผ่านไป
บททดสอบที่สามคือ ทดสอบความเมตตา พวกเขาพบต้นไม้ที่กำลังจะเหี่ยวแห้ง มีเงาของสัตว์เล็ก ๆ ที่หิวโหยรอบต้นไม้ ซิรัสหันมาพูดว่า “เจ้าจะเลือกช่วยต้นไม้และสัตว์เหล่านี้ หรือผ่านไปโดยไม่สนใจ”
เลโอไม่ลังเล เขาใช้น้ำจากแม่น้ำวิเศษรดต้นไม้และให้อาหารสัตว์เล็ก ๆ ทุกชีวิตรอบตัวค่อย ๆ สดใสขึ้น และแสงสว่างจากป่าก็สว่างยิ่งขึ้น
หลังจากผ่านบททดสอบทั้งสาม พวกเขามาถึง ใจกลางป่า ที่ซึ่งมี ต้นไม้แห่งแสงสวรรค์ ขนาดยักษ์ แสงจากดวงดาวสะท้อนกับต้นไม้จนเกิดสายรุ้งเต็มท้องฟ้า
ซิรัสพูดว่า “นี่คือสิ่งที่เจ้าฝันถึง เลโอ…ความปรารถนาที่แท้จริงของเจ้าจะปรากฏ”
เลโอหลับตาและคิดถึงสิ่งที่เขาอยากได้มากที่สุด ไม่ใช่ทองคำหรือสมบัติ แต่คือ… การทำให้โลกนี้เต็มไปด้วยความสุขและความสงบ
ทันใดนั้น แสงจากต้นไม้ส่องลงทั่วทั้งป่า ทุกสิ่งมีชีวิตรอบตัวมีความสุขและสงบใจ เสียงหัวเราะของเด็ก ๆ ดังขึ้นในหมู่บ้านใกล้ป่า สัตว์ป่ากลับสู่บ้านของมัน และป่ากลายเป็นสถานที่ปลอดภัยและงดงามยิ่งขึ้น
เลโอกลับบ้านพร้อมหัวใจที่เต็มไปด้วยความสุขและบทเรียนสำคัญว่า “ความกล้าหาญ ความฉลาด และความเมตตา คือสิ่งที่ทำให้โลกนี้สว่างไสว”
ตั้งแต่นั้นมา ทุกคืนเมื่อดวงดาวส่องแสง เลโอจะมองไปยังป่ามหัศจรรย์ด้วยรอยยิ้ม และบอกกับตัวเองว่า “สิ่งมหัศจรรย์ที่แท้จริงไม่ได้อยู่ไกลเกินเอื้อม…มันอยู่ในหัวใจของเราเอง”
และนี่คือจุดจบของเรื่องราว ป่ามหัศจรรย์แห่งแสงสวรรค์ แต่เรื่องราวของเลโอและเพื่อน ๆ ในป่ายังคงดำเนินต่อไปในทุกค่ำคืนที่ดาวส่องแสง
---
นิทาน: หมูบินผู้กล้าหาญกับเกาะลูกกวาด
ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีหมูตัวหนึ่งชื่อ พิงค์กี้ พิงค์กี้ไม่ได้เป็นหมูธรรมดา เพราะมันมี ปีกสีรุ้ง และสามารถบินได้ แต่พิงค์กี้ไม่เคยออกจากฟาร์มของมันเลย เพราะชาวบ้านมักหัวเราะเมื่อเห็นหมูบิน
พิงค์กี้มีเพื่อนสนิทสองตัว คือ
แครอทตี้ กระต่ายตัวเล็กช่างสงสัย ชอบถามคำถามแบบไม่หยุด
บับเบิ้ล นกแก้วตัวใหญ่ที่พูดจาเก่ง แต่ชอบเล่นมุกตลกทุกเวลา
วันหนึ่ง มีข่าวลือจากนกเร่ร่อนว่ามี เกาะลูกกวาด แห่งหนึ่งอยู่ไกลออกไปกลางทะเล ที่นั่นมีขนมวิเศษที่สามารถทำให้สัตว์ทุกตัวพูดภาษามนุษย์ได้ และใครก็ตามที่ได้กินจะมีความสุขไม่รู้ลืม
พิงค์กี้ตื่นเต้นสุด ๆ “เราต้องไปสิ! แล้วฉันจะได้พิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าหมูบินก็กล้าหาญเหมือนสัตว์อื่น ๆ ได้!”
เพื่อนทั้งสองเห็นด้วยทันที พวกเขาเริ่มการผจญภัย ขึ้นไปบนฟ้า พิงค์กี้โบยบิน บับเบิ้ลคอยนำทางด้วยเสียงหัวเราะ และแครอทตี้เกาะปีกพิงค์กี้แน่นเหมือนตุ๊กตา
ระหว่างทาง พวกเขาพบ พายุขนมปังปิ้ง พายุนี้เกิดจากภูเขาขนมปังที่พ่นเศษขนมปังทุกทิศทาง หากไม่ระวัง พวกเขาอาจโดนขนมปังยักษ์ทับได้
พิงค์กี้คิดเร็ว ใช้ปีกโบยไปมาราวกับนักกายกรรม บับเบิ้ลตะโกนมุกตลกให้พวกเขาหัวเราะลดความเครียด แครอทตี้เก็บเศษขนมปังและกินเป็นอาหารระหว่างทาง พวกเขาใช้เวลาหลายชั่วโมง แต่ก็รอดจากพายุมาได้
สุดท้าย พวกเขามาถึง เกาะลูกกวาด เกาะเต็มไปด้วยต้นลูกกวาดสูงใหญ่ น้ำตกเป็นน้ำตาลฟองฟู และมี สัตว์วิเศษหลากสี วิ่งเล่นรอบเกาะ
เจ้าของเกาะเป็น ราชาลูกกวาด สัตว์ตัวเล็ก ๆ สีทอง ราชาลูกกวาดมองพวกเขาและพูดว่า “ใครกล้ากินลูกกวาดวิเศษ จะต้องมีหัวใจที่กล้าหาญและมีน้ำใจต่อผู้อื่น”
พิงค์กี้เดินเข้าไปด้วยความมั่นใจ เขาแบ่งลูกกวาดให้เพื่อน ๆ ก่อนกินเอง แครอทตี้และบับเบิ้ลทำแบบเดียวกัน แสงสีทองปรากฏรอบตัวพวกเขา แล้วจู่ ๆ พวกเขาก็พูดภาษามนุษย์ได้ชัดเจนขึ้น
ราชาลูกกวาดหัวเราะร่า “เจ้าพิสูจน์ให้เห็นแล้ว ว่าความกล้าหาญและมิตรภาพสำคัญกว่าสมบัติใด ๆ”
พิงค์กี้และเพื่อน ๆ เล่นสนุกบนเกาะหลายวัน พวกเขาเรียนรู้ว่า การแบ่งปันและช่วยเหลือกันเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่สุดของชีวิต
เมื่อกลับฟาร์ม พิงค์กี้ไม่กลัวอีกแล้ว ชาวบ้านเห็นหมูบินและพูดภาษามนุษย์ได้ก็ทึ่งสุด ๆ ทุกคนหัวเราะและชื่นชมพิงค์กี้
พิงค์กี้ตะโกนขึ้นบนฟ้า “จำไว้สิ เพื่อน ๆ การผจญภัยที่แท้จริงไม่ได้อยู่ไกล แต่เกิดจากหัวใจของเราเอง!”
และนี่คือจุดจบของ หมูบินผู้กล้าหาญกับเกาะลูกกวาด แต่ความสนุกและเสียงหัวเราะของพิงค์กี้ยังคงบินวนอยู่เหนือฟาร์มทุกคืน
---
นิทาน: หุบเขากระจกเวทมนตร์
นานมาแล้ว มีเด็กสาวชื่อ มินท์ เธออาศัยอยู่ในหมู่บ้านริมภูเขา มินท์มีนิสัยช่างสังเกตและชอบไขปริศนา วันหนึ่ง ขณะที่เธอกำลังเดินเล่นในป่าใกล้บ้าน เธอพบ ประตูหินเก่าแก่ ขนาดใหญ่ แกะสลักด้วยสัญลักษณ์แปลก ๆ และมีกระจกวาววับแฝงอยู่บนพื้น
มินท์เอื้อมมือไปสัมผัสกระจกทันใดนั้น แสงสว่างวาบ! เธอถูกดึงเข้าสู่โลกอีกมิติ… หุบเขากระจกเวทมนตร์
หุบเขาแห่งนี้เต็มไปด้วยกระจกขนาดยักษ์ที่สะท้อนภาพทุกอย่างที่เคยคิดไว้ แต่กระจกบางบานไม่ได้สะท้อนเพียงภาพ แต่สะท้อน ความลับใจลึก ๆ ของผู้ที่มอง
มินท์เริ่มเดินสำรวจ เธอเจอสัตว์ประหลาดตัวเล็กที่พูดได้ชื่อ โคลลี่ โคลลี่เล่าให้มินท์ฟังว่า “หุบเขานี้เป็นดินแดนของผู้กล้าที่กล้าหาคำตอบ แต่ทุกกระจกมีปริศนา หากเจ้าผ่านไม่ได้ เจ้าจะวนอยู่ในหุบเขานี้ตลอดไป”
กระจกบานแรกปรากฏข้อความเป็นคำถาม:
> “ข้าคือสิ่งที่ไม่มีตัวตน
แต่ทุกคนต้องการ
หากข้าไป พวกเขาจะเศร้าใจ
ข้าคืออะไร?”
มินท์คิดนาน เธอจำสิ่งที่ทุกคนรอบตัวต้องการที่สุดได้ และตอบว่า “ความรัก” กระจกสว่างวาบและเปิดทางไป
บานที่สองเป็นภาพหมอกหนา มีเสียงกระซิบถาม:
> “ข้าคือสิ่งที่ทุกคนใช้ แต่ไม่สามารถจับต้องได้
ข้าไหลผ่านทุกสิ่งและเปลี่ยนทุกอย่าง
ข้าคืออะไร?”
มินท์ตอบทันที “เวลา” และหมอกเริ่มจาง ทำให้มินท์เห็นทางเดินที่ลึกลับ
เมื่อเดินลึกเข้าไป เธอพบ กระจกบานใหญ่ที่สุดในหุบเขา มันสะท้อนเงาของมินท์เอง แต่ครั้งนี้เงาพูดได้ เงาบอกว่า:
“เจ้าต้องเลือก: จะเก็บความลับทั้งหมดของหุบเขานี้ไว้ หรือแบ่งปันความรู้ที่เจอให้โลกภายนอก”
มินท์คิดหนัก แต่สุดท้ายเธอตัดสินใจแบ่งปันความรู้ เงายิ้มและกระจกสว่างวาบอีกครั้ง แสงสว่างนำพามินท์กลับไปยังหมู่บ้าน
ตั้งแต่นั้นมา มินท์กลายเป็นผู้ไขปริศนาให้คนในหมู่บ้าน เธอใช้ความรู้จากหุบเขาเวทมนตร์ช่วยทุกคนเข้าใจหัวใจของตนเอง
แต่ทุกคืน เมื่อมองไปยังป่าใกล้บ้าน มินท์เห็นแสงกระจกเล็ก ๆ ส่องวับ… เหมือนหุบเขายังคอยเฝ้ามอง และรอผู้กล้าคนต่อไป
---
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!