ผมรู้จัก “ภาคิน” มาตั้งแต่ปีหนึ่ง — ตอนนั้นเรานั่งติดกันในคลาสวิชาพื้นฐานที่น่าเบื่อที่สุดในโลก
ผมจำได้ดี...เขาหาวจนตาแดง แล้วพึมพำว่า
“อยากกลับห้องนอนชิบหายเลยว่ะ”
ผมหันไปยิ้ม แล้วตอบว่า
“อดทนหน่อย อีกแค่ชั่วโมงเดียวเอง”
เขาหันมายิ้มตอบ — รอยยิ้มที่ดูสบายๆ แต่กลับทำให้หัวใจผมร้อนแปลกๆ
ตั้งแต่นั้นมา เราก็เริ่มสนิทกัน
เรียนด้วยกัน กินข้าวด้วยกัน เล่นเกมด้วยกัน
เขาชอบกาแฟเย็นไม่ใส่น้ำตาล
ชอบแมวแต่ดันแพ้ขนมัน
และเวลาหัวเราะ เขาจะเงยหน้าขึ้นนิดๆ เสมอ
เรื่องพวกนี้ผมจำได้หมด
เพราะทุกอย่างที่เป็น “เขา” มันฝังอยู่ในหัวผมแบบไม่ตั้งใจ
ช่วงปีสาม กลุ่มเพื่อนเราแยกกันเรียนตามเอก
แต่ผมกับภาคินยังคงคุยกันบ้าง
บางวันเขาจะทักมา
“มึง กินข้าวยัง?”
หรือบางวันก็หายไปทั้งวัน แล้วกลับมาด้วยคำว่า
“ขอโทษ กูหลับ”
ถึงจะสั้นแค่ไหน...ผมก็ยังดีใจทุกครั้งที่เขาทัก
ผมไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่คำว่า “เพื่อน” มันไม่พออีกต่อไป
ผมอยากเป็นมากกว่านั้น
อยากอยู่ข้างเขาในทุกเรื่อง ไม่ใช่แค่ในฐานะคนรู้จักที่ดี
คืนนั้นเรานั่งเล่นเกมด้วยกันทางดิสคอร์ด
เสียงเขาในหูฟังมันใกล้จนใจผมสั่น
ผมเผลอพูดออกไป
“กูชอบมึงว่ะ ภาคิน”
ปลายสายเงียบไปครู่หนึ่ง
ผมกลืนน้ำลาย ฝ่ามือเย็นเฉียบ
เขาพูดเสียงเบาๆ
“ขอเวลาคิดได้ไหม...”
ผมพยักหน้าทั้งที่เขามองไม่เห็น
หัวใจเต้นแรงจนเจ็บ
คืนนั้นผมไม่ได้นอนเลย
ผมแค่จ้องหน้าจอข้อความสุดท้ายที่เขาทิ้งไว้
“ขอเวลาคิดได้ไหม”
ผมไม่รู้ว่าคำตอบจะเป็นยังไง
แต่แค่เขาไม่ปฏิเสธทันที...
เท่านั้นผมก็มีความหวังแล้ว
...----------------...
หลังจากวันที่ผมสารภาพรัก ภาคินก็หายไปจากการแชตประมาณสองวันเต็ม
ผมแทบจะไม่เป็นอันทำอะไรเลย
ใจมันสั่นทุกครั้งที่เห็นแจ้งเตือน แต่พอเปิดดู…ก็ไม่ใช่เขาสักที
จนกระทั่งคืนวันที่สาม
มีข้อความเด้งขึ้นมาบนหน้าจอ
“กูคิดดูแล้ว…ลองคบกันดูก็ได้”
แค่ประโยคนั้นประโยคเดียว ผมก็ร้องไห้
ไม่ใช่เพราะเสียใจ แต่เพราะดีใจจนแทบหายใจไม่ออก
ผมพิมพ์ตอบไปแทบจะทันที
“จริงเหรอ ขอบคุณนะภาคิน กูจะไม่ทำให้มึงผิดหวัง”
เขาส่งอีโมจิหน้ายิ้มกลับมาอันเดียว
แล้วพิมพ์ต่อว่า
“อย่าคาดหวังมากนะ กูก็ยังงงๆ อยู่เหมือนกัน”
ผมรู้...แต่ตอนนั้นผมแค่ดีใจที่ได้อยู่ข้างเขา
ไม่สนเลยว่าเขาจะรู้สึกเท่ากันไหม
ตั้งแต่วันนั้น สถานะของเราก็เปลี่ยนไป
จาก “เพื่อน” กลายเป็น “แฟน” แบบไม่ต้องประกาศให้ใครรู้
เรายังนั่งกินข้าวด้วยกันเหมือนเดิม
แต่สิ่งที่ต่างออกไปคือ ตอนนี้ผมกล้าจะจับมือตอนข้ามถนน
และเขา...ก็ไม่ได้ดึงมือกลับ
บางวันเขาทักมาหาผมก่อน
“ไปกินกาแฟกันไหม”
“คืนนี้ว่างเปล่า เล่นเกมกันหน่อย”
แค่คำพวกนี้ก็ทำให้ผมยิ้มทั้งวันได้แล้ว
มีอยู่วันหนึ่ง ตอนที่เรานั่งดูหนังด้วยกันในห้องผม
หนังในจอเป็นเรื่องรักโรแมนติกแบบเดิมๆ
แต่ผมกลับไม่ได้ดูหนังเลย เพราะมัวแต่จ้องหน้าเขา
ภาคินหันมาถามแบบไม่ได้หันหน้าหนี
“มองอะไรนักหนา มึงจะกินหน้ากูหรือไง”
ผมหัวเราะ
“ก็แฟนกูน่ารักดี”
เขาเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดเบาๆ
“อย่าพูดแบบนั้นบ่อยสิ กูเขิน...”
ผมจำได้ว่าหัวใจตัวเองเต้นแรงมาก
มันเป็นครั้งแรกที่เขายอมรับคำว่า “แฟน” ด้วยรอยยิ้ม
แต่ความสุขของผมมันเหมือนแสงแดดที่อยู่ได้ไม่นาน
หลังจากนั้นไม่กี่สัปดาห์ เขาเริ่มหายไปบ่อยขึ้น
บางวันทักไปตอนเย็น ได้อ่านตอนดึก
บางวันก็ไม่อ่านเลยทั้งวัน
ผมพยายามเข้าใจว่าเขายุ่ง
พยายามบอกตัวเองว่าอย่าคิดมาก
แต่ในใจมันกลับเจ็บจนพูดไม่ออก
คืนหนึ่ง ผมถามเขาตรงๆ ว่า
“ภาคิน มึงยังโอเคกับเรามั้ย”
เขาตอบช้าๆ
“ก็โอเคนะ มึงคิดมากไปเองรึเปล่า”
ผมยิ้มทั้งที่ใจมันเริ่มร่วงลงไปถึงพื้น
“อืม งั้นก็ดีแล้ว”
หลังจากวางโทรศัพท์คืนนั้น
ผมนั่งมองข้อความสุดท้ายอยู่นาน
จนเริ่มสงสัยว่า
‘เขาลองคบกับผมเพราะอยากลอง...
หรือเพราะแค่ไม่อยากทำให้ผมเสียใจกันแน่’
ตอนนั้นผมยังไม่รู้เลยว่า
สิ่งที่เรียกว่า “รัก” ของผม
มันกำลังจะกลายเป็น “ความสงสาร” ในใจของเขา🥲
ผมไม่รู้ว่าตัวเองทนได้นานขนาดนี้ได้ยังไง
ทุกวันเหมือนเดิม — ผมตื่นขึ้นมาดูโทรศัพท์
หวังว่าจะเห็นชื่อของเขาอยู่ในแจ้งเตือน
แต่ก็ไม่มี
ผมยังคงพยายามคุยเหมือนเดิม
ยังถามเขาเรื่องเรียน เรื่องงาน เรื่องแมวที่เขาชอบ
แต่สิ่งที่ได้รับกลับมา
มีแค่คำตอบสั้นๆ และจุดสามจุดที่อ่านไม่ออกว่าหมายถึงอะไร
“อืม”
“ไว้ค่อยคุยนะ”
“กูเหนื่อย”
ผมเข้าใจ...แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าเหนื่อยจากอะไร
เหนื่อยจากชีวิต หรือเหนื่อยจากการ “ทนอยู่กับผม” กันแน่
เย็นวันหนึ่ง ผมเจอเขาที่หน้าตึกคณะ
เขาไม่ได้เห็นผม เพราะมัวแต่ยืนคุยกับผู้หญิงคนหนึ่ง
ผู้หญิงคนเดิมในรูปวันนั้น
เธอยื่นแก้วชาเย็นให้เขา
เขารับมันด้วยรอยยิ้มที่ผมไม่ได้เห็นมานานมากแล้ว
ผมยืนอยู่ห่างๆ แค่ไม่กี่ก้าว
แต่รู้สึกเหมือนเราอยู่กันคนละโลก
เขาเงยหน้าขึ้นมาเห็นผมพอดี
แววตาเขาเปลี่ยนไปนิดหน่อย — คล้ายกับตกใจ
แล้วก็พูดกับเธอเบาๆ ก่อนหันมาหาผม
“อ้าว...มึงมาเมื่อไหร่”
“พึ่งถึง” ผมฝืนยิ้ม “คุยกับเพื่อนเหรอ”
“อือ เพื่อนเก่าสมัยมัธยม”
เขาตอบเร็วมาก เหมือนเตรียมคำไว้แล้ว
ผมพยักหน้า ยิ้มให้ แล้วพูดว่า
“เพื่อนน่ารักดีนะ”
เขาหัวเราะเบาๆ แล้วเปลี่ยนเรื่อง
“ไปกินข้าวกันไหม”
...----------------...
ระหว่างทางกลับ
เขาเดินข้างผมเหมือนเดิม แต่ไม่ได้พูดอะไรเลย
เงียบ...จนผมได้ยินเสียงหัวใจตัวเองดังอยู่ในอก
“ภาคิน” ผมเรียกชื่อเขาเบาๆ
“หืม?”
“มึง...ยังรักกูอยู่ไหม”
เขาเงียบ
เสียงรองเท้าเรากระทบพื้นถนนในความมืด
“กู...” เขาพูดช้าๆ
“กูไม่รู้เหมือนกัน”
คำตอบนั้นมันเบากว่าลม
แต่กลับดังชัดเจนในใจผมจนแทบล้ม
คืนนั้นเขาไม่ทักมา
ผมนั่งมองห้องแชตที่เงียบอยู่นาน
มือสั่นตอนที่พิมพ์ข้อความไป
“ถ้ามึงมีคนที่รักอยู่แล้ว…ไม่เป็นไรนะ กูเข้าใจ”
เขาอ่าน แต่ไม่ตอบ
จนเช้าของอีกวัน
ผมเห็นสตอรี่ของเขา —
เป็นรูปแก้วชาเย็นแก้วเดิม
มีมือของผู้หญิงคนนั้นถือไว้
พร้อมแคปชั่นว่า
“บางคนกลับมาในเวลาที่ใช่”
ผมอ่านประโยคนั้นอยู่หลายรอบ
เหมือนสมองมันไม่ยอมรับ
สุดท้ายผมแค่ยิ้มออกมา แล้วพึมพำกับตัวเองว่า
“อืม...เวลาที่ใช่ของเขา คงไม่ใช่เราจริงๆ”
หลังจากนั้น ภาคินเริ่มห่างออกไปเรื่อยๆ
จากที่เคยโทรมาหากันทุกคืน
เหลือแค่ข้อความที่เว้นว่างด้วยความเงียบ
ผมไม่ได้โกรธเขาเลยนะ
เพียงแต่...มันปวด
ปวดเพราะรู้ว่าเราไม่มีวันชนะ “ความรักที่เขามีให้คนอื่น” ได้เลย
วันสุดท้ายที่เราเจอกัน
เขาพูดกับผมเบาๆ
“ขอโทษนะ กูไม่ได้ตั้งใจให้มึงต้องรู้สึกแบบนี้”
“ไม่เป็นไร” ผมยิ้มทั้งน้ำตา “อย่างน้อยกูก็เคยได้เป็นคนที่มึงลองรัก”
เขานิ่ง แล้วเดินจากไปโดยไม่หันกลับมา
...ΩΩΩΩΩΩΩΩΩΩΩΩΩΩΩΩ...
ฝนตกอีกแล้ว…
ผมนั่งอยู่ในห้องคนเดียว มองโทรศัพท์ที่เงียบสนิท
ข้อความที่ส่งไปหลายครั้ง…อ่านแล้ว แต่ไม่มีการตอบกลับ
หัวใจมันเหมือนถูกบีบแน่น แต่ไม่รู้จะทำยังไง
ผมพยายามบอกตัวเองว่า
“เขาแค่ยุ่ง…เขาแค่ติดเรื่องงาน…เขายังรักเราบ้างอยู่”
แต่ภาพของ ใบหม่อน กลับชัดเจนในหัวซ้ำๆ
รอยยิ้มที่ภาคินมอบให้เธอ…รอยยิ้มเดียวกับที่เขาเคยให้ผม
แต่ตอนนี้มันเต็มใจและจริงใจมากกว่าที่ผมเคยได้รับ
เย็นวันนั้น ผมไปเจอภาคินที่คณะ
เขายิ้มให้เหมือนเดิม แต่รอยยิ้มมันไม่เต็มใจเท่าเมื่อก่อน
ใบหม่อนอยู่ใกล้ๆ เขา
ทั้งสองหัวเราะเรื่องอะไรก็ไม่รู้ แต่สายตาภาคิน…อบอุ่นและจริงใจแบบที่ผมไม่เคยสัมผัส
ผมยืนห่าง ๆ ทำตัวเหมือนไม่สนใจ
แต่หัวใจเต้นแรงจนแทบหลุดออกมาจากอก
“เรายังมีความหมายสำหรับเขาไหม…”
ผมพึมพำเบา ๆ
ภาคินหันมาทางผม
“ทำไมวันนี้เงียบจัง”
“อือ…แค่คิดอะไรอยู่”
เขาพยักหน้าเบา ๆ แล้วหันไปพูดกับใบหม่อนต่อ
ผมได้แต่ยืนมอง…กลืนก้อนสะอื้นลงคอ
คืนนั้น ผมเขียนข้อความไปหาเขา
“ถ้าเขารักใครอีกคน…ไม่เป็นไรนะ เราเข้าใจ”
ภาคินอ่าน…แต่ไม่ตอบ
ผมนั่งมองฝนตกหน้าต่าง น้ำตาไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว
“บางครั้งความรัก…มันไม่ได้จบเพราะหมดใจ
แต่มันจบเพราะเราไม่มีสิทธิ์จะยื้อ”
ฝนยังคงตก
แต่ครั้งนี้ผมไม่เห็นแสงอบอุ่นจากเขาอีกแล้ว
เหลือเพียงความเงียบและหัวใจที่เจ็บจนพูดไม่ออก
...----------------...
เช้าวันใหม่ ผมลุกจากเตียง
แสงแดดอ่อน ๆ ส่องเข้ามาผ่านหน้าต่าง แต่ไม่อาจทำให้ใจผมอบอุ่นขึ้นได้
โทรศัพท์ในมือยังคงไม่มีข้อความจากภาคิน
ใบหม่อนยังคงอยู่ในใจเขา…ชัดเจนยิ่งกว่าที่เคย
ผมเดินออกไปคณะ พยายามทำตัวปกติ
แต่ทุกครั้งที่เห็นภาคินหัวเราะกับใบหม่อน
มันเหมือนมีมีดบาง ๆ กรีดลงกลางอก
“เราจะต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับความเจ็บนี้ให้ได้”
ผมพึมพำกับตัวเอง
ระหว่างทางกลับห้อง
ผมแวะร้านกาแฟเล็ก ๆ ที่เคยไปกับภาคิน
นั่งมองแก้วกาแฟที่เขาชอบ…รสชาติคุ้นเคย แต่ไม่มีใครนั่งข้าง ๆ
หัวใจผมเหมือนโดนดึงออกไปจากร่าง
เย็นวันนั้น ภาคินมาหาผม
สายตาเขาเต็มไปด้วยความกังวล
“นมสด…มึงโอเคไหม?”
“อือ…โอเค” ผมตอบเสียงแผ่ว ทั้งที่อยากตะโกนบอกเขาว่า ไม่โอเคเลย
เขานั่งลงข้าง ๆ
“ขอโทษนะ…ที่ทำให้มึงรู้สึกแบบนี้”
ผมหลับตา ก้มหน้า น้ำตาไหลโดยไม่รู้ตัว
“ไม่เป็นไร…เราเข้าใจแล้วว่ามึงมีใจให้ใบหม่อนจริง ๆ”
ภาคินเงียบไป รู้ว่าคำพูดของผมตรงไปตรงมาเกินกว่าที่เขาจะแก้ตัว
“บางที…ความรักก็ไม่ได้ยุติธรรมเสมอไปนะ”
ผมพึมพำทั้งน้ำตา
หลังจากคืนนั้น
ผมเริ่มพยายามทำตัวเองให้ว่างจากความคิดถึงเขา
เริ่มออกไปเจอเพื่อน ๆ ทำกิจกรรมที่ชอบ
แม้หัวใจยังเจ็บ…แต่ความเจ็บนั้นค่อย ๆ จางลง
มันไม่หายไปทั้งหมด แต่ผมเริ่มเรียนรู้ที่จะ อยู่กับมันได้
“เราไม่สามารถบังคับให้ใครรักเราได้…
แต่เราควบคุมตัวเองได้…ว่าจะให้ความเจ็บนี้อยู่กับเรานานแค่ไหน”
ฝนตกอีกครั้งในคืนนั้น
แต่ครั้งนี้ผมนั่งอยู่คนเดียวอย่างสงบ
รำลึกถึงภาคินและใบหม่อน…แต่ไม่ร้องไห้อีกต่อไป
ความรักที่ผมมีให้เขา…อาจไม่สมหวัง
แต่ผมเริ่มยอมรับ และเริ่มปล่อย
...****************...
...💔💔💔💔💔💔...
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!