NovelToon NovelToon

นิยายเรื่องนายฮ้อยอินทร์

นิยายเรื่องนายฮ้อยอินทร์ ตอนที่ 1

นิยายเรื่องนายฮ้อยอินทร์ตอนที่ 1

นี่คือเรื่องราวการผจญภัยของนายฮ้อยอินทร์ในการคุมกองทัพควายจากเชียงรายสู่เมืองย่าโม:

ผู้ประพันธ์ ทรงวุฒิ แสนละมูล นปก. กระเต็นเขียว

ตะวันสีทองสาดส่องเหนือทุ่งนาเขียวขจีของเชียงราย เสียงกระดิ่งที่คล้องอยู่ในคอของควายดัง กรุ๊งกริ๊ง เป็นสัญญาณการเริ่มต้นการเดินทางครั้งสำคัญ นายฮ้อยอินทร์ หนุ่มฉกรรจ์ผิวคล้ำแดด นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มเปี่ยมด้วยความมุ่งมั่น ยืนตระหง่านอยู่หน้ากองทัพควายกว่าร้อยชีวิต ควายแต่ละตัวล้วนแข็งแรง บึกบึน พร้อมสำหรับ

การเดินทางไกลสู่เมืองโคราช ดินแดนแห่งย่าโม

"เตรียมพร้อมกันแล้วแล้วก๋าปี่น้อง" เสียงทุ้มก้องของนายฮ้อยอินทร์ดังไปทั่วบริเวณ บรรดาลูกหาบและผู้ช่วยต่างขานรับด้วยความกระตือรือร้น พวกเขาเหล่านี้ล้วนเป็นคนหนุ่มไฟแรงที่หวังจะสร้างเนื้อสร้างตัวจากการค้าขายควายครั้งนี้

การเดินทางในช่วงแรกราบรื่นดี กองทัพควายเดินลัดเลาะไปตามทุ่งนา ป่าเขา ผ่านหมู่บ้านน้อยใหญ่ นายฮ้อยอินทร์มีความชำนาญในการนำทาง เขารู้จักเส้นทางเก่าแก่ที่พ่อเคยพาไปค้าขาย ทำให้การเดินทางเป็นไปอย่างรวดเร็ว แต่ความสงบสุขนั้นอยู่ได้ไม่นาน

เมื่อเข้าสู่เขตป่าดงดิบลึก นายฮ้อยอินทร์เริ่มสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ เสียงนกร้องเงียบหายไป ความเงียบวังเวงปกคลุมทั่วผืนป่า ลูกหาบบางคนเริ่มแสดงอาการกระวนกระวาย

"ระวังตัวกันให้ดีเน่อสูเจ้า อาจมีอันตรายซ่อนอยู่ในป่านี้" นายฮ้อยอินทร์เตือนลูกน้องด้วยน้ำเสียงหนักแน่น เขาคว้าดาบที่เหน็บเอวไว้แน่นขึ้น

ไม่นานนัก สิ่งที่นายฮ้อยอินทร์คาดการณ์ไว้ก็เกิดขึ้น เสียงร้องโหยหวนของสัตว์ร้ายดังมาจากในพุ่มไม้ทึบ เสือลายพาดกลอนตัวใหญ่กระโจนออกมาหมายจะตะครุบควายที่เดินรั้งท้าย นายฮ้อยอินทร์ไม่รอช้า พุ่งตัวเข้าขวางพร้อมดาบคู่ใจ เขาต่อสู้กับเสือร้ายอย่างดุเดือดด้วยความชำนาญคล่องแคล่วและไหวพริบ ในที่สุดนายฮ้อยอินทร์ก็สามารถสังหารเสือร้ายลงได้ แต่เขาก็ได้รับบาดเจ็บที่แขน

"พวกเจ้าดูแลควายต่อไป ข้าจะทำแผลก่อน" นายฮ้อยอินทร์สั่งลูกน้อง แม้จะเจ็บปวด แต่แววตาของเขายังคงมุ่งมั่น

หลังจากทำแผลเสร็จ กองทัพควายก็ออกเดินทางต่อ แต่ความยากลำบากยังไม่จบสิ้น พวกเขาต้องเผชิญกับฝูงโจรที่ดักซุ่มปล้นสะดม โจรเหล่านี้มีจำนวนมากกว่าและอาวุธครบมือ การต่อสู้เป็นไปอย่างดุเดือด ลูกหาบบางคนได้รับบาดเจ็บ แต่ด้วยความสามัคคีและน้ำใจนักสู้ของนายฮ้อยอินทร์และลูกน้อง ทำให้พวกเขาสามารถขับไล่โจรผู้ร้ายไปได้

อุปสรรคอีกอย่างที่พวกเขาต้องเผชิญคือสภาพอากาศที่แปรปรวน บางวันแดดร้อนจัด บางวันฝนตกหนักจนน้ำป่าไหลหลาก พวกเขาต้องหาที่หลบภัยและดูแลควายอย่างทุลักทุเล นายฮ้อยอินทร์ต้องใช้ความอดทนและประสบการณ์ทั้งหมดที่มีเพื่อประคับประคองกองทัพควายให้ผ่านพ้นอุปสรรคต่างๆ ไปได้

ระหว่างทาง พวกเขาได้พบกับผู้คนมากมาย ทั้งชาวบ้านที่ให้ความช่วยเหลือและมิตรภาพ พ่อค้าที่แลกเปลี่ยนสินค้า และนักเดินทางที่เล่าเรื่องราวต่างๆ นายฮ้อยอินทร์ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ และเก็บเกี่ยวประสบการณ์ที่มีค่า

ในที่สุด หลังจากเดินทางเป็นเวลาแรมเดือน กองทัพควายของนายฮ้อยอินทร์ก็เดินทางมาถึงเมืองโคราช เมืองแห่งย่าโม พวกเขาได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากพ่อค้าและผู้คนในเมือง ตลาดซื้อขายควายคึกคัก นายฮ้อยอินทร์สามารถขายควายได้ราคางาม สร้างผลกำไรได้อย่างมาก

เมื่อเสร็จสิ้นการค้าขาย นายฮ้อยอินทร์และลูกน้องต่างก็มีความสุขกับผลตอบแทนที่ได้รับ พวกเขาได้ซื้อข้าวของและของฝากมากมายเพื่อนำกลับไปฝากครอบครัวที่เชียงราย

การเดินทางกลับเต็มไปด้วยความสุขและความภาคภูมิใจ พวกเขาได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความกล้าหาญ ความอดทน และความสามัคคี นายฮ้อยอินทร์รู้ดีว่าการเดินทางครั้งนี้ไม่ได้มีแค่เรื่องของการ ค้าขายแต่ยังเป็นการเดินทางเพื่อเรียนรู้ เติบโต และสร้างตำนานให้กับชีวิตของพวกเขา

เมื่อกองทัพควายเดินทางกลับถึงเชียงราย เสียงกระดิ่งคล้องคอดังสดใสกว่าครั้งไหนๆ ผู้คนในหมู่บ้านต่างออกมาต้อนรับด้วยความยินดี นายฮ้อยอินทร์ได้รับการยกย่องและนับถือในฐานะผู้นำที่เข้มแข็งและกล้าหาญ เรื่องราวการผจญภัยของนายฮ้อยอินทร์และกองทัพควายจากเชียงรายสู่เมืองย่าโม กลายเป็นตำนานที่เล่าขานสืบต่อกันไปนี่เป็นเพียงแค่ปฐมบทเปิดฉากเรื่องราวของนายฮ้อยอินทร์เท่านั้นนะครับ FC โปรดติดตามเนื้อเรื่องตอนต่อไปขอบคุณมากขอบคุณหลายๆครับ

นิยายเรื่องนายฮ้อยอินทร์ตอนที่ 2

นิยายเรื่องราวการผจญภัยของนายฮ้อยอินทร์ในการคุมกองทัพควายจากเชียงรายสู่เมืองย่าโม ตอนที่ 2: ป่าทและรอยสักพญานาค ผู้ประพันธ์ทรงวุฒิ แสนละมูล นปก.กระเต็นเขียว

ความมืดมิดปกคลุมผืนป่าทึบราวกับผ้ากำมะหยี่สีดำสนิท เสียงแมลงกลางคืนและเสียงร้องของสัตว์ที่ไม่คุ้นหูดังก้องกังวานเป็นระยะ สร้างความวังเวงและน่าขนลุกให้กับขบวนของนายฮ้อยอินทร์ กลิ่นดินชื้นและใบไม้ผุพัดโชยมาตามลมเย็นยะเยือก

"นายฮ้อยครับ... แถวนี้มันน่ากลัวอีหลีเด้อ" บรรยากาศแถวนี้มันน่ากลัวขะหนาดว่า เหมือนกันก่อครับนายฮ้อย อ้ายจ่อยกระซิบเสียงแผ่วเบา ดวงตาเหลือกลานมองไปรอบข้างด้วยความหวาดระแวง

นายฮ้อยอินทร์ขี่ม้าขนสีทับทิมนำหน้าขบวนอย่างใจเย็น ใบหน้าคมเข้มภายใต้แสงตะเกียงยังคงสงบนิ่ง แต่ในใจลึกๆ เขาก็รู้สึกถึงความผิดปกติของป่าแห่งนี้เช่นกัน ต้นไม้สูงตระหง่านบดบังแสงจันทร์จนหมดสิ้น เหลือเพียงแสงสลัวจากตะเกียงที่ลูกน้องถือไว้เท่านั้น

"อย่าได้ย่านไปเลยอ้ายจ่อย เฮามากันหลายคน บ่มีหยังน่ากลัวดอก" นายฮ้อยอินทร์ปลอบโยน แต่คำพูดนั้นก็ดูเหมือนจะไม่สามารถดับความกังวลในใจของลูกน้องได้

ขณะที่ขบวนเคลื่อนที่ไปอย่างช้าๆ พลันก็ได้ยินเสียงกิ่งไม้หักดัง "เป๊าะ!" ใกล้ๆ ทุกคนหยุดชะงัก หันมองไปยังทิศทางของเสียงด้วยความตื่นตระหนก

"เสียงหยังวะนั่น?" อ้ายคำถามเสียงสั่น

นายฮ้อยอินทร์ยกมือเป็นสัญญาณให้ทุกคนเงียบ เขาเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ แต่ก็ไม่มีเสียงใดๆ ดังขึ้นอีก ความเงียบกลับเข้ามาปกคลุมผืนป่าอีกครั้ง แต่ความรู้สึกระแวดระวังยังคงอยู่

"ระวังตัวไว้ให้ดี อาจจะมีสัตว์ป่า" นายฮ้อยอินทร์สั่งเสียงเบา ก่อนจะนำขบวนเคลื่อนที่ต่อไปอย่างช้าๆ และระมัดระวังมากขึ้น

คืนนั้น พวกเขาตัดสินใจพักแรมในลานหินกว้างกลางป่า นายฮ้อยอินทร์สั่งให้ก่อกองไฟให้ใหญ่ขึ้น เพื่อป้องกันสัตว์ร้ายและคลายความหนาวเหน็บ อ้ายคำและอ้ายจ่อยผลัดกันเฝ้ายามตลอดทั้งคืน

ในยามดึกสงัด ขณะที่ทุกคนหลับใหล นายฮ้อยอินทร์ลุกขึ้นมานั่งข้างกองไฟ เขามองไปยังเปลวไฟที่ลุกโชนอย่างใจเหม่อลอย ความกังวลเกี่ยวกับเส้นทางข้างหน้าและอันตรายที่อาจเกิดขึ้นยังคงวนเวียนอยู่ในความคิด

ทันใดนั้นเอง เขาก็สังเกตเห็นแสงประหลาดวูบวาบอยู่ไม่ไกลจากที่พัก แสงนั้นเป็นสีเขียวมรกต เรืองรองอย่างน่าพิศวง นายฮ้อยอินทร์ลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ และเดินเข้าไปใกล้แสงนั้นด้วยความสงสัย

เมื่อเข้าไปใกล้ เขาก็ต้องตกตะลึงกับสิ่งที่เห็น แสงสีเขียวนั้นมาจากดวงตาของสัตว์ขนาดใหญ่คู่หนึ่ง ที่กำลังจ้องมองมาที่เขาจากเงามืด ดวงตานั้นเปล่งประกายราวกับอัญมณีล้ำค่า สร้างความหวาดหวั่นและน่าเกรงขามในเวลาเดียวกัน

นายฮ้อยอินทร์ ยืนตัวแข็งทื่อเหมือนปูนปั้นอยู่กับที่ราวกับถูกสาป เขาไม่เคยเห็นสัตว์ที่มีดวงตาเช่นนี้มาก่อน มันมีขนาดใหญ่โต มหึมา รูปร่างคล้ายเสือ แต่มีเกล็ดสีดำสนิทปกคลุมทั่วทั้งตัว และมีแผงคอสีทองอร่าม

สัตว์ร้ายตัวนั้นส่งเสียงคำรามต่ำในลำคอ ขนลุกชันไปทั้งร่างของนายฮ้อยอินทร์ เขารู้สึกได้ถึงพลังอำนาจและความน่ากลัวที่แผ่ออกมาจากสัตว์ตรงหน้า

"นี่มันตัวอะไรกัน?" นายฮ้อยอินทร์พึมพำกับตัวเองด้วยความตกใจ

ทันใดนั้นเอง สัตว์ร้ายตัวนั้นก็กระโจนเข้าใส่นายฮ้อยอินทร์อย่างรวดเร็ว นายฮ้อยอินทร์ตกใจสุดขีด รีบกระโดดหลบอย่างหวุดหวิด แต่คมเขี้ยวของมันก็เฉียดแขนของเขาไป ทำให้เกิดรอยขีดข่วนยาว

ด้วยสัญชาตญาณ นายฮ้อยอินทร์รีบชักมีดหมอที่เหน็บอยู่ที่เอวออกมา ปลายมีดส่องประกายวาววับภายใต้แสงจันทร์ เขาตั้งท่าเตรียมต่อสู้กับสัตว์ร้ายที่ไม่รู้จักตรงหน้า

การต่อสู้ระหว่างนายฮ้อยอินทร์กับสัตว์ร้ายในป่าทมิฬดำเนินไปอย่างดุเดือด สัตว์ร้ายตัวนั้นว่องไวและแข็งแกร่ง มันพุ่งเข้าโจมตีนายฮ้อยอินทร์อย่างไม่ยั้ง นายฮ้อยอินทร์ต้องใช้ความคล่องแคล่วและประสบการณ์ที่มีทั้งหมดในการหลบหลีกและตอบโต้

ในที่สุด เมื่อโอกาสมาถึง นายฮ้อยอินทร์ก็แทงมีดหมอเข้าที่สีข้างของสัตว์ร้ายอย่างแม่นยำ สัตว์ร้ายร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะล้มลงสิ้นใจ

นายฮ้อยอินทร์ยืนหอบหายใจ มองไปยังร่างของสัตว์ร้ายที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นดิน เขารู้สึกเหนื่อยล้า แต่ก็โล่งใจที่สามารถเอาชีวิตรอดมาได้

เมื่อลูกน้องของนายฮ้อยอินทร์ตื่นขึ้นมาและเห็นซากสัตว์ร้าย พวกเขาก็ตกตะลึงกับขนาดและความน่ากลัวของมัน

"นายฮ้อย... นี่มันตัวอะไรกันครับ? ผมบ่เคยเห็นมาก่อนเลย" อ้ายคำถามด้วยความสงสัย

นายฮ้อยอินทร์ส่ายหน้า "ข้าก็บ่ฮู้ แต่ที่แน่ๆ มันเป็นสัตว์ที่อันตรายมาก"

หลังจากนั้น นายฮ้อยอินทร์สังเกตเห็นรอยสักประหลาดบนลำตัวของสัตว์ร้าย มันเป็นลายเส้นสีทองคล้ายรูปพญานาคที่พันรอบตัว

"รอยสักนี่มันหมายความว่าอย่างไร?" นายฮ้อยอินทร์พึมพำ

ขณะที่เขากำลังพิจารณารอยสักอยู่นั้นเอง ก็มีเสียงชายชราดังขึ้นมาจากเงามืด

"นั่นคือสัญลักษณ์ของผู้พิทักษ์แห่งป่าทมิฬ"

นายฮ้อยอินทร์และลูกน้องหันไปมองตามเสียง ก็พบชายชรา หนวดเคลายาวสีขาวโพลน นุ่งห่มด้วยชุดสีน้ำตาลเข้ม เดินออกมาจากความมืด

"ท่านเป็นใคร?" นายฮ้อยอินทร์ถามด้วยความสงสัย

"ข้าคือผู้เฒ่าที่อาศัยอยู่ในป่าแห่งนี้มานานแสนนาน" ชายชราตอบด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่ม "สัตว์ที่ท่านฆ่าไปเมื่อครู่ คือผู้พิทักษ์ที่คอยดูแลความสมดุลของป่า"

นายฮ้อยอินทร์รู้สึกตกใจและเสียใจกับสิ่งที่เขาทำลงไป

"ข้า... ข้าบ่ฮู้ ข้าคิดว่ามันจะมาทำร้ายพวกข้า" นายฮ้อยอินทร์กล่าวด้วยความรู้สึกผิด

"ข้ารู้" ผู้เฒ่ากล่าว "แต่การกระทำของท่านได้ปลุกบางสิ่งบางอย่างที่หลับใหลอยู่ในป่าแห่งนี้แล้ว"

"บางสิ่งบางอย่าง?" นายฮ้อยอินทร์ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย

"นับจากนี้ไป การเดินทางของพวกท่านจะยากลำบากยิ่งขึ้น จงระวังภัยที่มองไม่เห็น และจงเคารพต่อผืนป่า" ผู้เฒ่ากล่าวเตือน ก่อนจะเดินหายเข้าไปในความมืด

คำพูดของผู้เฒ่าสร้างความกังวลให้กับนายฮ้อยอินทร์และลูกน้อง พวกเขารู้สึกได้ว่าการเดินทางในป่าทมิฬแห่งนี้ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด และภัยอันตรายที่แท้จริงอาจจะยังมาไม่ถึง

รุ่งเช้าวันใหม่ ขบวนของนายฮ้อยอินทร์ออกเดินทางต่อด้วยความระมัดระวังมากขึ้น พวกเขาพยายามที่จะไม่รบกวนธรรมชาติ และเคารพต่อผืนป่าตามคำเตือนของผู้เฒ่า

แต่แล้ว สิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อพวกเขาเดินทางมาถึงลำธารใหญ่ สายน้ำไหลเชี่ยวและลึกจนไม่สามารถข้ามไปได้โดยง่าย

"เอาจังใดดีครับนายฮ้อย? เฮาจะข้ามน้ำนี่ไปได้อย่างไร?" อ้ายคำถามด้วยความกังวล

นายฮ้อยอินทร์มองไปยังสายน้ำที่ไหลเชี่ยวด้วยความหนักใจ เขาไม่เคยเจอลำธารที่ใหญ่และเชี่ยวขนาดนี้มาก่อน

ขณะที่พวกเขากำลังหาทางข้ามลำธารอยู่นั้นเอง ก็เกิดลมพายุพัดกระหน่ำอย่างรุนแรง ต้นไม้ใหญ่โยกคลอน กิ่งไม้หักโค่น ฝนตกลงมาอย่างหนักจนมองอะไรไม่เห็น

"แย่แล้ว! พายุมาแล้ว!" นายฮ้อยอินทร์ตะโกนสั่งให้ทุกคนหาที่หลบภัย

ขบวนของนายฮ้อยอินทร์ต้องเผชิญกับพายุฝนกระหน่ำกลางป่าทมิฬอย่างหนักหน่วง พวกเขาพยายามที่จะประคองฝูงควายและรักษาสัมภาระให้ปลอดภัย ท่ามกลางลมแรงและสายฝนที่โหมกระหน่ำ

นายฮ้อยอินทร์รู้สึกได้ว่าพายุครั้งนี้ไม่ใช่พายุธรรมดา มันรุนแรงและน่ากลัวเกินกว่าที่เขาเคยเจอะเจอมา ราวกับว่าธรรมชาติกำลังโกรธเกรี้ยวพวกเขา

ในใจของนายฮ้อยอินทร์เริ่มเกิดความสงสัยว่า เหตุการณ์ร้ายต่างๆ ที่เกิดขึ้นนี้ เกี่ยวข้องกับสัตว์ร้ายที่เขาสังหารไปหรือไม่? หรือว่าพวกเขาได้ล่วงเกินสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในป่าแห่งนี้โดยไม่รู้ตัว?

การเดินทางในป่าทมิฬยังคงเต็มไปด้วยอุปสรรคและความลึกลับ นายฮ้อยอินทร์และลูกน้องจะต้องเผชิญหน้ากับภัยอันตรายที่มองไม่เห็น และไขปริศนาของรอยสักพญานาคบนตัวสัตว์ร้าย เพื่อให้สามารถเดินทางออกจากป่าแห่งนี้ไปสู่จุดหมายปลายทางได้สำเร็จ

(โปรดติดตามตอนต่อไป)

นิยายเรื่องนายฮ้อยอินทร์

ผู้ประพันธ์ทรงวุฒิ แสนละมูล นปก.กระเต็นเขียว

ตอนที่ 3ลำน้ำกกที่รัก และร่องรอยปริศนา

แสงตะวันสีทองสาดส่องเหนือทุ่งหญ้าเขียวขจี นายฮ้อยอินทร์ยืนตระหง่านอยู่หน้าขบวนควาย ดวงตาคมกริบสำรวจลูกน้องและฝูงสัตว์ที่กำลังพักผ่อนริมฝั่งแม่น้ำกก สายน้ำที่หล่อเลี้ยงชีวิตผู้คนแห่งเชียงรายมานานนับแต่บรรพบุรุษ

"พักผ่อนให้เต็มที่เด้อหล่า" นายฮ้อยอินทร์เอ่ยเสียงนุ่มกับควายตัวใหญ่สีดำขลับที่ชื่อ "ทับทิม" มันเงยหน้ามองเจ้านายด้วยแววตาซื่อตรง ก่อนจะก้มลงแทะเล็มหญ้าอ่อนต่อ

การเดินทางสองวันที่ผ่านมาเป็นไปด้วยดี ไม่มีอุปสรรคใหญ่หลวงให้ต้องกังวล ลูกน้องทุกคนต่างแข็งขัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกันตามประสาคนร่วมทุกข์ร่วมสุข รอยยิ้มและเสียงหัวเราะยังคงมีให้ได้ยินเป็นระยะ บรรเทาความเหนื่อยล้าจากการเดินทาง

หลังอาหารเช้าที่ปรุงจากปลาที่จับได้จากแม่น้ำกก นายฮ้อยอินทร์เรียกประชุมลูกน้องเป็นการ สั้นๆ

"มื้อนี้เฮาจะเดินทางเลาะเลียบแม่น้ำกกไปเรื่อยๆ ยามบ่ายค่อยหาที่พักค้างแรมกันใหม่ ระหว่างทางให้ทุกคนคอยสังเกตสิ่งผิดปกติ อย่าประมาท" นายฮ้อยอินทร์กำชับด้วยน้ำเสียงจริงจัง

ขบวนควายเริ่มเคลื่อนพลอีกครั้ง ช้าๆ เนิบๆ ตามจังหวะการก้าวเดินของสัตว์ใหญ่ สองข้างทางเต็มไปด้วยทิวทัศน์งดงามของป่าเต็งรังและทุ่งนาที่กำลังเขียวขจี เสียงนกร้องเจื้อยแจ้วประสานกับเสียงกระดิ่งคล้องคอควาย เป็นท่วงทำนองแห่งการเดินทางที่คุ้นเคย

ในช่วงบ่าย ขณะที่ขบวนกำลังจะเลี้ยวเลาะไปตามโค้งน้ำ นายฮ้อยโทน ลูกน้องคนสนิทของนายฮ้อยอินทร์ก็ร้องทักขึ้น

"นายฮ้อย! นั่นมันรอยอีหยังน่ะ?"

ทุกคนหยุดชะงัก หันไปมองตามนิ้วที่นายฮ้อยโทนชี้ไป บนพื้นดินริมตลิ่งที่เพิ่งมีฝนตกลงมาเมื่อคืน ปรากฏร่องรอยเท้าขนาดใหญ่ ผิดแปลกจากรอยเท้าควายของพวกเขาอย่างสิ้นเชิง รอยเท้าลึกและกว้างกว่ามาก นิ้วเท้าดูยาวและมีกรงเล็บ

นายฮ้อยอินทร์ขมวดคิ้วและใช้สายตาทั้งสองดวงตาจ้องไปยังร่องรอยปริศนานั้น เขาเดินเข้าไปพิจารณาอย่างละเอียด

"บ่ใช่รอยควายเฮาแน่นอน" นายฮ้อยอินทร์พึมพำเสียงต่ำ "ใหญ่โตปานนี้... หรือว่าจะเป็นเสือ?"

"แต่รอยเสือมันบ่ได้เป็นแบบนี้นี่นายฮ้อย" จ่อย ลูกน้องอีกคนท้วง "นี่มันคล้ายๆ..." จ่อยเงียบไป ราวกับนึกอะไรบางอย่างที่ไม่อยากพูดออกมา

บรรยากาศเริ่มตึงเครียด ความสงบสุขเมื่อครู่มลายหายไป นายฮ้อยอินทร์สั่งให้ลูกน้องทุกคนระมัดระวังตัวมากขึ้น พวกเขาเดินสำรวจบริเวณโดยรอบอย่างละเอียด แต่ก็ไม่พบร่องรอยอื่นเพิ่มเติม

"เอาล่ะ" นายฮ้อยอินทร์ตัดสินใจ "เฮาจะพักค้างแรมกันที่นี่แหละ จัดเวรยามให้ดี อย่าให้คลาดสายตา"

ค่ำคืนนั้นผ่านไปด้วยความเงียบสงัด ทุกคนผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเฝ้ายาม ดวงตาจับจ้องไปยังความมืดมิดรอบด้าน เสียงลมพัดหวีดหวิวผ่านใบไม้ดังคล้ายเสียงกระซิบชวนขนลุก ไม่มีใครกล้าหลับลงสนิท

รุ่งเช้า นายฮ้อยอินทร์ตัดสินใจที่จะไม่เล่าเรื่องรอยเท้าปริศนาให้ลูกน้องทุกคนฟัง เพื่อไม่ให้เกิดความตื่นตระหนก แต่ในใจของเขานั้นเต็มไปด้วยความกังวล ร่องรอยนั้นคืออะไรกันแน่? มันเข้ามาใกล้ขบวนควายของพวกเขาทำไม?

การเดินทางเลาะเลียบแม่น้ำกกยังคงดำเนินต่อไป แต่บรรยากาศกลับเปลี่ยนไป ทุกคนเงียบขรึม ระแวดระวังภัยมากขึ้น สายตาคอยสอดส่ายมองไปรอบข้าง หูคอยฟังเสียงผิดปกติ

จนกระทั่งบ่ายแก่ๆ ขณะที่ขบวนควายกำลังเดินผ่านป่าละเมาะรกทึบ นายฮ้อยคำปัน ลูกน้องที่เดินนำหน้าสุดก็ร้องเสียงหลง

"ซุ่ม! ซุ่มอยู่ทางพุ้น!"

สิ้นเสียงนายฮ้อยคำปัน เงาดำทะมึนหลายร่างก็พุ่งออกมาจากพุ่มไม้ข้างทาง พวกมันส่งเสียงร้องขู่คำรามดุดัน พร้อมอาวุธครบมือ!

"โจร!" นายฮ้อยอินทร์ตวาดเสียงดัง "เตรียมตัวสู้!"

การปะทะกันอย่างดุเดือดเริ่มต้นขึ้นอย่างรวดเร็ว โจรป่ากลุ่มใหญ่กรูกันเข้ามาหมายปล้นทรัพย์สินและควายในขบวนของนายฮ้อยอินทร์ ลูกน้องของนายฮ้อยแม้จะมีจำนวนน้อยกว่า แต่ทุกคนก็ฮึดสู้ ปกป้องทรัพย์สินและชีวิตของตนเองอย่างสุดกำลัง

นายฮ้อยอินทร์คว้าดาบประจำตัวออกมา แกว่งไกวป้องกันลูกน้องและฝูงควาย เขาเคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่ว ว่องไว ฟาดฟันโจรที่เข้ามาประชิดตัวอย่างไม่ยั้ง

เสียงดาบปะทะกัน เสียงร้องโอดโอยของคนเจ็บดังระงมไปทั่วป่า ควายบางตัวตกใจตื่น วิ่งแตกฝูงอลหม่าน นายฮ้อยอินทร์ต้องคอยควบคุมสถานการณ์ทั้งการต่อสู้และการดูแลฝูงควายไปพร้อมๆ กัน

ท่ามกลางความชุลมุน นายฮ้อยอินทร์สังเกตเห็นหัวหน้าโจร รูปร่างสูงใหญ่ สวมเสื้อผ้าขาดวิ่น ดวงตาดุดันเต็มไปด้วยความโลภ มันพุ่งตรงเข้ามาหานายฮ้อยอินทร์ด้วยดาบในมือ

"แกนั่นแหละ... นายฮ้อยอินทร์!" หัวหน้าโจรคำรามเสียงต่ำ "ส่งควายมาให้ข้าเสียดีๆ จะได้ไม่ต้องเจ็บตัว!"

"ฝันไปเถอะ!" นายฮ้อยอินทร์ตวาดกลับ "ชีวิตข้า... ควายของข้า... ข้าจะปกป้องจนถึงที่สุด!"

ทั้งสองปะทะดาบกันอย่างรุนแรง เสียงเหล็กกระทบกันดังก้องป่า นายฮ้อยอินทร์ใช้ความคล่องแคล่วหลบหลีกการโจมตีของหัวหน้าโจร ก่อนจะหาจังหวะฟันดาบสวนกลับไป

การต่อสู้ดำเนินไปอย่างตึงเครียด ไม่มีใครยอมใคร นายฮ้อยอินทร์รู้ดีว่าหากพลาดพลั้งเพียงเสี้ยววินาที อาจหมายถึงชีวิตของเขาและลูกน้อง

ในที่สุด ด้วยความแข็งแกร่งและไหวพริบ นายฮ้อยอินทร์ก็สามารถประคองตัวและหาจังหวะเหมาะ ฟันดาบเข้าใส่หัวหน้าโจรอย่างแม่นยำ ร่างของหัวหน้าโจรทรุดฮวบลงกับพื้นดิน

เมื่อเห็นหัวหน้าถูกโค่น โจรที่เหลือก็เริ่มเสียขวัญ พากันแตกกระเจิงหนีเข้าป่าไป ทิ้งไว้เพียงความเสียหายและร่องรอยการต่อสู้

นายฮ้อยอินทร์ถอนหายใจยาว มองไปยังลูกน้องที่ต่างก็มีบาดแผล แต่ทุกคนก็ยังคงยืนหยัดอยู่ได้

"พวกเฮาปลอดภัยแล้ว" นายฮ้อยอินทร์เอ่ยเสียงแผ่วเบา แต่แฝงไว้ด้วยความเหนื่อยล้า

ทว่าในใจของนายฮ้อยอินทร์ยังคงเต็มไปด้วยความสงสัย ร่องรอยเท้าปริศนาเมื่อวานนี้... กับการโจมตีของโจรในวันนี้... มันเป็นเรื่องบังเอิญ หรือว่ามันมีความเชื่อมโยงกัน?

การเดินทางจากเชียงรายสู่เมืองย่ายังอีกยาวไกล นายฮ้อยอินทร์รู้ดีว่าอุปสรรคและความท้าทายยังคงรออยู่ข้างหน้า แต่ด้วยความกล้าหาญ ความสามัคคี และความมุ่งมั่น เขาจะนำพากองทัพควายและลูกน้องไปถึงจุดหมายปลายทางให้จงได้... แม้จะต้องเผชิญกับอันตรายใดๆ ก็ตาม

เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!

novel PDF download
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!