ตอนที่ 1 คำสาปแสงจันทรา
โลกอนาคต: ชิงเฟย
แสงไฟนีออนจากจอคอมพิวเตอร์นับสิบส่องกระทบใบหน้าเย็นชาของ ชิงเฟย ประธานบริษัทสาววัยสามสิบผู้ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหารทางธุรกิจ มือเรียวแตะแก้วไวน์ราคาแพง มองออกไปยังทิวทัศน์ยามค่ำคืนของมหานครที่ทอดยาวอยู่เบื้องล่าง
เธอคือผู้หญิงที่เต็มไปด้วยอำนาจและความเด็ดขาด จนได้รับฉายาว่า "ราชินีน้ำแข็ง" ผู้ซึ่งสามารถใช้สายตาเพียงครั้งเดียวแช่แข็งคู่แข่งทางธุรกิจให้ตายทั้งเป็นได้ แต่ใครจะรู้ว่าเบื้องหลังความเย็นชานั้น มีหัวใจที่เพิ่งแหลกสลายจากความรักที่ไม่เคยสมหวัง
เมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อน เธอเพิ่งยกเลิกการหมั้นกับชายที่คบหากันมาหลายปีด้วยเหตุผลสั้น ๆ ว่า “คุณเป็นแค่ผู้ชายที่ไม่มีวันเข้าใจคำว่า ‘ความรัก’ ของฉัน” เธอมอบความโหดเหี้ยมให้กับทุกสิ่งในโลกยกเว้นความรู้สึกตัวเอง และเมื่อความรู้สึกนั้นถูกทำลาย เธอก็ไม่ต่างจากพยัคฆ์ที่บาดเจ็บ
ชิงเฟยสั่งคนขับรถให้จอด เธอลงเดินตากฝนพรำ ๆ ในชุดสูทสีเข้มตามลำพังบนถนนที่มืดมิดและไร้ผู้คน ความเจ็บปวดที่ถูกทอดทิ้งทำให้เธอยอมมอบร่างกายให้แก่ความหนาวเย็นของหยาดฝน
ความรักคือเรื่องไร้สาระ เธอคิดอย่างดุดันพลางก้าวเท้าไปข้างหน้า
ฟุบ!!
ปลายเท้าของรองเท้าส้นสูงราคาแพงเหยียบลงบนวัตถุบางอย่างที่เปียกปอนและแผ่ความเย็นเยียบ มันเป็นตำราเล่มเก่า ๆ ที่ถูกทิ้งไว้ข้างทาง หน้าปกที่ฉีกขาดเผยให้เห็นเพียงตัวอักษรสีทองที่เปื้อนโคลนว่า “แสงจันทรา”
ทันใดนั้น แสงจันทร์ที่ถูกเมฆบดบังมาตลอดก็ส่องทะลุลงมายังตำราเล่มนั้นพอดี แสงสีเงินวาววามพุ่งเข้าสู่ร่างกายของชิงเฟยอย่างรวดเร็ว ความเย็นยะเยือกที่ได้รับจากสายฝนถูกแทนที่ด้วยความร้อนรุ่มที่เผาผลาญจนแทบจะสลาย
“อั่ก…” ชิงเฟยทรุดตัวลงกับพื้น ร่างกายหมุนคว้างคล้ายตกลงไปในห้วงสุญญากาศ ภาพโลกอนาคตเลือนหายไปพร้อมกับเสียงกรีดร้องในลำคอที่ไม่มีใครได้ยิน
โลกย้อนเวลา: หลี่เหมี่ยวเจิ้ล
ชิงเฟยรู้สึกเหมือนถูกปลุกให้ตื่นจากการจมดิ่งอย่างยาวนาน สิ่งแรกที่สัมผัสได้คือความอ่อนแอของร่างกายที่อ่อนยวบยาบราวกับไม่สามารถขยับได้ง่าย ๆ สิ่งที่สองคือความเจ็บปวดที่ปะทุในช่องท้อง และสิ่งสุดท้ายคือกลิ่นสมุนไพรโบราณฉุนกึก
เธอพยายามลืมตาขึ้นมาอย่างเชื่องช้า เพดานไม้แกะสลักและผ้าไหมสีแดงเข้มที่ประดับประดาอยู่รอบกายทำให้ประสาทสัมผัสของประธานบริษัทสาวทำงานทันที
นี่ไม่ใช่ห้องนอนเพนต์เฮาส์ของฉัน
เธอพยายามยันกายลุกขึ้น แต่ความปวดร้าวที่รุนแรงทำให้เธอต้องล้มตัวลงนอนอีกครั้ง
“เจ้าค่ะ นางเป็นเช่นนี้มาตลอด นางไม่สมควรเป็นพระชายาขององค์ชายใหญ่เลยสักนิด” เสียงของหญิงรับใช้คนหนึ่งดังขึ้นเบา ๆ ทว่าคมกริบ
“ใช่สิ! ตั้งแต่แต่งเข้ามาก็ทำตัวเย็นชา ชอบเก็บตัวแต่งกลอนอยู่แต่ในห้อง พอถูกวางยาพิษเล็กน้อยก็อ่อนแอจนไข้ขึ้น ถ้าองค์ชายใหญ่ หลี่ชุนเฟย กลับมาจากการรบแล้วพบว่าพระชายาของตนเป็นเช่นนี้ จะทรงทิ้งนางเมื่อไหร่กันนะ?”
อีกคนกล่าวสมทบด้วยน้ำเสียงเหยียดหยาม
องค์ชายใหญ่? หลี่ชุนเฟย?
ชิงเฟยใช้พลังทั้งหมดที่มีดึงความทรงจำที่แตกกระจัดกระจายเข้ามาในสมอง ร่างกายนี้มีนามว่า หลี่เหมี่ยวเจิ้ล เป็นพระชายาขององค์ชายใหญ่แห่งต้าเฟย และนี่คือ ราชวงศ์ฮั่น!
ความรู้สึกทั้งหมดของ ชิงเฟย—ความผิดหวังในความรัก ความเย็นชา และความโหดเหี้ยมที่สะสมมาจากการเป็นประธานบริษัท—ปะทะเข้ากับความทรงจำของ หลี่เหมี่ยวเจิ้ล ซึ่งเป็นเพียงกวีผู้อ่อนแอและเย็นชาเช่นกัน
ชิงเฟยกัดฟันกรอด ความเจ็บปวดทางกายไม่ได้ทำให้เธอหวาดกลัวเท่ากับความจริงที่ว่าเธอถูกโยนมาในโลกที่เธอควบคุมอะไรไม่ได้
เธอพยายามขยับนิ้วเท้า พยายามดึงสัญชาตญาณการเอาตัวรอดของราชินีน้ำแข็งกลับมา
“ท่านแม่ทัพใหญ่หลี่ชุนเฟย ท่านแม่ทัพผู้เหี้ยมโหดที่สุดในต้าเฟย คงจะอยากเห็นหน้าพระชายาผู้น่าสงสารผู้นี้เต็มทีแล้วกระมัง” หญิงรับใช้ผู้พูดจาดูถูกย่างสามขุมเข้ามาใกล้เตียง พร้อมรอยยิ้มเยาะหยัน
ในวินาทีนั้นเอง หลี่เหมี่ยวเจิ้ล ผู้ที่เคยอ่อนแอและถูกรังแกจนหมดสิ้นหนทาง ก็เปิดเปลือกตาขึ้นอีกครั้ง
ดวงตาของชิงเฟยไม่เหลือร่องรอยความอ่อนแอของกวีอีกต่อไป แต่กลับเต็มไปด้วยไฟแค้นและอำนาจดิบเถื่อนของประธานบริษัทที่เพิ่งสั่งปลดกรรมการผู้จัดการคนหนึ่งออกจากตำแหน่ง
“พวกเจ้า…” น้ำเสียงของเธอแหบพร่าและเบา แต่กลับแฝงไปด้วยความเยือกเย็นที่น่าสะพรึงกลัว “ออกไปให้พ้นจากสายตาของข้าเดี๋ยวนี้”
หญิงรับใช้สองคนชะงัก รอยยิ้มบนใบหน้าแข็งค้าง พวกนางเห็นเพียงพระชายาผู้เคยขี้ขลาดและอ่อนแอกำลังจ้องมองมาที่พวกตนด้วยสายตาที่คล้ายกับ พยัคฆ์หิมะที่หิวโหย
พระชายาผู้นี้... ไม่เหมือนเดิม
ชิงเฟยในร่างหลี่เหมี่ยวเจิ้ล หอบหายใจอย่างหนัก เธอรู้ว่าร่างกายนี้อ่อนแอเกินไป แต่จิตวิญญาณของประธานบริษัทที่ต้องควบคุมสถานการณ์ไว้ได้ก่อนเสมอ ก็ทำให้เธอพูดคำสุดท้ายด้วยความยากลำบาก
“มิฉะนั้น... ข้าจะทำให้พวกเจ้ารู้ว่าความโหดเหี้ยมที่แท้จริงคืออะไร”
วินาทีนั้นเอง ชิงเฟยรู้ตัวดีว่านี่คือจุดเริ่มต้นของการเอาตัวรอดในฐานะ คุณนายนักเลง ในโลกโบราณที่ไม่มีใครรู้จักเธอ
ตอนที่ 2 คุณนายนักเลง
เช้าวันรุ่งขึ้น ชิงเฟย ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาพร้อมกับอาการปวดหัวตุบ ๆ แม้ร่างกายจะยังคงอ่อนแอ แต่การได้พักผ่อนทั้งคืนในห้องพระชายาที่กว้างขวางทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นกว่าเมื่อคืนมาก
“ร่างกายอ่อนแอเกินไปจริง ๆ ถ้าเป็นในโลกเดิม ป่านนี้ฉันคงวิ่งมาราธอนไปแล้ว” เธอคิดอย่างหงุดหงิด
ชิงเฟย (ในร่างหลี่เหมี่ยวเจิ้ล) ลุกขึ้นนั่งบนเตียงผ้าไหมสีแดงเข้มอย่างทุลักทุเล เธอเริ่มวิเคราะห์สถานการณ์ตามสัญชาตญาณของนักธุรกิจที่เพิ่งเข้ามาบริหารบริษัทที่กำลังจะล้มละลาย
สิ่งเร่งด่วนที่สุด:
* กำจัดยาพิษที่ตกค้างในร่างกาย และบำรุงให้ร่างกายแข็งแรง
* จัดระเบียบโครงสร้างการบริหารงานบุคคล (พวกบ่าวไพร่)
* เตรียมรับมือกับ "เจ้าหนี้รายใหญ่" (หลี่ชุนเฟย) ที่กำลังจะกลับมา
ในขณะที่เธอกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก ประตูห้องก็เปิดออกอย่างช้า ๆ หญิงรับใช้สองคนที่ลอบนินทาเมื่อคืน—ฉายาที่ชิงเฟยตั้งให้ในใจคือ แผนกซุบซิบนินทา—เดินเข้ามาพร้อมกับอาหารเช้า
ทั้งสองมีท่าทีประหม่าอย่างเห็นได้ชัด ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความลังเลและความหวาดระแวง แต่ก็ยังคงแฝงไว้ด้วยความดูถูกเหยียดหยาม
“พระชายาเพคะ ทรงตื่นแล้วหรือเจ้าคะ” นางกำนัลคนหนึ่งนามว่า ไฉ่เหลียน กล่าวเสียงเบา พลางวางถ้วยโจ๊กที่แทบจะเย็นชืดลงบนโต๊ะข้างเตียงอย่างไม่ใส่ใจนัก
ชิงเฟยจ้องมองโจ๊กขาว ๆ และน้ำชาที่วางไว้ห่างจากมือเธอราวหนึ่งช่วงแขน
นี่คือการทดสอบอำนาจสินะ?
ในอดีต ชิงเฟยเคยจัดการกับผู้บริหารระดับสูงที่แอบโกงบริษัทมานับไม่ถ้วน พวกเขามักจะเริ่มจากการกระทำเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อหยั่งเชิง จนไปถึงการยักยอกเงินล้าน การเสิร์ฟโจ๊กเย็นก็ไม่ต่างอะไรกับการเซ็นสัญญาที่ตั้งใจให้มีช่องโหว่
ชิงเฟยไม่โวยวาย ไม่ตบโต๊ะ แต่ใช้ “สายตาประธาน” ที่เคยทำให้หุ้นส่วนบริษัทตัวสั่นเพียงแค่สบตา จ้องมองไปที่ไฉ่เหลียน
“ไฉ่เหลียน” ชิงเฟยเรียกชื่ออย่างเชื่องช้า น้ำเสียงต่ำ เย็นยะเยือก แต่เต็มไปด้วยอำนาจ “บอกข้ามาว่า เจ้าทำงานในจวนขององค์ชายใหญ่มานานเท่าใดแล้ว?”
“สิ...สิบปีเจ้าค่ะ” ไฉ่เหลียนตอบตะกุกตะกัก ความเย็นชาที่แผ่ออกมาจากพระชายาผู้อ่อนแอคนนี้ทำให้เธอรู้สึกหายใจติดขัด
“ดีมาก สิบปีแสดงว่าเจ้าทราบระเบียบการของจวนเป็นอย่างดี” ชิงเฟยยิ้มอย่างเยียบเย็น “ถ้าเช่นนั้น บอกข้ามาว่าตาม ระเบียบการปฏิบัติงานมาตรฐาน ของจวน อาหารเช้าของพระชายาควรเป็นอย่างไร?”
“กะ... ก็... โจ๊กหนึ่งถ้วย...” ไฉ่เหลียนเริ่มหน้าซีด
“และอุณหภูมิของโจ๊กควรเป็นอย่างไร?” ชิงเฟยถามต่อด้วยรอยยิ้มที่ทำให้รู้สึกเหมือนถูกมีดกรีด
“...ร้อนพอดีเพคะ”
“แต่นี่เย็นชืด” ชิงเฟยใช้ปลายนิ้วแตะถ้วยโจ๊กอย่างแผ่วเบา “นี่หมายความว่าอย่างไร? เจ้ากำลัง ละเลยหน้าที่ หรือ ประสงค์ร้าย ต่อผู้มีอำนาจในจวน?”
“บ่าว... บ่าวไม่กล้าเพคะ!” ไฉ่เหลียนรีบคุกเข่าลงทันที
ชิงเฟยไม่สนใจไฉ่เหลียน แต่หันไปทางนางกำนัลอีกคนที่มีสีหน้าตื่นตระหนก “แล้วเจ้าเล่า? ชื่ออะไร? หน้าที่ของเจ้าคืออะไร?”
“หงซิ่ว... บ่าวมีหน้าที่จัดเตรียมน้ำชำระร่างกายเพคะ” หงซิ่วตอบด้วยเสียงสั่นเครือ
“น้ำในอ่างชำระควรเป็นน้ำเย็นหรือน้ำอุ่น?”
“น้ำอุ่นเจ้าค่ะ”
“ตอนนี้เป็นฤดูอะไร? อากาศยามเช้าเย็นหรือไม่?”
“...เย็นเพคะ”
“ดี” ชิงเฟยพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “แสดงว่าเจ้าก็ทราบว่าการอาบน้ำเย็นในยามนี้ อาจทำให้ผู้ที่อ่อนแอ ป่วยหนักถึงตายได้ ใช่หรือไม่?”
หงซิ่วตัวสั่นเทาจนแทบจะกลายเป็นหิน คำถามของพระชายาไม่ได้กล่าวหาว่าพวกนางวางยา แต่กล่าวหาว่าพวกนางกำลัง ผิดระเบียบการที่ร้ายแรงถึงขั้นทำให้ทรัพย์สินมีค่า (ตัวพระชายาเอง) เสียหาย
ชิงเฟยโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย ร่างกายอ่อนแอไม่ได้ทำให้สายตาเธออ่อนลงเลยแม้แต่น้อย
“นับจากนี้ไป ระบบการทำงานในเรือนหลังนี้จะเปลี่ยนไปทั้งหมด” เธอประกาศเสียงกริบราวกับการแถลงนโยบายประจำปี “ข้าคือ ผู้บริหารสูงสุด และพวกเจ้าทุกคนคือ พนักงาน ถ้าใครทำตามระเบียบ ข้าจะให้ ค่าตอบแทน ที่สูงขึ้น แต่ถ้าใคร ทำงานผิดพลาดซ้ำสอง หรือ แสดงเจตนาเป็นปรปักษ์ต่อผู้บริหาร ข้าจะถือว่าเป็นการ กบฏต่อโครงสร้างอำนาจ”
“โทษของการกบฏคืออะไร? พวกเจ้ารู้ดี” เธอทิ้งท้ายด้วยน้ำเสียงที่ทำให้นางกำนัลทั้งสองจินตนาการถึงโทษประหารชีวิตอย่างสยดสยอง
ความโหดเหี้ยมของประธานบริษัทไม่ได้อยู่ที่การกรีดร้อง แต่อยู่ที่ความเย็นชาและไร้ซึ่งความปรานีต่อผู้ที่ขัดคำสั่ง
ไฉ่เหลียนและหงซิ่วรีบคุกเข่าก้มหัวลงจนหน้าผากแตะพื้น แทบไม่กล้าหายใจ “บ่าวผิดไปแล้วเพคะ! บ่าวจะรีบไปเปลี่ยนโจ๊กและเตรียมน้ำอุ่นให้พระชายาเดี๋ยวนี้!”
“เชิญ” ชิงเฟยตอบเพียงคำเดียว
เมื่อทั้งสองรีบถอยออกไปอย่างรวดเร็วราวกับหนีผี ชิงเฟยก็ทรุดตัวลงพิงหมอนด้วยความเหนื่อยล้า เธอรู้ว่าการใช้พลังจิตทั้งหมดควบคุมสีหน้าและน้ำเสียงนั้นต้องใช้พลังงานมหาศาล แต่ผลลัพธ์ที่ได้นั้นคุ้มค่า
เธอเริ่มได้ยินเสียงบ่าวไพร่กระซิบกระซาบกันที่นอกห้อง
“พระชายาดูน่ากลัวยิ่งกว่าองค์ชายใหญ่เสียอีก”
“นางไม่ได้ดุด่า แต่การพูดของนางเหมือนกำลังตัดสินโทษประหารชีวิตเราอยู่”
“นางไม่ได้อ่อนแอแล้ว... นางกลายเป็นคุณนายนักเลงไปแล้ว!”
ชิงเฟยยิ้มหยันให้กับชื่อใหม่ที่ได้รับ คุณนายนักเลง... ฟังดูเข้ากับเธอดี
เธอหยิบน้ำชาอุ่นที่หญิงรับใช้อีกคนนำมาเปลี่ยนให้ขึ้นจิบช้า ๆ
“หลี่ชุนเฟย... แม่ทัพผู้โหดเหี้ยมและเย็นชาที่กำลังจะกลับมาสินะ” เธอคิดถึงพระเอกที่ชื่อ หลี่ชุนเฟย
“ไม่ว่าคุณจะโหดเหี้ยมแค่ไหน ในฐานะประธานบริษัท ฉันก็ต้องมีอำนาจในการเจรจาต่อรองเสมอ คุณอาจเป็นแม่ทัพในสนามรบ แต่ในจวนนี้... อำนาจสูงสุดคือฉัน!”
ชิงเฟยตั้งใจแน่วแน่ว่าจะต้องฟื้นฟูร่างกายนี้ให้เร็วที่สุด และเตรียมพร้อมสำหรับการเผชิญหน้ากับ พยัคฆ์ตัวจริง ที่กำลังจะกลับมายังจวนแห่งนี้
ตอนที่ 3 เผชิญหน้าแม่ทัพพยัคฆ์
จวนองค์ชายใหญ่เต็มไปด้วยความตึงเครียด เมื่อข่าวการกลับมาของ หลี่ชุนเฟย หรือ องค์ชายใหญ่ และ แม่ทัพพยัคฆ์แห่งต้าเฟย ถูกส่งถึงประตูจวนล่วงหน้าเพียงไม่กี่ชั่วยาม
ชิงเฟย ในร่าง หลี่เหมี่ยวเจิ้ล ไม่ได้ตกใจนัก เธอรับทราบเรื่องนี้จากการรายงานอย่างละเอียดของหัวหน้าบ่าวที่ตอนนี้ต้องปฏิบัติต่อเธออย่างเคารพยำเกรงหลังจากการปรับโครงสร้างบริหารงานบุคคลครั้งใหญ่ในเรือนด้านใน (ซึ่งกินเวลาไปตลอดหนึ่งวันเต็ม)
“องค์ชายใหญ่ทรงกลับมาด้วยชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่ที่ชายแดนพ่ะย่ะค่ะ” หัวหน้าบ่าวรายงานด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “แต่ก็ทรงมีพระอารมณ์ที่เย็นชาอย่างยิ่งยวดเช่นเคย ทรงเดินตรงมายังเรือนพระชายาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ชิงเฟยพยักหน้าอย่างสงบ พลางจิบชาที่ชงอย่างพิถีพิถันจากนางกำนัลที่ตอนนี้ตัวสั่นกลัวเธอมากกว่ากลัวองค์ชายใหญ่เสียอีก ดี เธอคิด ฉันก็ไม่ใช่คนที่อบอุ่นนักอยู่แล้ว
เธอเลือกสวมชุดผ้าไหมเรียบง่ายสีฟ้าอ่อน ซึ่งเป็นสีที่ดูอ่อนโยนและสง่างาม แต่ไม่ได้ประดับประดาเครื่องประดับใด ๆ ให้มากความ เธอต้องการภาพลักษณ์ที่ดูสงบและฉลาดหลักแหลม ไม่ใช่ภาพลักษณ์ของหญิงสาวที่อยากเรียกร้องความสนใจ
กึก… กึก…
เสียงฝีเท้าหนักแน่นหยุดลงที่หน้าเรือนของพระชายา แสงแดดที่สาดส่องเข้ามาในห้องถูกบดบังด้วยเงาร่างสูงใหญ่ของบุรุษผู้หนึ่งที่ยืนอยู่ตรงธรณีประตู
หลี่ชุนเฟย
นี่คือการพบกันครั้งแรก ชิงเฟยเงยหน้าขึ้นมอง สามี ของเธออย่างพิจารณา
เขาคือชายในชุดเกราะสีดำทมิฬ สลับด้วยผ้าคลุมสีเลือดหมูที่ทำให้เขายิ่งดูโดดเด่นและน่าเกรงขาม ใบหน้าหล่อเหลาที่เต็มไปด้วยบาดแผลจากการรบนั้นเรียบตึงราวกับหินผา ดวงตาคมกริบสีนิลนั้นเย็นชาและแข็งกระด้างยิ่งกว่าที่เธอจินตนาการไว้หลายเท่า เขามีรัศมีแห่ง ความโหดเหี้ยม และ ความเครียดแค้น แผ่ออกมาอย่างชัดเจน
หลี่ชุนเฟยเดินเข้ามาในห้องอย่างไม่รีบร้อน แต่ทุกย่างก้าวเปี่ยมไปด้วยอำนาจ เขาหยุดยืนห่างจากชิงเฟยเพียงสามก้าว และจ้องมองเธอด้วยสายตาที่คล้ายกับการสำรวจศพของศัตรู
“หลี่เหมี่ยวเจิ้ล” เสียงของเขาดังและแข็งกระด้างราวกับดาบกระทบโลหะ “เจ้ายังไม่ตายหรือ?”
น้ำเสียงนั้นไม่มีความยินดี ไม่มีแม้แต่ความประหลาดใจ แต่มีเพียงการตั้งคำถามที่เต็มไปด้วยการเย้ยหยันและดูถูก
ชิงเฟยรู้สึกถึงความโกรธที่พุ่งขึ้นมาในอก ถ้าเป็น หลี่เหมี่ยวเจิ้ล คนเดิม คงจะก้มหน้าเงียบงันด้วยความหวาดกลัว แต่เธอคือ ชิงเฟย ประธานบริษัทที่ถูกคู่แข่งดูถูกจนถึงที่สุด เธอจะไม่มีวันยอมให้ใครมาเหยียบย่ำเช่นนี้
ชิงเฟยวางถ้วยชาลงอย่างแผ่วเบา แต่เสียงกระทบกันของถ้วยชาและจานรองนั้นกลับดังชัดในความเงียบ
เธอจ้องกลับไปที่เขาด้วย “สายตาประธานบริษัท” ที่เย็นชาไม่แพ้กัน
“องค์ชายใหญ่กำลังกลับจากสนามรบที่เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า แต่กลับมาที่เรือนของพระชายาเพื่อถามคำถามที่ ไร้สาระ เช่นนี้หรือเพคะ?” ชิงเฟยตอบกลับอย่างเยือกเย็นและรวดเร็ว “หม่อมฉันเป็นพระชายาของท่าน เป็นผู้ที่คอยจัดการดูแลจวนตามที่ราชโองการระบุไว้ หากหม่อมฉันตายไปก่อนเวลาอันควร ใครเล่าจะรับผิดชอบชื่อเสียงอันเสียหายของ องค์ชายใหญ่ผู้เก่งกาจ ที่ไม่สามารถดูแลแม้แต่พระชายาของตนให้รอดจากเงื้อมมือของคนสารเลวได้?”
บรรยากาศในห้องแข็งตัวทันที
หลี่ชุนเฟยชะงักไปเล็กน้อย ดวงตาของเขายิ่งหรี่ลง จ้องมองพระชายาที่เคยอ่อนแออย่างไม่เข้าใจ
นางไม่เหมือนเดิม
“นี่เจ้ากำลังสอนข้าหรือ?” หลี่ชุนเฟยถามด้วยน้ำเสียงที่ลดระดับลงอีกขั้น เป็นเสียงที่เตือนถึงอันตรายอย่างแท้จริง
“เปล่าเลยเพคะ หม่อมฉันเพียงแค่แจ้ง ความเสี่ยงทางธุรกิจ ที่ท่านกำลังมองข้ามไป” ชิงเฟยตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน “การที่หม่อมฉันไม่ตาย แสดงว่าหม่อมฉันยังมี มูลค่า ต่อท่าน ยังมี ศักยภาพ ที่จะนำมาซึ่งผลประโยชน์ได้ ถ้าหากท่านยังคงปฏิบัติกับหม่อมฉันเยี่ยง สินค้าที่ไม่มีราคา เช่นนี้ ก็จะนำมาซึ่งความสูญเสียในอนาคตอันใกล้”
เขาไม่เคยคิดว่าพระชายาที่เคยเย็นชาและเก็บตัวคนนี้ จะกล้าพูดจาประหลาด ๆ เต็มไปด้วยศัพท์แสงที่ไม่เคยได้ยิน และที่สำคัญที่สุดคือ... กล้า ตอกกลับ เขาอย่างเผ็ดร้อนถึงเพียงนี้
หลี่ชุนเฟยพ่นลมหายใจออกมาอย่างขบขัน เป็นรอยยิ้มที่ไม่ได้มีความสุข แต่เป็นรอยยิ้มของการค้นพบสิ่งที่น่าสนใจ
“น่าสนใจ” เขากล่าว “เจ้าเปลี่ยนไปมาก ดูเหมือนความเจ็บป่วยจะไม่ได้ทำให้เจ้าอ่อนแอ แต่ทำให้เจ้าพูดจาเหลวไหลได้มากขึ้น”
“หม่อมฉันไม่ได้พูดจาเหลวไหลเพคะ” ชิงเฟยลุกขึ้นยืนช้า ๆ ท่าทางสง่างามแต่แฝงไปด้วยความเด็ดขาด “หม่อมฉันกลับไปจัดการ คนงานที่ประสงค์ร้าย ในจวนให้เรียบร้อยแล้ว ถ้าท่านไม่เชื่อ ลองไปถามพวกบ่าวไพร่ดูได้ว่า หลี่เหมี่ยวเจิ้ลคนใหม่ เป็นคนแบบไหน”
“และสิ่งที่สำคัญที่สุด” ชิงเฟยก้าวเข้าใกล้หลี่ชุนเฟยอีกหนึ่งก้าว ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยไฟที่ทอประกาย “หม่อมฉันหวังว่าองค์ชายใหญ่จะทรงเข้าใจว่า นับจากนี้ไปความสัมพันธ์ระหว่างเราจะไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของ ความรัก หรือ ความสงสาร แต่จะอยู่บนพื้นฐานของ ผลประโยชน์ร่วมกัน เพียงเท่านั้น”
หลี่ชุนเฟยจ้องมองดวงตาที่เปิดเผยและแข็งกร้าวคู่นั้นอย่างไม่กระพริบตา เขานิ่งไปนานจนเกือบจะน่าอึดอัด ก่อนที่เขาจะยื่นมือมาข้างหน้าอย่างไม่คาดฝัน และใช้ปลายนิ้วสัมผัสที่บาดแผลเล็ก ๆ บนแก้มของเธอ
ชิงเฟยตัวแข็งทื่อ การสัมผัสที่ไม่ได้แสดงความอ่อนโยน แต่กลับเป็นการตรวจสอบที่ทำให้เธอรู้สึกเหมือนถูกพยัคฆ์ดมกลิ่น
“ดี... พระชายาผู้มีราคา” หลี่ชุนเฟยกล่าวด้วยเสียงเย็นชา ดวงตาของเขามืดมัวไปด้วยความรู้สึกที่ยากจะคาดเดา “ข้าหวังว่าเจ้าจะมี ราคา ที่สูงพอที่ข้าจะยอมเก็บเจ้าไว้ในจวนนี้ และข้าจะเฝ้ารอดูว่าเจ้าจะทำให้ข้าสนใจได้อีกนานแค่ไหน”
เขาดึงมือกลับ และหันหลังเดินออกจากเรือนไปทันที โดยไม่รอคำตอบใด ๆ ทิ้งไว้เพียงกลิ่นดินปืนและกลิ่นอายของบุรุษผู้เย็นชาที่เพิ่งกลับจากสงคราม
ชิงเฟยทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้อีกครั้ง เธอรู้สึกเหนื่อยล้ากว่าการเจรจาธุรกิจพันล้านครั้งไหน ๆ แต่เธอก็ยิ้มเยาะให้กับตนเองอย่างผู้มีชัย
หลี่ชุนเฟย องค์ชายผู้เครียดแค้น แม่ทัพพยัคฆ์ คุณจะรู้ซึ้งถึงความยากลำบากในการจัดการกับนักธุรกิจสาวผู้ผิดหวังในความรักก็คราวนี้แหละ!
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!