...บทนำ...
ในยุคสมัยที่เวทมนตร์รุ่งโรจน์ โลกเต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติทั้งที่งดงามและน่าหวาดหวั่น เหล่ามนุษย์ผู้ซึ่งปรารถนาความสงบสุขอย่างแท้จริงจึงได้มารวมตัวกัน พวกเขารู้สึกเหนื่อยหน่ายกับการแก่งแย่งอำนาจ การสู้รบกับปีศาจร้าย และความผันผวนของพลังเวทมนตร์ พวกเขาโหยหาชีวิตที่เรียบง่าย ปลอดภัย และเป็นไปตามครรลองของมนุษย์ผู้ธรรมดา
ด้วยความหวังอันแรงกล้า พวกเขาจึงเดินทางไปยังสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เพื่อเข้าพบกับ "พ่อมดผู้สร้าง" ผู้ทรงอำนาจและเมตตา เพื่อขอร้องให้เขาสร้างสถานที่ที่ปราศจากเวทมนตร์และภัยอันตรายจากโลกเหนือธรรมชาติพวกเขาต้องการเพียงแค่ดินแดนที่พวกเขาจะสามารถใช้ชีวิตอย่างสงบสุข สร้างครอบครัว และเติบโตไปตามธรรมชาติของมนุษย์
พ่อมดผู้สร้างผู้เข้าใจถึงความปรารถนาอันบริสุทธิ์นั้น รับฟังคำขอร้องด้วยความเห็นใจ ด้วยพลังเวทมนตร์อันไร้ขีดจำกัด เขาเริ่มร่ายเวทมนตร์ครั้งยิ่งใหญ่ สร้างมิติใหม่ขึ้นมา มิติซึ่งกฎเกณฑ์ของเวทมนตร์ไม่อาจเข้าถึงได้โลกที่ปราศจากอิทธิพลของพลังวิเศษและสัตว์ร้ายจากโลกอื่น
เมื่อการสร้างเสร็จสิ้น โลกใหม่นั้นก็ปรากฎขึ้น เป็นดินแดนที่งดงามและสงบสุข แสงอาทิตย์สาดส่องอย่างอบอุ่น สายลมพัดผ่านทุ่งหญ้าเขียวขจี แม่น้ำไหลรินอย่างใสสะอาด และผืนดินอุดมสมบูรณ์พร้อมสำหรับการเพาะปลูก พ่อมดผู้สร้างขนานนามโลกแห่งใหม่นี้ว่า "โฮป" – โลกแห่งความปรารถนา
พ่อมดผู้สร้างได้ทำการตัดขาดโลกโฮปออกจากโลกเวทมนตร์อย่างสมบูรณ์ ไม่มีประตูมิติ ไม่มีช่องทางใด ๆ ที่จะเชื่อมต่อระหว่างสองโลกนี้ได้อีกต่อไป กฎเกณฑ์ของโลกโฮปถูกสร้างขึ้นให้แตกต่างไปจากโลกเดิมโดยสิ้นเชิง เวทมนตร์ใด ๆ ที่ถูกนำมาจากโลกอื่นจะสูญสิ้นพลังลงทันที ปีศาจร้ายหรือสิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติไม่สามารถดำรงอยู่ได้ในสภาพแวดล้อมนี้
หลายร้อยปีต่อมา
“อ่านหนังสือเล่มนั้นอีกแล้วเหรอ” หญิงสาวเดินเข้ามาในบ้าน เธอยิ้มเอ่ยถามลูกชายวัยแปดขวบที่นั่งอ่านหนังสือเล่มโปรดของเขาอยู่หน้าเตาผิง
เด็กชายละจากหนังสือมองผู้เป็นแม่ด้วยรอยยิ้มร่า “นี่คุณแม่ผมอยากไปที่โลกนั้นอีกสักครั้งได้ไหมฮะ”
ปี 2185 เมืองใหญ่รีนอคเชลคึกคักไปด้วยชีวิตชีวา ผู้คนเดินขวักไขว่บนถนนหนทาง เช่นเดียวกับยานยนต์ล้ำสมัยที่สัญจรไปมาบนท้องฟ้า ตึกระฟ้าสูงตระหง่านเรียงรายราวกับกำแพงมหึมา สะท้อนสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานความงามสง่าและความแปลกตาได้อย่างลงตัว บนท้องฟ้ามีโดรนส่งของบินไปมาพร้อมกับของมี่มันต้องไปส่ง ยานพาหนะก็ขับเคลื่อนโดย(AI)ไม่มีมนุษย์ขับเคลื่อนพวกมันด้วยตัวเองอีกต่อไป
ห่างออกไปไกลหลายกิโลเมตร
ณ หมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางอ้อมกอดของผืนป่าเขียวขจี ในห้วงเวลาพลบค่ำ แสงสุดท้ายของวันค่อย ๆ ลอดผ่านเรือนยอดไม้สูงตระหง่าน สาดส่องเป็นลำแสงสีทองลงมายังหลังคาที่ตั้งเรียงรายอย่างเรียบง่าย ไอเย็นจากผืนป่าเริ่มแผ่ซ่าน ปกคลุมหมู่บ้านด้วยความเงียบสงบและเย็นสบาย เสียงจิ้งหรีดและแมลงกลางคืนเริ่มบรรเลงเพลงกล่อมราวกับวงดนตรีธรรมชาติที่ขับขานบทเพลงแห่งความเงียบสงัด เสียงลมพัดเบาๆ ผ่านใบไม้ดังซ่าราวกับเสียงกระซิบของธรรมชาติที่เล่าขานเรื่องราวแห่งความสงบสุข กลิ่นดิน กลิ่นใบไม้ และกลิ่นดอกไม้ป่าที่โชยมาตามลมสร้างบรรยากาศที่บริสุทธิ์และสดชื่นได้ไม่น้อย
ควันไฟจางๆ ลอยขึ้นจากปล่องไฟของแต่ละบ้านเป็นสัญญาณของการเตรียมอาหารเย็นแสงสว่างนวลตาจากตะเกียงและกองไฟเล็กๆ หน้าบ้านส่องลอดออกมาจากหน้าต่างไม้บ่งบอกถึงความอบอุ่นและความเป็นกันเองของผู้คนที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้ ราวกับว่าเทคโนโลยีและความทันสมัยยังมาไม่ถึง
เด็กน้อยวิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนานบนลานดินหน้าบ้าน เสียงหัวเราะคิกคักดังก้องกังวานไปทั่วหมู่บ้านก่อนที่ผู้ใหญ่จะเรียกให้กลับเข้าไปในบ้านเพื่อทานอาหารเย็น ผู้สูงอายุนั่งอยู่บนเก้าอี้ใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่พูดคุยกันเบาๆ ถึงเรื่องราวในอดีตหรือไม่ก็มองดูลูกหลานเล่นซนด้วยรอยยิ้มที่เปี่ยมสุข
บรรยากาศของหมู่บ้านชนบทแห่งนี้เต็มไปด้วยความเรียบง่าย ความสงบสุข และความผูกพันของผู้คนกับธรรมชาติ เป็นสถานที่ที่เวลาดูเหมือนจะเดินช้าลงเป็นที่พักพิงทางจิตใจที่อบอุ่นและปลอดภัย ห่างไกลจากความวุ่นวายของโลกภายนอกราวกับเป็นอีกโลกหนึ่งที่ถูกโอบล้อมด้วยความงดงามและความเงียบสงบของผืนป่าบรรยากาศที่นี่เงียบสงบและผ่อนคลาย อากาศบริสุทธิ์ และด้วยทำเลที่ตั้งติดกับชายฝั่งทะเลทำให้หมู่บ้านแห่งนี้กลายเป็นสถานที่พักผ่อนยอดนิยมสำหรับผู้ที่ต้องการหลีกหนีจากความวุ่นวายในเมืองใหญ่ นอกเหนือจากชาวบ้านที่อาศัยอยู่แล้วยังมีนักท่องเที่ยวจำนวนไม่น้อยที่เดินทางมาเพื่อสัมผัสความสงบและดื่มด่ำกับธรรมชาติอันแสนงดงาม
ที่บริเวณท้ายหมู่บ้านปรากฎภาพของฟาร์มขนาดใหญ่ เครื่องจักรเก่าแก่เคลื่อนที่อย่างเชื่องช้าในทุ่งโล่งกว้าง เสียงขบเคี้ยวของโลหะที่ดังเป็นระยะบ่งบอกถึงอายุการใช้งานที่ยาวนานของมันภายในฟาร์มมีเครื่องจักรกลหลากหลายชนิดที่ถูกนำมาใช้เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระงานของมนุษย์ ยุคสมัยแห่งการพัฒนาเทคโนโลยีได้นำมาซึ่งสิ่งอำนวยความสะดวกสบายมากมายเกินกว่าที่มนุษย์ในอดีตจะจินตนาการได้ รถยนต์ที่สามารถวิ่งได้ทั้งบนบกและในน้ำโดยไม่ต้องใช้น้ำมัน ระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ชาญฉลาดสามารถปฏิบัติงานต่างๆ แทนมนุษย์ได้อย่างน่าอัศจรรย์ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนดูราวกับเวทมนตร์ที่กลายเป็นความจริงในโลกแห่งนี้
แสงอาทิตย์สีส้มทองจางหายไปจากขอบฟ้าท้องนภาเริ่มเปลี่ยนสีเป็นสีน้ำเงินเข้ม แสงสุดท้ายของวันกำลังลาลับไปอย่างช้าๆ คนงานในฟาร์มต่างทยอยต้อนสัตว์เลี้ยงกลับเข้าคอกอย่างเป็นระเบียบ เครื่องจักรกลขนาดใหญ่เคลื่อนตัวกลับไปยังที่จอดของมันเองโดยไม่ต้องมีใครเข้าไปบังคับควบคุม
แอริส ชารอน หญิงสาวร่างเล็กใบหน้าแสดงความอ่อนล้าอยู่ตลอดเวลา ยืนมองภาพทุ่งฟาร์มที่เปลี่ยนสีสันผ่านหน้าต่างห้องนั่งเล่น แสงสุดท้ายของวันทาบทอเป็นสีส้มอมชมพูก่อนจะถูกแทนที่ด้วยสีน้ำเงินเข้มยามค่ำคืนด้วยร่างกายที่อ่อนแอมาตั้งแต่กำเนิดสามีของเธอจึงสั่งห้ามไม่ให้เธอทำงานหนักในฟาร์มโดยเด็ดขาด แอริสเดินช้าๆไปนั่งลงบนโซฟาตัวยาวที่ตั้งอยู่ตรงกับหน้าต่างบานใหญ่ซึ่งทำให้เธอสามารถมองเห็นทัศนียภาพของฟาร์มได้จากมุมนี้และยังสามารถมองเห็นรถของสามีเธอได้ในตอนที่เขากลับมาถึง
เวลาผ่านไปเนิ่นนานแสงจันทร์เริ่มสาดส่องผ่านม่านหน้าต่างเข้ามาในห้องแต่คนที่เธอรอคอยยังคงไม่กลับมาความกังวลเริ่มฉายชัดบนใบหน้าของแอริส บางทีรถของเขาอาจเสียระหว่างทางและเขาอาจต้องติดค้างอยู่ที่ไหนสักแห่งแถวนั้น เพราะมันไม่ใช่ครั้งแรกที่สามีเธอกลับบ้านช้ากว่าปกติเนื่องจากรถเสียหรือบางทีเขาอาจจะนอนค้างที่เมืองด้วยธุระบางอย่าง
ความเหนื่อยล้าเริ่มเข้าครอบงำแอริสตัดสินใจที่จะเข้านอนเธอค่อยๆ ลุกขึ้นจากโซฟาเดินไปตรงบันไดที่ทอดยาวยังชั้นสองของบ้านด้วยความอ่อนแรง สายตาของเธอยังคงหันกลับมาสอดส่ายมองออกไปยังความมืดมิดภายนอกเป็นระยะ ด้วยความหวังเล็กๆ ว่าเธอจะเห็นแสงไฟหน้ารถของสามีเธอในไม่ช้า
แต่แล้วเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นอย่างหนักหน่วงขัดจังหวะความคิดของแอริส แอริสมั่นใจว่าสามีของเธอพกกุญแจบ้านติดตัวอยู่ตลอดเวลาแล้วในยามวิกาลเช่นนี้จะเป็นใครกันที่มาหา? ความสงสัยและความประหลาดใจฉายชัดบนใบหน้าของเธอ
โดยปกติในยุคสมัยเทคโนโลยีก้าวไกลขนาดนี้ทุกบ้านจะติดกล้องวงจรอัจฉริยะที่จะมีเซนเซอร์ตรวจจับได้และแจ้งเข้ามาผ่านหน้าจอของหุ่นยนต์แม่บ้านก่อนที่จะมาถึงหน้าประตูด้วยซ้ำ แต่กลับมีคนมาถึงหน้าประตูโดยไม่มีการแจ้งเตือนใดๆ
"เธอจะไปดูพระจันทร์กับฉันไหม" เสียงที่คุ้นเคยของผู้หญิงดังลอดผ่านประตูเข้ามา
หัวใจของแอริสเต้นระรัวเธอจำเสียงนั้นได้ไม่มีวันลืมได้เลย! มือของแอริสสั่นเทาขณะที่เธอสาวเท้าไปยังประตู ประตูเปิดออกอย่างรวดเร็วราวกับมีใครบางคนรออยู่ด้านนอกทันทีที่ประตูเปิดกว้างแอริสก็โผล่เข้ากอดร่างตรงหน้าอย่างแรงด้วยความคิดถึงที่อัดแน่นมานานหลายปี หญิงสาวรับร่างของแอริสไว้จนเสียหลักล้มลงไปนั่งก้นกระแทกพื้น
"เธอทำฉันเจ็บทุกครั้งที่เจอกันเลยนะสาวน้อย" หญิงสาวพูดพลางหัวเราะเบาๆน้ำเสียงยังคงไพเราะและสดใสเหมือนเดิม
"เธอ... เธอทิ้งฉันไปตั้งหลายปีหายไปไหนมาจนถึงตอนนี้ แคลร์!" แอริสกอดร่างตรงหน้าแน่นเสียงอู้อี้ฟังลำบากขณะที่ใบหน้าซุกอยู่ที่อกของอีกฝ่ายน้ำตาเริ่มไหลรินออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
แอริสผละตัวออกมาเช็ดน้ำตาออกจากแก้มอย่างลวกๆจ้องมองใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างฉงนพร้อมตั้งคำถามมากมาย แคลล์์ยังคงมีรอยยิ้มเหมือนเมื่อก่อรอยยิ้มที่เจิดจ้าดังดวงอาทิตย์ที่แอริสเคยเห็นมาตลอด
"ขอโทษนะ อย่าร้องไห้สิเธอก็รู้ว่าการมาที่นี่มันยากแค่ไหนและงานฉันก็ยุ่งมากด้วย อีกอย่าง... ไม่ใช่ว่าฉันเพิ่งมาหาเธอไปเมื่อสามปีที่แล้วหรอกเหรอ?" แคลร์อธิบายพลางลูบผมเพื่อนรักอย่างเอ็นดูพร้อมกับดึงให้แอริสลุกขึ้นยืน
"แล้ววันนี้ทำไมถึงมาได้ล่ะ?" แอริสถามพลางลุกขึ้นตามแรงดึงของแคลร์น้ำตายังคงคลอเบ้า
แคลร์ยิ้มกว้างหันหน้าไปทางต้นไม้ใหญ่ที่ยืนต้นสง่าอยู่หน้าบ้านแอริสมองตามสายตาของเพื่อนไปเธอสังเกตเห็นกลุ่มผมสีน้ำเงินเข้ม ซ่อนอยู่หลังลำต้นดวงตาของแอริสเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยเมื่อศีรษะเล็กนั้นค่อยๆ ขยับออกมาพร้อมกับดวงตากลมโตที่เต็มไปด้วยความซุกซนเด็กชายยิ้มแป้นวิ่งตรงมาหาพวกเธอทั้งสองอย่างร่าเริงโดยมีละอองสีทองเล็กๆ ลอยอ้อยอิ่งอยู่รอบตัว
"อ้าว ว่าไงเจนัส โตขึ้นอีกแล้วนะ" แอริสเอ่ยทักทายเด็กชายด้วยความเอ็นดู
"ปีนี้เขาก็แปดขวบแล้วล่ะ" แคลร์หัวเราะเบาๆ พร้อมกับอุ้มลูกชายตัวน้อยขึ้นมาทันทีที่เขาวิ่งมาถึงตัว
"สวัสดีครับ" เจนัสกล่าวทักทายกลับด้วยรอยยิ้มอันแสนสดใส
ดวงตาของเขาเป็นประกายซุกซน เด็กคนนี้ช่างมีรอยยิ้มที่สดใสไม่ต่างจากแม่ของเขาเลยแอริสเผลอยิ้มให้กับภาพตรงหน้า เพื่อนรักของเธอมีลูกชายที่น่ารักและเหมือนกันราวกับพิมพ์เดียวกันขนาดนี้
"เฮ้อ... ไม่ว่าจะเห็นกี่ครั้งก็น่าอิจฉาเธอที่มีลูก" แอริสมีสีหน้าเศร้าลงเล็กน้อยเมื่อจบประโยคน้ำเสียงของเธอแฝงไปด้วยความรู้สึกบางอย่างที่อธิบายไม่ถูก
"อย่าพูดแบบนั้นสิ สามีเธอก็เอาใจใส่ดีนี่น่าหมอนั่นเป็นคนดีเกินคาดเลยนะ" แคลร์กล่าวพลางลูบหลังเพื่อนเบาๆ
"แต่ฉันมีลูกไม่ได้นี่นา แบบนั้นจะเป็นครอบครัวได้ยังไง..." น้ำเสียงของแอริสแผ่วเบาลง
"ยัยบ๊อง!" แคลร์อุทานออกมาเสียงดังเล็กน้อย
"อ๊ะ!" แอริสร้องออกมาด้วยความตกใจ แคลร์วางเจนัสลงกับพื้นแล้วหันไปดีดหน้าผากของแอริสเบาๆแอริสยกมือขึ้นลูบหน้าผากมองเพื่อนรักด้วยความสับสน
"อะไรทำให้เธอคิดว่าครอบครัวต้องมี พ่อ แม่ ลูก กันห๊ะ?" แคลร์ขยับเข้าไปใกล้แอริสพูดใส่หน้าเธอเสียงดังอย่างจริงจัง
"ฉันก็เป็นครอบครัวของเธอนะ สามีเธอก็ใช่ทุกคนในหมู่บ้านนี้ก็เป็นครอบครัวของเธอนะ" แคลร์จับไหล่ทั้งสองข้างของแอริสมองเข้าไปในดวงตาของเธออย่างหนักแน่น
หมู่บ้านเพนโวเล่แห่งนี้มีขนาดเล็กทุกคนจึงรู้จักและพึ่งพาอาศัยกันดูแลกันเสมือนคนในครอบครัวความผูกพันแน่นแฟ้นจนกระทั่งเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา หมู่บ้านแห่งนี้เริ่มเป็นที่รู้จักและกลายเป็นจุดหมายปลายทางสำหรับนักท่องเที่ยวและคนร่ำรวยจากเมืองใหญ่ แอริสได้ยินคำพูดของแคลร์ก็พลันตระหนักได้ว่าแท้จริงแล้วหมู่บ้านแห่งนี้คือครอบครัวคือบ้านของเธอและผู้คนที่นี่ก็เป็นเหมือนญาติพี่น้องแม้เธอจะไม่มีลูกเป็นของตัวเองแต่เด็กๆในหมู่บ้านก็ช่วยเติมเต็มความรู้สึกเหงาในใจเธอได้เสมอมาแม้ว่าในบางครั้งเธอจะรู้สึกน้อยใจอยู่บ้างเมื่อเห็นเด็กๆทุกคนต้องกลับบ้านไปหาพ่อแม่ของตนเอง
"เรื่องนั้น... ฉันก็แค่... อยากจะรู้สึกถึงการเป็นแม่คนก็แค่นั้นเองฉันอยากจะเลี้ยงดูและคอยเฝ้ามองการเติบโตของเด็กคนนั้นอย่างช้าๆ..." น้ำเสียงของแอริสแผ่วเบาลงในตอนท้าย ประโยคสุดท้ายของเธอแทบจะเป็นเสียงกระซิบ
เจนัสเด็กชายตัวน้อยมองคนทั้งสองด้วยความสงสัยไม่เข้าใจว่าพวกเขากำลังพูดคุยเรื่องอะไรกัน แต่เขาก็รับรู้ได้ถึงความเศร้าที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงของหญิงสาวอีกคน "แม่" เจนัสเดินเข้าไปดึงชายเสื้อของแคลร์เบาๆ การกระทำนั้นทำให้แคลร์นึกขึ้นได้ถึงเหตุผลที่แท้จริงของการมาเยือนในครั้งนี้
"ถ้างั้นก็ฝากดูแลเจนัสทีสิ ได้ไหม? ฉันขอย้ายมาทำงานฝั่งนี้เพื่อเธอเลยนะ รู้ไหม... นี่ฟังก่อน!" แคลร์รีบยกมือขึ้นห้ามเมื่อเห็นว่าเพื่อนรักกำลังจะเอ่ยปากพูดอะไรบางอย่าง
"ฟังให้จบก่อนค่อยดุทีหลัง..." แคลร์ย้ำเสียงหนักแน่น
"ฉันรู้ว่างานที่ทำมันอันตราย พอดีว่ามันมีเหตุการณ์แปลกๆ เกิดขึ้นที่โลกฝั่งนี้ฉันก็เลยถือโอกาสนี้มาที่นี่โดยการอาสามาทำหน้าที่สังเกตการณ์ในฝั่งนี้ไปสักระยะ แล้วก็จะได้มาหาเธอด้วยไงนี่ฉันคิดมาดีเลยนะเนี่ย!" แคลร์ยืดอกอย่างภูมิใจในความคิดอันชาญฉลาดของตนเองแต่สีหน้าของแอริสกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น เธอกลับขมวดคิ้วมุ่นด้วยความเป็นห่วง
"ดีใจนะที่เธอยังนึกถึงฉันบ้าง... แต่ก็ไม่ควรเเอาลูกชายที่อายุแค่แปดขวบมานีมันอันตรายไม่ใช่หรือไง!" แอริสโวยวายออกมาอย่างหัวเสียน้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความกังวลที่เพื่อนรักพาลูกชายข้ามโลกมาทำงานที่อาจเป็นอันตราย
"ทะเลาะกันเหรอครับ? ผมน่ะอยากตามมาเองต่างหาก อย่าโกรธคุณแม่เลยนะครับคุณน้า" เจนัสที่ยืนอยู่ระหว่างทั้งสองเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน มองแอริสด้วยดวงตากลมโต
"ไม่จ้ะ ไม่ใช่อย่างนั้นเสียหน่อยเราไม่ได้ทะเลาะกัน นี่เจนัส ลูกต้องอยู่ที่นี่สักสองสามวันนะ หรือจะเรียกได้ว่า... นั่นคือแม่อีกคนของลูกก็ได้" แคลร์ก้มลงบอกลูกชาย กระซิบเบาๆ ในช่วงท้ายประโยค พร้อมกับหัวเราะชอบใจกับความคิดของตนเอง แอริสได้ยินทุกคำพูดอย่างชัดเจน ใบหน้าของเธอเริ่มแดงก่ำราวกับมะเขือเทศเธอตะโกนชื่อแคลร์ออกมาอย่างเขินอาย
"แคลร์!"
คำว่า 'แม่' เป็นคำที่เกินกว่าความฝันของเธอมากนักด้วยร่างกายที่อ่อนแอจนไม่สามารถมีลูกได้แคลร์หัวเราะร่ากับปฏิกิริยาของเพื่อนรักตรงหน้าเธออุ้มลูกชายขึ้นมาจูบที่แก้มเบาๆ ก่อนจะยื่นลูกชายให้กับแอริสจนเธอต้องรับมาไว้อย่างลนลาน ราวกับว่านี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้อุ้มเด็กน้อยอย่างแท้จริง เจนัสมองแอริสด้วยรอยยิ้มสดใสและดวงตาสีอเมทิสต์กลมโตที่เหมือนกับดวงตาของแม่เขา เว้นแต่ผมสีน้ำเงินเข้มที่แตกต่างออกไป แคลร์นั้นมีผมสีดำเงางาม
"แม่?" เจนัสทวนคำด้วยความสงสัยก่อนจะยิ้มออกมาอย่างดีใจ "แม่! ตอนนี้คุณน้าเป็นแม่ผมในโลกนี้แล้ว!" เด็กชายพูดอย่างตื่นเต้น
เขาหลงใหลในโลกที่สร้างขึ้นจากการอ่านผ่านหนังสือประวัติศาสตร์เรื่อง 'บันทึกการเดินทางของพ่อมดผู้สร้าง' จึงอยากมาลองสัมผัสโลกที่ไร้เวทมนตร์แห่งนั้นดูบ้าง และเป็นเรื่องที่โชคดีมากที่แม่ของเขามีเพื่อนเป็นมนุษย์อยู่ในโลกนี้ทำให้การมาที่นี่ง่ายขึ้นแม้จะต้องอ้อนวอนอยู่นานก็ตาม
ก้อนเนื้อในอกของแอริสพองโตขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเมื่อคำว่า 'แม่' หลุดออกมาจากปากของเด็กชายในอ้อมแขน ขอบตาของเธอเริ่มร้อนผ่าวราวกับเธอรอคอยคำนี้มานานแสนนานแคลร์ยิ้มอย่างอ่อนโยนให้กับทั้งสองก่อนจะยื่นมือออกมาลูบผมสีน้ำเงินเข้มของลูกชายอย่างแผ่วเบา ทันใดนั้นเองก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นสีผมของเจนัสค่อยๆ แปรเปลี่ยนจากสีน้ำเงินเข้มเป็นสีดำเงางาม เหมือนกับสีผมของแคลร์
"อยู่กับคุณแม่แอริสแล้วเป็นเด็กดีนะ รู้ไหม?" แคลร์บอกลูกชายด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แอริสไม่ได้แสดงอาการตกใจเลยแม้แต่น้อยกับสีผมที่เปลี่ยนไปของเจนัสเมื่อครู่นั่นไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอได้เห็นแคลร์แสดงสิ่งที่เหนือธรรมชาติออกมา ในทางตรงกันข้ามแอริสมักจะรู้สึกตื่นเต้นเสียมากกว่าทุกครั้งที่เพื่อนสาวของเธอใช้เวทมนตร์
"แม่ต้องไปแล้ว ฝันดีนะเจ้าดาวดวงน้อยของแม่เดี๋ยวมารับนะ" แคลร์ก้มลงจูบหน้าผากมนของลูกชายอย่างรักใคร่ แอริสมองเพื่อนสาวของตนด้วยความเป็นห่วงอย่างสุดหัวใจ
"เอาล่ะ ฉันต้องไปแล้วดูแลตัวเองด้วยนะรู้ไหม? ไม่ต้องรอหมอนั่นจนมืดค่ำทุกวันก็ได้" แคลร์เดินออกไปทางประตูหน้าหยุดชะงักฝีเท้าลงหันกลับมาโบกมือให้ทั้งสอง เจนัสโบกมือกลับด้วยรอยยิ้มไร้เดียงสาแคลร์หันไปรอบตัว ทันใดนั้นเองก็มีลมพัดผ่านแผ่วเบาแล้วค่อยๆ แรงขึ้นราวกับพายุลูกเล็กแอริสต้องหลับตาลงเพื่อหลีกเลี่ยงฝุ่นที่ลอยคลุ้งในอากาศ
เธอไปแล้ว...
แอริสมองเด็กชายในอ้อมแขนเจนัสหัวเราะคิกคักอย่างสนุกสนานเมื่อมารดาของตนหายตัวไป ไม่มีน้ำตา ไม่มีเสียงงอแงเรียกหาแม่ ช่างไม่รู้ประสีประสาเสียเลยว่ามารดากำลังไปเผชิญกับอันตราย แอริสยิ้มให้กับเด็กชาย เธอหันหลังเดินเข้าบ้านไป ถ้าให้เปรียบเทียบงานที่แคลล์ทำคงจะคล้ายกับตำรวจแต่เธอไม่รู้รายละเอียดเกี่ยวกับงานของเพื่อนสาวคนนี้มากนักเพราะไม่เคยถาม และแคลล์เองก็ไม่เคยเล่า . . . .
เช้าวันรุ่งขึ้น จูโน่ ชารอน สามีของแอริสกลับมาถึงบ้านเขาเป็นชายผิวสีเข้มร่างกายกำยำสมกับเป็นเจ้าของฟาร์ม ภาพที่เขาเห็นคือเด็กชายตัวเล็กวิ่งเล่นอย่างร่าเริงอยู่ในบ้านจูโน่หันไปยิงคำถามใส่ภรรยาของเขาทันที คงต้องใช้เวลาอธิบายกันนานพอสมควรแต่โชคดีที่จูโน่ก็รับรู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของเพื่อนรักภรรยาของเขาการอธิบายเรื่องราวต่าง ๆ จึงง่ายขึ้นกว่าที่คิดไว้มาก
ในระหว่างที่เจนัสใช้ชีวิตอยู่ในฟาร์มอันกว้างใหญ่ของจูนโน่สิ่งหนึ่งที่ดึงดูดความสนใจของเขาเป็นอย่างมากคือเครื่องจักรกลต่าง ๆ ที่เคลื่อนไหวทำงาน หุ่นยนต์แม่บ้านรูปร่างประหลาดที่ชื่อว่าเพลส่วนหัวเป็นกล่องสี่เหลี่ยมมีจอที่สามารถแสดงภาพต่าง ๆได้บ่างครั้งมันก็แสดงสีหน้าของตัวเองมันรับคำสั่งและทำงานอย่างขยันขันแข็ง ทุกสิ่งทุกอย่างแตกต่างจากสิ่งที่เขาเคยเห็นในโลกเวทมนตร์อย่างสิ้นเชิงที่ซึ่งการเกษตรส่วนใหญ่ยังคงพึ่งพาเวทมนตร์หรือแรงงานคนและสัตว์วิเศษ เจนัสเฝ้ามองรถแทรกเตอร์ขนาดใหญ่ที่ไถพรวนดินอย่างมีประสิทธิภาพ รถเก็บเกี่ยวที่เคลื่อนที่ไปตามทุ่งข้าวโพดอย่างรวดเร็วและเครื่องจักรอื่น ๆ ที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนพวกมันส่งเสียงดังสนั่นและทำงานอย่างแข็งขันราวกับสิ่งมีชีวิตที่มีชีวิตเป็นของตัวเอง เขาอดสงสัยไม่ได้ว่าเครื่องจักรเหล่านี้ทำงานได้อย่างไรมันไม่มีเวทมนตร์ไม่มีพลังวิเศษใดๆ ที่ขับเคลื่อนพวกมัน
"นี่ลุงครับ นั่นคืออะไรเหรอครับ ทำไมมันถึงเคลื่อนที่ได้?" เจนัสชี้ไปยังรถแทรกเตอร์ที่กำลังไถดินอยู่ จูโน่อธิบายด้วยรอยยิ้ม
"อ๋อ นั่นคือรถแทรกเตอร์มันใช้เครื่องยนต์ที่ต้องใช้ไฟฟ้าถึงเคลื่อนที่ได้ มันช่วยให้เราไถดินได้เร็วและง่ายขึ้นเยอะเลย"
"เครื่องยนต์... ไฟฟ้า... มันทำงานยังไงครับ?" เจนัสถามต่อด้วยความสงสัย
จูโน่พยายามอธิบายอย่างง่ายๆถึงหลักการทำงานของเครื่องยนต์สันดาปภายในการจุดระเบิดเชื้อเพลิง และการเปลี่ยนพลังงานเป็นการเคลื่อนที่แต่สำหรับเด็กหนุ่มที่คุ้นเคยกับเวทมนตร์แล้ว มันเป็นแนวคิดที่แปลกใหม่และซับซ้อน เจนัสใช้เวลาหลายชั่วโมงในการสังเกตเครื่องจักรต่าง ๆ ในฟาร์มเขาเรียนรู้ชื่อเรียกและหน้าที่ของแต่ละชนิด ตั้งแต่รถไถ รถหว่านเมล็ด ไปจนถึงระบบชลประทานอัตโนมัติเขาเริ่มเข้าใจว่ามนุษย์ในโลกนี้ได้พัฒนาความรู้ทางวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมเพื่อสร้างเครื่องมือที่ช่วยให้พวกเขาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ความสนใจในเครื่องจักรกลเหล่านี้จุดประกายความอยากรู้อยากเห็นในตัวเจนัสเขาเริ่มอ่านหนังสือและเรียนรู้ที่จะใช้อิเทอร์เน็ตในการหาข้อมูลบางครั้งก็สอบถามผู้คนเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีของโฮปเขาพบว่ามนุษย์ที่นี่ได้สร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ มากมายโดยอาศัยความเข้าใจในกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ ไม่ใช่พลังเวทมนตร์ ประสบการณ์นี้เปิดโลกทัศน์ใหม่ให้กับเจนัสเขาเริ่มตระหนักว่ามีวิธีการอื่น ๆ ในการแก้ปัญหาและสร้างความก้าวหน้า นอกเหนือไปจากเวทมนตร์ที่เขารู้จัก การได้เห็นเครื่องจักรที่เคลื่อนไหวและทำงานได้อย่างน่าอัศจรรย์ ทำให้เขาเริ่มมองโลกในมุมมองที่แตกต่างออกไป และเป็นแรงบันดาลใจให้เขาเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ มากยิ่งขึ้นในโลกที่ปราศจากเวทมนตร์แห่งนี้
.
.
.
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!