NovelToon NovelToon

บ้านเล็กใจกลาง

1

เสียงไก่ขันยามเช้าดังลอดเข้ามาในบ้านไม้หลังเล็กที่ตั้งอยู่ท่ามกลางสวนผลไม้ พื้นไม้ที่แม้จะเก่าแต่ยังคงอบอุ่นเหมือนวันแรกที่ครอบครัวนี้เข้ามาอยู่ กลิ่นดินชื้นหลังฝนเมื่อคืนลอยปะปนมากับไอแดดอ่อน ๆ ยามเช้า

ภายในบ้าน มีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะดังขึ้นเสมอไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ตาม เพราะนี่คือบ้านของ อนันต์ พ่อที่ทำงานหนักเพื่อเลี้ยงดูครอบครัว, ดาริน แม่ผู้ใจดีที่ไม่เคยปล่อยให้บ้านนี้ขาดความอบอุ่น, และลูกทั้งสองคน นที ลูกชายคนโตผู้รับผิดชอบเกินวัย กับ อิงดาว น้องสาวคนเล็กที่มักทำให้บ้านเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ

เช้าวันนี้เหมือนเช้าอีกหลาย ๆ วัน กลิ่นข้าวสวยร้อน ๆ ลอยออกมาจากครัว “นที ไปตามน้องมากินข้าวสิลูก” เสียงแม่ดังขึ้นพร้อมรอยยิ้ม

นทีในวัยสิบเจ็ดปีวางสมุดการบ้านลง ถอนหายใจเบา ๆ ก่อนเดินไปเรียกน้องสาว “อิงดาว รีบลงมาเถอะ จะให้แม่รออีกนานไหม”

เด็กสาววัยสิบสามที่กำลังถักเปียตัวเองหน้ากระจกเงยหน้าขึ้น ตอบพี่ชายพลางทำหน้ามุ่ย “ก็หนูอยากสวยนี่นา วันนี้เพื่อนจะมาบ้านด้วยนะ”

“สวยตรงไหน หัวเปียเบี้ยวแบบนั้น” นทีเอื้อมมือไปดึงยางออกอย่างหมั่นไส้

“พี่นที! เล่นอะไรเนี่ย หนูถักตั้งนานนะ” อิงดาวตวัดเสียงแหลมใส่

เสียงโวยวายของทั้งคู่ทำให้แม่ที่ยืนจัดจานกับข้าวในครัวหัวเราะเบา ๆ “สองคนนี้ ถ้าไม่ได้หยอกกันคงแปลกจริง ๆ”

ไม่กี่นาทีต่อมา ทั้งสี่คนนั่งล้อมวงกันบนเสื่อผืนเก่า กลางโต๊ะไม้มีไข่เจียวหอมกรุ่น แกงจืดร้อน ๆ และปลาทอดตัวเล็ก ๆ ที่พ่อหามาได้จากตลาด

“กินเยอะ ๆ นะลูก จะได้มีแรงเรียน” แม่ตักข้าวให้อิงดาวจนเต็มจาน ก่อนหันไปส่งสายตากับพ่ออย่างอ่อนโยน

อนันต์พยักหน้า เขาไม่ค่อยพูดมาก แต่รอยยิ้มบนใบหน้าก็ทำให้บรรยากาศรอบโต๊ะอบอุ่นเหลือเกิน

ระหว่างกินข้าว นทีก็พูดขึ้นมา “พ่อครับ อีกหน่อยผมอยากลองไปเรียนต่อในเมืองนะ ผมอยากมีความฝันเป็นของตัวเอง”

เสียงช้อนกระทบจานเงียบลงชั่วครู่ แม่ยิ้มอ่อน แต่พ่อเลิกคิ้วเล็กน้อย

“แล้วสวนที่นี่ ใครจะช่วยดูล่ะนที พ่อแก่ขึ้นทุกวัน”

อิงดาวรีบพูดแทรก “ไม่เป็นไรหรอกพ่อ! หนูจะช่วยพ่อเอง หนูเก่งกว่าพี่นทีอีก”

นทีหันไปทำท่าจะเถียง แต่มือแม่วางลงบนแขนเขาเบา ๆ “เรื่องนั้นไว้ค่อย ๆ คุยกันก็ได้ลูก วันนี้กินข้าวให้หมดก่อนนะ”

เสียงหัวเราะเบา ๆ ของแม่ทำให้บรรยากาศกลับมาผ่อนคลายอีกครั้ง

หลังอาหารเช้า เสียงจักจั่นเริ่มดังระงมในสวน พ่อคว้าจอบออกไปทำงานเหมือนทุกวัน แม่เก็บจานด้วยท่าทีอ่อนโยน นทีหยิบหนังสือเตรียมสอบ ส่วนอิงดาวก็นั่งวาดรูปแม่ด้วยดินสอสี

ในภาพวาดนั้น แม่ยิ้มกว้างเหมือนทุกวัน… รอยยิ้มที่อบอุ่นจนทำให้บ้านไม้หลังนี้เต็มไปด้วยแสงสว่าง แม้จะเล็กเก่า แต่ก็เป็นที่ ๆ ทุกคนอยากกลับมาเสมอ

ทว่า… ในความอบอุ่นนี้ แอบแฝงเงาบางอย่างที่ยังไม่มีใครพูดถึง เงาที่เริ่มปรากฏผ่านไอไอของแม่ที่ดังขึ้นทุกคืน

2

กลิ่นหอมของแกงจืดลอยอบอวลไปทั่วครัวเล็ก ๆ ของบ้านไม้หลังนั้น เช้าวันใหม่เริ่มต้นด้วยเสียงแม่ที่กำลังฮัมเพลงเบา ๆ ระหว่างหั่นผัก เสียงนั้นเหมือนดนตรีอ่อนโยนที่ทุกคนคุ้นเคย และเป็นสัญลักษณ์ของความสุขในบ้าน

อิงดาวนั่งอยู่ตรงมุมโต๊ะไม้เก่า เธอช่วยเด็ดถั่วฝักยาวใส่ชามอย่างขยันขันแข็ง แต่สายตากลับจ้องมองแม่ตลอดเวลา

“แม่ หนูจะเด็ดไม่เท่ากันหรือเปล่าเนี่ย” เธอถามพลางย่นจมูก

แม่หัวเราะเบา ๆ “มันก็ไม่ต้องเท่ากันหรอกลูก เวลาเอาไปต้มมันก็เล็กใหญ่ปนกันอยู่ดี”

เสียงหัวเราะนั้นทำให้อิงดาวยิ้มกว้าง เธอรักเวลาที่ได้ช่วยแม่ทำอาหารที่สุด มันทำให้เธอรู้สึกว่าเธอมีคุณค่า แม้จะเป็นเพียงการเด็ดถั่วเล็ก ๆ น้อย ๆ

ไม่นาน นทีก็เดินเข้ามาในครัว เขาถือหนังสือเรียนมาด้วย สีหน้าหนักแน่นเหมือนมีเรื่องจะพูด

“แม่ครับ อีกสองเดือนโรงเรียนผมจะมีสอบเข้ามหาวิทยาลัย ผมอยากลองสอบเข้าในเมืองดู”

มือที่กำลังคนแกงของแม่หยุดชะงักเล็กน้อย ก่อนที่เธอจะยิ้มอ่อน ๆ “นที… ลูกก็โตแล้ว แม่อยากให้ลูกทำตามความฝันนะ แต่ก็อย่าลืมว่าบ้านเรายังต้องการลูกเหมือนกัน”

อิงดาวรีบเงยหน้ามองพี่ชาย “เห็นไหมล่ะพี่นที ถ้าพี่ไป หนูกับพ่อก็ต้องเหนื่อยเพิ่มนะ”

นทีถอนหายใจ “แต่ดาว พี่ก็อยากมีอนาคต อยากเรียนสิ่งที่ชอบ ไม่ใช่อยู่แต่ที่นี่”

คำพูดนั้นทำให้ห้องครัวเงียบลงชั่วขณะ จนแม่ต้องเอื้อมมือมาลูบหัวลูกชาย

“แม่เข้าใจนะลูก ทุกคนมีความฝัน แต่สิ่งที่แม่อยากบอกคือไม่ว่าลูกจะไปที่ไหน ครอบครัวจะยังเป็นบ้านของลูกเสมอ”

อิงดาวเบะปากเล็กน้อยแต่ไม่ได้เถียงต่อ เธอรู้ดีว่าพี่ชายมีความฝันจริง ๆ ทว่าความคิดที่ว่าสักวันเขาอาจจากบ้านไป ทำให้หัวใจเธอหวิวขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว

“เอาล่ะ ๆ อย่าทำหน้าเศร้ากันเลย วันนี้แม่จะทำไข่พะโล้สูตรพิเศษให้กิน” แม่พูดขึ้นพลางหัวเราะ แล้วหยิบไข่ต้มมาเรียงในหม้อ

ทันใดนั้น เสียงไอแห้ง ๆ ดังขึ้นจากแม่จนทำให้ทั้งพี่น้องหันขวับไปมองพร้อมกัน

“แม่! เป็นอะไรหรือเปล่า” อิงดาวรีบลุกพรวดเข้ามากอดแขนแม่

แม่ยิ้มบาง ๆ “ไม่เป็นไรหรอกลูก แค่สำลักคอนิดหน่อยเอง”

แต่สายตาของนทีจับจ้องอยู่กับแม่อย่างไม่วางตา เขารู้สึกว่ามันไม่ใช่แค่การสำลักธรรมดา เพราะพักหลังมานี้แม่มักจะไอบ่อยขึ้นโดยไม่มีสาเหตุ

“แม่ครับ ถ้าไม่สบายก็บอกพวกเรานะ อย่าฝืนเลย” น้ำเสียงของนทีเต็มไปด้วยความกังวล

แม่ยกยิ้มอ่อนโยน “ไม่เป็นอะไรจริง ๆ จ้ะ อย่าไปคิดมากเลย มาช่วยแม่คนนี้คนละมือดีกว่า จะได้เสร็จเร็ว ๆ”

แม้ความกังวลยังคงอยู่ แต่ทั้งสองก็ยอมกลับมาช่วยแม่ทำอาหารอีกครั้ง เสียงหัวเราะค่อย ๆ กลับมาในครัวเล็ก ๆ เสียงตักน้ำ เสียงหม้อแกงเดือดปุด ๆ คล้ายบทเพลงที่บรรเลงด้วยความรัก

เมื่ออาหารเสร็จ กลิ่นหอมฟุ้งไปทั่วบ้าน ทุกคนจึงนั่งล้อมวงกินข้าวด้วยกัน พ่อที่เพิ่งกลับจากสวนก็มาร่วมโต๊ะด้วย

“ไข่พะโล้นี่รสมือแม่เจ้าอร่อยที่สุดในโลกแล้ว” พ่อพูดพลางตักไข่เข้าปาก ทำเอาทุกคนหัวเราะ

อิงดาวมองครอบครัวตรงหน้าแล้วหัวใจพองโต เธออยากให้ช่วงเวลานี้อยู่ตลอดไป อยากให้รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และกลิ่นอาหารของแม่เป็นสิ่งที่ไม่มีวันหายไป

ทว่าลึก ๆ ในใจ… เธอกลับรู้สึกหวั่นไหวกับเสียงไอที่ยังคงก้องอยู่ในความทรงจำ แม้แม่จะปิดบัง แต่เธอสัมผัสได้ว่า มีบางอย่างกำลังคืบคลานเข้ามาอย่างเงียบงัน

3

ท้องฟ้ายามบ่ายคลี่คลายเมฆบาง ๆ แสงแดดลอดผ่านยอดไม้ในสวนผลไม้ บ้านไม้เล็กกลางสวนดูสงบงามตามวิถีชีวิตชนบท ทว่าภายในใจของ นที กลับเต็มไปด้วยความคิดที่โหมกระหน่ำไม่ต่างจากพายุ

เขานั่งอยู่บนแคร่ไม้ใต้ต้นมะม่วง สมุดภาพวาดและดินสอถูกกางออกตรงหน้า บนหน้ากระดาษเต็มไปด้วยเส้นสายของอาคารสูง สะพานยาว และผู้คนในเมืองใหญ่

“สักวัน… ฉันจะได้ไปที่นั่น” นทีพึมพำกับตัวเอง

เขามีความฝันอยากเรียนสถาปัตยกรรม อยากเป็นคนสร้างสิ่งปลูกสร้างที่งดงาม แต่ทุกครั้งที่คิดถึงความฝัน ภาพของพ่อที่เหน็ดเหนื่อยกับสวน และแม่ที่ป่วยไอหนักขึ้นทุกวัน ก็ลอยเข้ามาทำให้ใจเขาหนักอึ้ง

เสียงฝีเท้าเบา ๆ ดังเข้ามาใกล้ “พี่นที วาดอะไรอยู่น่ะ”

อิงดาวในชุดนักเรียนเพิ่งกลับจากโรงเรียน เธอวางกระเป๋าลงแล้วเอียงคอมองภาพวาดในสมุดของพี่ชาย

“อาคาร… ตึกใหญ่ ๆ ในเมือง” นทีตอบสั้น ๆ

“สวยจังเลยพี่ หนูอยากเห็นจริง ๆ ว่ามันจะเป็นยังไงถ้าพี่ได้สร้างเอง” ดวงตาของอิงดาวเปล่งประกาย เธอภูมิใจในตัวพี่ชายเสมอ

แต่ถ้อยคำนั้นกลับทำให้นทีสะอึก เขาเม้มปากแน่นก่อนปิดสมุดภาพ

“มันก็เป็นแค่ความฝันนั่นแหละ ดาว ที่นี่… ครอบครัวเราอาจไม่สามารถปล่อยให้พี่ไปไล่ตามได้หรอก”

“ทำไมล่ะพี่?” อิงดาวถามอย่างไร้เดียงสา “ก็พ่อกับแม่อยากให้เรามีอนาคตดี ๆ ไม่ใช่เหรอ”

นทีเงียบไปนาน สุดท้ายก็พูดเสียงเบา “เพราะความจริงคือ… แม่ไม่ค่อยสบาย แล้วพ่อก็แก่ขึ้นทุกวัน ถ้าพี่ไป ใครจะอยู่ช่วยดูแล”

อิงดาวสะอื้นในลำคอ เธอเองก็สังเกตได้ว่าแม่เริ่มอ่อนแรงลง แต่ไม่กล้าพูดออกมา

คืนนั้น ขณะทุกคนนั่งกินข้าวในบ้าน พ่อเอ่ยขึ้นว่า

“นที ช่วงนี้งานสวนหนักขึ้น พ่อคงต้องพึ่งมือแกมากกว่านี้แล้วนะ”

คำพูดนั้นเหมือนก้อนหินกดทับในอกนที เขาก้มหน้าลงเงียบ ไม่กล้าสบตาพ่อ

แม่มองลูกชายด้วยสายตาอ่อนโยน เธอเหมือนจะเข้าใจความรู้สึกในใจของเขา

หลังมื้ออาหาร แม่เดินมาตามนทีออกไปที่ชานบ้าน

“นที ลูกแม่มีความฝันใช่ไหม” เสียงแม่อ่อนโยนแต่มั่นคง

นทีเงยหน้ามองดวงดาวบนท้องฟ้า “ครับแม่… ผมอยากไปเรียนสถาปัตย์ อยากออกแบบตึกสูง ๆ เหมือนในหนังสือ แต่ผมก็รู้ว่า… ผมคงไปไม่ได้หรอก”

แม่ยิ้มบาง ๆ แล้วจับมือลูกชายไว้ “ลูกเอ๋ย ความฝันไม่เคยผิดที่จะมี แต่สิ่งที่ยากคือการเลือกเส้นทางที่หัวใจกับความจริงจะไปด้วยกันได้”

น้ำตาเอ่อคลอในดวงตานที เขาอยากจะพูดว่า “ผมไม่อยากทิ้งครอบครัว” แต่ก็พูดไม่ออก

แม่กอดเขาแน่น “ไม่ว่าลูกจะเลือกอะไร แม่จะอยู่ข้างลูกเสมอ จำไว้นะ ความรักของครอบครัวจะเป็นแรงผลักดันให้ลูกก้าวไปข้างหน้า”

นทีซบไหล่แม่ ความอบอุ่นนั้นทำให้เขาอยากหยุดเวลาไว้ตรงนี้ แม้ในหัวใจจะรู้ดีว่าเวลาของแม่กำลังค่อย ๆ ลดน้อยลง

จากในบ้าน เสียงไอแผ่วเบาดังขึ้นมาอีกครั้ง… ท่ามกลางความเงียบของค่ำคืน

เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!

novel PDF download
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!