NovelToon NovelToon

ดวงใจแห่งขุนเขา

ตอนที่ 1 : หญิงสาวจากขุนเขา

อรุณแรกคลี่ตัวเหนือสันเขา หมอกบางสีเงินเลื้อยต่ำราวแพรโปร่งคลุมหุบลึก กลิ่นดินชื้นกับหญ้าอ่อนปะทะปลายจมูกเหมือนคำทักทายจากภูผา ไร่นาขั้นบันไดฉาบแสงทองเป็นริ้วคลื่น ต้นไผ่ด้านหุบโอนเอนไปตามลมที่พัดขึ้นมาจากธารน้ำเย็น

หมู่บ้านม้งเล็ก ๆ ซ่อนตัวอยู่บนไหล่เขา บ้านไม้ยกพื้นมุงหญ้าคาเรียงเป็นแนว ระฆังเงินเม็ดเล็กบนชายเสื้อกระทบกันเบา ๆ ทุกครั้งที่ใครสักคนก้าวผ่าน เสียงครกตำข้าวประสานกับหัวเราะใสของเด็กที่ไล่จับกันตามลานดิน บนชานเรือน หญิงชราก้มหน้าปักผ้าลายดั้งเดิม—เส้นด้ายสีสดคดเคี้ยวเป็นภูผา สายน้ำ และทางเดินวิญญาณ เหมือน “บันทึกความทรงจำ” ที่เย็บด้วยปลายเข็ม

แม้หมู่บ้านจะเล็ก ผู้คนภายนอกกลับเล่าลือถึง วิชาสืบทอด ของที่นี่—ศิลปะฟังเสียงฟ้า–ดิน ใช้สมุนไพรกับท่วงทำนองคุ้มครองคนและผืนป่า ในคืนเดือนเพ็ญ เสียง แคนม้ง มักลอยข้ามยอดไม้ยาวไกล—ทำนองช้า ลึก อุ่น—จนหมอกยังหยุดฟัง

ท่ามกลางทิวทัศน์นั้น หญิงสาววัยสิบห้าก้าวลงตามทางดิน—เสียนเหยา

นางสวมชุดม้งสีครามปักลายสด สร้อยเงินเหรียญวาววับรับแสงเช้า เส้นผมดำถักเปียหลวม รอยยิ้มของนางอ่อนราวกลีบดอกท้อ ดวงตากลมใสเหมือนหยดน้ำค้างบนใบข้าว เธอแบกกระจาดไม้ไผ่ที่เต็มไปด้วยรากฝาง ใบหอมไผ่ และดอกเทียนหิน กลิ่นเขียวสดแตะแก้มลมอรุณ

เคียงเอวของนาง มี แคนม้ง ขนาดพอเหมาะผูกผ้าปักลายและด้ายแดงขวัญครู หัวแคนแกะลายโบราณดูเคร่งขรึม ไผ่แต่ละท่อเกลี้ยงเรียบแน่นหนัก—เครื่องดนตรีที่ ยายหมอยา มอบให้พร้อมคำสั่งสอน “เสียงนี้มีวิญญาณ อยู่ที่เจ้าใช้มันเพื่อประคองชีวิต ไม่ใช่เพื่อพรากมันไป”

เด็ก ๆ เห็นเสียนเหยาเดินผ่านก็วิ่งมารุม “พี่เหยา พี่เหยา คืนนี้ช่วยเล่นเพลงดาวให้ฟังได้ไหม”

นางยิ้ม ลูบศีรษะเด็ก “ถ้าทำงานเสร็จและช่วยยายหลิว พี่จะเป่าให้ฟัง”

ผู้เฒ่าที่ปักผ้าเงยหน้าขึ้น เอ่ยเสียงนิ่ง “จำคำครู—ใช้เพื่อรักษาก่อนเสมอ เสียงที่ผิดใจจะย้อนกัดหัวใจเจ้าเอง”

เสียนเหยาพนมมือ “หลานจะจำไว้ค่ะ”

เธอก้าวผ่านแปลงดอกป่าที่เพิ่งรับฝนเมื่อคืน—ผึ้งตัวเล็กบินซึมซับกลิ่นหวาน ดอกหญ้าเอนไหวเหมือนโค้งคำนับให้ผู้ถือครูเสียง ธารน้ำตื้นใสสะท้อนเมฆสีพีชบนฟ้า—ภาพหมู่บ้านด้านล่างค่อย ๆ ตื่นเต็มที่ ชายหนุ่มแบกฟืน หญิงสาวตากผ้าปักเรียงเป็นธงสีสันราวรุ้ง เด็ก ๆ ฝึกโยนลูกบอลผ้าสำหรับ เทศกาลปีใหม่ม้ง ที่ใกล้จะมาถึง เสียงชีวิตกระทบกันเป็นทำนองพื้นบ้านอบอุ่นแต่ใต้ความอบอุ่นนั้น มีพื้นที่หนึ่งที่ผู้คน ไม่เอ่ยถึงเสียงดัง—ด้านตะวันตกเฉียงเหนือของไหล่เขา ตั้งอยู่ของ ถ้ำต้องห้าม เสาหินคู่หน้าถ้ำผูกด้ายแดงและผ้าปักยันต์กลายเป็นรอยเฝ้าประตู ผู้เฒ่าผลัดกันวางกำยานกับข้าวปลาอยู่เสมอ เด็กถูกกำชับมิให้เข้าใกล้ เพราะเล่ากันว่า “ที่นั่น เสียงบางอย่างไม่ใช่ของมนุษย์”

เสียนเหยาเองเคยยืนมองจากไกล—ลมเย็นจากปากถ้ำทำให้ขนอ่อนลุกวาบ แต่กลับแฝงความละมุนเหมือนเสียงกล่อมเด็กของยอดสน นางเคารพขอบเขต ไม่เคยคิดล่วงเกิน เพราะรู้ว่าประตูบางบานต้องยอม “ฟัง” ก่อน “ถาม”

วันนั้น ขณะเสียนเหยาจะลัดไปร้านยา เสียงหนึ่ง ก็โผล่ขึ้นในความเงียบ—ไม่ใช่เสียงนก ไม่ใช่ครกตำข้าว ไม่ใช่ฝน—แต่เป็นเสียงแคน ที่ไม่มีใครกำลังเล่น ทำนองยาว นิ่ง ลึก เหมือนลมพัดทะลุไผ่หมื่นกอพร้อมกัน แผ่วมา จากทิศถ้ำต้องห้าม

หัวใจเธอสะท้านวาบ ลมหายใจจังหวะที่ครูสอนไว้ทำงานเอง—ยาว ช้า สม่ำเสมอ—เพื่อฟังให้ลึกกว่าเสียงหูได้ยิน และทันทีที่ใจสงบ ทำนองนั้นชัดขึ้น …ชัดจนเธอรู้สึกว่าเสียงเรียกชื่อของตนในภาษาโบราณที่ไม่เคยเรียน

แคนที่เอวของเสียนเหยา “สั่น” เบา ๆ เหมือนตอบรับ เจ้านกตัวเล็กบนกิ่งไผ่หยุดขยับ เหลือบตาจ้องไปยังแนวหินเทา—แม้กระทั่งหมอกยังดูจะชะลอตัวรอฟัง

นางเม้มริมฝีปาก แผ่วลมหายใจลงคอ—

ข้าควรไปช่วยยายหลิวก่อน…แต่ถ้าเสียงนั้นคือครูเชื้อเชิญล่ะ?

เสียนเหยาก้มแตะหัวแคน—เคล็ด “ลมหายใจวน” ที่ยายสอนพลุ่ยขึ้นมาบนลิ้นอย่างอัตโนมัติ เธอเงยหน้ามองท้องฟ้าสีอ่อน สูดลมเข้าเต็มอก—กลิ่นเฟิร์นชื้น กล้วยไม้ป่าจาง ๆ และไม้ไผ่แก่ปี—แล้ว ก้าวหัน ไปทางทางชันที่ทอดสู่ปากถ้ำ

ต้นสนสองข้างทางสั่นน้อย ๆ ราวรับรู้ ขณะเธอเดินเข้าใกล้ แนวใบไผ่เสียดสีกันเกิดเสียง ซู่…ซู่… เป็นจังหวะตรงกับก้าวเท้าเหมือนส่งจังหวะให้ มือซ้ายสัมผัสลายแกะที่หัวแคน—มันอุ่นกว่าปกติเล็กน้อย เหมือนมีชีพจรเต้นใต้ไม้

เมื่อถึงเชิงผาหิน ท้องฟ้าสว่างขึ้นอีกนิด แต่ปากถ้ำยังคงคลุมเงาเย็นจัด กลิ่นกำยานเก่าลอยระเรื่อ ผสมความเปียกชื้นของอากาศในถ้ำ ทำนองลึกลับ จากด้านในดังชัด หนักแน่นแต่ไม่ก้าวร้าว เต็มไปด้วยคำเชื้อเชิญอันสงบ—ราวบอกว่า “เข้ามาเถิด ผู้ถือเสียงแห่งภูผา”

เสียนเหยาหลับตาเพียงชั่วใจ—ระลึกคำสอน “ใช้เพื่อรักษาก่อนเสมอ” —แล้วจึงยกแคนขึ้นพาดบ่า ลมหายใจจ่อที่ลิ้นแคนช้า ๆ เธอเป่า ท่อนตอบรับ เบาที่สุด—ทำนองสั้น ๆ ที่บ้านเธอเรียก “เสียงไหว้ครู” เพื่อบอกแก่สิ่งที่มองไม่เห็นว่า ข้ารู้ ว่าท่านอยู่ และข้าจะก้าวอย่างเคารพเสียงของเธอถักทอเข้ากับทำนองจากในถ้ำอย่างไร้รอยต่อ—ทันใดนั้น หมอกหน้าปากถ้ำ คลี่ย่นเป็นวง คล้ายม่านน้ำถูกมือใสแหวกออก แสงฟ้าจาง ๆ ไล้ไปตามผนังหินจนเกิดคราบเรืองเหมือนดอกตะไคร้หินบานพร้อมกัน

เสียนเหยาเปิดตา—และเห็น “ประตู” ที่ไม่ใช่ไม้ ไม่ใช่หิน—แต่เป็น ประตูของเสียง คล้ายวงน้ำใสที่สะท้อนท้องฟ้าอยู่กลางความมืด เธอรู้—ลึกถึงในกระดูก—ว่าเส้นทางเบื้องหน้า จะพาเธอออกจากภูเขาบ้านเกิด ไปยังแดนที่เสียงอีกชนิดหนึ่งกำลังรอ

เธอก้มศีรษะให้ภูผา สูดลมหายใจอุ่นครั้งสุดท้ายของบ้าน—กลิ่นข้าวใหม่ กำยานเก่า และหญ้าอ่อน—ก่อนก้าวเท้าข้ามผ่าน ประตูแห่งเสียง นั้นไป…

และในวินาทีที่ปลายเท้าสัมผัสฝั่งตรงข้าม—ชะตาของเสียนเหยา ผู้ถือแคนม้งแห่งขุนเขา—เปลี่ยนไปตลอดกาล

 

ตอนที่ 2 : ถ้ำต้องห้ามและอาคมโบราณ

ทางลาดชันทอดยาวขึ้นไปยังเชิงเขาตะวันตกเฉียงเหนือ ที่ซึ่งหมู่บ้านทั้งหมู่บ้านหลีกเลี่ยงสายตาไม่กล้าแม้จะเหลียวมองมากเกินไป เสียนเหยาก้าวขึ้นตามทางดินซึ่งเต็มไปด้วยรากไม้พันกันแน่น ความเย็นเริ่มแผ่วซ่านจากพื้นดินมาสู่ปลายเท้า ราวกับทุกย่างก้าวกำลังเหยียบลงบนลมหายใจของภูเขาเอง

หมอกบางคลี่คลุมเป็นม่านสีเงิน มองเห็นเพียงลาง ๆ เสาหินคู่ตั้งตระหง่านอยู่หน้าปากถ้ำ—เสาหินที่ชาวบ้านเรียกว่า “เสาผู้พิทักษ์” พันรอบด้วยเส้นด้ายแดงนับร้อยเส้น ขึงโยงไปมาเป็นชั้น ๆ คล้ายใยแมงมุมศักดิ์สิทธิ์ ระหว่างเส้นด้ายแขวนผ้าปักยันต์ลวดลายเรขาคณิตซับซ้อน—สีแดง น้ำเงิน ดำ ขาว—ทอด้วยมือหญิงชราแห่งหมู่บ้านรุ่นแล้วรุ่นเล่า

ลวดลายบนผ้าไม่ใช่เพียงการประดับ หากแต่คือ อาคม ที่สืบทอดมาเพื่อกักเก็บและป้องกันสิ่งที่อยู่ภายใน เส้นด้ายแดงแต่ละเส้นถูกสวดคาถาไว้แล้ว ปักด้วยคำสัญญาและคำเตือนของบรรพชน

กลิ่นกำยานจาง ๆ ลอยมาตามลม—กลิ่นไม้หอมที่ผู้เฒ่ามักนำมาเผาบูชาหน้าถ้ำทุกคืนเดือนเพ็ญ ถึงแม้จะผ่านหลายวัน กลิ่นนั้นยังไม่จางหาย ราวกับควันเองก็ไม่กล้าออกไปไกลเกินเขตศักดิ์สิทธิ์นี้

เสียนเหยาหยุดยืน หัวใจเต้นแรง มือเผลอกำชายเสื้อแน่น ลมเย็นจากปากถ้ำพัดออกมา—ไม่ใช่เพียงความเย็น แต่เหมือนมีเสียงกระซิบแฝงอยู่ในทุกระลอก เสียงนั้นคล้ายเสียงแคนที่ทอดยาว โหยหวนแต่ละมุน ราวกับใครกำลังบรรเลงอยู่ในความมืด

ขลุ่ยไม้ไผ่ข้างเอวของนางสั่นสะเทือนเบา ๆ เองโดยไม่ต้องแตะต้อง ราวกับกำลังตอบรับเสียงลึกลับนั้น เสียงสั่นสะท้อนเข้ากับหัวใจ ทำให้ลมหายใจของเสียนเหยาเปลี่ยนเป็นจังหวะเดียวกับทำนองที่ดังอยู่ในอากาศ

แล้วสิ่งที่เงียบสงบมาเนิ่นนานก็ ตื่นขึ้น—

ผ้าปักยันต์ที่แขวนอยู่ระหว่างเสาหินเริ่มเรืองแสงอ่อน ๆ สีเขียวปนทอง ลวดลายเรขาคณิตบนผืนผ้าขยับเคลื่อนไหวราวกับสิ่งมีชีวิต สายด้ายแดงที่ขึงตึงสั่นระริกเหมือนสายพิณ ลมที่พัดมาส่งเสียงครวญคล้ายบทสวดเก่าแก่

พื้นดินตรงหน้าถ้ำปรากฏลวดลายเรขาคณิตส่องสว่างขึ้นทีละเส้น เสมือนพรมแสงที่โบราณกาลสลักไว้ ร่างของเสียนเหยาถูกโอบล้อมด้วยใบไม้ปลิวว่อนขึ้นจากพื้นดิน ทั้งที่รอบกายไม่มีต้นไม้ใหญ่สักต้น ใบไม้หมุนวนราวพายุเล็ก ๆ บาดผิวหนังด้วยคมบางเฉียบ หากแต่ไม่กรีดเลือดออก เพียงทดสอบความมั่นคงของหัวใจ

เสียนเหยาหวาดหวั่น ริมฝีปากสั่นน้อย ๆ แต่ความทรงจำของคำสอนผู้เฒ่าดังก้องขึ้นมา—

> “หายใจให้สอดคล้องกับภูเขา ฟังให้ลึกกว่าที่หูได้ยิน”

นางหลับตา หายใจยาว จังหวะเต้นของหัวใจช้าลงตามเสียงทำนองลึกลับ ปล่อยให้ความกลัวละลายไปกับสายลม เมื่อจิตใจสงบ—พายุใบไม้พลันสงบตาม ลอยลงช้า ๆ แล้วเรียงร้อยเป็นสะพานใบไม้ทอดจากปลายเท้าเข้าสู่ปากถ้ำ

อาคมโบราณที่หลับใหลมานับศตวรรษเปิดทางให้เด็กสาวผู้หนึ่ง—เพราะหัวใจของนางไม่หวั่นไหวต่อเสียงแห่งฟ้า–ดิน

เสียนเหยาลืมตาขึ้นอีกครั้ง เห็นสะพานใบไม้ส่องแสงวาวใต้หมอก เธอเม้มปากแน่น ตระหนักว่าก้าวต่อไปจะไม่มีวันย้อนคืน แต่ทำนองนั้นยังคงเรียกหาไม่หยุด ราวกับเสียงร้องของเพื่อนเก่าที่เฝ้าคอยมานานแสนนาน

“ข้า…ถูกเลือกแล้วจริงหรือ?” นางกระซิบกับตนเอง

และแล้ว—เสียนเหยาก้าวขึ้นสู่สะพานแห่งอาคม

ปากถ้ำมืดลึกอ้ารับร่างเล็ก ๆ ของเธอ

ขณะที่ขุนเขาและสายหมอกทั้งผืนเงียบสงัดลง ราวกับโลกกำลังเฝ้ามองการเดินทางครั้งใหม่ที่จะเปลี่ยนชะตาชีวิตตลอดกาล…

 

✨ จบตอนที่ 2

 

ตอนที่ 3 : ก้าวสู่โลกใหม่ครั้งแรก

ความมืดในถ้ำหนาทึบกว่าที่เสียนเหยาคาดไว้ ทุกย่างก้าวเสียงสะท้อนดังก้องราวกับภูเขาทั้งลูกกำลังรับฟัง นางหายใจลึก พยายามไม่ให้หัวใจเต้นแรงจนเกินไป เสียงทำนองแคนลึกลับยังคงดังนำทางอยู่เบื้องหน้า บางครั้งแผ่วเบาราวจะหายไป บางครั้งกลับชัดเจนจนเสมือนมีคนยืนเป่าอยู่ตรงข้างหู

ผนังถ้ำไม่ใช่เพียงหินธรรมดา แต่มีลวดลายเรขาคณิตเรืองแสงเป็นเส้น ๆ คล้ายผ้าปักของเผ่าม้ง ทว่าไม่เคยมีใครเคยทอเช่นนี้มาก่อน เส้นแสงพาดโยงเหมือนด้ายแดงไร้ที่สิ้นสุด พาดไปถึงส่วนลึกของถ้ำ ทุกครั้งที่เสียนเหยาก้าวผ่าน ลวดลายเหล่านั้นก็จะเปล่งแสงสว่างขึ้นชั่วขณะ เหมือนทักทายผู้ที่ถูกเลือก

เสียงใบไม้แห้งกรอบ ๆ พลันดังขึ้นจากทุกทิศรอบตัว แต่เมื่อหันมอง กลับเห็นเพียงเงาใบไม้โปร่งแสงปลิวผ่านความมืด—ใบไม้ที่ไม่ได้เกิดจากโลกนี้ กลับหายไปในอากาศราวกับควัน

ทันใดนั้น อากาศเบื้องหน้าก็แปรเปลี่ยน—แสงสีน้ำเงินอมเขียวสว่างวาบขึ้นกลางถ้ำ ประหนึ่งม่านน้ำแข็งหรือกระจกใสผืนใหญ่ตั้งขวาง เสียงทำนองแคนหยุดลงกะทันหัน เหลือเพียงความเงียบงันจนหูอื้อ

เสียนเหยาหยุดยืนตรงหน้า “ประตู” ที่ทุกคนเล่าขานมา—ประตูแห่งโลกอื่น

แสงนั้นไม่เพียงส่องสว่าง แต่ยังสะท้อนภาพมากมายราวกับน้ำในสระ นางมองเห็นเงาเมืองใหญ่ที่มีกำแพงสูงตระหง่าน เห็นทหารนับร้อยนับพันสวมชุดเกราะโบราณกำลังฝึกศึก เห็นธงผืนมหึมาปลิวไหวในสายลม และ…เห็นแววตาชายคนหนึ่งที่เต็มไปด้วยความว่างเปล่าและความแค้น เหมือนกำลังจ้องตรงมาที่นาง

เสียนเหยาหายใจติดขัด แต่ยังไม่ก้าวถอยหลัง

“นี่หรือ…สิ่งที่ผู้เฒ่าเรียกว่าประตูมิได้เปิดให้มนุษย์เล่น?”

ผืนแสงสั่นไหวเหมือนผิวน้ำ

ใบไม้โปร่งแสงลอยขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้ล้อมรอบตัวเสียนเหยา พัดวนเหมือนวงกลมพิธีกรรม อุ่นแสงเขียวอ่อนส่องออกมาจากขลุ่ยไม้ไผ่ข้างเอวอย่างอ่อนโยน—มันกำลังปกป้องเธอ

หัวใจเต้นแรงขึ้นทุกขณะ เสียนเหยารู้ดีว่าหากก้าวผ่านประตูนี้ เธออาจไม่มีวันหวนกลับบ้านบนขุนเขาได้อีก

แต่เสียงหนึ่งในใจดังขึ้น—เสียงเดียวกับทำนองแคนเมื่อครู่

“เสียนเหยา… เจ้าคือผู้ถูกเลือก”

ริมฝีปากนางสั่นน้อย ๆ

“หากนี่คือชะตา ข้าจะไม่หวั่น”

หญิงสาวก้าวไปข้างหน้า

ทันทีที่ปลายเท้าแตะม่านแสง—โลกทั้งใบก็แตกกระจายเป็นเศษแก้วสว่างวาบ

ร่างของเสียนเหยาพลันหายไปจากถ้ำ

เหลือเพียงสะพานใบไม้ที่ค่อย ๆ สลายเป็นฝุ่นเรืองแสง กลับคืนสู่ความว่างเปล่า

และเมื่อเธอลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง…

สิ่งที่รออยู่เบื้องหน้าไม่ใช่ภูเขาคุ้นเคยอีกต่อไป—

แต่เป็น เมืองโบราณกำแพงสูง เสียงกลองศึกดังก้อง และโชคชะตาใหม่ที่ไม่มีวันหวนคืน

✨ จบตอนที่ 3

เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!

novel PDF download
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!