NovelToon NovelToon

เล่ารักวายจากAI

เสียงหัวใจบนฟลอร์เต้นรำ

ค่ำคืนแห่งงานเลี้ยงอำลาของมหาวิทยาลัยกำลังดำเนินไปอย่างงดงาม แสงไฟระยิบระยับสาดส่องทั่วหอประชุมใหญ่ เสียงดนตรีบรรเลงขับกล่อมบรรยากาศให้เต็มไปด้วยความอบอุ่นและหวนระลึกถึงความทรงจำ ภาคิน นักศึกษาปีสุดท้ายคณะนิเทศศาสตร์ยืนอยู่มุมหนึ่งของห้อง สวมสูทเรียบร้อยแต่แววตาเต็มไปด้วยความกังวล เขาไม่ถนัดกับงานเต้นรำหรือความเป็นทางการนัก หากแต่เหตุผลที่ทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงในคืนนี้ไม่ใช่เรื่องงานเลี้ยงเลย

แต่เป็นคนคนหนึ่ง…

“ธันวา” รุ่นพี่คณะเดียวกัน ผู้เป็นที่รู้จักในฐานะประธานชมรมดนตรีคลาสสิก บุคลิกของเขาเงียบขรึมและสง่างาม ทุกครั้งที่เขาขึ้นเวทีบรรเลงไวโอลิน เสียงดนตรีจะตราตรึงผู้ฟังจนเหมือนโลกทั้งใบหยุดหมุน สำหรับภาคินแล้ว ธันวาไม่ได้เป็นเพียงรุ่นพี่คนหนึ่ง แต่เป็นคนที่เขาเฝ้ามองอย่างลึกซึ้งมาตลอดสี่ปี

แต่ความรู้สึกนั้นเขาไม่เคยกล้าเอื้อนเอ่ย

เสียงดนตรีเปลี่ยนจังหวะจากเพลงเร็วสู่ทำนองวอลซ์แผ่วหวาน ภาคินกะพริบตา กำลังคิดว่าควรหาทางออกไปพักด้านนอก ทว่าเสียงทุ้มอันคุ้นเคยดังขึ้นข้างกาย

“ภาคิน”

เขาหันขวับ ราวกับเวลาหยุดเดิน ธันวายืนอยู่ตรงนั้น สวมชุดสูทสีเข้มที่ทำให้ดูสง่างามยิ่งกว่าเดิม ริมฝีปากหยักยกยิ้มบาง ๆ ดวงตาคมทอดมองมาอย่างอ่อนโยน

“อยากเต้นกับฉันสักเพลงไหม?”

ภาคินตกใจ ใจเต้นแรงจนพูดไม่ออก ได้แต่พยักหน้าช้า ๆ มือสั่นเล็กน้อยเมื่อธันวายื่นมือมาให้ เขาวางมือลงไปอย่างเก้อเขิน ทั้งสองก้าวลงสู่ฟลอร์เต้นรำท่ามกลางสายตาของผู้คนรอบข้าง

จังหวะก้าวของพวกเขาสอดประสานกันอย่างน่าประหลาด ถึงภาคินจะไม่เคยเต้นรำจริงจัง แต่เมื่ออยู่ในอ้อมแขนของธันวา เขากลับรู้สึกปลอดภัย ราวกับว่าฝีเท้าทั้งหมดถูกชี้นำไปด้วยหัวใจของอีกฝ่าย

“ไม่ต้องเกร็ง” ธันวาพูดเบา ๆ ขณะจับมือเขาแน่นขึ้น “แค่ปล่อยตัวไปตามจังหวะ”

เสียงดนตรีคลอเบาเหมือนหายไป เหลือเพียงเสียงหัวใจสองดวงที่เต้นประสาน ภาคินเงยหน้าขึ้นสบตารุ่นพี่ โลกทั้งใบพลันพร่าเลือน

“รู้ไหม ภาคิน” ธันวาเอ่ยขึ้นในจังหวะที่หมุนเขาไปช้า ๆ “ฉันเฝ้ามองเธอมาตลอดตั้งแต่ปีแรก แต่ไม่กล้าเข้าไปใกล้ ฉันกลัวว่าเธอจะมองฉันเป็นเพียงคนแปลกหน้า”

ภาคินชะงัก ดวงตากลมโตเบิกกว้าง ความรู้สึกที่กักเก็บมานานพลันเอ่อท้น เขาเม้มปากแน่น ก่อนเอ่ยออกมาเสียงสั่น

“ผมก็เหมือนกัน…ผมชอบพี่มาตลอด แต่ผมไม่กล้าบอก”

ความเงียบเข้าปกคลุมเพียงเสี้ยววินาที ธันวายกยิ้มอย่างอบอุ่นที่สุดเท่าที่ภาคินเคยเห็น ดวงตาของเขาเปล่งประกายราวกับมีดาวนับพันส่องอยู่ภายใน

“งั้นก็ดี…เพราะคืนนี้ ฉันจะไม่ยอมปล่อยมือเธออีกแล้ว”

---

หลังจากคืนนั้น ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นอย่างเงียบงัน แต่มั่นคง ภาคินยังคงเป็นนักศึกษาที่สดใสร่าเริง ส่วนธันวายังคงเป็นรุ่นพี่ที่เคร่งขรึม แต่เมื่ออยู่ด้วยกัน ทั้งสองกลับเติมเต็มซึ่งกันและกันได้อย่างน่าประหลาด พวกเขาแบ่งปันรอยยิ้ม ความฝัน และความเหนื่อยล้าในทุกวัน

เวลาผ่านไป หลังจากเรียนจบ ภาคินเลือกทำงานสายสื่อสารมวลชน ส่วนธันวากลายเป็นนักดนตรีเต็มตัว แม้เส้นทางชีวิตจะต่างกัน แต่หัวใจทั้งคู่ยังคงเชื่อมโยงกันเสมอ พวกเขาเรียนรู้ที่จะอดทนต่อระยะทางและความยุ่งเหยิงของชีวิตผู้ใหญ่

“เหนื่อยไหมวันนี้” ธันวาถามเสมอทุกครั้งที่ภาคินโทรหา แม้เขาเองจะเพิ่งซ้อมไวโอลินเสร็จจนดึกดื่น

“เหนื่อย แต่ได้ยินเสียงพี่แล้วก็หาย” ภาคินตอบพร้อมหัวเราะแผ่วเบา

ธันวาจะเงียบไปสักพัก ก่อนจะหัวเราะเบา ๆ กลับมาเหมือนกัน นั่นเป็นเสียงหัวเราะที่ภาคินรักที่สุดในโลก

---

หลายปีต่อมา ใต้ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดอกไม้ประดับและเสียงดนตรีอันอบอวล งานแต่งงานเล็ก ๆ จัดขึ้นอย่างอบอุ่น ครอบครัวและเพื่อนสนิทมาร่วมเป็นสักขีพยาน ภาคินในชุดเจ้าบ่าวสีขาวยืนรอด้วยหัวใจที่เต้นแรงไม่ต่างจากวันแรกที่เคยก้าวลงบนฟลอร์เต้นรำ

เมื่อเสียงประกาศดังขึ้น ธันวาในชุดเจ้าบ่าวอีกคนเดินเข้ามาอย่างสง่างาม เขามองภาคินด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความรักและความมั่นคงที่ไม่เคยเปลี่ยนเลยตลอดหลายปี

ทั้งสองยื่นมือออกไป จับกันแน่นเหมือนสัญญา

“ครั้งแรกเราเต้นรำด้วยกัน…” ธันวากระซิบเบา ๆ ขณะเสียงเพลงวอลซ์เริ่มบรรเลงอีกครั้ง “คืนนี้เราจะเต้นรำไปตลอดชีวิต”

น้ำตาคลอเต็มขอบตาภาคิน เขายิ้มทั้งน้ำตาและตอบกลับ

“ตลอดชีวิตครับพี่”

ทั้งสองก้าวลงบนฟลอร์เต้นรำอีกครั้ง คราวนี้ไม่ใช่ฟลอร์ในงานเลี้ยงอำลา แต่เป็นฟลอร์ที่พวกเขาสร้างขึ้นเองสำหรับการเริ่มต้นชีวิตใหม่ แขกทุกคนต่างมองด้วยรอยยิ้ม บางคนถึงกับน้ำตาไหล

เสียงดนตรีบรรเลงท่ามกลางหัวใจที่เต้นไปพร้อมกัน ไม่มีการจากลาอีกต่อไป มีเพียงการเริ่มต้นของบทเพลงใหม่ที่สองคนเขียนขึ้นด้วยกัน

---

หลังพิธี ทุกอย่างค่อย ๆ สงบลง ท่ามกลางแสงไฟสลัวในห้องจัดเลี้ยงที่ว่างเปล่า ภาคินนั่งลงบนเก้าอี้ เหนื่อยล้าจากการยิ้มและทักทายไม่หยุด แต่พอหันไปมองคนข้างกาย เขาก็รู้ว่านี่คือความสุขที่แท้จริง

ธันวานั่งลงข้าง ๆ จับมือเขาไว้แน่น

“เธอจำได้ไหม วันแรกที่เราสบตากันในห้องเรียนดนตรี”

“จำได้สิ” ภาคินหัวเราะ “ตอนนั้นผมคิดว่าพี่น่ากลัวมาก”

“เหรอ” ธันวาหัวเราะเบา “ฉันก็คิดว่าเธอเป็นเด็กเสียงดังเกินไป แต่พอได้รู้จัก…ก็กลายเป็นเสียงหัวใจที่ฉันขาดไม่ได้”

ภาคินน้ำตาคลออีกครั้ง เขาเอนหัวพิงไหล่รุ่นพี่เหมือนที่เคยทำมาตลอด

เสียงดนตรีแผ่วเบายังคงดังอยู่ในความทรงจำ แต่ไม่ว่าทำนองใดจะบรรเลง สิ่งเดียวที่ภาคินได้ยินชัดเจนคือเสียงหัวใจของคนข้างกาย

และเขารู้ว่า ตลอดไป…เสียงหัวใจคู่นี้จะไม่มีวันแยกจากกัน

ดวงดาวที่ซ่อนในใจ

ค่ำคืนหนึ่งในฤดูหนาว เมืองเชียงใหม่ถูกห่มคลุมด้วยอากาศเย็นสบาย ท้องฟ้าเหนือดอยสุเทพเต็มไปด้วยดวงดาวระยิบระยับ “นที” เด็กหนุ่มปีสองคณะสถาปัตย์ กำลังนั่งกอดเข่าที่ลานกว้างของหอพัก เขาชอบแอบขึ้นมามองฟ้าคนเดียวเสมอ ความเงียบของกลางคืนทำให้เขารู้สึกปลอดภัย แม้ในใจจะมีเรื่องมากมายที่ไม่เคยบอกใคร

เสียงฝีเท้าเบา ๆ ดังขึ้นจากด้านหลัง “ยังไม่นอนอีกเหรอ?”

นทีหันไปเจอ “ภูผา” รุ่นพี่ปีสี่จากคณะเดียวกัน ภูผาเป็นที่รู้จักในฐานะดาวเด่นของคณะ ทั้งฝีมือออกแบบและความเป็นผู้นำที่หลายคนชื่นชม แต่สำหรับนที เขาคือคนที่เข้าถึงยาก ราวกับภูเขาสูงที่มองเห็นได้แต่ไม่อาจปีนถึง

“ผม… แค่มาดูดาวครับ” นทีตอบสั้น ๆ พลางก้มหน้า

ภูผานั่งลงข้าง ๆ โดยไม่พูดอะไรสักพัก ลมหนาวพัดเบา ๆ แต่การมีใครสักคนนั่งอยู่ข้าง ๆ กลับทำให้นทีรู้สึกอบอุ่นอย่างน่าประหลาด

“ฉันก็ชอบมองดาวนะ” ภูผาพูดขึ้น น้ำเสียงเรียบง่ายแต่จริงใจ “มันทำให้ฉันนึกได้ว่าโลกกว้างกว่าที่เรากังวลอยู่มาก”

นทีมองหน้าอีกฝ่ายอย่างเงียบ ๆ นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นรุ่นพี่คนดังในมุมที่ไม่ใช่คนเก่งสมบูรณ์แบบ แต่เป็นคนธรรมดาที่มีความเหงาซ่อนอยู่เช่นเดียวกัน

 

วันเวลาผ่านไป หลังจากคืนนั้น ทั้งคู่เริ่มใกล้ชิดกันโดยไม่รู้ตัว ภูผามักแวะมาหานทีเวลาอ่านหนังสือที่ห้องสมุด คอยชวนไปกินข้าว หรือบางครั้งก็มานั่งฟังนทีบ่นเรื่องงานออกแบบโมเดลด้วยความตั้งใจ

“นายรู้ไหมว่านายขมวดคิ้วเวลาออกแบบอยู่ มันดูจริงจังมากจนฉันอดมองไม่ได้” ภูผาแกล้งพูด

นทีหน้าแดง รีบก้มลงปิดสมุดแบบร่าง “พี่นี่ก็พูดอะไรแปลก ๆ”

“ไม่ได้แปลกหรอก แค่พูดความจริง” ภูผาหัวเราะเบา ๆ

หัวใจนทีเต้นแรงทุกครั้งที่ได้ยินแบบนั้น แต่เขาเลือกที่จะเก็บความรู้สึกไว้ เพราะกลัวว่ามันอาจทำลายความสัมพันธ์ที่ดี

 

จนกระทั่งวันหนึ่ง ก่อนการสอบปลายภาค นทีเครียดหนักเพราะโปรเจ็กต์ที่อาจารย์วิจารณ์อย่างหนัก เขาเดินออกมานั่งที่ลานดาดฟ้าเดิม น้ำตาไหลออกมาเงียบ ๆ โดยไม่รู้ว่ามีใครตามมา

“ร้องไห้ทำไม?” เสียงคุ้นเคยดังขึ้น ภูผาเดินเข้ามา วางเสื้อนอกคลุมให้นที

“ผม… ผมทำไม่ได้หรอกพี่” นทีสะอื้น “ไม่เก่งเหมือนใครเขาเลย”

ภูผาเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนเอื้อมมือมาจับไหล่ “นที นายไม่จำเป็นต้องเก่งกว่าใคร นายแค่ต้องเป็นตัวเอง และเชื่อว่ามันมีค่ามากพอ”

นทีมองตารุ่นพี่ น้ำตายังริน แต่หัวใจกลับสั่นสะเทือนด้วยความอบอุ่น เขาไม่เคยรู้เลยว่าคำพูดจากใครบางคนสามารถทำให้เขารู้สึกมีค่าได้มากขนาดนี้

 

หลังจากวันนั้น ความสัมพันธ์ของทั้งคู่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน พวกเขาไม่ใช่แค่รุ่นพี่รุ่นน้อง แต่กลายเป็นที่พักใจของกันและกัน ในคืนหนึ่งหลังสอบเสร็จ ภูผาพานทีไปที่ลานกว้างบนดอยสูง ลมเย็นพัดแรงและท้องฟ้าเต็มไปด้วยดาวเหมือนคืนแรกที่เจอกัน

“นายจำได้ไหมคืนนั้นที่เรานั่งดูดาวด้วยกัน” ภูผาเอ่ยถาม

“จำได้สิครับ” นทีตอบเสียงเบา ใจเต้นแรง

ภูผาหันมาสบตา “ตอนนั้นฉันคิดอยู่ว่าถ้ามีโอกาส ฉันอยากบอกความจริงบางอย่าง…”

“อะไรเหรอครับ?”

ภูผายกมือขึ้นลูบแก้มนทีเบา ๆ ดวงตาจริงจังและอ่อนโยน “ฉันชอบนาย ตั้งแต่วันนั้นแล้ว”

หัวใจของนทีแทบหยุดเต้น เขาไม่คิดว่าความรู้สึกที่เก็บเงียบไว้มาตลอด จะถูกอีกฝ่ายพูดออกมาก่อน น้ำตาเอ่อคลอ แต่ครั้งนี้เป็นเพราะความสุข

“ผมก็เหมือนกันครับ… ชอบพี่มาตลอด”

คำตอบนั้นทำให้ภูผายิ้มกว้างเป็นครั้งแรก รอยยิ้มที่ทำให้นทีรู้สึกเหมือนทั้งจักรวาลส่องสว่างอยู่ตรงหน้า

 

เวลาผ่านไป หลายปีหลังเรียนจบ ทั้งคู่ยังคงเคียงข้างกัน นทีทำงานเป็นสถาปนิก ส่วนภูผากลายเป็นอาจารย์สอนในมหาวิทยาลัย แม้ชีวิตเต็มไปด้วยความรับผิดชอบ แต่ทุกคืนที่ได้กลับบ้านมาเจอกันก็ทำให้ทุกอย่างคุ้มค่า

ในคืนวันครบรอบวันแรกที่สารภาพรัก ภูผาพานทีขึ้นไปที่ดอยสูงอีกครั้ง ดาวเต็มฟ้าเหมือนเคย แต่ครั้งนี้ต่างออกไป

“นที” ภูผาหยิบกล่องเล็ก ๆ ออกมา เปิดเผยแหวนเงินเรียบง่าย “นายจะยอมอยู่เคียงข้างฉันไปตลอดเหมือนดาวบนฟ้าที่ไม่เคยหายไปได้ไหม?”

นทีน้ำตาคลออีกครั้ง แต่ยิ้มกว้างและพยักหน้า “ครับ… ผมสัญญา”

ท่ามกลางแสงดาวและสายลมหนาว ทั้งคู่กอดกันแน่น รู้ว่าตั้งแต่นั้นไป ดวงดาวไม่ได้อยู่แค่บนท้องฟ้าอีกแล้ว แต่ส่องประกายในหัวใจของพวกเขาทั้งสอง

รอยยิ้มหลังฝน

เสียงฝนกระทบหน้าต่างยังคงดังเป็นจังหวะ บาสนั่งกอดเข่าอยู่บนเตียงห้องเช่าเล็ก ๆ ดวงตาแดงก่ำเต็มไปด้วยร่องรอยน้ำตา เขาเพิ่งถูกแฟนเก่าทิ้งไปแบบไม่เหลือเยื่อใย ทั้งที่ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา บาสคิดว่าเขาจะเป็น "ที่หนึ่ง" ในใจอีกฝ่าย

แต่สุดท้าย...เขาก็กลายเป็นเพียง "ตัวเลือก" ที่ถูกแทนที่ง่าย ๆ

"เรามันโง่เอง...ที่เชื่อคำหวาน" บาสพึมพำกับตัวเองเสียงสั่น

ในช่วงเวลาที่เหมือนโลกทั้งใบกำลังพังทลาย เสียงแจ้งเตือนจากโทรศัพท์ก็ดังขึ้น

[ปิง]: บาส อยู่ไหนอะ ออกมากินข้าวกับเราไหม เดี๋ยวเลี้ยงเอง

[บาส]: ไม่อ่ะ ไม่หิว

[ปิง]: เฮ้ย อย่ามาทำเศร้าอยู่คนเดียวดิ ออกมาเจอเพื่อนหน่อยเหอะ

บาสถอนหายใจยาว สุดท้ายก็ยอมเดินออกมาเจอเพื่อนสนิทอย่าง ปิง ที่คอยอยู่เคียงข้างเสมอ

ที่ร้านอาหารเล็ก ๆ ปิงไม่ได้ถามอะไรเกี่ยวกับแฟนเก่าเลย แต่กลับเล่าเรื่องตลก เรื่องเรียน เรื่องอาจารย์จอมดุ จนบาสเผลอหัวเราะออกมาเป็นครั้งแรกในรอบหลายวัน

"เห็นมั้ย หัวเราะแล้วหล่อกว่าร้องไห้ตั้งเยอะ" ปิงยกแก้วน้ำขึ้นชนแก้วเขา

บาสส่ายหัว แต่หัวใจกลับอุ่นขึ้นเล็กน้อย

---

วันเวลาผ่านไป บาสพยายามดึงตัวเองกลับเข้าสู่ชีวิตปกติ เขาตั้งใจเรียน ทำงานพิเศษ และพยายามไม่หันกลับไปมองอดีตที่เจ็บปวดอีก แต่โลกเหมือนเล่นตลก เพราะวันหนึ่ง เขาได้พบกับคน ๆ หนึ่งที่จะเข้ามาเปลี่ยนชีวิตอีกครั้ง

"น้องบาสใช่มั้ยครับ?" เสียงทุ้มอบอุ่นดังขึ้น

บาสหันไปมอง เห็นชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้าคมคายกำลังยิ้มให้ เขาสวมเสื้อเชิ้ตเรียบง่าย แต่ดูสะอาดสะอ้านจนสะดุดตา

"ครับ...เอ่อ พี่คือ?"

"พี่ชื่อ โพร์ท เป็นเพื่อนของปิง เห็นปิงบอกว่าน้องช่วยทำรายงานเก่ง เลยอยากขอให้ช่วยแนะนำหน่อย"

จากวันนั้น บาสกับโพร์ทก็เริ่มรู้จักกันมากขึ้น จากเพียงการพูดคุยเรื่องรายงาน ค่อย ๆ กลายเป็นการนั่งกินข้าวด้วยกัน และสุดท้ายก็คือการนั่งคุยเรื่องชีวิต

โพร์ทต่างจากใครหลายคนที่บาสเคยเจอ เขาไม่พยายามทำให้บาสลืมอดีต แต่เขารับฟังทุกอย่างอย่างตั้งใจ พร้อมกับพูดเพียงประโยคเดียวที่บาสจำไม่ลืม

"ไม่เป็นไรนะ ถ้าเจ็บ พี่อยู่ตรงนี้"

---

ในบางคืนที่ฝนตก บาสมักจะหวาดกลัวความว่างเปล่า แต่ครั้งนี้เขาไม่ได้อยู่คนเดียวอีกแล้ว เพราะมีข้อความจากโพร์ทที่มักส่งมาทุกครั้ง

[โพร์ท]: ฝนตกแล้ว น้องบาสกินอะไรรึยัง?

[บาส]: ยังเลยครับ ขี้เกียจออกไปซื้อ

[โพร์ท]: งั้นเดี๋ยวพี่แวะไปเอาของกินไปให้

ไม่กี่สิบนาทีต่อมา โพร์ทก็มาถึงจริง ๆ พร้อมข้าวกล่องอุ่น ๆ และรอยยิ้มที่ทำให้ห้องเล็ก ๆ สว่างขึ้น

"พี่ไม่ต้องลำบากก็ได้นี่ครับ" บาสบ่นเบา ๆ

"ไม่ลำบากหรอก ถ้าเพื่อเรา" โพร์ทยิ้ม

คำพูดสั้น ๆ นั้น ทำเอาหัวใจที่เคยแตกสลายของบาสเต้นแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

---

เพื่อนของโพร์ทอย่าง เฟิร์ส มักจะแซวเสมอเวลาเห็นทั้งคู่ไปไหนมาไหนด้วยกัน

"เฮ้ ๆ พี่โพร์ทนี่ดูแลน้องบาสยิ่งกว่าแฟนอีกนะเนี่ย"

บาสหน้าแดง ส่วนโพร์ทกลับหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะพูดออกมาตรง ๆ

"ก็กำลังอยากเป็นมากกว่าเพื่อนอยู่แล้วนี่"

คำพูดนั้นทำเอาทุกคนเงียบลง เหลือเพียงหัวใจของบาสที่เต้นแรงราวกับจะหลุดออกมา

---

หลายเดือนต่อมา บาสรู้ตัวแล้วว่าเขาไม่ได้กลัวความรักอีกต่อไป แม้จะยังมีบาดแผลจากอดีต แต่การได้อยู่กับโพร์ททำให้เขาเรียนรู้ว่า ความรักไม่ใช่การครอบครอง แต่คือการอยู่เคียงข้างในวันที่อีกฝ่ายอ่อนแอที่สุด

ในเย็นวันหนึ่ง ท้องฟ้าเพิ่งหยุดร้องไห้ สายฝนเพิ่งหยุดตก บนระเบียงเล็ก ๆ โพร์ทยื่นมือมาลูบหัวบาสเบา ๆ

"น้องบาส..."

"ครับ?"

"ลองเปิดใจให้พี่ได้มั้ย อยากเป็นคนที่ทำให้น้องยิ้มได้ทุกวัน"

บาสมองเข้าไปในดวงตาอบอุ่นคู่นั้น ก่อนจะพยักหน้าช้า ๆ

"ครับ...ผมก็อยากให้พี่อยู่ตรงนี้ไปนาน ๆ เหมือนกัน"

---

จากเด็กหนุ่มที่เคยสิ้นหวังกับความรัก วันนี้บาสได้ค้นพบว่า หลังสายฝน...ย่อมมีรอยยิ้มที่อบอุ่นรออยู่เสมอ

และรอยยิ้มนั้น ก็คือ โพร์ท

เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!

novel PDF download
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!