ถ้าขับรถผ่านหมู่บ้านหนองสะแกในจังหวัดบ้านนอกห่างไกล คุณจะเห็นป้ายไม้ผุ ๆ ติดอยู่ข้างถนนว่า
> “ระวังโค้งดงตะเคียน – ขับช้า ๆ”
คนส่วนใหญ่คิดว่ามันก็แค่เตือนเรื่องอุบัติเหตุ แต่สำหรับคนในพื้นที่…ป้ายนี้คือคำเตือนให้ระวังบางอย่างที่ “เร็วเกินกว่าตามนุษย์จะมองทัน”
เรื่องเล่าในอดีต
หลายสิบปีก่อน หมู่บ้านหนองสะแกมีหญิงชราคนหนึ่งชื่อ ยายเพ็ง อายุเจ็ดสิบกว่า หลังค่อม ผิวคล้ำ ดวงตาแหลมคม ยายเพ็งไม่ได้เป็นคนรวยหรือมีญาติพี่น้องมากนัก แกอาศัยปลูกผัก ขายกล้วยทอดเลี้ยงชีพ แต่สิ่งที่ทำให้ทั้งหมู่บ้านจดจำคือ…ความเร็วของแก
ไม่ว่าจะเดิน วิ่ง หรือเข็นรถขายของ ยายเพ็งเร็วผิดธรรมชาติ
เวลามีคนเจ็บ ยายเพ็งจะไปถึงก่อนใคร แม้บ้านจะอยู่ไกลสุดหมู่บ้าน
เด็ก ๆ เคยเล่นวิ่งแข่งกับแก แต่ไม่มีใครชนะได้สักครั้ง
บางคนลือว่า สมัยสาว ๆ แกเป็นนักวิ่งเหรียญทอง แต่เลิกเพราะสามีเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ ทำให้ไม่อยากออกไปแข่งอีก
จนกระทั่งเกิดเหตุในคืนเดือนมืดหนึ่ง…
คืนที่เปลี่ยนตำนานเป็นคำสาป
ในคืนนั้น เวลาประมาณเที่ยงคืน รถกระบะบรรทุกสินค้าคันหนึ่งขับฝ่าดงตะเคียนด้วยความเร็วสูง พลาดโค้งพลิกคว่ำ ไฟลุกท่วมกลางถนน เสียงดังสนั่นปลุกคนทั้งหมู่บ้าน
ยายเพ็ง ที่กำลังจะเข้านอน เห็นแสงไฟจากหน้าต่างบ้าน รีบวิ่งออกไปช่วยด้วยความเร็วที่ไม่มีใครตามทัน หลายคนเห็นแกวิ่งแซงมอเตอร์ไซค์เหมือนไม่ได้แตะพื้น
แต่ครั้งนี้…ความเร็วก็ช่วยไม่ได้
ไฟจากน้ำมันที่รั่วลามไวเกินไป ยายเพ็งกับคนขับติดอยู่ในกองเพลิง ท่ามกลางเสียงกรีดร้อง ทุกคนทำอะไรไม่ทันเลย พอไฟมอด เหลือเพียงซากรถไหม้เกรียม และเถ้ากระดูกที่ป่นละเอียดจนไม่เหลือรูปร่าง
เหตุการณ์ประหลาดหลังจากนั้น
ไม่ถึงเดือนหลังงานศพ ชาวบ้านเริ่มเจอเรื่องประหลาด
ชายหนุ่มคนหนึ่งขี่มอเตอร์ไซค์กลับจากดื่มเหล้าที่อำเภอ ตอนตีสอง ขณะขับผ่านดงตะเคียน เขาเห็นเงาผู้หญิงสูงอายุในชุดผ้าถุง วิ่งข้างรถด้วยความเร็วพอ ๆ กับมอเตอร์ไซค์ ก่อนจะค่อย ๆ แซงขึ้นหน้า
เขาตกใจแต่ยังหัวเราะ คิดว่าฝันไป จึงตะโกนว่า “แข่งกันไหมยาย!”
วันรุ่งขึ้น เขาไม่กลับมาบ้าน ญาติออกตามหาเจอเพียงรองเท้าข้างเดียวตกอยู่ริมถนน และรอยลากยาวหายเข้าไปในป่าตะเคียน
เด็กวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งเล่าว่า กลับจากเที่ยวงานวัดกลางคืน ขับผ่านโค้งนี้ แล้วรู้สึกเหมือนมีลมเย็นจัดไล่ตามมา พอมองกระจกหลัง เห็นหญิงสาวหน้าไหม้เกรียม ดวงตากลวงโบ๋ ยิ้มกว้างจนปากฉีก วิ่งอยู่กลางถนน ก่อนจะหายวับไปในเงามืด
คำเตือนของคนเฒ่าในหมู่บ้าน
คนแก่ในหมู่บ้านบอกตรงกันว่า วิญญาณของยายเพ็งไม่ได้ไปไหน เพราะความตายของแกเต็มไปด้วยความทรมาน และความตั้งใจจะช่วยคนแต่ทำไม่สำเร็จ จิตวิญญาณเลยติดอยู่ที่โค้งดงตะเคียน
กลางคืน โดยเฉพาะคืนเดือนมืดหรือฝนตก คุณอาจได้ยินเสียงฝีเท้าวิ่งแผ่ว ๆ ข้างรถ เสียงหัวเราะแหบพร่า หรือกลิ่นไหม้จาง ๆ ลอยมากับลม
ถ้าเจอ…อย่ามอง อย่าพูด และอย่าลองแข่ง
เพราะคุณอาจกลายเป็นอีกคนที่ถูกเพิ่มชื่อเข้าไปในตำนานของ “คุณยายสปีด”
- นี่เป็นเพียงเรื่องเล่า ที่ถูกเขียนออกมา อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงจากเรื่องจริงอยู่มาก -
" โปรดใช่วิจารณญาณในการอ่านด้วยนะคะ "
- THE END -
ถ้าคุณเคยเดินทางผ่านเส้นถนนชนบทสาย 17 ช่วงผ่าน “โค้งกุดหัว” คุณอาจสังเกตว่าที่นี่ไม่มีใครกล้าจอดรถพัก ไม่มีร้านค้า ไม่มีบ้านคนอยู่ใกล้ ๆ แม้แต่ชาวบ้านก็พยายามหลีกเลี่ยงทางนี้ตอนกลางคืน
เพราะกว่า 40 ปีมาแล้ว ที่นี่เคยเกิดเหตุสยองที่กลายเป็นตำนาน “ผีหัวขาด”
โศกนาฏกรรมในอดีต
สมัยก่อน เส้นทางนี้ยังเป็นลูกรังแคบ ๆ ตัดผ่านทุ่งนาและป่าไผ่ มีสะพานไม้เล็ก ๆ ข้ามคลองชลประทาน วันหนึ่ง รถบัสโดยสารสายอำเภอ–ตัวจังหวัด ขับมาถึงโค้งนี้ในช่วงหัวค่ำ คนขับเพิ่งดื่มเหล้ามาแล้วเร่งความเร็วมากเกินไป
บนสะพาน เกิดเหตุไม่คาดฝัน รถบัสเสียหลักพุ่งชนรถบรรทุกที่วิ่งสวนมาอย่างจัง แรงกระแทกทำให้มีคนเสียชีวิตทันทีหลายราย หนึ่งในนั้นคือชายหนุ่มชื่อ “อินทร์” ที่นั่งตรงหน้าสุด
แรงปะทะทำให้หัวของเขาขาดกระเด็นไปตกในคลอง ส่วนร่างติดอยู่ในซากรถ เลือดนองไปทั่ว คนที่รอดเล่าว่า ก่อนสิ้นใจ อินทร์ยังมองทุกคนเหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ไม่มีเสียง
ตอนเก็บศพ มีเรื่องที่ทำให้คนขนลุก…
หัวของอินทร์หายไป ไม่มีใครหาเจอ แม้จะงมค้นคลองหลายชั่วโมงก็ไม่พบ สุดท้ายต้องจัดงานศพให้ร่างไร้หัว
เหตุการณ์หลังจากนั้น
หลังงานศพเพียงไม่กี่วัน คนขับรถบรรทุกที่รอดชีวิต เล่าว่า ขณะขับผ่านโค้งกุดหัวในคืนฝนตก เขาเห็นเงาร่างเปียกปอนยืนอยู่กลางถนน ร่างสูงใหญ่ แต่…ไม่มีหัว แขนทั้งสองข้างยกขึ้นเหมือนกำลังหาอะไรบางอย่าง
เขาตกใจเหยียบเบรกเต็มแรง พอรถหยุด ร่างนั้นก็เดินเข้ามาใกล้ กลิ่นคาวเลือดแรงจนแทบอาเจียน จากนั้นเขารู้สึกเย็นวาบตรงต้นคอ เหมือนมีมือเย็นจัดลูบช้า ๆ ก่อนที่ภาพทั้งหมดจะหายวับไป
ไม่นานหลังจากนั้น เริ่มมีข่าวว่าคนขับมอเตอร์ไซค์และรถยนต์ที่ผ่านโค้งนี้ตอนกลางคืน มักเจอชายไร้หัวเดินไล่ตาม หรือบางคนเห็นหัวมนุษย์เต็มไปด้วยเลือดกลิ้งอยู่กลางถนน พอเบี่ยงหลบ หันกลับไปมอง…ก็ไม่มีอะไร
เรื่องเล่าของผู้รอดชีวิต
มีชายหนุ่มชื่อเก่ง เล่าว่า คืนหนึ่งเขากลับจากไปส่งแฟนที่หมู่บ้านถัดไป ขี่มอเตอร์ไซค์ผ่านโค้งกุดหัวคนเดียว พอเข้าโค้งก็ได้ยินเสียงคนวิ่งอยู่ข้างหลัง จังหวะที่หันไปดู ไฟจากท้ายรถสะท้อนให้เห็นร่างชายไร้หัววิ่งไล่ตาม
เก่งเร่งเครื่องสุดชีวิต แต่เสียงฝีเท้าก็ยังใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ จนได้ยินเสียงลมหายใจแรง ๆ ที่ไม่ควรมีหัวให้หายใจ
เขาเล่าว่า ตอนนั้นเหมือนมีอะไรเย็นเฉียบเกาะไหล่ พอพ้นโค้ง เสียงทุกอย่างเงียบกริบ แต่พอมองกระจกหลัง เขาเห็นหัวมนุษย์เปื้อนเลือดอยู่บนเบาะซ้อนท้าย ก่อนจะหายไปในพริบตา
เก่งป่วยเป็นไข้สูงเกือบสัปดาห์หลังจากนั้น และสาบานว่าจะไม่ขับผ่านทางนี้คนเดียวอีก
คำเตือนของชาวบ้าน
คนในพื้นที่เชื่อว่า วิญญาณของอินทร์ยังวนเวียนอยู่ เพราะไม่เคยได้พบหัวของตนเอง เขาจึงปรากฏตัวเพื่อหา “หัว” กลับคืน
ใครที่ผ่านโค้งกุดหัวตอนกลางคืน โดยเฉพาะคืนฝนตกหรือเดือนมืด ควรทำ 3 อย่างนี้
ขับช้า ๆ และไม่จอดรถกลางโค้ง
อย่ามองกระจกหลัง ถ้ารู้สึกว่ามีใครอยู่บนรถ
อย่าพูดคำว่า “หัว” หรือ “หา” เพราะเชื่อว่าจะดึงดูดวิญญาณให้เข้ามาใกล้
แม้ปัจจุบันถนนจะขยายใหญ่และสร้างสะพานคอนกรีตใหม่แล้ว แต่ไม่มีใครในหมู่บ้านนี้ลืมเสียงฝีเท้าเปียกชื้นและร่างไร้หัวที่ยังเดินหาอะไรบางอย่างในความมืด
- นี่เป็นเพียงเรื่องเล่า ที่ถูกเขียนออกมา อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงจากเรื่องจริงอยู่มาก -
" โปรดใช่วิจารณญาณในการอ่านด้วยนะคะ "
- THE END -
ตำนานผีต้นตะเคียนเจ้าทุ่ง
ในหมู่บ้านโนนสว่าง มีทุ่งนาใหญ่ที่คนเรียกว่า “ทุ่งเจ้าทุ่ง” เพราะตรงกลางมีต้นตะเคียนยักษ์สูงตระหง่านเพียงต้นเดียว
ต้นนี้ไม่เหมือนต้นไม้ทั่วไป เพราะแม้จะผ่านพายุ ฝนฟ้าคะนอง หรือไฟป่ามากี่ครั้ง ก็ไม่เคยโค่นล้ม ไม่แม้แต่ใบจะร่วงมากเกินไป
ชาวบ้านเชื่อว่ามี “เจ้าแม่ตะเคียน” สถิตอยู่ เป็นวิญญาณหญิงสาวโบราณที่คอยปกปักรักษาที่ดินผืนนี้ แต่หากมีใครลบหลู่หรือทำให้ท่านโกรธ…สิ่งที่ตามมาอาจแลกด้วยชีวิต
ความเป็นมาในอดีต
เรื่องเล่าว่า เมื่อร้อยกว่าปีก่อน มีหญิงสาวงามชื่อ “แม่ศรีประจง” เป็นลูกสาวกำนันในหมู่บ้าน แม่ศรีเป็นคนรักธรรมชาติ มักมานั่งเล่นใต้ร่มตะเคียนต้นนี้ทุกเย็น แต่ความงามของเธอทำให้ชายคนหนึ่งจากหมู่บ้านใกล้เคียงเกิดความหลงไหลจนถึงขั้นหมายปองจะครอบครอง
คืนหนึ่งเขาวางแผนลักพาตัวแม่ศรีไปเป็นเมีย แต่แม่ศรีต่อสู้และหนีมาถึงต้นตะเคียน เขาตามมาทันและใช้มีดแทงเธอจนสิ้นใจ เลือดของเธอไหลซึมลงสู่รากไม้ ร่างถูกฝังไว้ใต้ต้นตะเคียนเพื่อปิดบังความผิด
หลังจากนั้นไม่นาน ชายผู้ก่อเหตุก็ตายอย่างน่าสยดสยอง — ถูกพบศพในท่านั่งพิงต้นตะเคียน ใบหน้าบิดเบี้ยว ดวงตาถลนเหมือนตกใจกับอะไรสุดขีด มือสองข้างเกาะรากไม้แน่นจนเล็บหัก
เหตุการณ์ลี้ลับ
นับแต่นั้นเป็นต้นมา ต้นตะเคียนกลางทุ่งนี้ก็ถูกนับถือเหมือนศาลเจ้า
บางคืนจะมีคนเห็นหญิงสาวผมยาว สวมผ้าแถบสไบโบราณ เดินวนรอบต้นไม้ หรือยืนมองอยู่ไกล ๆ
เวลามีคนมาตัดกิ่งหรือตอกตะปู จะเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงในไม่กี่วัน เช่น รถคว่ำ ตกน้ำ หรือป่วยตายอย่างกะทันหัน
ในคืนเดือนเพ็ญ มักได้ยินเสียงผู้หญิงหัวเราะเบา ๆ ลอยมากับลม ข้าง ๆ จะได้กลิ่นหอมของดอกไม้โบราณ ทั้งที่รอบ ๆ ไม่มีดอกไม้เลย
เรื่องจากปากผู้เฒ่า
ยายแก้ว อายุ 78 ปี เล่าว่า ตอนเป็นสาว เธอเคยไปเก็บเห็ดกับเพื่อน ๆ แถวทุ่งเจ้าทุ่ง ขากลับเกิดคึกคะนองปีนขึ้นไปบนรากตะเคียนเพื่อถ่ายรูปเล่น พอกลับบ้านคืนนั้น เธอฝันว่ามีหญิงสาวในชุดโบราณมายืนข้างเตียง จ้องหน้าแล้วพูดว่า
> “ของของข้า เจ้าเหยียบทำไม…”
ยายแก้วตื่นขึ้นมาพร้อมรอยช้ำเป็นรูปมือรอบข้อเท้าซ้าย พอไปขอขมาที่ต้นตะเคียน รอยนั้นก็หายไปในวันรุ่งขึ้น
เหตุการณ์ยุคปัจจุบัน
เมื่อไม่กี่ปีก่อน มีบริษัทก่อสร้างจะถางที่ดินเพื่อสร้างถนนตัดผ่านทุ่งเจ้าทุ่ง รวมถึงจะตัดต้นตะเคียนออก แม้ชาวบ้านเตือนก็ไม่ฟัง
วันเริ่มงาน รถแบคโฮที่เตรียมรื้อถอนเกิดดับเครื่องโดยไม่มีสาเหตุ พอช่างลงมาดู ก็ลื่นล้มศีรษะฟาดเหล็กตายคาที่ คนอื่น ๆ ตกใจจนต้องหยุดงาน วันรุ่งขึ้นคนขับรถแบคโฮอีกคนฝันเห็นหญิงสาวมายืนบนตัวรถ แล้วพูดว่า
> “ที่ตรงนี้…เป็นของข้า”
โครงการต้องหยุดไปอย่างถาวร และต้นตะเคียนยังยืนเด่นอยู่เหมือนเดิม
คำเตือนของชาวบ้าน
ทุกวันนี้ ใครผ่านทุ่งเจ้าทุ่งจะไม่ส่งเสียงดัง ไม่ตัดไม้ และบางคนถึงกับไหว้ขออนุญาตก่อนเดินผ่าน
เชื่อกันว่าถ้าคุณได้ยินเสียงผู้หญิงเรียกชื่อคุณใต้ต้นไม้…อย่าหันไปมอง เพราะอาจไม่ได้กลับออกมาอีก
ต้นตะเคียนเจ้าทุ่งยังคงยืนต้นกลางผืนนา ใบไหวเบา ๆ เหมือนกำลังมองดูผู้ที่ผ่านไปมา และรอให้ผู้ลบหลู่ได้เรียนรู้ว่าพลังของ “ผีต้นไม้” นั้น…มีอยู่จริง
" โปรดใช่วิจารณญาณในการอ่านด้วยนะคะ "
- นี่เป็นเพียงเรื่องเล่า ที่ถูกเขียนออกมา อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงจากเรื่องจริงอยู่มาก -
- THE END -
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!