ตัวละครหลัก
🖤 คิมหันต์ อคินธร
อายุ: 34 ปี
ตำแหน่ง: ประธานบริษัท ‘อคินกรุ๊ป’ / หัวหน้าตระกูลมาเฟียอันดับหนึ่งของเอเชีย
บุคลิก: เย็นชา ขรึม เงียบ พูดน้อยแต่คำพูดเฉียบคม
คำที่ใช้บ่อย: “เงียบแล้วฟัง”, “อย่าทำให้ฉันต้องลงมือเอง”
> ชายหนุ่มวัยสามสิบปลายที่เพียงแค่ยืนเฉย ๆ ก็ทำให้ทั้งห้องเย็นยะเยือก ร่างสูงในชุดสูทเข้มเดินอย่างสง่างามทุกย่างก้าว ดวงตาเรียบนิ่งไม่แสดงความรู้สึกต่อสิ่งใด โลกของเขาแบ่งแยกชัดเจนระหว่าง ‘ธุรกิจสีขาว’ กับ ‘อำนาจใต้ดิน’
คิมหันต์เติบโตในตระกูลมาเฟียที่โหดเหี้ยมและเลือดเย็น พ่อของเขาเสียชีวิตจากสงครามธุรกิจเมื่อเขาอายุเพียง 18 ปี และแม่ก็หายตัวไปอย่างลึกลับตั้งแต่เขายังจำความไม่ได้ เขาจึงเติบโตมากับกฎ: "ใครอ่อนแอก่อน...ตายก่อน"
แม้ภายนอกจะเป็นนักธุรกิจผู้สงบนิ่ง แต่เบื้องหลังกลับเป็นคนที่ตัดสินใจรวดเร็ว แม่นยำ และลงมือฆ่าได้โดยไม่กระพริบตา เขาไม่เคยเชื่อใจใคร ไม่เปิดเผยตัวตนให้สื่อรู้ ไม่มีใครในโลกภายนอกเคยเห็นรอยยิ้มของเขา
จนกระทั่ง... เขาได้พบกับ 'รชา'
เขาไม่ได้ตกหลุมรักในทันที แต่ถูกดึงดูดโดยความเงียบชนิดเดียวกับตัวเอง ความว่างเปล่าที่สะท้อนกันและกันได้อย่างน่าประหลาด
🤍 รชา อธิคุณต์ พรตินันท์
อายุ: 19 ปี
สถานะ: นักศึกษาคณะออกแบบภายใน มหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดัง
บุคลิก: เงียบ เย็นชา พูดน้อยจนคนเข้าใจว่าเป็นใบ้ สายตาสั้นมาก แต่ใส่แว่นหนาเกินความจำเป็น
คำที่ใช้บ่อย: “...” (ไม่พูด)
> เด็กหนุ่มผิวขาวจัด ใบหน้าสะอาดตา ท่าทางเรียบง่าย แต่ดวงตาหลังแว่นกลับเต็มไปด้วยความระแวงและซ่อนอะไรบางอย่างไว้ตลอดเวลา
รชาเกิดในตระกูลธุรกิจระดับโลกแต่ไม่มีใครรู้ เพราะเขาเลือกปิดบังทุกอย่าง ใช้ชีวิตธรรมดา เรียบง่าย และหลบซ่อนจากสังคม เขาแทบไม่มีเพื่อน ไม่มีใครรู้ว่าบ้านเขาอยู่ที่ไหน ไม่มีใครเคยได้ยินเสียงของเขาชัดเจน
เขามีอาการแพนิคขั้นรุนแรง โดยเฉพาะเวลามีเสียงฟ้าร้อง เสียงปืน หรือเสียงระเบิดที่กระชากความทรงจำอันเลวร้ายในอดีตให้กลับมา แม้เขาจะเข้มแข็ง แต่ร่างกายกลับตอบสนองด้วยความหวาดกลัวที่ควบคุมไม่ได้
สิ่งที่น่าสนใจคือ รชาไม่ใช่เหยื่อ
เขาไม่ใช่เด็กอ่อนแอ
แต่เขา ‘เลือก’ ที่จะใช้ชีวิตเงียบ ๆ เพื่อหลีกเลี่ยงสิ่งที่จะกระตุ้นความทรงจำเลวร้าย
และเมื่อเขาเจอคิมหันต์ — คนที่เงียบพอ ๆ กัน ความสงบนั้นจึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ที่ไม่ต้องมีคำพูดใด ๆ
🌒 ตัวละครรอง (สำคัญ)
🔸 ธันวา – บอดี้การ์ดคนสนิทของคิมหันต์
อายุ: 29 ปี
บุคลิก: เงียบ สุภาพ รอบคอบ เป็นคนเดียวที่คิมหันต์ไว้ใจ
หน้าที่: รับหน้าที่เฝ้าติดตาม ปกป้อง และรายงานทุกความเคลื่อนไหวของรชาให้คิมหันต์โดยเฉพาะ
> ธันวาคือเงาของคิมหันต์ มีความสามารถในการต่อสู้ระดับสูง ทั้งมือเปล่า อาวุธ และการเจาะข้อมูล เป็นคนเงียบแต่มีมนุษยสัมพันธ์มากกว่านายเหนือ เขามักพูดเล่นกับรชาแม้จะไม่ค่อยได้คำตอบ เขาคือผู้เชื่อมต่อคนสองคนที่เงียบที่สุดเข้าด้วยกันอย่างช้า ๆ
🔸 เพื่อนร่วมคลาส – “น้ำขิง” และ “ภาม”
น้ำขิง (หญิง): สาวแซ่บประจำคลาส ดีไซน์สวย พูดเก่ง แต่ไม่กล้าเข้าใกล้รชา เพราะคิดว่าเขาเป็นคนหลอน ๆ
ภาม (ชาย): หนุ่มคณะเดียวกัน ขี้สงสัย มองรชาเป็นพวกเนิร์ดจอมปลอม ชอบพูดจากวนประสาท
> ทั้งสองคนเป็นเหมือนตัวแทนของ “สายตาสังคม” ที่มีต่อรชา ชอบวิจารณ์ลับหลัง และไม่รู้เลยว่าคนเงียบ ๆ ที่พวกเขามองข้ามนั้นคือใคร
🔸 ราชัน – มาเฟียต่างประเทศ
อายุ: 40 ปี
ตำแหน่ง: ผู้นำแก๊งอาชญากรรมฝั่งยุโรป
นิสัย: ดุดัน ฉลาด แค้นคิมหันต์สุดหัวใจ
บทบาท: ศัตรูหลักของคิมหันต์ในช่วงครึ่งหลังของเรื่อง และเป็นหนึ่งในคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับอดีตของรชา
> ราชันคือตัวร้ายในเงามืด เขาต้องการล้างแค้นคิมหันต์ และต้องการใช้รชาเป็นเครื่องมือ ความสัมพันธ์ของเขากับรชายังไม่ชัดเจนในตอนต้น แต่เบื้องหลังกลับซ่อนความจริงบางอย่างที่น่ากลัวเกินกว่าจะจินตนาการ
🌘 เคมีระหว่างคิมหันต์ × รชา
> จุดเด่นของนิยายเรื่องนี้คือ ‘ความเงียบ’ ที่สื่อสารได้โดยไม่ต้องพูด
คิมหันต์เป็นคนที่โลกบีบให้เขาไม่ไว้ใจใคร ขณะที่รชาเป็นคนที่โลกทำให้เขาต้องซ่อนตัว
เมื่อทั้งคู่ได้พบกัน พวกเขาไม่ต้อง ‘เติมเต็ม’ กันและกัน — แต่แค่ยอมอยู่ข้าง ๆ กันในความเงียบ ก็เพียงพอแล้ว
🎭 เส้นเรื่องหลักที่ตัวละครจะพัฒนา
คิมหันต์: จากมาเฟียเย็นชาที่ไม่รู้จักคำว่า “ห่วงใย” ค่อย ๆ เปิดใจให้กับเด็กหนุ่มที่ไม่พูดแม้แต่คำเดียว
รชา: จากเด็กหนุ่มที่เอาแต่หลบซ่อน ค่อย ๆ กล้าหันหน้าเผชิญอดีต ผ่านคนคนหนึ่งที่ไม่เคยถาม แต่กลับอยู่ข้าง ๆ เขาเสมอ
ตัวละครรอง: เปลี่ยนแปลงมุมมองจากการตัดสินรชาเพียงภายนอก จนเริ่มเห็น “ตัวตนที่แท้จริง” ของเขาภายใต้แว่นหนานั้น
✨ สรุปสั้นท้ายสุด:
นิยายเรื่องนี้ไม่ได้เน้นแค่ความรักแบบวาบหวาม
แต่นำเสนอ ‘บาดแผลในใจ’ ของคนสองคนที่ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมาก แต่ต่างก็เข้าใจความเจ็บปวดของกันและกันโดยไม่ต้องเอื้อนเอ่ย
เพราะในโลกที่เต็มไปด้วยเสียงดัง — ความเงียบของใครบางคน…อาจดังที่สุดในหัวใจของอีกคน
> แสงแดดยามสายสาดลอดม่านสีเทาเข้ามาภายในรถยนต์หรูสีดำด้านที่จอดนิ่งอยู่หน้าอาคารเรียนของมหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่งกลางกรุงเทพมหานคร
คนขับเปิดประตูหลังด้วยท่าทีสุภาพก่อนที่ชายในชุดสูทเข้มสีดำจะก้าวลงจากรถอย่างสง่างาม แว่นกันแดดเลนส์เข้มบดบังดวงตาเย็นชาคู่นั้น แต่ไม่มีอะไรกลบความน่าเกรงขามของเขาได้
“คุณรชาอยู่คณะดีไซน์ อาคาร B ชั้น 6 ครับ”
เสียงบอดี้การ์ดที่ยืนรออยู่ด้านหน้ารายงานเบา ๆ
คิมหันต์พยักหน้า ไม่พูดอะไรเลยสักคำก่อนจะก้าวเดินขึ้นบันไดอย่างมั่นคง ทั้งที่นี่ไม่ใช่ที่ที่เขาควรมาปรากฏตัว… ไม่ใช่โลกของคนอย่างเขา
แต่มันเกี่ยวกับ 'เด็กคนนั้น'...
---
รชานั่งเงียบอยู่ริมหน้าต่างในห้องเรียนออกแบบภายใน สวมแว่นสายตาหนาหนึ่งรอบกรอบสีดำสนิท เขาเอาแต่นั่งเงียบและจดอะไรบางอย่างลงในสมุดแบบร่างเล่มเล็ก ทั้งห้องไม่มีใครกล้าเข้าใกล้เขา แม้เขาจะไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับที่นี่
“เฮ้ย ไอ้เนิร์ดนั่นอีกแล้วว่ะ...”
“โคตรหลอนเลย มันไม่เคยพูดอะไรสักคำ คิดว่าเป็นใบ้จริงปะวะ?”
“บางคนบอกมันรวยล้นฟ้านะ แต่ทำตัวแบบ...จืดชืดเกินอ่ะ”
เสียงซุบซิบไม่เคยขาดหาย ทุกครั้งที่เขาก้าวเข้าห้องเรียน หรือแม้แต่ขยับตัว รชาไม่ได้ตอบโต้อะไรเลย เขาชินแล้วกับการอยู่ในเงา ชินแล้วกับการเงียบให้สุดเท่าที่จะเงียบได้
และ...เพราะมันปลอดภัยที่สุด
---
“เขาอยู่ชั้นบนสุดครับ ห้องสุดท้ายทางซ้าย”
เสียงพนักงานรักษาความปลอดภัยพูดพลางยื่นบัตรเข้าอาคารให้คิมหันต์
ผู้ชายคนนั้นไม่ได้ตอบอะไร แค่เดินไปเงียบ ๆ
ไม่มีใครรู้ว่าเขาคือใคร ไม่มีใครรู้ว่าเบื้องหลังแววตาเย็นเฉียบนั้นมีอำนาจระดับไหน
ไม่มีใครรู้ว่าเขาคือ...
คิมหันต์ หลานชายของตระกูลมาเฟียตระกูลใหญ่ที่สุดในเอเชีย และปัจจุบัน...ผู้นำคนใหม่ที่ไม่มีใครกล้าต่อกร
---
เสียงเคาะประตูเบา ๆ ดังขึ้น
ห้องเรียนเงียบกริบ
ไม่มีใครเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อชายในสูทดำก้าวเข้ามาในชั้นเรียน
“ขอโทษครับ ผมมารับรชา”
เสียงของคิมหันต์เรียบนิ่ง แต่น้ำเสียงหนักแน่นแบบไม่อนุญาตให้ใครตั้งคำถาม
ทั้งห้องมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ขณะที่รชากะพริบตาช้า ๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืนโดยไม่พูดอะไรเลย รวบของใส่กระเป๋าแล้วเดินตามชายคนนั้นออกไปโดยไม่สนใจสายตาใครทั้งสิ้น
ไม่มีคำอธิบาย
ไม่มีคำถาม
ไม่มีคำพูด
ราวกับเขารู้ว่า... 'ชายคนนั้นจะมา'
---
รถยนต์เงียบสนิท ไม่มีเสียงพูดใด ๆ
คิรินนั่งหลังตรง มือกอดเป้ไว้แน่น สายตาที่มองผ่านแว่นหนาไม่ได้สะท้อนอะไรเลยนอกจากความเย็นชา
คิมหันต์แค่เหลือบมอง แต่ไม่ได้พูดอะไร
“หิวยัง?”
เป็นประโยคแรกที่ออกมาจากปากของเขาในรอบสิบห้านาที
รชาส่ายหัวเบา ๆ
ไม่มีคำพูด
ไม่มีการสบตา
แต่นั่นไม่ใช่เพราะเขาไม่ไว้ใจ…
มันเป็นเพราะเขา ‘กลัว’… แม้แต่กับตัวเอง
---
ย้อนกลับไปเมื่อ 3 เดือนก่อน
ตอนนั้นคิมหันต์กำลังตามหาคน ๆ หนึ่ง เด็กหนุ่มที่ชื่อ 'รชา' ผู้ที่ปรากฏตัวขึ้นในงานประมูลศิลปะใต้ดินกลางโตเกียวโดยไม่ตั้งใจ มีรายงานจากลูกน้องว่าเด็กคนนั้นอาจเป็นลูกชายของใครบางคนที่ 'หายไปจากระบบ'
แต่สิ่งที่เขาเห็นในวันนั้น...กลับเป็นแค่เด็กเนิร์ดที่ยืนนิ่งท่ามกลางเสียงปืน
ท่ามกลางกลุ่มนักฆ่า ท่ามกลางเสียงระเบิด
...แล้วก็ ล้มลง กุมหูแน่น หายใจไม่ออก เหงื่อแตกและตัวสั่นราวกับโลกทั้งใบถล่มทลาย
“เขาแพนิคครับ... เหมือนมีอดีตเลวร้ายกับเสียงปืนหรืออะไรแบบนั้น”
ลูกน้องคนสนิทรายงาน
คิมหันต์จำแววตาคู่นั้นได้
ไม่ใช่เพราะความน่าสงสาร... แต่เพราะมันเหมือนเขาในวัยเด็ก
เด็กที่เคยถูกเสียงปืนกลืนกินความรู้สึกทุกอย่างไปหมดแล้ว
---
รถยนต์จอดหน้าเพนต์เฮาส์หรูบนตึกสูงใจกลางเมือง
รชาเดินตามขึ้นไปอย่างสงบ แต่ดวงตาเขากลับสำรวจทุกทางหนีทีไล่โดยสัญชาตญาณราวกับไม่ไว้ใจแม้แต่รอยเท้าของตัวเอง
“มาพักที่นี่สักพัก”
คิมหันต์พูดแค่นั้น
รชามองรอบห้อง สะอาด เรียบหรู เงียบ... และปลอดภัย
แต่ก่อนที่เขาจะวางกระเป๋าลง —
เสียงฟ้าร้องคำรามขึ้นทันทีจากนอกหน้าต่าง
“ปังงง!!!”
แค่เสียงนั้น รชาทรุดลงกับพื้นทันที มือกุมหูแน่น ดวงตาสั่นระริก หายใจถี่เร็วเหมือนจะขาดใจ
“...รชา!”
เสียงคิมหันต์เรียกพร้อมกับก้าวมานั่งข้าง ๆ
เขายื่นมือไปแตะไหล่บางนั้นเบา ๆ
“มองฉัน”
เสียงเรียบนิ่งแต่ชัดเจน
ดวงตาหลังแว่นของรชาสบกับดวงตาคมเข้มของอีกฝ่าย
และในวินาทีนั้น... ทุกเสียงภายนอกหายไป
หัวใจเขาเต้นรัว
ไม่ใช่เพราะฟ้าร้อง
แต่เพราะมืออุ่น ๆ ที่จับมือเขาแน่นอยู่ตอนนี้
> ความเงียบ...บางครั้งไม่ใช่การปิดกั้น
แต่มันคือ “ที่พักพิง” ของหัวใจที่แตกสลาย
—
เสียงฟ้าร้องยังคงคำรามเป็นจังหวะห่าง ๆ แม้ฝนจะเริ่มซา
ภายในเพนต์เฮาส์หรูย่านสาทร ความเงียบแน่นขนัดและอุ่นประหลาด
รชา ยังนั่งกอดเข่าที่มุมห้อง พิงโซฟาตัวใหญ่ มือทั้งสองยังกุมหูไว้แน่นแม้เสียงจะเงียบไปแล้ว ดวงตาหลังแว่นยังคงสั่นระริก
เขาหอบหายใจช้า ๆ เหงื่อผุดตามไรผมและหลังคอ เสื้อเชิ้ตนักเรียนเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อเย็น
ข้างกายเขา คิมหันต์ นั่งนิ่ง
ไม่แตะต้อง ไม่พูด
แค่…นั่งอยู่ตรงนั้น
เพียงแค่เขาอยู่
รชารู้สึกว่าเขากำลัง ‘ปลอดภัย’
—
เวลาผ่านไปพักใหญ่ก่อนที่เด็กหนุ่มจะค่อย ๆ คลายมือลงจากหู หายใจลึก ๆ อีกสองสามครั้งเพื่อควบคุมอาการตัวสั่น มือสั่นนิด ๆ ตอนถอดแว่นออกมาเช็ดไอน้ำฝ้า ๆ ที่เกาะเลนส์ด้วยชายเสื้อ
“ขอโทษ”
เสียงนั้นเบามาก แทบไม่ได้ยินเลย
แต่คิมหันต์ได้ยิน
เขาหันไปสบตาเด็กหนุ่มที่เงยหน้ามองกลับมา
ไม่มีน้ำตา
ไม่มีคำอธิบาย
มีเพียงแค่แววตา...ที่ไม่อยากให้ใครเห็นด้านนี้ของตัวเอง
“ไม่ต้องขอโทษ” คิมหันต์ตอบเรียบ ๆ ดวงตายังคงเย็นเฉียบ แต่คำพูดนั้นอบอุ่นแปลก ๆ “คนที่ต้องขอโทษ...คือคนที่เคยทำให้เธอกลัวแบบนี้”
รชาเบิกตานิด ๆ มองอีกฝ่ายนิ่งงัน
ไม่คิดว่าคนอย่างเขา...จะพูดอะไรแบบนี้ออกมา
คิมหันต์ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เดินไปยังครัว เปิดตู้เย็นหยิบขวดน้ำเย็นจัดออกมา แล้วกลับมายื่นให้รชา
“ดื่มซะ มือเธอสั่นอยู่”
“…ขอบคุณ”
เสียงเบาอีกครั้ง แต่นี่เป็นครั้งที่สองที่เขาพูด
คิมหันต์ไม่ได้ยิ้ม ไม่ได้พยักหน้า ไม่ได้ชม
แต่เขาจดจำเสียงนั้นอย่างจริงจัง
เสียงของคนที่ไม่เคยยอมพูดอะไรกับใครเลย...
—
หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย รชานั่งเงียบ ๆ อยู่ที่ระเบียงห้องนอน แขนพาดกับราวระเบียง แว่นสายตาถูกเช็ดจนใส ดวงตาของเขาจึงมองวิวกรุงเทพยามค่ำชัดขึ้นแม้จะยังเบลอบ้าง
เขารู้ดีว่าไม่ควรอยู่ที่นี่นาน
เขารู้ดีว่า “คนอย่างเขา” ไม่ควรใกล้ “คนแบบนั้น”
แต่...เขากลับไม่รู้สึกอยากหนี
กลับรู้สึกว่าที่นี่ปลอดภัยกว่าบ้านตัวเองด้วยซ้ำ
—
“จะกลับมหาวิทยาลัยไหม”
เสียงคิมหันต์ดังขึ้นจากประตูห้อง
รชาหันกลับมา เห็นชายร่างสูงในชุดลำลองธรรมดา เสื้อยืดสีเข้มกับกางเกงผ้าธรรมดาแต่ยังดูสง่าจนน่าประหลาด
“พรุ่งนี้มีเรียนเช้า”
“ฉันจัดการให้แล้ว วันนี้ไม่ต้องเข้า”
รชานิ่ง...ขมวดคิ้วนิด ๆ
“ฉันมีอำนาจพอจะทำเรื่องลานักศึกษาฝึกงานได้ทั้งเทอม”
“…”
เงียบอีกแล้ว แต่แววตาของรชาเริ่มขัดใจ
เขาไม่ได้ต้องการความช่วยเหลือ
เขาไม่ใช่เด็กอ่อนแอที่ใครก็มาออกคำสั่งได้
คิมหันต์ขยับเดินเข้ามาใกล้ มองเด็กหนุ่มตรงหน้าแบบที่ไม่เคยทำกับใครมาก่อน
“ฉันแค่ให้เวลาเธอได้พัก...ไม่ใช่ยึดอำนาจ”
เสียงนั้นเย็นแต่จริงใจ
“อย่าทำหน้าเหมือนฉันจะขังเธอไว้”
“…”
“ถ้าเธออยากกลับตอนนี้ ฉันจะพาไปเอง”
เงียบ...
รชาหลบสายตา สูดลมหายใจเข้าเบา ๆ แล้วเอ่ยคำที่สามในรอบวัน
“…ขออยู่ที่นี่อีกหน่อย”
และเป็นครั้งแรกที่ริมฝีปากของคิมหันต์ขยับ...
เป็นเสี้ยวยิ้มเล็ก ๆ ที่แทบมองไม่เห็น
—
กลางดึก
เสียงนาฬิกาเดินในห้องดังติ๊ก…ติ๊ก…ติ๊ก
ไฟหรี่สีอบอุ่นส่องสลัวไปทั่วห้องนอนใหญ่
รชานอนห่มผ้าจนถึงคาง แว่นถูกวางไว้ที่หัวเตียง ข้างหมอนมีกล่องยาพ่นกำจัดอาการหอบเฉียบพลันวางอยู่ด้วย
ร่างกายเขายังไม่ฟื้นดี
แต่ใจ...เริ่มอุ่นขึ้น
ที่น่าแปลกคือ แม้คิมหันต์จะนอนอยู่บนโซฟายาวอีกฝั่งของห้อง แต่รชากลับไม่รู้สึกอึดอัด
เขานอนหลับ...
ทั้งที่ปกติ ไม่เคยนอนหลับลึกที่ไหนได้เลย
—
เช้าวันถัดมา
ข่าวหน้าหนึ่งในแวดวงธุรกิจ:
> “บุตรชายคนเล็กตระกูลพรตินันท์หายตัวจากสื่ออีกครั้ง — ไม่มีใครรู้ตัวตนของเขาในตอนนี้”
ข่าวนั้นทำให้โลกภายนอกเริ่มขยับ
แต่ในเพนต์เฮาส์นั้น รชานั่งจิบโกโก้อุ่นที่ ธันวา เป็นคนชงให้เงียบ ๆ
“คุณหนูครับ”
ธันวาเอ่ยเรียกเบา ๆ ระหว่างรินน้ำให้
รชาชะงัก
เขาไม่คิดว่าจะมีใคร…
จำเขาได้จากชื่อ ‘พรตินันท์’
ดวงตาหลังแว่นสบกับธันวาที่กำลังยิ้มบาง ๆ อย่างไม่มีพิษภัย
“ไม่ต้องตกใจครับ ผมแค่ทำหน้าที่ของผม”
“คุณคิมหันต์สั่งให้เราคุ้มกันคุณอย่างเงียบที่สุด ไม่เปิดเผยตัว”
รชาไม่ได้ตอบอะไร…
แต่ลึกในใจเริ่มรู้ว่า —
เรื่องนี้ไม่ใช่แค่ “เขากำลังหนี”
แต่มันอาจหมายถึง “เขาถูกตามหา”
—
“รชา”
เสียงทุ้มของคิมหันต์ดังขึ้นเมื่อเจ้าตัวเดินเข้ามาในห้อง
“หลังจากนี้ เธออาจจะต้องบอกฉันมากกว่าสามคำแล้วล่ะ”
รชาหันไปมองอีกฝ่ายช้า ๆ
สบตา...เงียบ...แต่นิ่งแน่ว
“อดีตเธอ...เกี่ยวกับศัตรูของฉัน”
“…”
“ถ้าเธอไม่พูดตอนนี้ อีกไม่กี่วันข้างหน้า...พวกมันจะมาหาเธอเอง”
รชาหลุบตาลง ริมฝีปากเม้มแน่น
ความเงียบอีกครั้ง
แต่คราวนี้...มันไม่ใช่เพราะเขาไม่อยากพูด
แต่เพราะ “เขาไม่รู้ว่าควรเริ่มจากตรงไหน”
และในตอนนั้น
เสียงโทรศัพท์ของคิมหันต์ก็ดังขึ้น
เสียงจากปลายสายทำให้แววตาเย็นชานั้นเปลี่ยนทันที
“เจอแล้วครับ…คนของ ‘ราชัน’ เพิ่งเดินทางเข้าไทย”
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!