เสียงกลองศึกแห่งแคว้นเยียนสงบลงเพียงชั่วครู่หนึ่ง แต่สัญญาแห่งสันติภาพกลับถักทอพันธะใหม่—ซึ่งไม่มีผู้ใดยินดี
ริมกำแพงเมืองหลวงของแคว้นเยียน
ขบวนราชเสลี่ยงจากแดนไกลเคลื่อนเข้าสู่เมืองหลวงท่ามกลางสายตาของประชาชนที่จับจ้อง
ม้านำขบวนเหยียบพื้นหินอย่างมั่นคง
ขุนนางแคว้นเยียนยืนเรียงแถวต้อนรับอยู่เต็มลาน
กลางขบวนคือหญิงสาวผู้สูงศักดิ์—
องค์หญิงซูหรูเยว่ แห่งแคว้นซาง
นางนั่งนิ่งในเกี้ยวทองคำ ดวงตาคู่นั้นสงบนิ่ง ดั่งผืนน้ำที่ไม่อาจไหวติงแม้จะมีคลื่นใต้น้ำปั่นป่วน
> "เพื่อสันติภาพแห่งแผ่นดิน…องค์หญิงจากแคว้นซางจึงต้องเสด็จมาเป็น ‘ชายาในนาม’ ขององค์รัชทายาทหลี่เจิ้งเหวิน"
ไม่มีพิธีอภิเษกใหญ่โต
ไม่มีเสียงแตรหรือดอกไม้โปรยปราย
มีเพียงลมเย็นและสายตาหลายคู่ที่มองนางเหมือน "ของแลกเปลี่ยน"
---
ภายในวังเยียนเจา – พระตำหนักหยางอวิ๋น
ซูหรูเยว่เดินตามขันทีไปยังตำหนักที่จัดไว้ให้นางโดยเฉพาะ
ที่นั่น—มิใช่ตำหนักเอกของชายา
แต่วังเล็กเงียบงัน ไร้ผู้คน ไร้ความอบอุ่น
ขณะที่นางกำลังนั่งจิบชาช้า ๆ ภายใต้แสงจันทร์
ประตูไม้ก็เปิดออก
องค์รัชทายาทหลี่เจิ้งเหวิน ก้าวเข้ามาในชุดคลุมยาวสีดำขลับ ใบหน้าเรียบนิ่งดั่งน้ำแข็งที่แช่แข็งหัวใจทั้งแผ่นดิน
> “เจ้าคือสตรีที่แคว้นซางส่งมาสินะ”
> “หม่อมฉัน…ซูหรูเยว่”
เสียงนางมั่นคง มิได้หวั่นเกรง
> “หากเจ้ามาที่นี่เพราะหวังในอำนาจหรือใจของข้า เจ้าจะผิดหวัง”
> “หม่อมฉันมิใช่คนโลภ หรือโง่งมถึงเพียงนั้น”
คำตอบของนาง ทำให้เขาชะงักเล็กน้อย
ดวงตาคมกริบหรี่ลง
> “เช่นนั้น…เจ้าต้องการสิ่งใด?”
นางจ้องตาเขาแน่วแน่
> “อิสรภาพ—ในสิ่งที่ข้ายังพอเลือกได้”
> “แม้ร่างกายจะถูกผูกไว้ด้วยพันธะสัญญา แต่ใจของหม่อมฉัน…ยังคงเป็นของตนเอง”
เขาไม่พูดต่อ เดินจากไปโดยไม่แม้แต่หันมามองนางอีก
แต่หารู้ไม่—คำพูดของนางนั้นกลับฝังอยู่ในใจเขาไปตลอดคืนนั้น
---
คืนวันเดียวกัน – ด้านในพระตำหนักรัชทายาท
องครักษ์ประจำพระองค์เข้ามารายงานข่าว
“องค์หญิงแห่งแคว้นซาง ปฏิเสธการจัดคนรับใช้โดยวังหลวง ขอเพียงคนเดียวเฝ้าตำหนัก และขอปลูกต้นไม้หลังตำหนักเพียงต้นเดียว”
หลี่เจิ้งเหวินพยักหน้า
> “ปล่อยให้ทำตามใจ...อย่าก้าวก่าย”
> “พะยะค่ะ…”
เมื่อองครักษ์ออกไป รัชทายาทผู้เย็นชาจึงพึมพำเบา ๆ
> “เจ้าช่างแตกต่างจากหญิงอื่น…ซูหรูเยว่”
---
ณ ค่ำคืนแรกร่วมวังขององค์หญิง
ไม่มีความรัก
ไม่มีสัมผัส
มีเพียงความเงียบงันระหว่างบุรุษและสตรีสองผู้ ซึ่งต่างเย็นชา แต่มีรอยแผลในใจไม่ต่างกัน
แต่ในความเงียบสงบนั้น…
บางสิ่งกำลังเริ่มต้นอย่างช้า ๆ
เหมือนน้ำแข็งที่เริ่มละลายโดยไร้เสียง
---
ฝนตกในเดือนที่สามของฤดูใบไม้ผลิ
หยาดน้ำหล่นกระทบพื้นหินในลานด้านหลังพระตำหนักอวิ๋นเหออย่างแผ่วเบา
เสียงสายฝนคล้ายบทเพลงจากสรวงสวรรค์ ทว่าหญิงสาวในชุดคลุมบางกลับมิได้หลบซ่อน
ซูหรูเยว่
นางนั่งอยู่ใต้ต้นหลิวเล็ก ๆ ที่เพิ่งปลูกใหม่เมื่อไม่นาน ร่มกระดาษสีอ่อนบังใบหน้าเรียบเฉย
ที่ปลายสายตาของนาง
คือม่านฝนสีเทาที่ขอบฟ้า และความคิดบางอย่างที่นางพยายามกลบฝัง
---
> “ฝนแบบนี้ ทำให้ข้ารู้สึก...ไม่ต้องฝืนเงียบอีกต่อไป”
นางพึมพำกับตัวเอง ขณะปล่อยให้ความเปียกชื้นแทรกซึมผ่านแขนเสื้อ
เมื่อตอนยังเยาว์ ทุกครั้งที่แคว้นซางเกิดเหตุวุ่นวาย
นางจะหลบไปยังศาลาเล็กหลังวังและนั่งฟังเสียงฝน
เพราะฝน...กลบเสียงทะเลาะ เสียงร้อง เสียงด่าว่า—ได้หมด
เหมือนตอนนี้...
---
> “องค์หญิง” เสียงหนึ่งดังจากด้านหลัง
นางหันกลับช้า ๆ
พบขันทีน้อยยืนตัวสั่น ใบหน้าเต็มไปด้วยความวิตก
> “องค์รัชทายาทเสด็จมายังตำหนัก...ขอรับ!”
นางชะงัก ปลายนิ้วกำด้ามร่มแน่น
มิใช่เพราะความกลัว
แต่เพราะนางไม่คาดคิดว่าเขาจะมา...ในเวลาแบบนี้
---
⛩ ภายในตำหนักอวิ๋นเหอ – เวลาเดียวกัน
เสียงประตูเปิดออกพร้อมร่างสูงของบุรุษในชุดคลุมดำ
องค์รัชทายาท หลี่เจิ้งเหวิน
บุรุษผู้ไม่เคยเข้าเยี่ยมหญิงใดในวังเว้นแต่ราชการ
กลับย่างก้าวเข้าตำหนักของสตรีผู้เป็นเพียง “ชายาในนาม”
> “องค์หญิงซู อยู่ที่ใด?” เขาเอ่ยเสียงเรียบ แต่เย็นเยียบ
ขันทีรีบคุกเข่า
> “ฝ่าบาท...พระชายาเสด็จไปที่ลานหลังตำหนัก ตั้งแต่ฝนเริ่มตก...ยังไม่เสด็จกลับเลยพะยะค่ะ”
หลี่เจิ้งเหวินหรี่ตาลงเล็กน้อย
ริมฝีปากเม้มแน่น
> “หญิงผู้นี้ คิดว่าตนแกร่งนักหรืออย่างไร”
แม้กล่าวเช่นนั้น...แต่ก้าวเท้าของเขากลับเร่งขึ้น
---
🌧 ลานหลังตำหนัก – ใต้ต้นหลิว
เสียงฝีเท้ากระทบน้ำแฉะๆ ดังใกล้เข้ามา
หรูเยว่เงยหน้าขึ้นช้า ๆ ร่มของนางเอียงเล็กน้อย เผยให้เห็นดวงตาสีดำลึกที่ไม่อาจอ่านใจได้
องค์รัชทายาทยืนอยู่ตรงหน้า
แม้สายฝนจะโปรยปรายลงบนไหล่เขา แต่เขากลับไม่สนใจ
> “เจ้าชอบฝน...ถึงกับนั่งกลางสายฝนเช่นนี้หรือ”
> “ฝนมิได้ทำร้ายใครเพคะ”
> “แต่มันทำให้เจ้าป่วยได้”
นางนิ่งไปเล็กน้อยก่อนเอ่ยเสียงเบา
> “หากหม่อมฉันล้มป่วย...จะมีผู้ใดใส่ใจหรือเพคะ”
เขาชะงัก ดวงตาคมกริบมองตรงไปยังใบหน้านิ่งสงบของนาง
เงียบไปเนิ่นนานก่อนเขาจะถอดเสื้อคลุมของตนออก
แล้ววางลงบนบ่าของนางอย่างแผ่วเบา
> “ข้าไม่ชอบฝน…แต่มิได้หมายความว่าข้าจะปล่อยให้เจ้าทนอยู่ใต้มันตามลำพัง”
---
วินาทีนั้น หัวใจของนางไหวสั่น
ไม่ใช่เพราะความหนาวของฝน
แต่เพราะความอบอุ่น...ที่หลุดรอดออกมาจากเบื้องหลังความเย็นชาของเขา
> “ท่านไม่ต้องทำเช่นนี้เพื่อหม่อมฉันหรอกเพคะ”
> “ข้าไม่เคยทำสิ่งใดโดยไร้เหตุผล”
หลี่เจิ้งเหวินกล่าว พลางเอื้อมมือดึงร่มของนางขึ้น
แล้วเดินนำอย่างนิ่งขรึม
เสียงฝนยังคงตก แต่ความเงียบระหว่างพวกเขาเปลี่ยนไป
จากเคยหนักอึ้ง...กลายเป็นความสงบที่พอจะพิงใจได้
---
คืนนั้น
ภายในตำหนักเงียบงัน
แต่องค์หญิงแห่งแคว้นซาง และองค์รัชทายาทแห่งแคว้นเยียน
ต่างคนต่างเริ่มเฝ้ามอง “กันและกัน”
โดยไม่รู้ตัว...
---
"ใต้เปลวเทียนลางเลือน ผู้ใดกันแน่…ที่หวั่นไหวก่อน?"
คืนที่ฝนตกผ่านไปแล้ว
แต่บางสิ่งกลับตกค้างในใจมากกว่าหยาดน้ำใด ๆ
ในห้องนอนเงียบสงบของตำหนักอวิ๋นเหอ—องค์หญิงซูหรูเยว่นั่งอยู่เบื้องหน้ากระจกสำริด
แสงตะเกียงส่องต้องดวงหน้างดงามที่ดูเงียบสงบ ทว่าในดวงตาแฝงคลื่นน้ำที่ยากจะควบคุม
นางลูบบ่าเบา ๆ ตรงจุดที่เสื้อคลุมขององค์รัชทายาทเคยสัมผัส
มันอบอุ่น…จนยังไม่ลืมเลือน
> "เหตุใดจึงต้องดีต่อข้า?"
"เราก็แค่คนแปลกหน้าที่ถูกพันธะสัญญาผูกไว้…มิใช่หรือ?"
---
⛩ ฝั่งองค์รัชทายาท – พระตำหนักฉางหยาง
หลี่เจิ้งเหวินยืนอยู่หน้ากล่องไม้เล็ก ๆ ที่อยู่ใต้โต๊ะทรงจีน
ในนั้นมีเพียงพัดเก่าใบหนึ่ง กับแผ่นผ้าผืนจิ๋วปักชื่อ...
> “หรูเยว่”
เขามองมันเนิ่นนาน
ก่อนจะวางพัดลงช้า ๆ และเดินไปยืนที่หน้าต่าง มองไปยังตำหนักอวิ๋นเหอที่อยู่ไกลลิบ
> "เจ้าจำข้าไม่ได้…แต่นั่นไม่เป็นไร"
"เพราะข้าไม่ลืมเจ้าเลย…แม้แต่วันเดียว"
ใช่แล้ว...
ครั้งหนึ่งในอดีต
เมื่อครั้งเจิ้งเหวินยังมิได้เป็นองค์รัชทายาท
เขาเคยเสด็จไปยังแคว้นซางเพื่อศึกษาและฝึกงานราชการ
และเคยบังเอิญช่วย "เด็กหญิงคนหนึ่ง" ที่กำลังร้องไห้อย่างเงียบ ๆ ใต้ต้นหลิวในวังหลัง
เขาไม่เคยลืม
แต่นาง—กลับไม่เคยรู้ว่า “เขา” คือ “ชายคนนั้น”
---
🌸 วันรุ่งขึ้น – พระลานหลวง
การประชุมขุนนางมีประเด็นร้อนแรง
ขุนนางกลุ่มหนึ่งเสนอให้มี “การแต่งตั้งชายาเอก” อย่างเป็นทางการ เพื่อเสริมอำนาจวังหน้า
เสียงหนึ่งดังขึ้นจากเสนาบดีฝ่ายซ้าย
> “ฝ่าบาท แม้องค์หญิงซูจะได้รับพระราชทานตำหนัก แต่ยังมิได้ประกอบพิธีแต่งอย่างสมบูรณ์ หากปล่อยไว้เกรงว่าจะเกิดความเสื่อมเสียแก่ราชสำนัก”
เสียงอีกฝ่ายค้านทันที
> “แต่พระชายานางนั้น...มาจากแคว้นซางซึ่งเคยศึกกับเรา จะไว้วางพระทัยได้อย่างไร!”
บรรยากาศเริ่มตึงเครียด
ขณะที่องค์รัชทายาทหลี่เจิ้งเหวินนั่งนิ่ง พลางใช้พัดไม้เคาะโต๊ะเบา ๆ
ดวงตาคมหรี่ลง
> “ข้ายังมิได้ตัดสินใจ...แต่หากผู้ใดกล้าล้ำเส้นกับคนของข้าอีก ข้าจะถือว่าผู้นั้นล่วงเกินราชฐาน”
คำพูดนี้ทำให้ทั้งท้องพระโรงเงียบงันในทันที
---
💮 ตำหนักอวิ๋นเหอ – เย็นวันเดียวกัน
ซูหรูเยว่ได้รับข่าวจากขันทีน้อยว่าวันนี้พระองค์มีพระดำรัสปกป้องนางในที่ประชุมขุนนาง
นางนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง…หัวใจเต้นแผ่วแต่สม่ำเสมอ
> “องค์รัชทายาทผู้อ่อนโยนแบบนั้น…มีอยู่จริงหรือ?”
นางเดินออกมายังลานหลังตำหนักอีกครั้ง
ใต้ต้นหลิวต้นเดิมที่ฝนตกวันก่อน
มีกล่องผ้าเล็ก ๆ วางไว้พร้อมแผ่นกระดาษ…
> “เจ้าชอบฝน แต่ข้าเกลียดมัน...
แต่หากฝนพาเจ้ามาอยู่ตรงนี้ ข้าก็ยอมยืนใต้ฝน…ไปพร้อมกัน”
ไม่มีชื่อ ไม่มีลายเซ็น
แต่เธอรู้ดีว่าเป็นของใคร
ริมฝีปากบางของซูหรูเยว่คลี่ออกอย่างแผ่วเบาเป็นครั้งแรก
...เป็นรอยยิ้มที่ไม่ได้เสแสร้งหรือฝืนใจ
...แต่เป็นรอยยิ้มของคนที่เริ่มไม่สามารถ "เกลียด" บุรุษผู้หนึ่งได้อีกต่อไป
---
ในหัวใจขององค์หญิง
คำพูดที่อยากจะเอ่ยมากที่สุด แต่ยังไม่กล้าพูดก็คือ...
> “ท่านจะปล่อยข้าไป…หรือจะยื้อข้าไว้กันแน่ องค์รัชทายาท...”
แต่ในใจของเขา
คำตอบนั้น…แน่นิ่งชัดเจนมานานแล้ว
> “หากข้าจะยื้ออะไรไว้ในชีวิตนี้ได้...ข้าก็อยากให้เป็นเจ้า”
---
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!