มาทำความรู้จักกันก่อน!
[“Begin”
A single word, a gentle spark, Can light the fire within the dark.
The tale you seek is yours to write—Just take the pen, and start the flight.]
[“เริ่มต้น”
เพียงหนึ่งถ้อยคำ นั้นคือเปลวไฟ แสงพลันปรากฏในความมืด
เรื่องราวที่ค้นหาคือสิ่งที่ใจเขียน จับปากกา…แล้วบินไปกับจินตนาการพร้อมกัน]
สวัสดีนักอ่านทุกท่านค่ะ :)
เราขอฝากตัวในฐานะ "นักเขียนฝึกหัด"คนหนึ่งที่เพิ่งเริ่มก้าวเข้าสู่โลกของการเล่าเรื่องออนไลน์ นิยายเรื่องนี้คือผลงานชิ้นแรกที่เราเขียนและตั้งใจจะแบ่งปันเพื่อให้ทุกคนได้ร่วมเดินทางไปพร้อมกันกับจินตนาการของเราค่ะ ก่อนเราจะเขียนเรื่องนี้ขึ้น เราได้รับแรงบันดาลใจจากการ์ตูนแนวต่างโลก เรื่อง โอเวอร์หลอร์ด กับเรื่อง เกิดชาตินี้พี่ต้องเทพ (เราไม่ได้นำสองเรื่องนี้มาแต่ง) เพราะเป็นแรงบันดาลที่ทำให้เราสร้างจินตนาการในหัวออกมาได้ เราก็เป็นคนหนึ่งที่รักการวาดภาพด้วย นานๆอาจจะเจอมีภาพประกอบให้ได้ดู
[เนื้อหาในนิยาย]
เราแต่งขึ้นจินตนาการทั้งหมด เนื้อเรื่องไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบุคคลใดทั้งชื่อสถานที่และข้อมูลที่ปรากฏในเรื่อง ไม่ได้นำประวัติศาสตร์มาอ้างอิง
ถ้าเจอคำศัพท์แปลกๆหรือตัวอักษรแปลกๆ มันคืออักษรที่ประดิษฐ์ขึ้นมาใหม่และคำเรียกชื่อที่ไม่คุ้นหูเราแต่งขึ้นมาเองใส่ลงไปเพื่อความบันเทิง
หากนักอ่านพบว่ามีสิ่งใดผิดพลาดหรือขาดตกบกพร่องไป ขอน้อมรับทุกคำแนะนำและจะพยายามปรับปรุงให้ดีขึ้นในทุกบทถัดไป และหากนิยายเรื่องนี้ทำให้ทุกคนยิ้มได้ ลุ้นไปกับเรื่องราวได้ นั่นก็คือความสุขของเราแล้ว ช่วยฝากกดไลค์และกดติดตามผลงานของเราด้วยนะคะ
#แอ็คชั่น แฟนตาซี เวทมนตร์ ต่างโลก ปีศาจ เทพเจ้า สงคราม นิยายไลท์ พีเรียสตะวันตก
-จะลงเนื้อหาเรื่อยๆ ทุกวันเสาร์ค่ะ อ่านฟรีจนจบ-
หวังว่านักอ่านทุกท่านจะสนุกและตื่นเต้นและอินไปกับเรื่องราวที่กำลังจะเริ่มต้นนี้…
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ ♡
– [Nim of Nowhere]
...อารัมภบท...
หญิงสาวคนหนึ่งนั่งอยู่หน้าจอโน๊ตบุ๊ค นิ้วกดคีบอร์ดรัวๆไม่ยั้ง เธอชื่อว่า "แอนนา" เธอมีชีวิตวนเวียนอยู่กับการทำงานเดิมวนไป วันนี้ก็เหมือนกับเมื่อวานและพรุ่งนี้ก็จะเหมือนวันนี้ เธอกำลังขลุกอยู่กับนิยายคู่ใจ เปิดเพลงเบาๆ นั่งเก้าอี้ตัวเดิมและโต๊ะที่ไม่มีพื้นที่ว่างจะวางของ…จริงจัง ปั่นต้นฉบับนิยายอย่างขะมักเขม้น แต่แล้ว... ความหายนะก็มาเยือน น้ำส้มปั่นว่างผิดที่เธอเผลอมือปัดมันหกใส่ต้นฉบับที่เขียนไว้จนเปียกปอนไปหมด ความรู้สึกร้อนวูบตีขึ้นหน้าจนแทบจะร้องไห้ เธอลุกไปเปิดน้ำก๊อกให้เต็มอ่างแล้วกดหัวตัวเองแช่น้ำเพื่อสงบสติอารมณ์ โดยลืมเก็บต้นฉบับเหล่านั้นให้ออกห่างจากน้ำส้ม นึกได้แบบนั้น ก็กระดกหัวขึ้นจากอ่าง ยืนนิ่งมองตัวเองในกระจก ความโมโหกลิ่นกินความเจ็บปวดแม้จะหยิกเนื้อก็ตาม คิดแล้วก็ร้องอย่างเงียบๆ กำมือแน่นกระฟัดกระเฟียดไปหยิบกระดาษมาฟาดลงพื้นนอกระเบียง
แอนนาเดินกลับไปปลดเสื้อผ้าออกทุกชิ้นกองไว้หน้าประตูห้องน้ำ
เสียงน้ำดัง ซ่า! ไปทั่วห้องราวกับจังหวะน้ำตก ไม่นานน้ำก็หล้นอ่าง วินาทีที่เท้าลงในอ่างเย็นๆละลายความร้อนในร่างกาย จู่ๆ ความรู้สึกเหมือนมีกระแสไฟฟ้าอ่อนๆ แล่นผ่านร่างก่อนที่สติสัมปชัญญะจะดิ่งลง
ฟองน้ำป้วนจากปากเธอ มือแหวกว่ายยิ่งพยายามว่ายขึ้นเท่าไหร่ก็ยิ่งจมลึกลงเรื่อยๆ
“นี่มันอะไรกัน ฉันกำลังจะตาย!!”
จมลง
จมลง
จมลง
เธอนิ่ง ภาพสุดท้ายในหัวคือกระดาษเปียกๆ ที่ลอยคว้างอยู่ในน้ำรอบตัวเธอ
“ฉันตายแล้วเหรอ?”
ความรู้สึกวูบวาบเหมือนหัวใจจะหลุดออกมาเต้นนอกร่างกาย ความเย็นเฉียบพลันของน้ำทำให้เธอดึงสติกลับมาอีกครั้ง
ว่ายขึ้น
ว่ายขึ้น
ว่ายขึ้นไปสู่ผิวน้ำ
.
.
.
สายลมพัดใบไม้ปลิวละล่อง
“คุณหนู ระวังนะเจ้าค่ะ! ต้นนั้นมันสูง ลงมาเถอะเจ้าค่ะ!”เสียงหวานๆของสาวใช้ร้องเตือนขึ้นอย่างร้อนรน ใบหน้าซีดเผือดเมื่อมองขึ้นไปบนกิ่งไม้สูงที่ตอนนี้มีเด็กสาวตัวเล็กคนหนึ่งกำลังปีนขึ้นไปอย่างคล่องแคล่ว
มือเล็กๆนั้น จับกิ่งไม้แน่น ผมยาวสีดำสนิทปลิวตามสายลม ดวงตาสีอำพันฉายแววความซุกซน
“อีกนิดเดียวก็จะถึงลูกครายซาแล้ว\~”
เด็กหญิงหัวเราะเบาๆ ขณะเอื้อมมือไปคว้าผลไม้สีม่วงอมแดงที่แกว่งอยู่ปลายกิ่ง ความสดใสของเธอราวกับไม่เคยรู้จักคำว่า “อันตราย”
“คุณหนู เดี๋ยวข้าน้อยเก็บให้เจ้าค่ะ ช่วยลงมาก่อน…”
ยังไม่ทันที่คำพูดของสาวใช้จะจบลง เสียง กร๊อบ! ของกิ่งไม้ก็ดังขึ้นพร้อมเสียงหวีดร้องสั้นๆ ที่ตามมาอย่างรวดเร็ว
ตุบ!
“คุณหนู!”
ร่างเล็กกระแทกพื้นเสียงดังฝุ่นกระจาย ดวงตากลมโตเบิกกว้างก่อนจะค่อยๆ ปิดลง
หัวใจสาวใช้แทบหยุดเต้น เธอพรวดพราดเข้าไปกอดเด็กหญิงขึ้นมา มือสั่นระริก
“ไม่… ไม่… อย่าหลับนะเจ้าคะ คุณหนู!”
เลือดซึมออกจากไรผมตรงขมับเล็กๆ สีหน้าของเด็กหญิงซีดขาวราวหิมะ
“รีบเอารถมารับคุณหนู เดี๋ยวนี้!”
รถม้าสีดำขลับวิ่งมาแต่ไกลมาจอดอยู่หน้าประตูประสาทสูงตระหง่านที่ตั้งอยู่บนเนินหูบเขา
“เปิดประตู! พาคุณหนูวาร์นเข้าไปในปราสาท เดี๋ยวนี้!”เสียงตะโกนของสาวใช้ที่ยังไม่หยุดสะอื้นเรียกความสนใจของเหล่าคนรับใช้ในปราสาทรัตติกาลวิ่งมา พวกเธอเข้ามาช่วยกันอุ้มร่างเด็กหญิงไปยังห้องด้านในอย่างเร่งรีบ
“เกิดอะไรกับลูกสาวข้า”
เสียงทุ้มต่ำของชายคนหนึ่งดังขึ้นจากชั้นบนของบันได ร่างสูงสง่าที่สวมชุดดำยาวคล้ายชุดพิธีกรรม ค่อยๆ ก้าวลงมา ดวงตาสีม่วงวาววับ
“ท่านไวร์เวน คุณหนูวาร์นพลัดตกจากต้นไม้เจ้าค่ะ”
ไวร์เวนเมื่อได้ยินแบบนั้น เขามองร่างลูกสาวตัวน้อยที่แน่นิ่งอยู่ในอ้อมแขนของคนใช้ หัวใจของชายผู้เยือกเย็นเยี่ยงน้ำแข็งแทบจะหยุดเต้นไปชั่วขณะ
“พาเธอไปที่ห้องบรรทม… แล้วเรียกหมอมาทันที”เสียงของเขานิ่ง แต่นัยน์ตาที่จ้องมองลูกสาวกลับเต็มไปด้วยแรงสั่นไหวที่ไม่อาจปิดบังได้
ในห้องนอนหรูหราอบอวนกลิ่นน้ำยาสมุนไพรและผ้าชุบน้ำกลิบดอกมหัศจรรย์ ถูกว่างไว้ข้างเตียง
เด็กหญิงยังไม่ฟื้น สาวใช้ทำหน้าที่ซับร่างเธอตลอดเวลา
แต่แล้ว…
ในขณะที่กลิบดอกเคลื่อนไปตามสายลมที่พัดผ่านโดยไร้ที่มา…
อื้อ\~
เสียงครางเบา ๆ ดังขึ้นจากเด็กหญิงบนเตียง ใบหน้าที่เคยซีดเผือดค่อย ๆ มีเลือดฝาดเล็กน้อย เปลือกตาสีอ่อนเริ่มเคลื่อนไหว
“คุณหนูฟื้นแล้วเจ้าค่ะ!” สาวใช้เอ่ยขึ้น
หมอหลวงกับเหล่าคนใช้ก้มมองร่างเด็กหญิงที่งัวเงียตื่น
ณ ตอนนี้…
เด็กหญิงสัมผัสความนุ่มนวลโอบล้อมร่างกายอย่างแผ่วเบาราวกับถูกห่มด้วยกลีบเมฆ กลิ่นหอมจาง ๆ ของดอกไม้ที่เธอไม่คุ้นเคยลอยมากระทบปลายจมูก มันหอมหวานและผ่อนคลายจนน่าแปลกใจ
เธอลืมตาขึ้นอย่างช้า ๆ เปลือกตาหนักอึ้งเหมือนหลับไปนานมาก สิ่งแรกที่เห็นคือผ้าม่านสีงาช้างปลิวไสวช้า ๆ อยู่ข้างหน้าต่าง พร้อมแสงแดดยามสายที่ลอดผ่านเข้ามาเป็นเส้นแสงสีทองอ่อน ๆและเมื่อกวาดสายตาไปรอบห้อง สิ่งที่เห็นก็ทำให้เธอแทบหยุดหายใจ
“…ที่นี่มัน…ที่ไหน?”
เตียงขนาดใหญ่ที่เธอนอนอยู่ไม่ใช่ฟูกเก่า ๆ กับผ้าห่มเน่าๆในอพาร์ตเมนต์แคบ ๆ แต่เป็นเตียงลายลูกไม้งามผ้าปูสีขาวสะอาด ล้อมด้วยเสาไม้สลักลวดลายวิจิตรราวกับยืมมาจากฉากละครเวทีแนวแฟนตาซีหรูหรา เพดานสูงด้านบนประดับภาพวาดสีซีเปียรูปเทพเจ้าบนเมฆ ไม่มีหลอดไฟ LED เหลือให้เห็นแม้แต่หลอดเดียว รอบห้องเต็มไปด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้สีเข้มแกะลายแปลกตาอย่างประณีต
เธอไม่รู้หรอกว่ามันแพงแค่ไหน แต่ถ้าไมเคิลแองเจโลมาเห็นเข้า ก็คงจะคำนับด้วยความนับถือในฝีมือ
ผนังห้องสีครีมอ่อนตกแต่งด้วยกรอบรูปสีทองลายลูกไม้ละเอียด ห้อยภาพวิวทิวทัศน์ชนบทอยู่หลายรูป ทว่า… มีหนึ่งภาพที่ดึงดูดสายตาเธอมากที่สุด
กรอบทองนั้นตั้งอยู่เหนือเตาผิง แสงแดดลอดผ่านทำให้เห็นเพียงเสี้ยวเงา เด็กสาวในภาพนั้น…หน้าตาคุ้นราวกับเคยเจอกันมาก่อน แต่เธอกลับนึกไม่ออกว่าเคยพบที่ไหน
“นี่มันเรื่องอะไรกันแน่…” แอนนาพึมพำเสียงแผ่ว “ฉัน…อยู่ที่ไหน?”สติที่เหลืออยู่พยายามหาคำตอบแต่ไม่มีคำตอบไหนฟังดูสมเหตุสมผลเลยสักนิด
โรงพยาบาลรัฐไม่ใช่แบบนี้
โรงละครเหรอ?
โรงแรมหรูๆในย่านไหนแห่งหนึ่งก็อาจจะเป็นไปได้ แต่…สิ่งเดียวที่เธอรู้แน่ๆคือ…ที่นี่ไม่ใช่หอพัก
ดวงอาทิตย์สาดส่องแสงผ่านหน้าต่างเข้ามาในห้องบรรทมอันหรูหรา แสงจ้านั้นตกกระทบกับผ้าปูเตียงสีขาวสะอาด ทำให้ดูอบอุ่นแต่ก็แฝงไปด้วยความเงียบสงบที่ชวนอึดอัดราวกับหลุดในโลกนี้ไม่มีใครอยู่
เด็กสาวตัวน้อยดวงตากลมโตสั่นระริก ขณะที่เธอยกมือขึ้นดูช้าๆ อย่างไม่เข้าใจ…
“นี่มันไม่ใช่…ร่างกายของฉัน…”
เธอกระแอมเบา ๆ เสียงใสที่เล็ดลอดออกมานั้นไม่คุ้นเคยเอาเสียเลย มันเป็นเสียงเด็กผู้หญิงอ่อนหวานและแน่นอนว่าไม่ใช่เสียงของผู้หญิงวัยทำงานที่นั่งหน้าคอมจนไหล่ติดเกร็งทุกวันอย่างแอนนา
“เจ้าตื่นแล้วหรือ”เสียงทุ้มนุ่มของชายคนหนึ่งดังขึ้น
เธอสะดุ้งหันขวับไปทางต้นเสียงที่กรอบประตู ชายหนุ่มคนหนึ่งยืนพิงกรอบไม้ด้วยท่าทีสงบนิ่ง เธอไม่รู้ว่าเขามาอยู่ตรงนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ เธอมองเขา…
ความหล่อนั้นละสายตาไม่ได้จนเธอใจเต้นแรง ทั้งเส้นผมสีดำสนิทที่สะท้อนแสงเป็นประกาย ดวงตาสีม่วงเข้มที่มองเธอด้วยความห่วงใย ใบหน้าคมราวรูปสลักของเทพเจ้า…ยิ่งมองก็ยิ่งหลงใหล
“เปล่าค่ะ… ฉันแค่รู้สึกแปลก ๆ นิดหน่อย” วาร์นตอบด้วยภาษามนุษย์โลกที่เธอจากมา เบือนหน้าไม่กล้าสบตาชายตรงหน้า
“เจ้าพูดอะไร ข้าไม่เข้าใจ”ชายผู้เป็นบิดาของเด็กสาวร่างนี้เลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ ก่อนจะเดินเข้ามานั่งลงบนขอบเตียงข้าง ๆ เธอเผยให้เห็นใบหน้าที่คมชัดเจนยิ่งกว่ามองอยู่ไกล ๆ
แอนนาในร่างเด็กสาวอ้าปากค้าง เธอจำได้แล้ว ผู้ชายคนนี้…สีผม…สีตาและรูปร่างแบบนี้… ทุกอย่างเป็นตัวละครที่เธอแต่งไว้ไม่มีผิดเพี้ยน
“มีอะไรทำให้เจ้าไม่สบายใจรึ?”
เธอส่ายหน้าเบาๆ ในขณะที่ใจว้าวุ่นยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด ดันอยู่ในร่างของ… เด็กหญิงที่ชื่อ “วาร์น” ลูกสาวของจอมมารตัวละครสำคัญในนิยายที่แอนนาเคยเขียนไว้เมื่อหลายปีก่อน แต่ทว่าไม่ได้แตะมันอีกเลย…ทีนี้จะทำยังไงดีละ? เธอคิดว่านี้คือ…ความฝัน ถ้าพูดออกไปว่าเธอคือคนอื่นในร่างนี้ หลุดเข้ามาในโลกแฟนตาซีที่ตัวเองสร้าง ก็คงโดนหาว่าบ้าแน่!
แอนนา!
ไม่สิ ตอนนี้เธอคือ ‘วาร์น น็อคราเวล’ ต้องฝืนยิ้มกลบความตื่นตระหนกที่คุกรุ่นอยู่ภายใน เธอรู้จักไวร์เวนดีเกินไป…เพราะเขาคือตัวละครที่เธอปั้นขึ้นมาเองกับมือ
ลอร์ดผู้เยือกเย็น มีอดีตอันลึกลับ และเป็นพ่อของมารน้อยในโลกแฟนตาซีที่เธอเขียน! แต่ไม่มีตอนใดในต้นฉบับ…ที่เขาจะมองลูกสาวด้วยแววตาอ่อนโยนแบบนี้
“ฉัน…อยู่ที่ไหนเหรอคะ?”ประโยคที่ฟังดูธรรมดาแต่สำหรับลอร์ดไวร์เวนฟังแล้วทำหน้างงงวย แววตาของเขาแฝงความสงสัยเพียงครู่ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มอันอบอุ่นให้เธอ
“มากับข้าหน่อย”เขาพูดจบก็เดินนำออกไป
เธอกลัวแต่ก็ต้องตามไป ถึงแม้ร่างนี้จะไม่ใช่ของแอนนาเธอก็ส่วมบทตามเนื้อเรื่องได้ ทว่าตอนนี้มันต่างจากที่เขียนไว้ เธอไม่เคยเขียนอะไรแบบนี้…
“จะไปไหนเหรอคะ?” เธอถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ
ลอร์ดไวร์เวนขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ไม่ได้พูดอะไร
เธอกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดเฝื่อน…‘บทบาทลูกทรราชน้อยเปลี่ยนไปแล้ว เพราะตอนนี้เธอไม่ใช่นักเขียนอีกต่อไป เธอกลายเป็นตัวละครที่ต้องเอาตัวรอดในโลกที่เธอสร้าง’
“วาร์น…”ลอร์ดไวร์เวนเรียกลูกสาวเบา ๆ พร้อมกับมืออุ่น ๆ ที่วางลงบนบ่าของเธอ หัวใจเธอกระตุกวูบ ดวงตาเบิกโพลง ‘นี่มันอะไรกัน!?’…หมอหลวงสูงวัยเคราขาวยาวถึงอก ใบหน้าเรียบนิ่งและดวงตาคมเข้มหลังเลนส์แว่นทอง เขาก้มหัวเล็กน้อยให้ลอร์ดไวร์เวน ก่อนจะหันมามองเธอที่ยืนเงียบข้าง ๆ บิดาของเธอ
“ช่วยดูอาการลูกสาวข้าหน่อย นางดูเหมือนจะพูดไม่รู้เรื่อง”ลอร์ดไวร์เวนแลมองลูกสาวก่อนจะพลักเธอไปนั่งข้างหน้าหมอหลวง
วาร์นกระพริบตาถี่ ๆ แล้วหลุบตามองต่ำ สภาพเธอตอนนี้ดูเหมือนเด็กขี้กลัวไม่เหมือนเด็กหญิงคนเดิมที่ทุกคนเคยรู้จัก ‘แอนนา’ไม่เคยคิดเลยว่าจะมาอยู่ในโลกแฟนตาซีในบทบาททรราชน้อย เธอได้แต่นิ่งเงียบและก้มหน้ามองพื้นตลอด ความสับสนทวีคูณทำให้เธอทำอะไรไม่ถูก…
“ช่วยบอกฉันทีว่านี้คือความฝัน” เธอพูดกับหมอหลวง
หมอหลวงสบตากับลอร์ดไวร์เวน ก่อนจะเอื้อมมือมาแนบหน้าผากของวาร์นด้วยความระมัดระวัง ดวงตาเขาขยายใหญ่ขึ้นและจ้องเขม่งเหมือนกำลังตรวจจับความผิดปกติบนใบหน้าเด็กหญิง
“รู้แล้ว”
“ท่านรู้อะไรรึ?”ลอร์ดไวร์เวนเอ่ยขึ้นอย่างร้อนรน
“สมองได้รับกระทบอย่างรุนแรง ทำให้พูดไม่รู้ภาษา”
“อะไรนะ!! พูดไม่รู้ภาษา! หมายความว่าไงกัน ทั้งหมดที่พูดไปพวกคุณฟังไม่ออกเลยเหรอ\~มิน่าล่ะ ทำไมพวกคุณถึงทำหน้ามึน ๆ กัน”วาร์นพูดเสียงดังจนหมอหลวงกับลอร์ดไวร์เวนมองเด็กหญิงเป็นตาเดียว เมื่อเห็นวาร์นทำหน้ายักษ์และพูดภาษาที่พวกเขาฟังไม่เข้าใจราวกับคำบ่น
“คุณหนูต้องสมองกระแทกพื้นอย่างรุนแรงทำให้พูดเรื่อยเปื่อย”
วาร์นชะงัก เธอเข้าใจทุกคำที่ออกจากปากหมอหลวงแต่ทว่าภาษาที่เขาพูดไม่ใช่ภาษาในโลกมนุษย์
“ท่านแน่ใจนะว่าไม่ได้วินิสัยผิด?”ลอร์ดไวร์เวนเอ่ยถามเสียงเรียบ
“ไม่ผิดหรอก อาการแบบนี้ต้องรักษาด้วยการผ่าตัด…”เขาหยุดพูดไปและหันไปมองวาร์น ก่อนจะพูดต่อ“ข้ารับประกันว่าคุณหนูจะหายดีอย่างแน่นอน”
ลอร์ดไวร์เวนมองลูกสาวตัวน้อยที่ทำหน้าบู้ใส่ก่อนที่เธอจะวิ่งออกจากห้องไป…
“ข้าเข้าใจแล้ว”
“ตามประสงค์ของท่าน ข้าจะผ่าตัดให้คุณหนู”
ลอร์ดไวร์เวนเงียบไปชั่วขณะ… สายตาที่ทอดมองหมอหลวงเริ่มเปลี่ยนจากเยือกเย็นเป็นคมกริบ น้ำเสียงของเขาที่เคยนิ่งเรียบแปรเปลี่ยนเป็นหนักแน่นจนคนทั้งห้องเงียบงัน “ข้าเข้าใจแล้วว่า…ท่านมันหมอจอมปลอม!!”เขาตะคอกเสียงดังลั่นสะท้อนก้องผนังหินในห้องโถง เขาไม่แสดงอาการโกรธหรือโมโห นัยน์ตาสีอเมทิสต์จองหมอหลวงราวกับจะกลืนกินวิญญาณ เขาเกือบหลงเชื่อคำลวงของชายชราในคราบผู้ที่มีจรรยาบรรณรักษาโรค เห็นว่ากล้าหมิ่นศักดิ์ศรีของจอมมาร
“สิ่งที่ท่านทำ ข้ารู้ทุกอย่าง ท่านเอกอร์ ข้าจะไม่พูดให้มากความ จงไปอย่างสันติซะเถิด”
“ท่านเป็นใคร รู้ชื่อข้าได้ยังไง!?”ชายชราตื่นกลัว เขากัดฟันถามลอร์ดไวร์เวนที่ยืนอยู่ตรงหน้า
“ข้าคือลอร์ด ไวร์เวน น็อคราเวล จอมมารแห่งปราสาทรัตติกาล”
อ๊าก!!!
“ท่านจอมมารให้อภัยข้าด้วย ได้โปรดให้อภัยข้าด้วย ได้โปรดให้อภัยข้าด้วย”ชายชราคุกเข่ายกแขนทั้งสองเหนือหัวแล้วก้มลงต่ำจนหน้าผากติดพื้น เขาทั้งสั่นและเหงือท่วมร่าง
ลอร์ดไวร์เวนหันหลังให้ชายชราโดยไม่พูดอะไร ปล่อยให้เขาเก็บของแล้ววิ่งออกจากปราสาท แววตาของเขาฉายประกายเยือกเย็นยิ่งกว่าหิมะในฤดูมรสุม
“ข้าคิดว่าจะได้คำตอบที่ดีกว่านี้เสียอีก ข้าผิดหวังจริง ๆ ”
“ท่านรู้ว่าเขาเป็นใคร แต่เพราะเหตุใด ท่านยังให้เขาเข้ามา”คียาน่าห์ถามด้วยเสียงราบเรียบ แต่จอมมารไม่ตอบอะไรได้แต่นิ่ง มองออกนอกหน้าต่าง
ขณะนั้น…
วาร์นนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง จิตวิญญาณของแอนนาในร่างเด็กหญิงลอยละลิ่ว ความอึดอัดเอ่อขึ้นมาถึงลำคอ เธออยากจะตะโกนว่า ‘ฉันไม่ใช่วาร์น!’ แต่ก็ทำได้แค่หน้านิ่งไร้วิญญาณ เธอกลับมายังห้องนอนตัวเอง ทุกอย่างยังคงดังเดิม ห้องหรูๆกับรูปภาพใหญ่โตห้อยกำแพง เธอเอนกายลงบนผ้าขาวลายลูกไม้ ความตึงบนใบหน้าครายลงเมื่อแผ่นหลังนอนราบบนเตียง
หลับตาลง…
ก็อก! ก็อก! ก็อก!
เสียงเคาะประตูดังขึ้น ก่อนเหล่าสาวใช้จะเดินเข้ามาในห้อง
วาร์นลืมตาตื่นอย่างไม่สบอารมณ์ ความกังวลในใจยังไม่ทันหาย เข็มนาฬิกาไล่กันยังไม่ทันชิด ก็มีเหล่าสาวใช้เข้ามาปลุก เธอขยี้ผมตัวเองจนยุ่งเหยิงพร้อมกับทำใบหน้าบิดเบี้ยว กำลังบ่นอยู่ในใจ‘ทำไมต้องมาปลุกตอนนี้ด้วย ฉันยังนอนไม่พอเลย’
“คุณหนูเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ?”หญิงสาวคนหนึ่งถาม
“ขอร้องละ ฉันไม่อยากไปไหน ให้ฉันอยู่คนเดียวเงียบๆเถอะ!”
สาวใช้คนนั้นขมวดคิ้วก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “คุณหนูพูดอะไรรึเจ้าคะ?” แม้แต่สาวใช้ก็ไม่เข้าใจคำพูดของวาร์น
“ฉันอยากอยู่คนเดียว”วาร์นตะโกน
“ฉัน!!”เด็กหญิงเบิกตากว้าง
“อยาก”
“อยู่”
“คน”
“เดียว”
เธอพูดที่ละคำเสียงดังชัดเจน และหยิกแก้มตัวเองหนึ่งทีแล้วตบอีก เพี๊ยะ!
“คุณหนู ทำอะไรน่ะเจ้าค่ะ”
“ไม่อยากจะเชื่อ…พวกเธอนี่มันจริงๆเลย!”เธอพูดด้วยใจระอาและเหนื่อยหน่ายเกินกว่าจะหาคำอื่นมาเติมแต่งอีกต่อไป เธอถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วสะบัดผ้าห่มขึ้นคลุมโปง ปิดตัวเองจากโลกภายนอกอย่างเด็ดขาด ไม่แม้แต่จะเหลือช่องไว้หายใจ ได้แต่คุยกับใจตัวเอง ‘พอแล้ว… ไม่พูดอะไรอีกทั้งนั้น’ เธอขดตัวเป็นก้อนเล็กๆ ใต้ผ้าห่ม เหมือนเต่าที่อยากหลบภัยในกระดองของตัวเอง
“ข้าน้อยทราบเรื่องของคุณหนูแล้วเจ้าค่ะ ต่อจากนี้ไปข้าน้อยจะดูแลจนกว่าคุณหนูจะหายดี”สาวใช้ร่างสูงเอวบางเดินเข้ามาพูดแล้วอบกอดร่างเด็กหญิงด้วยน้ำตา
“นี่ เธอร้องอะไร?”
“ข้าน้อยจะสอนพูดภาษาให้เจ้าค่ะ”แอนนาในร่างวาร์นยืนนิ่ง ตามองสาวใช้ไม่กระพริบ ‘หมายความว่าทุกประโยคที่ฉันพูดไปพวกคุณเองก็ฟังไม่เข้าใจเลยงั้นหรอ’
“ภาษาของคนบนโลกใบนี้ไม่ได้พูดเหมือนภาษาของคุณหนูนะเจ้าคะ แต่ข้าน้อยจะพยายามทำความเข้าใจกับภาษาของคุณหนูเจ้าค่ะ”
“ฉันไม่อยากเรียน ฉันอยากกลับบ้าน”วาร์นร้องไห้ วิ่งกระโดดขึ้นเตียง แขนขาแกว่งไกว่แล้วดึงหมอนมาทุบขอบเตียง
“คุณหนู ใจเย็นก่อนเจ้าค่ะ”สาวใช้จับแขนวาร์นแน่นแล้วดึงเธอไปกอด“คุณหนูฟังที่ข้าน้อยพูดเข้าใจหรือเปล่าเจ้าค่ะ?”เธอมองหน้าเด็กหญิงแล้วถามด้วยความเป็นห่วง
“ คุณหนู จำข้าน้อยได้หรือเปล่าเจ้าคะ?”
‘คียานาห์’ เธอชื่อคียานาห์ เธอทำมือเตะปากแล้วเคลื่อนลงมายังอกหมุนช้าๆแล้วชี้มาที่วาร์น ซึ่งวาร์นเองก็ไม่เข้าใจว่ามีความหมายว่าอะไร ก็ได้แต่ส่ายหน้า
“ข้าน้อยเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”คียานาห์พูดจบแล้วก็เดินออกจากห้องไป ทิ้งให้วาร์นมองตาม แปลกใจว่าทราบเรื่องอะไรทำไมถึงพูดว่าเข้าใจ สิ่งเดียวที่เธอรู้แล้วว่า‘คนบนโลกนี้ไม่เข้าใจภาษาที่เธอพูด แต่เธอเองดันเข้าใจภาษาที่คนบนโลกนี้’
“เชิญมานั่งตรงนี้เจ้าค่ะ”คียานาห์เคลื่อนเก้าอี้ออกจากโต๊ะเล็กน้อยและผายมือเชิญ เธอหยิบตำราเล่มหนาจากชั้นหนังสือมาวางบนโต๊ะเปิดหน้าแรกสุด
เมื่อวาร์นเห็นอักษรก็เข้าใจความหมายนั้นทันที
มันเขียนว่า‘ตำราเรียน’สิ่งนี้หมายถึงเธอต้องเริ่มเรียนหลักภาษาพื้นฐานของโลกใบนี้ด้วยการออกเสียงให้ถูกต้องเป็นอันดับแรก
เธอว้าวุ่นใจ มือกุมขมับถามตัวเอง‘ฉันมาอยู่ในโลกนิยายแฟนตาซีของตัวเองได้ยังไง ไฉนตอนนี้ต้องมารับบทเป็นนักเรียน!’
“ฉันอ่านออกย่ะ และฉันก็เข้าใจในสิ่งที่เธอพูดด้วย”
คียานาห์ยกมือชี้ที่ปากตัวเองแล้วชี้ไปที่วาร์น“พูดตามข้าน้อยนะเจ้าคะ”
เธอให้วาร์นพูดประโยคตาม
𐌺𐌰’𐍈𐌿𐍁 𐍂𐌰𐌵𐍄 𐍆𐌴𐍇 𐍀𐍂𐌰𐍃𐌀𐍄 𐍂𐌰𐍄𐍄𐌸𐌹𐌲𐌰𐌻
“Ka’yur Rakt elēn feh Prāsat Rattīgal”
สำหรับวาร์นแล้ว เธอเข้าใจ เธอเปิดหนังสืออ่านเองแล้วทำความเข้าใจเพียง 10 นาที ก็พูดได้อย่างเจ้าของภาษา
“คุณหนู วิเศษจังเลยเจ้าค่ะ เรียนรู้อะไรได้ไวเช่นนี้ อุบัติเหตุครั้งนั้นคงทำให้คุณหนูได้พรจากพระเจ้า”
𐌺𐌰’𐍈𐌿𐍁 𐌰𐌹𐌻𐌀 𐌽𐌴𐍄𐌰
ไม่ใช่พรจากพระเจ้าองค์ไหนหรอก เธอได้ความสามารถพิเศษนี้มาจากเสี้ยวจิตใจของทรราชน้อยที่ยังหลงเหลืออยู่ เธอลุกขึ้นยืนและเดินออกจากโต๊ะ มองตัวเองในกระจกอีกครั้งแล้วก็พูดขึ้นว่า“ ฉันคือวาร์น น็อคราเวล ลูกสาวจอมมารไวร์เวน” คำพูดแสดงตัวตนที่ทรราชน้อยคนนี้ได้เป็นมาตลอด
นี่คือจุดเริ่มต้นใหม่ของเธอ
เมื่อวาร์นพูดจบ สาวใช้คนหนึ่งก็เดินเข้ามา
“ได้เวลาอาหารแล้วเจ้าค่ะ”
เมื่อวาร์นได้ยินเช่นนั้น ก็พูดประโยคอย่างทรราชน้อยที่ควรจะเอ่ย เธอสวมบทบาทของเด็กสาวจอมมารได้อย่างสมบูรณ์แบบ
“ข้าพร้อมจะเขมือบทุกอย่างที่ขวางหน้า”
.
.
“รับทราบเจ้าค่ะ” สาวใช้โค้งคำนับรับอย่างให้เกียรติ ถึงใบหน้าจะดูอมคำถามไว้ในปากก็ตาม
𐍂𐌴𐌸𐌹𐌿 𐌸𐌰𐌺 𐌺𐌰’𐍈𐌿𐍁 𐍆𐌴𐍇 𐌷𐍂𐌰𐍄𐌿𐌽 𐍅𐌴𐌻𐌹𐍂 𐌽𐌾𐍄 𐍂𐌰𐍄 ‘ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป…ฉันจะรับบทเป็นลูกสาวจอมมารอย่างเต็มตัว’
สาวใช้มองเด็กหญิงที่ยืนชูนิ้วเป็นปืนเล็งไปที่กระจกเงาตัวเองและเอ่ยประโยคที่ยากจะอหัวเราะได้
วาร์นมายังห้องอาหารที่ใหญ่โตโอ่อ่า เมนูนานาชนิดถูกจัดเรียงไว้อย่างสวยงามบนโต๊ะยาว แต่ละอย่างล้วนเป็นสิ่งที่ไม่มีในโลกจริงมีแต่เรื่องที่แต่งในนิยายทั้งสิ้น เมนูที่เธอไม่รู้จักในโลกนี้น่าตาและสีสันดึงดูดอย่างมาก ตั้งแต่เนื้อสัตว์หายากที่ปรุงด้วยเครื่องเทศไปจนถึงผลไม้สีสันแปลกตา เมนูทุกอย่างดูน่ากินไปหมด
ระหว่างที่อาหารกำลังเสิร์ฟ ลอร์ดไวร์เวนที่นั่งอยู่ข้างๆก็คอยดูแลอย่างดี
“เจ้าจำอะไรได้บ้างแล้วหรือยัง?”เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยถาม
“ข้ายังจำไม่ได้”วาร์นตอบขณะที่มือเล็กๆนั้นถือช้อนเอื้อมไปตักซุปร้อนๆที่มาเสิร์ฟตรงหน้า
ไวร์เวนมองเธอด้วยแววตายังคงนิ่งดั่งราแล็คเตอร์นิยาย“ก่อนหน้าเจ้ายังพูดภาษาแปลกๆออกมาอยู่เลย แต่ตอนนี้เจ้ากับพูดภาษาเซอร์วาร์ได้คล่อง สติคงกลับมาแล้ว”เขาพูดด้วยน้ำเสียงเรียบ“คียานาห์คงสอนดี เจ้าถึงไพูดได้ช่ำชองแบบนี้”
วาร์นจับจ้องอาหารจานสีฉูดฉาดตากลิ่นหอมโชยยั่วยวนให้น้ำลายไหล ก่อนจะเอื้อมมือไปแตะส้อมแล้วจิ้มมันเข้าปาก เธอไม่ตอบคำถามของบิดาที่ค่อยฟังอยู่ข้าง ๆ
เมื่อเห็นลูกสาวเจริญอาหารก็ดีใจ…เขาละสายตาจากลูกหันไปมองนอกหน้าต่าง ดูอากาศยามเช้าของวันนี้มันควรจะสดใสแต่ตอนนี้ท้องฟ้ากลับมืดฝน ดวงตาประกายอเมทิสต์ทอดมองไปยังหอคอยที่ตั้งสูงตระหง่านอันห่างไกล
“เจ้ารู้ไหม วาร์น…”
“อื้ม\~ข้ารู้ แต่ข้าขอกินก่อน”วาร์นขัดลอร์ดไวร์เวนที่กำลังจะพูดถึงเรื่องบางอย่าง
“เจ้ารู้รึว่าข้าจะพูดอะไร?”
“เรื่องปราสาท”
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้ากำลังจะเล่าเรื่องปราสาทให้ฟัง”ลอร์ดไวร์เวนหันไปมองลูกสาวที่กำลังยัดเนื้อเต็มปาก
คำตอบหลังจากกลืนเนื้อลงคอคือ…
“เออ\~…ไม่รู้สิ จูๆ มันก็รู้ขึ้นมาเองว่าท่านกำลังคิดอะไรอยู่”
“น่าแปลกใจจริง อะไรทำให้เจ้ามีพรสวรรค์พิเศษแบบนี้ได้”
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน”เด็กหญิงละสายตาจากจานและหันไปสบตากับชายผู้เป็นบิดาแล้วพูดต่อว่า“…ขอซุปเพิ่ม”
ชายรูปงามยิ้มหวาน หัวใจของเขานั้นลอยปลิวขึ้นฟากฟ้าราวกับความหวังที่อยู่ในใจถูกภูเขาบดบังแสงตะวัน
ย่ามบาย
วาร์นไปยังสวนของปราสาทรัตติกาล
มันไม่ได้น่ากลัวหรือมืดมน…ตรงกันข้ามเลย มันเต็มไปด้วยดอกไม้หลากสีที่ส่งกลิ่นหอมเย้ายวน ต้นไม้ใบสีทองระยิบระยับดั่งต้นไม้สวรรค์
“ตอนเจ้าไม่สบายใจ เจ้ามักจะมาเดินเล่นอยู่แถวนี้”ลอร์ดไวร์เวนพูดขึ้น ขณะที่กำลังเดินตามทางเดินหินอ่อน
วาร์นหันไปมองเขา“มันสวยมาก… สวยจนเหมือนอยู่ในความฝัน”
“ข้าสร้างที่นี่เพื่อเจ้า จำได้ไหมตอนนั้นเจ้าอายุเท่าไหร่?”
“หากพูดถึงสร้างให้เป็นของขวัญแล้วก็ ตอนนั้นข้าอาจจะอายุประมาณ 6 เดือนละมั้ง”
“ข้าดีใจที่เจ้าจำมันได้ ตอนนี้ลูกของข้ากลับมาแล้ว”
“เมื่อเช้าข้าแค่อยากเล่นอะไรสนุกๆก็เท่านั้นเอง”วาร์นพูดพรางเกาคางตัวเองแก้มแดงระเรื่อนัยน์ตาคู่นั้นกำลังโกหก
.
.
แสงเบื้องบนเริ่มมีเมฆเคลื่อนมาบดบัง ตะวันกลายเป็นสีม่วงแดง นั่นไม่ใช่ของจริง ม่านพลังบิดเบือนโลกภายนอกด้วยเวทมนตร์ของผู้ทรงพลังอำนาจ
วาร์นเงยหน้าขึ้นมองดู… และก็เบิกตาโตเป็นประกาย
ปราสาทแห่งนี้แต่งแต้มด้วยเวทมนตร์ที่ทรงพลังทำจากหินเนื้อเรียบละเอียดจนดูคล้ายกระจกเงาสะท้อนที่ดูดกลืนทุกแสง หอคอยตรงกลางสูงเฉียดฟ้าทอดขึ้นไปแหวกม่านหมอกที่ล้อมรอบท้องนภา มันไม่ได้ตั้งเรียงตรงตามแบบปราสาททั่วไป แต่กลับแผ่ออกในรูปวงกลมเชื่อมโยงกันด้วยสะพานเวทมนตร์ที่ลอยอยู่กลางอากาศ เหมือนสะพานทอดข้ามระหว่างโลกภายนอกกับโลกภายในนี้และเหนือยอดปราสาทตรงกลางคือ คริสตัลสีแดงเข้มขนาดมหึมา มันลอยเหนือปลายแหลมหอคอยราวกับหยดเลือดที่แขวนอยู่กลางกระจกเงา แสงเรืองรองเปล่งประกายและเคลื่อนไหวราวกับคลื่นชีพจรที่เต้นเป็นจังหวะเหมือนมันมี “ชีวิต” แสงนั้นไหลไปตามเส้นลายเวทมนตร์บนกำแพงหินดำของปราสาท แล้วแตกกระจายออกเป็นประกายสีแดงอ่อนเป็นครั้งครา
สายลมพัดผ่านยอดหอคอย กลไกเล็ก ๆ ทำงานเป็นระบบร้อยเรียงจังหวะ
“ปราสาทนี้… เคยมีชื่อในตำนานว่า “อาร์คราเนียแห่งรัตติกาล”ลอร์ดไวร์เวนเอ่ยต่อ“มันเคยเป็นพื้นที่ของโบทถ์มาก่อนที่ข้าจะสร้างปราสาทและคริสตัลนั้นคือดวงจิตของปราสาทแห่งนี้มันสร้างความสมดูลหากมันถูกทำลาย ม่านพลังจะหายไปและปรากฏแก่สายตาคนภายนอก”
“ฉันคิดว่ามันจะอลังการกว่านี้”
“เจ้าพูดว่าอะไรนะ?”
“ข้าหมายถึง… มันสวยงามมาก”
“ข้าไม่รู้หรอกว่าเจ้าไปเรียนรู้ภาษาของเผ่าอื่นมาจากไหน เห็นเป็นเช่นนั้นข้าจะไม่ยอมให้ลูกสาวของข้าต้องเสียสติ!”
“ข้าไม่ได้เสียสติ ข้าคือวาร์น ลูกสาวของลอร์ดไวร์เวน ราชาปีศาจผู้ยิ่งใหญ่” เธอชุบกำปั้นแน่นชุบขึ้นฟ้าและกล่าวคำยืนยันตัวตนให้ชายผู้อยู่ตรงหน้าได้ฟัง
ในขณะนั้น…
ตูม!!!
ระเบิดกระจายส่งเสียงดังทำให้พื้นดินสั่นไหว
ลอร์ดไวร์เวนขมวดคิ้ว ดวงตาสีม่วงเข้มฉายแววตึงเครียด
“พวกเขามากันอีกแล้วเจ้าค่ะ จะให้จัดการเลยไหมเจ้าคะ?”คียานาห์ที่เดินตามมาโดยตลอดทางกล่าวขึ้น
“จงทำอย่างที่เจ้าทำแต่ก่อนก็เพียงพอ”
“รับทราบเจ้าค่ะ”คียานาห์คำนับตามคำสั่งของไวร์เวนแล้วกระโดดเพียงก้าวเดียวร่างเธอลอยสูงเหนือต้นไม้ราวกับวาร์ปไปยังจุดหมายได้ตามใจต้องการ
ว้าย!
วาร์นทรงตัวไม่ได้ เซไปด้านหลังจนหน้าหงายมองฟ้า
“ท่านพ่อค่ะ”สิ้นเสียงเรียก ร่างกายของเธอก็เริ่มสั่นเทาควบคุมไม่ได้ ความรู้สึกร้อนวูบวาบแผ่ซ่านไปทั่วตัว เหมือนมีพลังงานในร่างกายจะปะทุออกมา เธอต้านแรงบีบภายในอกไม่ไหว
“ร่างกายมันร้อนไปหมดเลย”
ลอร์ดไวร์เวนเห็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับลูกสาว จึงเลือกจะเข้าไปใกล้พยายามรั้งรั้งลูกสาวไม่ให้เท้าลอยเหนือพื้นดิน
รอบตัวเธอมีไอสีดำทะมึนก่อขึ้นอย่างรวดเร็ว พื้นหินอ่อนใต้เท้าเริ่มแตกร้าวและลอยขึ้น
"วาร์น! ควบคุมมันให้ได้!"ลอร์ดไวร์เวนตะโกนเสียงดัง
ทว่าเธอไม่ได้ยินเสียงเขาเลย ความเจ็บปวดเริ่มกลืนกินร่างกาย ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
'เกิดอะไรขึ้นกับฉัน? พลังของวาร์นงั้นเหรอ ตอนนี้เนียนะ?' บทบาทไม่เหมือนที่เขียนไว้ แอนนาในร่างเด็กหญิงพึมพำกับตัวเอง
ไอสีดำเริ่มหนาแน่นขึ้นจนมองไม่เห็นร่างของเธอ
ลอร์ดไวร์เวนวิ่งเข้ามาใกล้ แต่โดนผลักกระเด็นออกไปโดยไม่ทันได้แตะตัวแม้แต่ปลายนิ้ว
เสียงกรีดร้องที่ดังออกมาไม่ใช่เสียงที่ควรจะเป็น มันทุ้มต่ำและกึกก้องเต็มไปด้วยความเจ็บปวด พลังพุ่งกระจายออกไปรอบทิศทาง กระถางต้นไม้ในสวนแตกกระจุยเป็นเสี่ยงๆ รูปปั้นหินล้มระเนระนาด
“วาร์น!” เสียงลอร์ดไวร์เวนดังก้องกังวาน ขณะที่เขาพยายามยันตัวลุกขึ้นจากพื้นหินอ่อนที่แตกร้าว
วาร์นไม่สามารถตอบเขาได้เพราะในตอนนั้น เพราะควบคุมร่างกายตัวเองไม่ได้
พลังมันไหลเวียนอยู่ในตัวเธอราวกับคลื่นพายุที่บ้าคลั่ง ความรู้สึกทุกอย่างปะทุออกมา ความกลัว ความสับสน ความเจ็บปวด… ทุกอย่างปั่นป่วนในหัวเหมือนพายุยักษ์
ไอสีดำที่ห้อมล้อมไอลาเริ่มสั่นสะท้าน ก่อนจะก่อตัวเป็นรูปร่างราวกับสัตว์ประหลาดจากฝันร้าย มันไม่มีตา ไม่มีปาก มีเพียงเงามืดที่คำรามอยู่ข้างหูเธอ
“ปล่อยพลังที่ซ่อนอยู่ในตัวเจ้าออกมาสิ” เสียงกระซิบหนึ่งดังขึ้นในหัว มันไม่ใช่เสียงของวาร์นและไม่ใช่เสียงจากใจแอนนาหรือเสียงของใครที่รู้จัก
“แสดงให้โลกเห็นว่าเจ้าคือใคร…”เสียงปริศนากระซิบดังอยู่ในหัวตลอด
“ไม่นะ…” วาร์นร้อง พยายามต้านกระแสนั้น
ทันใดนั้นเอง
“หยุดเดี๋ยวนี้!”ลอร์ดไวร์เวนตวาดดัง น้ำเสียงทั้งเยือกเย็นและหนักแน่น
ทุกสิ่งหยุดนิ่งลงเพียงชั่วขณะ ราวกับเวลาโดนแช่แข็ง ในชั่วพริบตา พลังในตัวเธอหยุดไหล ไอสีดำสลายหายไปเหมือนหมอกจาง
วาร์นทรุดตัวลงกับพื้น รู้สึกเหมือนร่างกายจะขาดใจ หายใจหอบเหนื่อยอย่างรุนแรง
ลอร์ดไวร์เวนรีบเข้ามาประคองฉันไว้ในอ้อมแขน “ไม่เป็นอะไรนะ… วาร์น…”
วาร์นสั่นสะท้านอยู่ในอ้อมกอดของเขา ผมสีดำยาวสยาย ดวงตาสีแดงก่ำเปลี่ยนเป็นสีอำอันดังเดิม ผิวขาวซีดราวกับกระดาษ และรอบตัวมีไอสีดำมืดมิดแผ่ออกมา เธอมองไปรอบ ๆ ด้วยความตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นและในหัวยังคงสงสัยว่าเสียงปริศนานั้นมาจากทางไหน หรือนี่คือเสียงพลังจากข้างในตัวเอง...
ลอร์ดไวร์เวนมองมาที่ลูกสาวด้วยแววตาที่ทั้งตกใจและเป็นห่วง
"ไม่เป็นไร มันจบแล้ว..." เขาอบกอดลูกแล้วพูดปลอบด้วยน้ำเสียงที่สงบนิ่ง
วาร์นไม่รู้จะตอบอย่างไร ความกลัวถาโถมเข้ามาในใจ เธอไม่สามารถควบคุมพลังนี้ได้เลย
"ข้า... ไม่ได้ตั้งใจค่ะ ท่านพ่อ" วาร์นพูดเสียงสั่นเครือ พยายามกลั้นน้ำตา
ลอร์ดไวร์เวนค่อยๆ ยกมือขึ้นลูบแก้มเธอเบาๆ แม้ว่ามือของเขาจะสั่นเล็กน้อยก็ตาม
"ข้ารู้ วาร์น ข้ารู้..."ถึงเขาจะพูดเช่นนั้นแต่แววตาที่มองมายังเธอ... มันทำให้เธอรู้สึกว่าคำว่า 'ไม่เป็นไร' ไม่ได้หมายความว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ส่งผลร้ายกับใครตามที่พูดจริงๆและในวินาทีนั้นเอง ฉันก็ตระหนักได้ว่า การมาอยู่ในร่างของไอลา ไม่ได้มีแค่โลกที่สวยงามและพ่อที่แสนดีเท่านั้น มันยังมาพร้อมกับพลังที่น่าหวาดกลัว และความลับบางอย่างที่ลอร์ดไวร์เวนพยายามปกปิดไว้
“พวกเขาหนีไปแล้วค่ะ”คียาน่าห์เดินเข้ามาหาลอร์ดไวร์เวน เนื้อตัวเปลื้อนดินทราย เธอไม่ได้รับบาดเจ็บตรงไหน
“มันจบแล้ว เรากับกันเถอะ”เขาลุกขึ้นและเดินนำลูกสาวไป
คียาน่าห์เดินตามหลังวาร์น คอยคุ้มกันอยู่ไม่ไกล
ทุกอย่างมันเกิดขึ้นแล้วมากราวกับเวลาถูกเซ็ตให้ไว้กว่าโลกจริง
สวนหลังปราสาทรัตติกาลกลับสู่ความเงียบสงบอีกครั้งหลังเสียงคำรามของพลังทำลายล้างจางหายไปในอากาศ เศษซากของต้นไม้และรูปปั้นที่แหลกสลายยังคงทิ้งร่องรอยของพลังบ้าคลั่งที่ระเบิดออกจากร่างวาร์นเมื่อครู่
ลอร์ดไวร์เวนยังคงก้าวเท้าหนักแน่นตรงไปเรื่อย ๆ ไม่พูดไม่จากับลูกสาว
เธออึดอัดใจเลยถามออกไป“ข้าจะตายใช่ไหม?”ด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาฟังดูแลจะหมดแรงเหลือเกิน มือเล็ก ๆ ยังคงสั่นไหวไม่หยุด เช่นเดียวกับลมหายใจที่ติดขัดในอก ความรู้สึกกลัวเกาะกุมแน่นราวกับเงามืดที่คลืบคลานมาจากความลึกของจิตใจมันชื่อของใครอีกคนที่อาศัยอยู่ในร่างนี้ ดวงจิตของเธอยังอ่อนเยาว์ แต่ความคิดนั้นลึกล้ำเกินกว่าสิ่งที่เด็กธรรมดาควรแบกรับได้ จะพยายามควบคุมทุกอย่างที่พลุ่งพล่านอยู่ภายในแต่เปล่าประโยชน์ พายุที่ถูกกักไว้ในร่างกายเล็กจ้อย ที่แม้แต่เสียงกระซิบก็อาจปลดปล่อยคลื่นความรู้สึกทั้งหมดให้ทะลักออกมา
เด็กหญิงเม้มริมฝีปากแน่น นิ้วมือขยุ้มชายผ้าคลุมจนยับยู่ยี่ หยาดเหงื่อไหลซึมเหนือขมับแม้อากาศเย็น
ลอร์ดไวร์เวนมองดวงหน้าของลูกสาวอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะย่อกายลงให้อยู่ในระดับสายตา น้ำเสียงของเขานุ่มราวหมอกในยามรุ่ง “พลังในตัวเจ้า…มันไม่ได้ปรานีผู้ถือครอง” เขาหยุด มือใหญ่เอื้อมแตะหลังมือของเธอเบา ๆ “เจ้าต้องตั้งมั่น ฝึกหัวใจให้แน่วแน่ มันต้องใช้เวลา…”
วาร์นกลืนน้ำลาย ฝ่ามือที่กำแน่นเริ่มคลายออก เสียงที่เปล่งออกแทบเป็นเสียงกระซิบ “แล้วข้าต้อง… ทำอย่างไร ถึงจะควบคุมมันได้?”
เขาไม่ตอบในทันที ดวงตาคู่นั้นหม่นลึกคล้ายรอยแผลเก่าที่ไม่มีวันสมาน “เมื่อเจ้าอ่อนแอและลังเลกับทุกสิ่ง มันจะโถมเข้าหา คำรามและกัดกิน… เรื่องแบบนี้ข้าทำแทนไม่ได้ เจ้าต้องทำ…หากปฏิเสธและปล่อยผ่าน เจ้าจะเจ็บปวดจนลืมว่าตนเคยเป็นใคร”
วาร์นไม่ขยับริมฝีปากไม่แม้แต่คล้ายจะเอื้อนเอ่ย เสียงของเขาก้องในหัวราวกับคำพยากรณ์จากดินแดนที่ไกลเกินหยั่งถึงได้สื่อสาร ที่ตรงนั้นเมื่อครู่อาจยังเป็นสวนเขียวชอุ่ม แต่เธอกลับมองเห็นเศษซากและเถ้าธุลีปกคลุมผืนหญ้า ความจริงปรากฏขึ้นกลางความเงียบ พลังนั้นสามารถเปลี่ยนโลกให้อัปร้าได้เพียงชั่วลมหายใจ
ณ ภายในปราสาท
ลอร์ดไวร์เวนเพียงพยักหน้าให้สาวใช้ก่อนจะจากไปโดยไม่เอ่ยวาจา สตรีนามคียาน่าห์
เธอก้าวเข้ามาเงียบ ๆ แล้ววางผ้าและขวดแก้วลงบนขอบอ่าง แล้วโน้มกายปลดตะขอที่หลังชุดเดรสของวาร์นด้วยความระมัดระวัง
ผืนผ้าไหลร่วงจากบ่าบอบบางเผยผิวขาวใต้แสงตะเกียง ทว่าตรงแนวแขนและสีข้างกลับมีเส้นสายสีคล้ำพาดผ่าน เส้นเลือดบิดเบี้ยวสีดำปูดนูนราวอสรพิษหลับใหลใต้ผิวหนัง
วาร์นเบิกตากว้างราวกับถูกปลุกให้ตื่นจากฝัน หัวใจรัวในอกจนแทบหลุดลอย เธอรีบกระโจนลงอ่างน้ำ เสียงน้ำกระเพื่อมดังไปทั่วห้อง
“เจ้าขัดหลังให้ข้า… บัดนี้!”น้ำเสียงหนักแน่นคล้ายสายฟ้าที่ตวัดผ่านเมฆหมอก
“รับทราบเจ้าค่ะ คุณหนู” คียาน่าห์โค้งศีรษะน้อย ๆ มือเรียวคว้าฟองน้ำกับสบู่หอมที่เตรียมไว้ พลางเอ่ยเสียงอ่อน “วันนี้จะเลือกกลิ่นไหนเจ้าคะ ระหว่างกลิ่นผลไม้สุก หรือดอกไม้จากทุ่งใต้”
เธอหันหัวไปมองทันที ริมฝีปากเม้มแน่น “อย่างใดก็ไม่”
คียาน่าห์ไม่ได้ถามซ้ำ เพียงพยักหน้าช้า ๆ ขณะวางขวดเครื่องหอมลงอ่าง เธอย่อกายลงข้างอ่าง เอื้อมมือแตะผิวน้ำเพื่อวัดอุณหภูมิ แล้วเอ่ยอย่างแผ่วเบา “คุณหนูอย่าเกร่งไปเลยเจ้าคะ ยิ่งถ้ากดรอยไว้มันจะไม่หายนะเจ้าค่ะ”
วาร์นหันมองหญิงรับใช้โดยฉับพลัน แววตาวาวโรจน์ปะทะกับความสงบนัยน์ตาอีกฝ่าย “อย่างนั้นหรือ!” เสียงนั้นทะลักออกมาจากลำคอเด็กหญิง เครือเบาในตอนท้ายเหมือนกลั้นไว้ไม่อยู่ ขณะดวงตาเบิกกว้างและลมหายใจขาดช่วง เธอไม่ได้ตั้งใจให้มันฟังดูดุดัน มันเป็นเพราะเสียงเงียบในห้องถูกแทนที่ด้วยเสียงในใจที่ไม่ใช่ของเธอ แต่ของอีกคนหนึ่ง เธอไม่ต้องเพ่ง ไม่ต้องปั้นสมาธิ… มันดังขึ้นมาเอง ชัดเจนเหมือนคำกระซิบข้างหู
‘คุณหนูเปลี่ยนไปจริง ๆ ด้วย… ท่านลอร์ดไวร์เวนพูดถูก’
วาร์นมองคียาน่าห์ที่กำลังก้มหน้าขัดแขนเธอด้วยความเบามือ เธอไม่รู้แน่ชัดว่าคียาน่าห์ได้ยินอะไรมาและไม่รู้ว่าคำพูดแบบไหนกันที่ลอร์ดไวร์เวนฝากไว้กับหญิงผู้นี้… แต่ดูจากแววตาที่คียาน่าห์แอบปรายมองมายังเธอแล้ว มันไม่น่าจะเป็นเรื่องเลวร้ายนัก
“เสร็จแล้วเจ้าค่ะ”
ณ ห้องบรรทม
“สบายตัวดีจัง” เธอพึมพำ ขณะทิ้งน้ำหนักลงบนเตียงนุ่มแผ่ว ดวงตาพริ้มหลับชั่วครู่ก่อนจะเบือนมองเพดานเหนือศีรษะ
แรงกดที่บีบแน่นอยู่ในอกเหมือนถูกปลดปล่อยออกบางส่วน ทว่าความเบานั้นยังไม่อาจพาร่างไปสู่ห้วงนิทราได้โดยสมบูรณ์ สมองยังคงวนเวียนอยู่กับคำถามเดิม ๆ เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ซึ่งไม่ยอมปล่อยให้ใจได้พัก
เธอหลับตาลง ฝืนต้านเสียงคิดที่ไหลกลับมาเป็นสาย กระแสความคิดปะปนกับความเหนื่อยอ่อน และในที่สุด…ทุกอย่างกลืนหายไปกับความมืด
ท่ามกลางความมืดสนิทที่ไม่อาจเห็นสิ่งใด กลับมีบางอย่างเรืองแสงขึ้นจาง ๆ จากเบื้องลึก “ฉันกลับมาแล้ว?” เธอกระพริบตา สำรวจแขนและมืออย่างรวดเร็ว ความรู้สึกดีใจเกิดขึ้นมาทันที ‘นี่มันมือของฉัน… ฉันไม่ได้หลุดเข้าไปในนิยายจริง ๆ สินะ มันเป็นเพียงความฝัน’แต่ยังไม่ทันที่สติจะสงบลง เสียงในหัวก็ดังขึ้นอีกครั้งเหมือนมีใครผลักเธอกลับเข้าไปในวังวนเดิม
‘อะไรอีกล่ะเนี่ย?! คิดว่ากลับโลกตัวเองแล้วซะอีก! ห้องบรรทมของวาร์นนี้นา!\~นึกว่าตัวเองฝันไป’ เธอมองรอบกายอีกทียังอยู่ในโลกนิยายเหมือนเดิม แต่ร่างกายนี้เป็นของแอนนา
เอ๊ะ! มันยังไงกันแน่เนี้ย!’เธอหันไปมองที่เตียงนอนและพบว่าเด็กสาวผมดำน่ารักราวตุ๊กตากำลังหลับอยู่
มันหมายความว่าไงกัน?
แอนนาเริ่มรู้สึกวิงเวียน… ความสับสนถาโถมเข้าใส่เหมือนคลื่นลมในคืนฝนห่า หัวใจของเธอเต้นแรง
นี่ไม่ใช่ภาพลวงตา ไม่ใช่ฝันร้ายที่ตามหลอกหลอน แอนนารู้ในตอนนี้ว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องจริง… แต่อย่างน้อยก็เป็นบางสิ่งที่เชื่อมโยงกับ “วาร์น” ความคิดของเธอลอยย้อนกลับไปยังเรื่องที่เขียนไว้ในตอนที่กำลังเขียนนิยายเล่มนี้… ตอนที่เด็กหญิงกำลังฝันร้าย ฝันที่ได้พบกับตัวเองอีกคนหนึ่ง แต่ครั้งนี้มันไม่ใช่ฝันของวาร์น แต่เป็นแอนนา ที่หลุดออกจากร่าง เผชิญหน้ากับร่างเด็กหญิงที่เหมือนจะคอยรอเธออยู่ตรงกลางระหว่างมิติแห่งความจริงกับสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง
เธอเริ่มตั้งคำถามกับสัญชาตญาณที่พลุ่งพล่านในอก… บางที มันไม่ใช่แค่เรื่องบังเอิญ สกิ่งที่เกิดขึ้นมันต้องมีทางออกกลับคืนสู่มิติเดิม โลกเดิมที่แอนนาจากมา!
ภาพวาดเด็กหญิงเรืองแสงและค่อยๆกลายเป็นดั่งกระแสน้ำ เผยให้เห็น…แอนนาตัวจริงผ่านรูปภาพ เธอนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ในห้องทำงานในโลกแห่งความเป็นจริง พิมพ์ประโยคสุดท้ายของบทสุดท้ายในนิยายเรื่อง Shadow Queen
เอ๊ะ!
แอนนาเบิกตากว้างเป็นประกายราวกับว่าเพิ่งผุดความคิดดี ๆ ขึ้นมาในหัว เธอตีฝ่ามือลงกับกำปั้นเบา ๆ อย่างคนที่เพิ่งปะติดปะต่อเรื่องราวได้
‘อ่อ\~ เป็นไปได้ว่า โลกอีกมิติที่มีฉันอีกคนกำลังสบายดีและทำประจำวันเหมือนอย่างเคย แล้วฉันที่อยู่โลกนี้…คือตัวอะไรอ่ะ?’ความคิดนั้นแล่นวาบผ่านสติ เธอชะงักไปชั่วขณะ… ความเยือกเย็นเล็กน้อยแผ่ซ่านไปตามแนวกระดูกสันหลัง มันไม่ใช่แค่คำถามธรรมดา เธอหนุมานว่าพลังของวาร์นที่แต่งในนิยายเชื่อมโยงกับความว่างเปล่า ไม่มีแม้ชื่อเรียก เว้นว่างไว้ในผู้อ่านได้คิดเอง ทั้งที่ตอนนั้นเธอยังไม่เข้าใจเลยว่าจะเขียนออกมายังไง แต่ตอนนี้แอนนาเริ่มเดาและติดปะต่อเรื่องได้แล้ว!
จู่ ๆ… แอนนาก็รู้สึกได้ถึงแรงบางอย่างที่มองไม่เห็น และอัดบีบร่างกายแน่นราวกับจะบดเป็นชิ้นๆ
“อ๊ากกกกกกกก ช่วยด้วย !!!!!”
เสียงกรีดร้องหลุดออกมาจากลำคอโดยไม่ทันคิด ร่างของเธอถูกแรงนั้นตวัดคว้า… รอบตัวพลันบิดเบี้ยว พื้นดิน ท้องฟ้า จักรวาล ทั้งหมดพังทลายกลายเป็นภาพเลือนลาง
เธอถูกแรงลึกลับกระชากกลับไปยังโลกนิยายเป็นฝันร้าย และในเสี้ยววินาทีก่อนสติจะดับลง… เธอก็สัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่รออยู่ ณ อีกฟากหนึ่ง
“ให้ตายเถอะ… แอนนา!!”ทันทีที่สายตาเหลือบไปเห็นมือที่เรียวเล็ก หัวใจของเธอก็ร่วงวูบลงไปในเหวความฝันที่ไม่อยากยอมรับ เธอกลับมาแล้ว ในร่างของ “ทรราชน้อยแห่งรัตติกาล”
แสงจันทร์เย็นเฉียบยังคงสาดส่องผ่านหน้าต่างบานใหญ่เหมือนเคย เงาของม่านบางพลิ้วไหวยามต้องลมราตรี ทุกอย่างเหมือนเดิม… น่าขนลุกจนเธอแทบไม่กล้าลุกจากเตียง
เสียงเหมือนคนกระซิบเล็ดลอดผ่านรอยแยกขอบของบานหน้าต่าง แผ่วเบาราวกับคลื่นลมคุยกัน มือของเธอคลำหาขอบเตียง ขณะที่ปลายเท้าเปลือยเปล่าแตะกับพื้นหินเย็นเฉียบ กล้ามเนื้อเกร็งน้อย ๆ แต่ไม่มีใดเหนี่ยวรั้งเธอให้อยู่กับที่
ร่างบางเคลื่อนไหวในความมืดราวกับเป็นเงาของตัวเอง หยุดที่หน้าต่างบานใหญ่ ผ้าม่านโปร่งบางพลิ้วไหวเบา ๆ เมื่อเธอสอดมือแหวกออก
เบื้องล่าง…
ม่านหมอกสีเงินของแสงจันทร์ ณ สวนรัตติกาลทอดตัวยาวไกลไปจรดริมทะเลสาบ
เงาร่างใครยืนอยู่
แผ่นหลังสูงสง่าภายใต้เสื้อคลุมกำลังจ้องลงไปในผืนน้ำที่สะท้อนเงาจันทร์ เขาไม่ได้อยู่คนเดียวตามลำพัง มีชายร่างสูงคนหนึ่งยืนอยู่เบื้องหน้าเขา
วาร์นแนบร่างกับแนวหินเย็นเฉียบของกำแพง ปลายนิ้วเกี่ยวชายเสื้อคลุมให้แน่น ไม่ให้มันปลิวสะบัดยามเธอเลื่อนตัวลง เงาของปราสาททอดยาวลงมายังพุ่มไม้เบื้องล่าง เธอกะระยะเท้า แล้วปล่อยตัวลงอย่างเงียบ ฝ่าเท้าสัมผัสกับพื้นหญ้านุ่มชื้น ก้อนหินบนทางเดินสัมผัสดั่งหิมะ เธอก้าวยาวไปข้างหน้าเหมือนแคทเวอแมนที่ซ่อนกรงเล็บ และเมื่อลมยามค่ำคืนหอบกลิ่นดินป่าผ่านร่องพุ่มไม้ วาร์นก็หยุด เธอแนบแผ่นหลังกับแนวพุ่มไม้ ใบไม้เย็นชื้นสัมผัสแก้ม ทำให้ได้ยินเสียงแว่วเข้าหู
เธอเม้มริมฝีปากแน่น ลมหายใจกลั้นค้างขณะเธอแอบฟังบทสนทนา
“ลูกสาวของข้า… จะมีอายุครบ 11 ในวันพรุ่งนี้ ข้าอยากให้เจ้าช่วย”ลอร์ดไวร์เวนพูด
ชายในเงามืดถาม “ข้าจะช่วยอย่างไร?”
“สอนนาง… สอนให้นางควบคุมพลังของตัวเอง ข้ารู้ว่าพลังของนางมันไม่ใช่สิ่งที่สิ่งที่จะสอนง่าย ๆ และหากไม่ใช่เจ้า… ก็ไม่มีใครสามารถสอนนางได้”
อีกฝ่ายเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงนิ่งเฉียบ “ข้าเข้าใจแล้ว”
“ข้าขอฝากเจ้าด้วย”
ในห้วงลมหายใจถัดไป…
กร็อบ!
เสียงกิ่งไม้แห้งหักใต้ฝ่าเท้าแทรกผ่านความเงียบของยามค่ำคืนดังราวกับสายฟ้าแลบกลางเวหา
ทั้งสองชายหยุดชะงักแทบพร้อมกัน เงาสลัวจากตะเกียงในมือส่องไปยังพุ่มไม้ที่ไหวแผ่วเพียงน้อย แต่กลับดึงสายตาให้หันขวับในจังหวะเดียว
“เจ้าได้อะไรยินไหม มีคนอยู่ตรงนั้น…” ชายผู้หนึ่งขยับเท้าอย่างระวัง มือเลื่อนไปแตะแนบด้ามดาบที่เหน็บไว้ข้างเอว นิ้วเคลื่อนไปจับตัวฝักอย่างเคยชิน สายตากวาดมองอย่างเร่งเร้า
ในความมืดหลังพุ่มไม้ วาร์นเม้มปากแน่น ฝ่ามือเธอเย็นเยียบ ฝ่าเท้าราวถูกตรึงไว้กับพื้น ร่างแนบอยู่กับเงาของต้นไม้เก่าแก่ เธอถอยออกทีละน้อย ลมหายใจสั้นติดอยู่ในลำคอ หัวใจกระแทกอกดังจนเธอแน่ใจว่ามันจะทำให้เธอถูกพบเห็น
แค่กิ่งไม้… แค่กิ่งไม้ที่หักเพราะเท้าของฉันเอง!
“คงเป็นแอราเซ็นธ์”ลอร์ดไวร์เวนว่าเบาๆ ดวงตาคมหลุบต่ำลง พิจารณาความเงียบงันที่ตอบกลับมาแทนคำอธิบาย ก่อนที่เขาจะผ่อนลมหายใจในปอดและละสายตาจากเงานั้นอย่างแสร้งไม่ใส่ใจ
ความเงียบไหลย้อนกลับเข้ามาอีกครั้งเหมือนม่านหมอก ทั้งสองยังคงยืนอยู่อย่างชั่งใจชั่วครู่ ก่อนชายคนนั้นจะเป็นฝ่ายผละคำพูดทิ้งไว้ให้ลอยอยู่ในอากาศ
“ไว้เรื่องนี้ข้าจะแจ้งให้ทราบรุ่งเช้า”
ลอร์ดไวร์เวนพยักหน้าเบา ๆ ราวกับไม่ใส่ใจ แต่ก็เดินจากไปในทันที เสียงฝีเท้าทั้งสองห่างออกไปเรื่อย ๆ จนเลือนลงในราตรี
วาร์นยังคงนิ่ง เงาของต้นไม้อำพรางร่างให้กลืนหายไปกับความมืด ร่างเธอไม่ไหวติง ทว่าในอกเต้นรัวจนแน่นตื้อในหู เธอแน่ใจว่าเสียงหัวใจตนเองน่าจะดังพอให้ใครต่อใครได้ยิน
จากทิศอีกด้าน เสียงฝีเท้าใหม่เริ่มดังใกล้เข้ามา หนักแน่น! ช้า! และสม่ำเสมอ… เป็นของท่านลอร์ดไวร์เวนหรืออาจเป็นใครบางคนที่เธอไม่ควรพบเจอในยามค่ำคืนอันสงัดนี้
แอ๊ด…
บานประตูถูกเปิดออกช้า ๆ สะท้อนก้องในห้องเงียบสงัด ก่อนจะตามมาด้วยฝีเท้าหนักแน่นที่กระทบพื้นกระเบื้องเป็นจังหวะมั่นคง
วาร์นหลับตาอยู่บนเตียงแต่ทุกประสาทสัมผัสกลับตื่นรับรู้ มืออุ่นวางลงบนศีรษะของเธอ ลูบอย่างแผ่วเบา คล้ายปลายนิ้วที่รู้จักความเหนื่อยล้าของหัวใจเธอเป็นอย่างดี ไม่มีเสียงใดเอื้อนเอ่ย มีเพียงลมหายใจที่อุ่นจัดลดรินอยู่ตรงหลังใบหู
แขนนั้นโอบเธอไว้แน่น ในอ้อมกอดเต็มไปด้วยกลิ่นอายที่คุ้นเคย กลิ่นเย็นสะอาดปนกลิ่นดอกไม้ที่ลอยขึ้นมากระทบปลายจมูกอย่างอ่อนโยน
คียาน่าห์!
ร่างสูงเอนลงข้างเธอบนเตียงอย่างเงียบ ๆ แขนหนึ่งยังคงกอดเธอไว้ราวกับจะขับไล่ฝันร้ายทั้งหมดให้สลายไปในคืนนี้ ความอบอุ่นแผ่ซ่านจากอกของเธอสู่แผ่นหลังของวาร์น
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!