ก่อนอื่นเลยมาแนะตัวละครกันหน่อย เรามี2ตัวละครหลัก
คนแรกถือจอกน้ำชา ชื่อ เฟยหลง
คนที่สองถือกระบี่ ชื่อ หนิงเทียน
แบ่งระดับตามนี้
ระดับพื้นฐาน
รากจิต รากจิตระยะกลาง รากจิตระยะสูง รากจิตขั้นสูงสุด
ปฐพี ปฐพีระยะกลาง ปฐพีระยะสูง ปฐพีขั้นสูงสุด
นภา นภาระยะกลาง นภาระยะสูง นภาขั้นสูงสุด
ระดับสูง
ราชันยุทธ ราชันยุทธระยะกลาง ราชันยุทธระยะสูง ราชันยุทธขั้นสูงสุด
จักรพรรดิยุทธ จักรพรรดิยุทธระยะกลาง จักรพรรดิยุทธระบะสูง
จักรพรรดิยุทธขั้นสูงสุด
จ้าวยุทธ จ้าวยุทธระยะกลาง จ้าวยุทธระยะสูง จ้าวยุทธขั้นสูงสุด
ระดับพิเศษ
เซียน เซียนระยะกลาง เซียนระยะสูง เซียนขั้นสูงสุด
จักรพรรดิเซียน จักรพรรดิเซียนระยะกลาง จักรพรรดิเซียนระยะสูง
จักรพรรดิเซียนขั้นสูงสุด
ตอนที่1 ของวิเศษปรากฏ
.
.
วันหนึ่ง
กระบี่แห่งโชคลาภกับบัวสวรรค์—วัตถุศักดิ์สิทธิ์จากสมัยเทพโบราณ—ปรากฏขึ้นพร้อมกันเหนือแท่นเซียนหลิงหลัว
วัตถุที่ว่ากันว่า
“ผู้ใดถูกเลือกโดยมัน จะเป็นผู้เขียนโชคชะตาใหม่แห่งสวรรค์”
และแล้ว... มันก็ "เลือก"
กระบี่เคลื่อนไหวก่อน
ลอยผ่านสายตาของเหล่าเซียนนับพันที่ต่างถกเถียงแย่งชิง
ก่อนจะพุ่งไปหาชายหนุ่มคนหนึ่งที่ยืนเท้าเอว ขยับมุมปากยียวนอยู่ท้ายแถว
“หืม? ข้าแค่ผ่านมาเท่านั้นเองนะ เจ้าเลือกข้าจริงเหรอ?”
เฟยหลง
ชายหนุ่มในชุดคลุมดำ ผมยาวถูกรวบลวกๆ
นิ้วเรียวยกถ้วยชาในมือซ้ายขึ้นจิบ
ส่วนมือขวา... รับ กระบี่แห่งโชคลาภที่ปล่อยแสงสีทองวิบวับเข้าเต็มมือราวกับมันเฝ้ารอเขามานาน
ข้าตั้งชื่อให้เจ้าว่า "ลู่เสียน" แล้วกัน
ถัดมาไม่กี่ลมหายใจ
บัวสวรรค์ เริ่มสั่นไหว ร่อนหมุนราวกับมองหาอะไรบางอย่าง
ก่อนจะหยุดนิ่ง... แล้วพุ่งเข้าหาชายผู้หนึ่งที่นั่งอยู่ใต้ต้นหลิวอย่างเงียบงัน
ชายผู้นั้นจิบสุราโดยไม่เหลือบมองแม้แต่น้อย
สายตาเขาไร้แวว ปราศจากอารมณ์ เหมือนน้ำแข็งที่ไม่เคยละลาย
หนิงเทียน
เซียนหนุ่มที่ไม่มีใครอยากเข้าใกล้ เพราะคำพูดของเขานั้นสั้น เจ็บ และไม่เคยไว้หน้าใคร
“ข้าไม่ได้อยากได้ของเจ้า”
“แต่ในเมื่อเจ้ามาเอง... ก็อย่าทำให้ข้าลำบากใจ”
เสียงแตกตื่นดังทั่วลานพิธี
“พวกนั้นไม่ได้รับอนุญาต!”
“กระบี่โชคลาภเลือกคนปากหมา!?”
“บัวสวรรค์เลือกมันจริงหรือ!?”
เพียงพริบตา
เจ็ดลัทธิเซียนใหญ่แห่งแดนบน พร้อมใจยกพลล้อมทั้งสอง
คำสั่งเดียวคือ...
“สังหารผู้แปดเปื้อนวัตถุศักดิ์สิทธิ์!”
แววตาของเฟยหลงยังคงขี้เล่น
เขาหันไปมองหนิงเทียนซึ่งยังจิบสุราอย่างใจเย็น
“เฮ้ เจ้าบัวนั่นไม่เลือกคนเงียบกว่านี้หน่อยเหรอ?”
หนิงเทียนไม่ตอบ แต่เอียงหน้าเล็กน้อย เอ่ยเสียงเย็น
“เจ้าจะสู้ หรือจะตายก่อนได้ลองกระบี่?”
เฟยหลงหัวเราะ ราวกับสิ่งที่กำลังจะเกิดคือเกมสนุก
ขณะหมุนกระบี่ลู่เสียนในมืออย่างชำนาญ
“ข้าไม่ชอบต่อสู้... แต่ถ้าฟ้ามันอยากให้ตาย ก็ต้องขอลองตบหน้าฟ้าดูสักที”
เสียงฟาดฟันระเบิดขึ้นทันที
แสงกระบี่ของเฟยหลงสาดผ่านอากาศราวโชคชะตาที่บิดเบี้ยว
ม่านพลังของหนิงเทียนแผ่บัวสวรรค์ปกป้องทั้งร่างและสลายเวทนับสิบชั้นในพริบตา
สองต่อเจ็ด... แต่ไม่มีใครถอย
จนกระทั่ง...
แสงสุดท้ายของลานพิธีดับลง
เลือดเซียนไหลนองพื้น
เฟยหลงและหนิงเทียน ร่วงหล่นจากฟ้าอย่างเงียบงัน
แต่... พวกเขาไม่ได้ตายกลับตกลงไปอยู่ภพล่าง
กลางหุบเขาทางใต้ ร่างหนึ่งลืมตาขึ้นพร้อมกลิ่นสุราข้างจอก
กลางทะเลหมอกทางตะวันออก เสียงกระบี่สะท้อนในลมหายใจ
ทั้งคู่ยังมีชีวิต
ทั้งคู่จำทุกอย่างได้
และของศักดิ์สิทธิ์... ยังคงอยู่ในมือพวกเขา
สวรรค์สั่งฆ่า แต่ฟ้าผิด
เพราะพวกเขาจะกลับไป...
เพื่อฆ่าฟ้าเสียเอง
.
.
.
.
แคว้นซีโจว ดินแดนตะวันตกไกลโพ้น อากาศหนาวจัดตลอดปี
กลางลานไม้ไผ่ ร่างหนึ่งในชุดผ้าหยาบนั่งสงบนิ่งใต้ต้นบ๊วยแห้ง
ข้างมือคือจอกสุราถูกวางไว้ คราบน้ำแข็งเกาะรอบขอบจอก
“สามวันแล้วสินะ...”
เสียงทุ้มต่ำเอ่ยเบา
หนิงเทียน ลืมตาขึ้นช้าๆ แววตายังเย็นเฉียบราวไม่ผ่านความตายมาก่อน
กลิ่นหอมบางจาก บัวสวรรค์ ยังคงลอยอ้อยอิ่งข้างกาย ราวกับปกป้องเขาอยู่ตลอดเวลา
ดินแดนแห่งนี้ไร้ผู้คน รกร้าง ไม่มีแม้แต่สัตว์กล้าเข้าใกล้
พลังของเขายังอยู่… แต่หายไปเกินครึ่งหนึ่ง
เขารู้—เพราะก่อนหน้านี้ระดับเขาคือ“เซียนขั้นสูงสุด” แล้วตกลงมาเหลือเพียง
“ปฐพีระยะกลาง”
“ช้ากว่าที่ควรจะเป็น...แต่ไม่ถึงตาย”
เขายกจอกสุราขึ้นอีกครั้ง
สายลมพัดผ่าน กลีบบ๊วยที่ร่วงจากฟ้าโปรยรอบร่าง
เงารอยยิ้มจางๆ ผุดบนใบหน้า
“เฟยหลง...เจ้ารอดหรือเปล่า”
อีกฟากหนึ่ง — แคว้นตงหลิง
หุบเขาเงียบงัน ลมทะเลหมอกพัดผ่าน
ร่างหนึ่งในชุดคลุมขาดรุ่งริ่งยืนยกชาเบาๆ จิบด้วยท่าทางราวกับอยู่ในงานเลี้ยง
“หึ... กลิ่นชาแย่พอๆ กับชะตาข้าเลยแฮะ”
เฟยหลง ขยับยิ้มเยาะ ทั้งที่ทั่วร่างมีบาดแผล
แต่กระบี่ลู่เสียนยังส่องแสงจางอยู่ในม้วนผ้าข้างเอว
พลังของเขาลดลงเหลือ “ปฐพีระยะกลาง” เช่นกัน
แต่วิญญาณกระบี่ยังอยู่ครบ
และความทรงจำ... ชัดเจนยิ่งกว่า
“หนิงเทียน...เจ้าต้องยังไม่ตายใช่ไหม”
“ข้าก็ยังไม่ตายเหมือนกัน”
“สวรรค์ทำแค่ขับไล่เรา...แต่ไม่ได้ฆ่าเราให้ขาด”
เขาโยนใบชาทิ้งกลางทะเลหมอก
นัยน์ตาฉายแววเย็นชาแทนที่ความขี้เล่นเดิม
“ก็ดี...ข้าจะได้ขึ้นไปเผามันด้วยมือข้าเอง”
เวลาผ่านไปหลายเดือน
ข่าวลือเริ่มแพร่ในสองแคว้น
— ชายผู้หนึ่งปราบสัตว์อสูรระดับนภาด้วยมือเปล่า
— นักพรตลึกลับที่เดินทางพร้อมบัวทองคำ
— ชายคลั่งที่หัวเราะทุกครั้งก่อนฆ่าจอมยุทธ
— บุรุษใบหน้าเยือกเย็นที่เพียงสบตา ศัตรูขาสั่น
สองร่างสองทาง
แต่ทุกย่างก้าว... มุ่งขึ้นฟ้า
---
สิ้นแสงสุริยา... ทั้งคู่มองฟ้าพร้อมกันจากคนละฟากของแผ่นดิน
“รอก่อนเถอะ...ภพบน”
.
.
สนามประลองของสำนักหลิงเจวี๋ยในวันนี้ คึกคักจนแทบไม่มีที่ยืน
ศิษย์จากทั่วแคว้นตงหลิงรวมตัวกันเพื่อคัดเลือกอัจฉริยะสิบอันดับ ที่จะได้รับสิทธิ์เข้าแดนต้องห้ามบรรพกาล
เฟยหลงยืนเท้ากำแพง พัดในมือแกว่งเบา ๆ สายตาเหลือบมองคนรอบตัวอย่างไม่จริงจังนัก
“เจ้าชื่อเฟยหลงใช่ไหม?”
เสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านข้าง
เฟยหลงหันไปมอง พบเด็กหนุ่มอายุราวสิบแปดปี รูปร่างผอม แต่ดวงตาเป็นประกาย
“ข้าชื่อ หลิวสิง ศิษย์สำนักชิงหั่วสายข่าว...เอ่อ ข้าชอบเก็บข้อมูลน่ะ!” เขารีบบอกยิ้ม ๆ
เฟยหลงเหล่มอง ไม่ตอบอะไร แต่ไม่ได้ขับไล่เช่นกัน
หลิวสิงลูบจมูกแหะ ๆ แล้วพูดต่ออย่างกระตือรือร้น
“ข้ารู้ว่าเจ้าไม่อยากฟังหรอก แต่ประลองรอบนี้ เจ้าต้องเจอศิษย์จาก 5 สำนักใหญ่กับ 2 ลัทธิ แน่ๆ เผื่อจะมีประโยชน์น่ะนะ!”
🏯 5 สำนักใหญ่แห่งแคว้นตงหลิง
สำนักหลิงเจวี๋ย (สำนักเหินเวหาไร้สุด)
🔹 แนว: กระบี่บิน ความเร็ว
🔹 สีประจำสำนัก: ขาว-น้ำเงิน
🔹 จุดเด่น: เคลื่อนไหวเร็วเหนือสายตา กระบี่ไร้ร่องรอย
สำนักชิงหั่ว ( สำนักเพลิงคราม) (เป็นสำนักแหล่งรวมข่าวสารทั่วแคว้น)
🔹 แนว: พลังเพลิง, ไฟวิญญาณ
🔹 สีประจำสำนัก: น้ำเงินเข้ม-แดงเพลิง
🔹 จุดเด่น: เปลวเพลิงครามเผาวิญญาณ แม้โลหะยังละลายได้
สำนักศาลาร้อยบุปผา
🔹 แนว: พิษ, หยิน, กลิ่นสะกด
🔹 สีประจำสำนัก: ชมพู-ม่วง
🔹 จุดเด่น: พิษหอมสะกดใจ เทคนิคกล่อมสติศัตรู
สำนักเสวียนอู่
🔹 แนว: ป้องกัน, ค่ายกล
🔹 สีประจำสำนัก: เทา-ดำ
🔹 จุดเด่น: ค่ายกลสะท้อน พลังรับระดับสูง
สำนักไป๋เฉิน
🔹 แนว: วิญญาณ, คำสาป
🔹 สีประจำสำนัก: ขาวหม่น-ดำ
🔹 จุดเด่น: ใช้วิญญาณเร่ร่อน คำสาปลวงตายเงียบ
☯️ 2 ลัทธิทรงอิทธิพล:
ลัทธิเทียนอวี้ ( ลัทธิสวรรค์ปกปักษ์)
🔹 จุดเด่น: วิชาสายสว่าง เทพแท้ บัญชาฟ้า
🔹 ภายนอกเหมือนพุทธะ แต่ภายในซ่อนอำนาจทางการเมือง
🔹 ขึ้นชื่อว่า “บริสุทธิ์” แต่ใคร ๆ ก็ไม่กล้าเชื่อทั้งหมด
ลัทธิเยวี่ยอวิ๋น (ลัทธิจันทราเร้น)
🔹 จุดเด่น: วิชามืด วิญญาณลวง พิธีกรรมโบราณ
🔹 ศิษย์ต้องผ่านพิธีล้างจิต วิญญาณจะถูกเปิดจุดเร้นลับ
🔹 เป็นศัตรูคู่อาฆาตของเทียนอวี้มาแต่โบราณ
เฟยหลงพยักหน้าช้า ๆ ดวงตายังคงเฉยเมย
“เจ้ารู้มากนี่...”
หลิวสิงยิ้มแห้ง ๆ “ก็ชอบจับตาคนเก่งน่ะ...โดยเฉพาะคนหน้าตาดี”
เฟยหลงเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง มองอย่างไม่มั่นใจว่าอีกฝ่ายล้อเล่นหรือจริงจัง
ทันใดนั้น เสียงผู้อาวุโสดังขึ้นทั่วลานประลอง
“ขอเชิญอัจฉริยะแห่งแคว้นตงหลิง เข้าสู่เวทีประลอง!”
“สิบอันดับแรกจะได้รับสิทธิ์เข้าสู่แดนต้องห้ามบรรพกาล ซึ่งกำลังจะเปิด!”
“จงเผยศักยภาพของพวกเจ้าที่แท้จริงออกมา!”
เฟยหลงโยนพัดขึ้นกลางอากาศ ก่อนคว้าไว้ด้วยนิ้วสองนิ้ว รอยยิ้มปรากฏมุมปาก
“ถึงเวลา…เก็บคะแนนสนุก ๆ แล้วล่ะ”
อีกฟากหนึ่ง
หนิงเทียน นั่งเงียบกอดจอกสุรา
แม้อยู่ท่ามกลางคลื่นปราณ แต่กลิ่นอายของเขากลับตัดขาดจากสรรพสิ่ง
เสียงอาวุธปะทะ พลังปราณพุ่งกระจายไปทั่ว
กระบี่บิน เสียงกู่คำราม ค่ายกล และเวทย์มืดผสมปะทะกันอย่างดุเดือด
แต่ขณะนั้น
ชายคนหนึ่งเหยียดยิ้มพิงราวไม้ไม่ยอมขยับ
อีกคนถือจอกสุรา มองผืนฟ้าราวไม่มีสิ่งใดให้ใส่ใจ
แต่เมื่อเข้าสู่รอบสุดท้าย—
ท่ามกลางเวทีร้าว กองเลือด และกลิ่นปราณจางๆ
ผู้ที่ยังยืนอยู่ กลับรวมถึงสองเงาร่างที่ไม่ได้ออกแรงแม้แต่น้อย...
เฟยหลง กับ หนิงเทียน
แสงจันทร์สาดผ่านม่านปราณ
บัวสวรรค์สั่นไหว
กระบี่ลู่เสียนเปล่งเสียงก้องเบา ๆ จากหลังเจ้าของ
ทั้งสอง...คือหนึ่งในผู้ที่โชคชะตาเลือกแล้ว
หลังการประลองอันดุเดือดจบลง
เหล่าอัจฉริยะร่วงโรยราวใบไม้ร่วง
บนลานประลองกว้าง
เสียงระฆังประกาศจบการประลองดังก้องไปทั่วลานหินของสำนักหลิงเจวี๋ย
ฝุ่นควันจากเวทีระเบิดพลังจางหาย ท่ามกลางสายตาหลายพันคู่ที่รอคอยอย่างตื่นเต้น
ผู้อาวุโสหลิงเจวี๋ยผู้หนึ่งลอยขึ้นกลางอากาศ
เสียงของเขาแผ่ผ่านจิตสำนึกไปทั่วสนาม
“ผู้ผ่านการคัดเลือกทั้งสิบ อัจฉริยะผู้ได้รับสิทธิ์เข้าสู่แดนต้องห้ามบรรพกาล...ได้แก่!”
เสียงประกาศเริ่มต้นขึ้นทีละชื่อ
ทุกคนเงียบสงัดราวโลกหยุดหมุน
“อันดับหนึ่ง: เฟยหลง — ไร้สังกัด”
เสียงโห่ร้องดังขึ้นทันทีตามมา
ชายหนุ่มผู้มีพัดลู่เสียนในมือยืนหาวกลางลานประลอง
“หืม ข้าแค่ขยับนิ้วนิดเดียวเองนะ...”
เขาพึมพำอย่างยียวน
“อันดับสอง: หนิงเทียน — ไร้สังกัด”
เสียงฮือฮาดังกว่าเดิม
หนิงเทียนยืนพิงเสาไม้เงียบ ๆ ไม่ตอบโต้
เพียงยกไหสุราขึ้นจิบด้วยสีหน้านิ่งเยือกเย็น
ดวงตาคมกริบแลบควันสุราบางเบา
จากนั้นชื่ออื่นก็ดังต่อเนื่อง
“อันดับสาม: ซูเม่ยฮวา — ศาลาร้อยบุปผา”
“อันดับสี่: หานอวี่ — สำนักไป๋เฉิน”
“อันดับห้า: ฉินซาน — สำนักเสวียนอู่”
“อันดับหก: โม่หลิง — สำนักหลิงเจวี๋ย”
“อันดับเจ็ด: ไป๋เจิน — ลัทธิเทียนอวี้”
“อันดับแปด: เยว่เหิน — ลัทธิเยวี่ยอวิ๋น”
“อันดับเก้า: หลานเหยียน — สำนักชิงหั่ว”
และเมื่อทุกคนคิดว่าชื่อหมดแล้ว...
“อันดับสิบ: หลิวสิง — สำนักชิงหั่ว”
“ห๊า! เจ้าหมอนั่น!?”
“สายข่าวนั่นเรอะ!?”
เสียงฮือฮาอีกระลอกดังขึ้นทันที
ชายผอมในชุดน้ำเงินเข้ม-แดงเพลิงยกมือโบกอย่างร่าเริงจากข้างเวที
“ฮ่าๆ! บอกแล้วไงว่าข้าก็มีฝีมือนะ!”
“ข้าอาจไม่โหดเท่าเฟยหลง…แต่ข้าเอาตัวรอดเก่ง!”
เฟยหลงหันไปมองแวบหนึ่งก่อนยิ้มเย็น ๆ
“โชคดีที่เจ้ามา ไม่งั้นข้าคงเบื่อจนหลับในแดนต้องห้ามแน่…”
เขาหันกลับมาเจอสายตาของหนิงเทียน
เฟยหลงยิ้ม กวน ๆสะบัดพัดเบา ๆ พัดหน้าตัวเอง
ก่อนยกคิ้วอย่างสนุกสนานใส่คนที่ยืนห่างออกไปไม่กี่ก้าว
“เจ้าก็ยังหน้าหินเหมือนเดิมนะ หนิงเทียน”
“แต่คราวหน้า ถ้าจะแพ้ข้าอีก อย่าทำหน้าเหมือนโดนทิ้งละ”
หนิงเทียนยกไหสุรา ดื่มเฉย ๆ ก่อนพูดเสียงเบา
“ข้าดื่มเพื่อไม่ต้องตอบคำพูดโง่ๆ เช่นนั้น”
ทั้งสองสบตากันเพียงครู่ แต่บรรยากาศกลับแฝงแรงกดดันแปลกประหลาด
“ข้าเฝ้ารอดูว่าเจ้าจะตายตั้งแต่รอบสาม...แต่เอ้า เจ้ายังไม่ตาย?”
หนิงเทียนปรายตามองเล็กน้อย ไม่ตอบ
เฟยหลงหัวเราะหึเบา ๆ แล้วเดินเข้าไปใกล้
พลัน...เขายื่นมือไป "ดีด" ปลายชายเสื้อของหนิงเทียนอย่างแรง
“เสื้อนี่ซักหรือยัง? หรือเจ้าคิดว่าการมีกลิ่นฝาดเป็นเสน่ห์?”
หนิงเทียนยกมือช้า ๆ ปัดมืออีกฝ่ายออก
แววตาเยือกเย็นฉายชัด แต่ก็ยังไม่พูดอะไร
เฟยหลงยิ่งรู้สึกสนุก
เขายืนพิงไหล่หนิงเทียน ทำหน้าขี้เล่นแล้วกระซิบเสียงดังพอให้ได้ยิน
“เจ้ารู้ไหม ข้าฝันเมื่อคืนว่าเดินขึ้นสวรรค์กับชายหน้าขรึมคนหนึ่ง”
“ข้าตกใจตื่นเลยนะ...เพราะข้าไม่ได้ถือพัด แต่ถือมือเจ้าแทน”
คนรอบข้างที่ได้ยินพากันอึ้ง
บางคนหลุดขำ
บางคนหันหน้าหนีเพราะกลั้นหัวเราะไม่อยู่
หนิงเทียนยืนนิ่งไปสองลมหายใจ
ก่อนจะตอบเบา ๆ
“ถ้าเจ้าพูดอีกคำเดียว…ข้าจะฝังเจ้าทั้งเป็น โดยไม่ใช้มือ”
เฟยหลงยกมือขึ้น
ทำท่าตกใจเวอร์วังแล้วหัวเราะร่า
“โอ้ เจ้าพูดจนได้! สำเร็จแล้ว! ข้าเรียกเสียงจากภูเขาน้ำแข็งได้!”
เขาตบมือราวกับชนะรางวัลใหญ่
ก่อนจะเดินวนรอบหนิงเทียนหนึ่งรอบแบบจงใจ
หนิงเทียนเริ่มก้าวเท้าออกห่าง
แต่เฟยหลงก็ยังตาม พลางยิ้มเจ้าเล่ห์
“ข้าล้อเล่นนิดเดียว เจ้าน่ะถมหน้าใส่ข้าแบบนั้น...ข้าจะเผลอตกหลุมรักขึ้นมาจริง ๆ ไม่ได้นะ”
เสียงผู้อาวุโสขัดจังหวะบรรยากาศ
“...สองท่าน โปรดเตรียมตัว—ประตูแดนต้องห้ามกำลังจะเปิดขึ้น”
แสงจากบัวสวรรค์บนหลังหนิงเทียนเริ่มสั่นไหว
กระบี่ลู่เสียนของเฟยหลงเรืองแสงขึ้นเช่นกัน
ไม่มีใครในที่นั้นรู้จักสิ่งทั้งสอง
แต่ความรู้สึกแปลกประหลาดเริ่มก่อตัวในใจของอาวุโสบางคน
เฟยหลงหันไปกระซิบกับหนิงเทียนอีกครั้ง
“เอาเถอะ ข้าไม่ล้อเล่นแล้ว...อย่างน้อยก็จนกว่าเราจะเข้าไปข้างใน”
“ในแดนนั้น—เจ้าอย่าหลุดร้องไห้ตอนโดนปีศาจไล่กัดล่ะ ข้าไม่ปลอบนะ...แค่หัวเราะเบา ๆ พอ”
หนิงเทียนไม่ตอบอีกคนตามเคย
แต่แววตาวูบหนึ่งแฝงแสงเย็นชา…เจือความขำในมุมปากเพียงเสี้ยววินาที
สองเงาสองร่าง
หนึ่งร้อน หนึ่งเย็น
หนึ่งวาจาแหลมคม หนึ่งนิ่งดั่งเหมันต์
กำลังจะก้าวเข้าสู่แดนต้องห้ามด้วยกัน
ไม่ใช่ศัตรู
ไม่ใช่มิตร
แต่เป็น ‘คู่ร่วมชะตา’ ที่สวรรค์และมารมิอาจควบคุมได้อีกต่อไป
.
.
.
“ปึง!”
เสียงจากแกนผนึกกลางแท่นศิลาในลานประลองดังสนั่น
เสาหินทั้งสี่มุมเริ่มส่องแสงพราย
ม่านพลังรูปอักขระเก่าแก่ ลอยขึ้นรอบบริเวณ
กลิ่นอายโบราณพวยพุ่งราวกับเปิดประวัติศาสตร์ที่ถูกผนึกมาเนิ่นนาน
“แดนต้องห้ามบรรพกาล…เปิดแล้วจริง ๆ”
เสียงหนึ่งในผู้อาวุโสของหลิงเจวี๋ยเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
แต่ลึกในดวงตา—มีความหวังและตื่นตาตื่นใจวาบผ่าน
“หวังว่า...ปีนี้ จะมีอะไรให้ข้าประหลาดใจบ้างนะ”
อัจฉริยะ ผู้ผ่านการประลอง
ยืนเรียงรายหน้าประตูที่กำลังเปิด
แสงสีเทาหมอกหมุนวนราวกระแสน้ำวน
กลิ่นเย็นยะเยือกกับเสียงลมหายใจบางสิ่งที่มองไม่เห็นดังมาจากอีกฟาก
เฟยหลงโยนพัดพับขึ้นสูงแล้วรับไว้ด้วยหลังมือ
“ไปกันเถอะ ข้ารอจะได้ดูของจริงในแดนนี้มามากพอแล้ว”
“ข้าหวังอย่างยิ่งว่าในนั้นจะมีปีศาจขนาดยี่สิบจั้งที่ข้าต้องต่อยจมเขี้ยวก่อนเข้าไปหาโอสถนะ”
เขาหันมามองหนิงเทียน
ผู้ที่ยังคงยืนนิ่ง มือกุมจอกสุราดังเดิม
เฟยหลงขยับตัวมาใกล้
แล้วยื่นหน้ามากระซิบเบา ๆ
“อย่าบอกนะ...ว่ากลัว?”
หนิงเทียนปรายตามอง
ก่อนเอ่ยเสียงเรียบเยือก
“กลัวเจ้าจะตายต่อหน้าข้ามากกว่า”
คนรอบข้างหลุดหัวเราะ
แม้แต่ศิษย์บางคนจากศาลาร้อยบุปผายังหลุดยิ้ม
เฟยหลงยิ้มกว้าง
แล้วกระชากแขนเสื้อของหนิงเทียนเบา ๆ อย่างแกล้ง ๆ
“พูดแบบนี้…แปลว่าเป็นห่วงข้าสินะ?”
หนิงเทียนชะงักไปหนึ่งลมหายใจ
ก่อนยกสุราขึ้นจิบโดยไม่พูดอะไรต่อ
ในที่สุด...
เสียง "กึก" ดังลั่น
ประตูพลังของแดนต้องห้าม—เปิดเต็มบาน
สิ่งที่อยู่ภายในปรากฏเป็น ม่านหมอกสีดำอมม่วง
คลื่นพลังแปลกประหลาดไหลย้อนออกมาปะทะใบหน้า
“เข้าไปซะเด็ก ๆ”
เสียงอาวุโสกล่าว
“ตั้งแต่ก้าวเท้าเข้าไป—ชีวิตเจ้าขึ้นอยู่กับตัวเอง”
ทั้งสิบก้าวเข้าไปทีละคน
ศิษย์จากหลิงเจวี๋ย ชิงหั่ว ไป๋ฮว่า เสวียนอู่ และไป๋เฉิน ต่างมีสีหน้าจริงจัง
จนกระทั่ง…
เฟยหลงกับหนิงเทียน ยืนหน้าประตูเป็นสองคนสุดท้าย
เฟยหลงหันไปมองคู่ของตน
“เราสองคนเหมือนพระรองในตำราที่กำลังจะตีกันตอนจบ”
“แต่ข้าขอเตือนไว้ก่อน—ในนั้น ถ้าเจ้าทำตัวน่าเบื่อ ข้าจะเตะเจ้าลงเหวจริง ๆ”
หนิงเทียนปรายตามอง ก่อนตอบเรียบ
“หากมีเหวจริง...เจ้าจะลงไปก่อนข้าแน่”
ทั้งสองก้าวเข้าไปในม่านหมอก
ทันทีที่ฝ่าเข้าประตูพลัง
โลกทั้งใบเหมือนถูกดูดเข้ากระแสน้ำวน
เสียงเงียบ ทุกอย่างพลิกกลับด้าน
ดินแดนลึกลับแห่งแรกของแดนต้องห้ามบรรพกาล ปรากฏตรงหน้า
ต้นไม้ที่ลอยกลับหัว เมฆที่หยดลงพื้น
แผ่นหินลอยอักษรเก่าแก่กลางอากาศ
และ...ซากปรักหักพังของอารยธรรมที่ไม่มีอยู่ในภพล่างใด ๆ
“เรามาถึงแล้ว...”
หนิงเทียนกล่าวเบา ๆ
เฟยหลงหมุนพัดในมือ
“ที่นี่...มันเหมือนความฝันของใครบางคนที่กลายเป็นฝันร้ายเลยล่ะ”
เสียงหนึ่งดังขึ้นในหัวของทั้งสองคน
เสียงที่พวกเขาได้ยินนั้นกลับไม่มีใครได้ยินนอกจากพวกเขา
“เจ้าผู้ถือกระบี่แห่งโชคลาภ...”
“เจ้า...ผู้แบกบัวแห่งสวรรค์…”
ทั้งสองหันมองกันชั่วขณะ
เหมือนเสียงนั้นจะหายไปแล้ว........
[ภายในแดนต้องห้าม]
ทันทีที่พวกเขาพ้นประตู
ท้องฟ้าสีหม่นก็ปรากฏเบื้องบน
ลมพัดหอบกลิ่นโลหิตเจือหมอกจางๆ ราวกับบรรยากาศหายใจได้
เฟยหลงยืดตัวบิดขี้เกียจ
“ในที่สุดก็พ้นลานประลองไร้สาระซะที…ข้าล่ะอยากจะเตะอะไรสักอย่างเต็มทีแล้ว”
หลิวสิงที่เดินตามหลังทำหน้าซีด
“นี่เจ้ารู้ไหมว่าในนี้มีอสูรโบราณจริงๆ นะ? ไม่ใช่สนามฝึกธรรมดา!”
“ถ้าเจอก็ฟาดก่อนค่อยถาม” เฟยหลงตอบหน้าตาย
หนิงเทียนมองไปรอบทิศ ขอบฟ้าที่เหมือนกำลังจะกลืนทุกอย่าง
“พลังปราณที่นี่…ไม่ใช่ของภพล่าง”
“แน่นอนสิ มันคือแดนต้องห้ามโบราณ!” หลิวสิงรีบเสริม ทำหน้าเหมือนจะหนี
เฟยหลงหัวเราะหึ
“ถ้าเจ้าจะกลัวขนาดนั้น…มากอดข้าก็ได้นะ”
หลิวสิงถอยหนึ่งก้าว
“ข้าไม่ต้องการความอบอุ่นจากสัตว์ป่า!”
ทันใดนั้น พื้นดินสะเทือน
อักขระโบราณลอยขึ้นเหนือแท่นหินเก้าแท่นกลางลาน
พลังแบ่งออกเป็นแปดทิศ ราวกับเชื้อเชิญให้แยกย้ายกันเข้าสู่ "แปดดินแดนแห่งบททดสอบ"
เสียงสวรรค์ดังขึ้นช้า ๆ
“ผู้ใดไม่เลือก...จะถูกส่งแบบสุ่ม”
เฟยหลงเหลือบมองไปที่แท่นหนึ่ง
พลังสายเลือดสัตว์อสูรโบราณลอยวนรอบเขตนั้น
“นั่นไง เป้าหมายข้า—แดนเลือดสัตว์อสูร”
“ข้ากำลังอยากออกกำลังกายอยู่พอดี”
หลิวสิงมองอย่างปลงตก “เจ้าลากข้าไปด้วยแน่สิ...ใช่ไหม?”
เฟยหลงยิ้ม
“แน่นอน เจ้าเป็นเหยื่อล่อชั้นดีเลยล่ะ”
เขาหันไปหาอีกคน
“หนิงเทียน เจ้าเล่า? จะเลือกที่ไหน?”
หนิงเทียนเงียบอยู่ครู่ ก่อนตอบเรียบๆ
“ข้าจะไปกับพวกเจ้า…แดนอสูรเหมาะกับการลับกระบี่”
เฟยหลงหัวเราะเสียงดัง
“ฮ่ะๆๆ สุดท้ายเจ้าเองก็คิดถึงข้าใช่ไหม?”
หนิงเทียนยกไหสุราขึ้นดื่ม
“…ข้าแค่อยากให้เจ้าตายช้าลง จะได้ไม่รำคาญหูในนรกมากนัก”
หลิวสิงมองสองคนสลับไปมา ถอนหายใจแรง
“ข้ากำลังร่วมทางกับพวกโรคจิตชัดๆ…”
สิ้นคำ เส้นอักขระจากแท่นหินก็เปล่งแสง
ร่างของ เฟยหลง หนิงเทียน และหลิวสิง ถูกส่งเข้าสู่ “แดนอสูร” พร้อมกัน
โลกเบื้องหน้าสั่นสะเทือน...
เสียงคำรามของสัตว์อสูรดึกดำบรรพ์แว่วมาแต่ไกล
พร้อมกลิ่นคาวเลือดแหลมแรงจนขนลุก
ยินดีต้อนรับ...สู่ แดนเลือดสัตว์อสูร
กลิ่นเลือดอวลลอยมาตั้งแต่ก้าวแรกที่เท้าสัมผัสพื้น
แดนเลือดสัตว์อสูร ไม่ต้อนรับผู้มาเยือน…แต่จ้องกลืนกินพวกเขาทุกลมหายใจ
รอบกายเป็นป่าแดงคล้ำ แผ่นดินแตกระแหงราวเคยผ่านการสู้รบของเทพอสูร
เสียงคำรามเบา ๆ แว่วจากทุกทิศ คล้ายมีสิ่งมีชีวิตกำลังล่า…แต่ไม่อาจมองเห็นได้
หลิวสิง เดินตามหลังสองคน ยกมือปาดเหงื่อ
“ข้าอยากตายแบบนุ่มนวล…ไม่ใช่ถูกฉีกกลางอกนะ!”
เฟยหลง หมุนพัดในมือ
“ถ้าโดนฉีกเร็วก็ยังดีกว่าตายเพราะตกใจจนหัวใจวาย เจ้าลองนึกภาพตอนถูกหนิงเทียนมองแล้วเย็นยะเยือกตลอดทางสิ”
หนิงเทียนเดินนิ่งอยู่ด้านหน้า ไม่ตอบ
หลิวสิงแอบกระซิบ
“เขาได้ยินเรามั้ย…”
เฟยหลงยิ้ม “ได้สิ แต่เขาไม่พูดเพราะกำลังคิดว่าจะสับใครก่อน”
“ข้าไปก่อนดีกว่า!”
ทันใดนั้น...เสียง “แกรก!” ดังขึ้นจากพุ่มไม้ข้างทาง
ใบไม้แดงเข้มสะบัดรุนแรง เงาดำปรากฏสามเงา เคลื่อนไหวเร็วผิดธรรมชาติ
“สัตว์อสูรมาแล้ว!” หลิวสิงร้องเสียงหลง
สิ้นคำ เงาทั้งสามพุ่งออกมาจากเงาไม้—
หมาป่าเกราะกระดูก ตาแดงก่ำ ฟันยาวเท่าดาบ ขนาดตัวเท่าม้า!
เฟยหลงหัวเราะ “อย่างนี้สิถึงจะเรียกว่า ‘แดนเลือด’!”
เขาตวัดพัดในมือ
กระบี่ลู่เสียนแปรเปลี่ยนจากพัดพริ้วเป็นกระบี่แหลมยาวคม
ปลายกระบี่พุ่งออกดั่งสายฟ้า ฟันตัดเข้าลำคอหมาป่าตัวหนึ่งในพริบตา
ฉัวะ!
เลือดอาบพื้นดินแดงฉาน
หมาป่าล้มลงไปทันทีโดยไร้เสียงร้อง
“เจ้าบ้าบุกก่อนเลยเรอะ!” หลิวสิงตะโกน
เฟยหลงยักไหล่ “ก็ข้าเบื่อแล้วนี่”
อีกสองตัวพุ่งเข้าใส่หนิงเทียนพร้อมกัน
แต่ก่อนที่มันจะทันขย้ำ...
แววตาของหนิงเทียนเปลี่ยนสี กลายเป็นน้ำแข็ง
มือซ้ายของเขากำกระบี่ เยว่ซิน ที่แผ่ความเยือกเย็นออกมาทันที
เพียงหนึ่งฟัน—
กระแสพลังน้ำแข็งทะลวงกลางลำตัวหมาป่าทั้งสอง ร่างของพวกมันถูกแช่แข็งกลายเป็นรูปปั้นกระดูกทันที
เปรี้ยง!!
เศษน้ำแข็งแตกกระจายราวอสูรถูกลืมไปจากโลกนี้ในหนึ่งลมหายใจ
หลิวสิงมองสองคนตรงหน้า
มือไม้สั่น
“…สวรรค์ ข้ากำลังเดินอยู่กับนักฆ่าเทพใช่มั้ยเนี่ย…”
เฟยหลงหันมายักคิ้ว
“ก็เจ้าดูโชคดีดีนี่ ยังไม่ตาย”
ทันใดนั้น...พื้นดินสะเทือนแรงกว่าเดิม
เสียงคำรามต่ำ ๆ ดังลึกมาจากผืนป่าทางทิศตะวันตก
“บึ้ม...”
เสียงที่ไม่ใช่สัตว์ทั่วไป
เฟยหลงหันขวับ ใบหน้าจริงจังทันที
“เสียงนั้น…ไม่ใช่หมาป่าแน่”
“เจ้าสัมผัสได้มั้ย หนิงเทียน?”
หนิงเทียนพยักหน้า
“มันใหญ่กว่า...และแก่กว่ามาก”
“อสูรระดับราชัน?”
หลิวสิงหน้าเผือดทันที
“เรายังไม่ทันได้ตั้งค่ายพักเลยนะ!”
เฟยหลงยิ้ม
“ไม่ต้องพัก ข้ากำลังวอร์มพอดี…”
หนิงเทียนมองไปทางเสียงคำราม
“ไปดูเถอะ ว่าที่นี่...จะให้พลังกับเราจริง หรือเอาชีวิตเราไป”
เสียงคำรามต่ำ ๆ ดังมาจากใต้พื้นโลก
ต้นไม้โดยรอบสั่นสะเทือน ใบไม้สีแดงคล้ำปลิวว่อนราวกับพายุอัสนีเคลื่อนเข้าหา
"บึ้ม...!"
พื้นดินด้านหน้าแตกออกเป็นรอยยาว
ออร่าทมิฬไหลทะลักออกมา ก่อนที่บางสิ่งขนาดมหึมาจะพุ่งทะลุขึ้นจากใต้ดิน
ราชันอสูรกระดูกโลหิต
(เสวี่ยกู่โหมอหวาง)
สัตว์อสูรโบราณรูปร่างคล้ายวัวผสมหมาป่า
ขนาดใหญ่เท่าตึกสามชั้น ลำตัวกร่อนด้วยเกราะกระดูกที่เคยเป็นกระดูกของอสูรตนอื่น
เขาทั้งสองยาวเฉียงสะท้อนแสงสีเลือด ร่างกายแผ่พลังระดับ ราชันยุทธระยะสูง อย่างชัดเจน
หลิวสิง ก้าวถอยไปหลายก้าวทันที
“ข้าเปลี่ยนใจแล้ว! พวกเราอาจยังไม่พร้อมเจอ 'ระดับราชัน' ก็ได้นะ!”
เฟยหลง ยิ้มออกมาอย่างกระหาย
“เจ้าบอกแบบนี้ทุกครั้งก่อนเริ่มสู้ แล้วก็หัวเราะตอนจบทุกที…พอจะเดาได้ว่าเดี๋ยวเจ้าก็จะกลิ้งหัวเราะอีก”
หลิวสิงตอบทันควัน
“ข้ากลิ้งเพราะหลบตายไม่ใช่เพราะขำ!”
ราชันอสูรกระโจนเข้ามาเร็วกว่าที่คิด
พื้นดินสั่นสะเทือนทุกครั้งที่มันเหยียบ กระแสพลังหมุนวนรอบเขาของมันรุนแรงจนแม้แต่ก้อนหินยังระเบิดออก!
เฟยหลง ใช้กระบี่ลู่เสียนสะบัดแรง ลำแสงปราณพุ่งตัดผ่านกลางทาง
ฉัวะ!
กระดูกหน้าอกของอสูรแหว่งไปหนึ่งส่วน แต่มันกลับแผดเสียงโกรธเกรี้ยว
หนิงเทียน ยกกระบี่เยว่ซินขึ้น ปล่อยคลื่นพลังน้ำแข็งทะลวงกลางลำตัวมันจากอีกด้าน
แต่เกราะกระดูกของมันสะท้อนพลังบางส่วนออกได้!
“หนาเกินไป” หนิงเทียนพูดสั้น ๆ
ราชันอสูรพุ่งใส่เฟยหลงด้วยเขาเลือด
เฟยหลงหมุนตัวหลบอย่างฉิวเฉียด ก่อนจะสบัด
“นี่เจ้าโกรธเพราะข้าหน้าตาดีใช่ไหม?”
หลิวสิง รีบหยิบยันต์ขึ้นมาส่งต่อให้หนิงเทียน
“ข้าพกยันต์ระเบิดร่าง! ใช้ตอนมันหยุดหมุนตัว!”
หนิงเทียนรับไปโดยไม่พูด
เพียงสบตาเล็กน้อย…ก็เข้าใจทันที
เมื่ออสูรจ้วงพลาดจากเฟยหลง มันหมุนตัวจะพุ่งอีกครั้ง
หนิงเทียนพุ่งเข้าประชิดเร็วเหนือตา
แปะยันต์ลงกลางหลังอสูรพร้อมใช้กระบี่แทงผ่านรอยร้าวเดิมทันที
ปังงงง!!
พลังของยันต์ระเบิดจากภายใน—
คลื่นพลังระเบิดกระดูกแหลกทั่วหลังของมัน
เฟยหลง ไม่รอช้า ใช้โอกาสนี้กระโดดขึ้นกลางอากาศ
“ฝากไว้ที่นรกละกัน!”
กระบี่ลู่เสียน เปล่งแสงทองคำโลหิต
เขาฟาดกระบี่ลงตรงกลางหน้าผากราชันอสูร!
เปรี้ยงงงงงง!!
อสูรร้องคำรามครั้งสุดท้าย
ก่อนจะล้มร่างใหญ่ยักษ์ลงไปกระแทกพื้น
แผ่นดินสั่นสะเทือนอีกระลอก ก่อนทุกอย่างจะเงียบงัน…
ชัยชนะ
หลิวสิงทรุดตัวนั่งทันที
“เจ้าแม่...พวกเจ้านี่ไม่ใช่คนแล้วจริง ๆ…”
เฟยหลงปัดผงจากไหล่
“แน่นอน ข้าหล่อเกินกว่าจะเป็นมนุษย์ธรรมดา”
หนิงเทียนเดินไปคว้าน้ำสุราจากไห ยกขึ้นดื่มเงียบ ๆ
“…มีอะไรอยู่ในท้องมัน”
หลิวสิงสะดุ้ง
“ขอร้องล่ะ อย่าบอกว่าไข่อสูรนะ…”
หนิงเทียนฟันหน้าท้องราชันอสูร
สิ่งที่อยู่ภายใน…คือ “แก่นเลือดราชัน” ก้อนหนึ่ง
ล้อมรอบด้วยคริสตัลสีชาดเรืองแสงราวกับมีชีวิต
“โอสถเลือดระดับสูง...ของจริง”
เฟยหลง ยิ้มมุมปาก
“ของดีแบบนี้ ต้องหาร 3 ใช่มั้ย?”
หลิวสิง ยิ้มแห้ง ๆ
“ข้าขอส่วนเล็กสุดก็พอ...แล้วขอกินข้าวก่อนเจออีกตัวเถอะนะ!”
.
.
ภายใต้เงาไม้สูงชันและลมเย็นยะเยือก
สามร่างหยุดพักใต้ผาหินใหญ่
ท่ามกลางกลิ่นเลือดจาง ๆ ที่ยังไม่จางหาย
เฟยหลง นอนกลางโขดหิน หยิบใบชาขึ้นดมก่อนจะบ่น
“ชาในแดนต้องห้ามนี่รสห่วยชะมัด…”
หลิวสิง ซึ่งกำลังเคี้ยวเนื้ออสูรย่างหันขวับ
“เจ้าคิดว่าที่นี่คือโรงน้ำชาเรอะ!? เมื่อกี้เกือบตายทั้งคนทั้งหมา!”
หนิงเทียน ยกสุราขึ้นดื่มก่อนตอบเสียงเรียบ
“ถ้าเจ้ากินเสียงดังอีกคำเดียว ข้าจะฝังเจ้าทั้งเป็น”
หลิวสิงหยุดเคี้ยวทันที กำหมัดทั้งน้ำตาแทบไหล
“พวกเจ้ามัน...โหดกับข้าเกินไป!”
แสงจากแก่นเลือดราชัน ยังคงเรืองรองอยู่เบื้องหน้า
พลังของมันสามารถเร่งฟื้นฟู ปรับปราณ และแม้แต่ยกระดับรากฐานให้แก่ผู้ฝึก
หนิงเทียนเพ่งมองมันเนิ่นนาน ก่อนพูดช้า ๆ
“กลิ่นเลือดแบบนี้...ไม่ใช่แค่อสูรระดับราชันธรรมดา”
เฟยหลงลืมตาขึ้น
“หืม?”
“เลือดนี้…มีเศษพลังยุคก่อนสวรรค์เจืออยู่เล็กน้อย”
“เหมือนบางสิ่งเคยฝังตัวในแดนนี้มานานมากกว่าที่เราคิด”
ขณะทั้งสามกำลังพินิจ
...ลมเย็นพัดผ่านพื้นหญ้าแห้ง
เงามืดเบื้องหลังก้อนหินขยับเล็กน้อย…โดยไม่มีใครสังเกต
บางสิ่งกำลังจับตาดูพวกเขา
ทันใดนั้น เสียง “ฉึบ…ฉึบ…” ดังจากทิศเหนือ
เฟยหลงกระโดดขึ้นแทบจะในทันที มือแตะกระบี่
หลิวสิงขยับไปอยู่หลังหนิงเทียนแบบอัตโนมัติ
“คราวนี้ข้ารู้สึกไม่ดีจริง ๆ…”
หนิงเทียนขมวดคิ้วเบา ๆ
“มันมาเอง หรือมีใคร...ส่งมันมา?”
เงารูปร่างคล้ายมนุษย์แต่สูงกว่าสองวา
เดินออกมาช้า ๆ มันไม่ใช่อสูร…แต่เป็น “ร่างหุ่นเชิดเซียนโบราณ”
ที่ลักษณะการเคลื่อนไหวเหมือนถูกชักนำด้วยพลังเร้นลับบางอย่าง
ใบหน้ามันว่างเปล่า ไม่มีตา ไม่มีปาก มีเพียงอักขระเก่าแก่จารึกไว้
เฟยหลง พึมพำ
“นี่มัน…ไม่ใช่สิ่งที่เป็นของลัทธิหรอกนะ…”
หลิวสิง ถอยหลังอีกสามก้าว
“นี่มันอะไรกัน!?”
หุ่นร่างนั้นพุ่งเข้าใส่พวกเขาในพริบตา
เฟยหลงปัดกระบี่ขึ้นรับ
เสียงโลหะกระทบดังกังวาน
แรงปะทะหนักจนน้ำชาในถุงสั่นไหว!
หนิงเทียนก้าวเท้าขึ้นหน้า ชัก เยว่ซิน ขึ้นอีกครั้ง
“พลังของมัน…ไม่ต่ำกว่าจักรพรรดิยุทธ…”
การปะทะเริ่มขึ้น
หุ่นนั้นไม่พูด ไม่หวั่น ไม่หยุด
มันฟาดพลังใส่ทั้งสามคนราวกับรู้จังหวะการโจมตีล่วงหน้า
หลิวสิง ใช้ยันต์เร่งปฏิกิริยา
“ข้าเจอแล้ว! มันมี ‘ดวงตาเร้น’ อยู่บนหลัง! ถ้าทำลายตรงนั้นได้ พลังจะหยุดชั่วคราว!”
หนิงเทียนสบตาเฟยหลงสั้น ๆ
เฟยหลงพยักหน้า
“งั้นข้าเบี่ยงมันให้เอง เจ้าไปตัดหัวมันซะ!”
ฉากบู๊เริ่มขึ้นอีกครั้ง
เฟยหลงใช้ท่าระเบิดแสงล่อหุ่นให้หมุนตัว
หนิงเทียนพุ่งจากด้านข้าง ตวัดกระบี่สายฟ้าน้ำแข็งที่แฝงปราณเฉียบขาด
ฉัวะ!!!
ดวงตาเร้นแตกกระจาย หุ่นชะงักไปชั่วขณะ ก่อนจะค่อย ๆ ทรุดลง…สลายเป็นฝุ่น
หลิวสิงถอนหายใจ
“ข้าจะตายเพราะหัวใจวายก่อนตายด้วยอสูรแน่…”
หนิงเทียนหยิบเศษอักขระจากร่างหุ่นขึ้นมา
“มันไม่ใช่หุ่นปกติ…ถูกปลุกขึ้นโดยพลังตั้งแต่ยุคบรรพกาล”
เฟยหลงมองเศษอักขระ
“ใครกันที่ยังทิ้งพลังไว้ในแดนนี้...?”
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!