" คุณเจมส์มาที่นี่ทุกวันเลยนะครับ "
เสียงของชายชราเอ่ยถามคนหนุ่มกว่าด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยนและอบอุ่น ขัดกับคนหนุ่มกว่าที่ตอนนี้ใบหน้าเต็มไปความเศร้าโศก ภายในแววตาของชายหนุ่มไร้ซึ่งความประกายในชีวิต ถ้าจะเปรียบก็คงเหมือนกับแจกันที่ไม่มีดอกไม้อยู่ในนั้น
ไร้ซึ่งสีสัน และไร้ซึ่งชีวิตชีวาเหมือนกับคนตายทั้งเป็น
" ครับ "
ชายหนุ่มค่อย ๆ แหงนหน้าดูชายชราก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ดูเหม่อลอย ราวกับคนที่ไม่มีสติ
ทุกวันที่ชายหนุ่มมาขอพรโบสถ์แห่งนี้ เขามักมีเพียงสีหน้าที่เจ็บปวดราวกับคนร้องไห้อยู่ตลอดเวลา
ชายชราเห็นแล้วก็อดที่จะสงสารเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับภรรยาของชายหนุ่มไม่ได้ มันเป็นเหตุการณ์ที่ใครก็ไม่อยากให้เกิดขึ้น มันเป็นเหมือนฝันร้ายที่ชายหนุ่มไม่อาจลืมเลือนได้เลย
" คุณเจมส์หลังจากเหตุการณ์นั้นมันก็ผ่านนานมากแล้วนะครับ ที่เธอหายไปไม่มีข่าวสารอะไรเลย "
" ผมว่าคุณควรจะปล่อยวางเรื่องของเธอได้แล้วนะครับคุณเจมส์ "
ชายชราถือวิสาสะเอามือวางบนบ่าของ คนหนุ่มพร้อมกับตบมันลงเบาๆเพื่อปลอบใจเขา ถึงแม้มันไม่สามารถทำให้คลายความเศร้าและคิดถึง ภายในจิตใจของคนหนุ่มได้สักนิด
" ภรรยาของผมเธอยังไม่หายไปไหนเธอคงอยู่สักที่บนที่แห่งนี้ และนี่ก็ไม่ใช่เรื่องของคุณด้วน "
" ผมขอตัวกลับนะครับ "
คนหนุ่มกว่าตอบกลับชายชราเสียงแข็ง ก่อนจะเดินจากไปด้วยอารมณ์คลุกกรุ่น แต่แอบแฝงไปด้วยความเศร้าโศกเสียใจ
ชายชราได้แต่ส่ายหน้าไปมาด้วย ความเห็นใจชายหนุ่ม ชายชราได้แต่หวังว่าสักวันคนทั้งคู่จะกลับมาพบกันอีกครั้ง
" ถ้าพระองค์ได้ฟังอยู่ลูกขอให้คุณเจมส์เขาได้พบกับภรรยาของเขาอีกครั้งด้วยเถอะ "
หลังชายชรากล่าวคำอธิฐานจบก็ลุกขึ้นยืนพร้อมเดินหลังออกจากโบสถ์ไปเช่นเดียวกับชายหนุ่ม
" เจมส์ โจนาธาน "
" ลูกขออ้อนวอนต่อหน้าพระองค์ได้โปรดเมตตา ให้ลูกพบเจอกับคนรักอีกครั้ง ถึงแม้เขาจะไม่มีลมหายใจแล้วก็ตาม "
ปี 1960 ณ ใจกลางมหานครที่กำลังก้าวเข้าสู่ยุคสมัยใหม่ โบสถ์เซนต์แพทริกยังคงยืนหยัดอย่างสง่างามท่ามกลางความวุ่นวายภายนอก วันนี้เป็นวันอาทิตย์สำคัญทางศาสนา ผู้คนหลั่งไหลเข้ามารวมตัวกันจนเต็มทุกที่นั่ง ทว่าเหนือสิ่งอื่นใด เสียงดนตรีที่กำลังบรรเลงจากด้านหน้าแท่นบูชาต่างหากที่ดึงดูดทุกโสตประสาทให้เงียบสงบลง
ท่ามกลางแสงสเตนกลาสที่ทอประกายหลากสี เจมส์ นักธุรกิจหนุ่มผู้ประสบความสำเร็จในแวดวงอุตสาหกรรมเครื่องจักรกล กำลังยืนพิงเสาหินอ่อนสายตาเหม่อมองไปยังร่างเพรียวบางของชายหนุ่มที่กำลังยืนเด่นอยู่เบื้องหน้า
เขาคือ คลิโอ ฮอร์ก นักดนตรีผู้เปี่ยมด้วยพรสวรรค์ เจ้าของผมสีเข้มที่ปรกหน้าผาก ดวงตาเรียวรีคมกริบ และริมฝีปากอิ่มที่เม้มเข้าหากันเล็กน้อยยามที่คันชักไวโอลินเคลื่อนไหวพลิ้วไหวไปตามท่วงทำนอง
บทเพลงที่คลิโอกำลังบรรเลงคือ "Ave Maria" เสียงไวโอลินที่หลั่งไหลออกมานั้นทั้งบริสุทธิ์และเปี่ยมล้นไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก
มันไพเราะจับใจจนเจมส์รู้สึกราวกับว่ากำลังถูกดึงดูดเข้าไปในห้วงภวังค์ที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน เขาไม่เคยคิดเลยว่าเสียงดนตรีจะสามารถสร้างความประทับใจให้กับเขาได้ลึกซึ้งถึงเพียงนี้ ใบหน้าของคลิโอสะท้อนถึงสมาธิและความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม มือเรียวที่บรรจงจับคันชักเคลื่อนไหวอย่างงดงามราวกับกำลังร่ายรำ
เมื่อโน้ตตัวสุดท้ายจางหายไป ความเงียบเข้ามาแทนที่ ก่อนที่เสียงปรบมือจะดังกึกก้องไปทั่วทั้งโบสถ์ เจมส์เองก็ปรบมืออย่างลืมตัว ดวงตาจับจ้องไปที่คลิโอที่โค้งคำนับเล็กน้อยเพื่อขอบคุณผู้ฟัง แสงไฟจากหน้าต่างสเตนกลาสกระทบกับเส้นผมของคลิโอจนเกิดประกายระยิบระยับ ภาพนั้นตราตรึงอยู่ในความทรงจำของเจมส์ราวกับภาพวาดชิ้นเอก
หลังเสร็จสิ้นพิธี เจมส์เดินออกมาจากโบสถ์ด้วยหัวใจที่ยังคงเต้นระรัวอย่างไม่เป็นจังหวะ เขาตัดสินใจที่จะลองเดินไปทางด้านหลังของโบสถ์เผื่อว่าจะได้มีโอกาสพบกับนักดนตรีหนุ่มอีกครั้ง และโชคก็เข้าข้าง เมื่อเขาเห็นคลิโอกำลังเก็บเครื่องดนตรีลงในกล่องอย่างบรรจง
“คุณเล่นไวโอลินได้ไพเราะมากครับ” เจมส์เอ่ยทักทายออกไปอย่างไม่ลังเล เสียงทุ้มของเขาทำให้คลิโอชะงักและหันกลับมามอง ดวงตาคู่สวยเบิกกว้างเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจ
“ขอบคุณมากครับ” คลิโอตอบกลับด้วยรอยยิ้มเล็กๆ เผยให้เห็นลักยิ้มข้างแก้มที่ดูน่าเอ็นดู
“ ผมชื่อเจมส์ โจนาธาน ” เจมส์แนะนำตัวพร้อมกับยื่นมือออกไป “ผมประทับใจในบทเพลงของคุณมากจริงๆ”
คลิโอรับมือของเจมส์มาจับ พลางตอบกลับว่า “ผมชื่อคลิโอ ฮอร์กครับ ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณเจมส์” สัมผัสจากมือของคลิโอนุ่มนวลอย่างไม่น่าเชื่อ ทำให้เจมส์รู้สึกราวกับกระแสไฟฟ้าอ่อนๆ แล่นไปทั่วทั้งร่าง
ทั้งคู่ยืนคุยกันอยู่พักใหญ่ เจมส์ได้รู้ว่าคลิโอเป็นนักดนตรีอิสระที่มักจะได้รับเชิญให้มาบรรเลงเพลงในงานสำคัญต่างๆ ส่วนคลิโอก็ได้รู้ว่าเจมส์เป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จแต่กลับเป็นคนติดดินและมีอารมณ์ขัน พวกเขารู้สึกได้ถึงความเชื่อมโยงบางอย่างที่ก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว แม้จะเป็นเพียงการพบกันครั้งแรกก็ตาม
ก่อนจะแยกย้ายกันไป เจมส์ตัดสินใจรวบรวมความกล้า “คุณคลิโอครับ ผมไม่แน่ใจว่ามันจะเสียมารยาทไปไหม แต่ผมอยากจะขอเบอร์โทรศัพท์ของคุณไว้ เผื่อว่าวันหน้าผมจะชวนคุณไปฟังดนตรีวงซิมโฟนีออร์เคสตราที่ผมชอบ”
คลิโออมยิ้มเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้า “ได้สิครับ ผมยินดี” เขารับปากกาและกระดาษที่เจมส์ยื่นให้แล้วบรรจงเขียนตัวเลขลงไปอย่างช้าๆ ก่อนจะส่งคืนให้เจมส์พร้อมกับรอยยิ้มที่ทำให้เจมส์รู้สึกว่าโลกทั้งใบสดใสขึ้นมาทันที
เจมส์เก็บกระดาษแผ่นเล็กๆ แผ่นนั้นไว้ในกระเป๋าเสื้ออย่างทะนุถนอม ราวกับเป็นสมบัติล้ำค่า เขารู้สึกได้ว่าการพบกันในวันนี้ไม่ใช่เพียงแค่การบังเอิญ แต่เป็นจุดเริ่มต้นของบางสิ่งบางอย่างที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาไปตลอดกาล
หลังจากนั้นไม่นานความสัมพันธ์ของเจมส์กับคลิโอเริ่มต้นขึ้นด้วยเบอร์โทรศัพท์หนึ่งชุดในกระเป๋าเสื้อของเจมส์และคำสัญญาคลุมเครือว่าจะไปฟังวงซิมโฟนีออร์เคสตราด้วยกัน เจมส์ไม่รอช้ารีบโทรไปหาอีกฝ่ายในทันที
" ฮัลโหลนี่คลิโอรับสายอยู่ครับ "
" ไม่ทราบว่าคุณคือใคร? " เสียงตอบกลับของคลิโอทำในหัวใจของเจมส์เต้นรัวราวกับจังหวะกลองชุด
" ผ..ผมเองครับคุณคลิโอผมเจมส์เอง "
" อ่อคุณเจมส์นี่เองไม่ทราบว่าโทรมามีเรื่องอะไรเหรอครับ "
" คือ ผมได้ตั๋วไปดูวงออร์เคสตรา 2 ใบ "
" แล้วไงต่อครับ " น้ำเสียงจากปลายสายนุ่มน่าฟังเสียจนเจมส์เคลิ้มไปกับเสียงพูด
" ผมจะชวนคุณไปดูด้วยกัน คุณสนใจไปด้วยกันไหม "
" เอาสิช่วงนี้ผมก็อยากพักผ่อนเหมือนกัน "
" งั้นเอาเป็นพรุ่งนี้นะครับคุณคลิโอ "
" ครับพรุ่งนี้เจอกัน "
หลังจากที่ปลายสายวางลงไปใบหน้าของเจมส์ก็เห่อร้อนออกมาด้วยความเขินอาย
' พรุ่งนี้จะได้เจอคุณคลิโอแล้วดีใจจัง '
ในวันต่อเจมส์ได้ตัดสินใจให้คลิโอไปพบเจอกันที่หน้าโรงละครโอเปร่าใจกลางเมือง และนั่นคือจุดเริ่มต้นของบทเพลงที่มีจังหวะไม่สม่ำเสมอแต่กลับน่าหลงใหล
ในค่ำคืนนั้นที่โรงละครโอเปร่า เจมส์ในชุดสูทสีเข้มยืนรอคลิโออยู่หน้าประตูอย่างใจจดใจจ่อ ไม่นานนักร่างเพรียวบางของคลิโอก็ปรากฏขึ้นในชุดเชิ้ตสีขาวสะอาดตาคลุมทับด้วยเสื้อกั๊กสีน้ำตาลอ่อน ผมสีเข้มถูกจัดแต่งอย่างเป็นระเบียบ ทำให้เขาดูสง่างามแต่ก็ยังคงความเรียบง่าย
“ขอโทษที่ให้รอนะครับคุณเจมส์” คลิโอเอ่ยทักทายด้วยรอยยิ้ม
“ไม่เป็นไรเลยครับ ผมก็เพิ่งมาถึงเหมือนกัน” เจมส์ตอบกลับอย่างรวดเร็วพลางเปิดประตูให้คลิโอเข้าไปก่อน
ตลอดการแสดง เจมส์ไม่ได้สนใจการบรรเลงของวงออร์เคสตราเท่ากับสนใจสีหน้าของคลิโอ เขาสังเกตเห็นแววตาที่เปล่งประกายของคลิโอขณะที่มองไปยังเหล่านักดนตรีในวง
ดวงตาคู่นั้นสะท้อนความรักและความหลงใหลในดนตรีอย่างลึกซึ้ง ซึ่งทำให้เจมส์รู้สึกประทับใจยิ่งกว่าเสียงดนตรีใดๆ ที่เคยได้ยินมา
หลังการแสดงจบลง เจมส์ตัดสินใจชวนคลิโอไปดื่มกาแฟต่อที่ร้านใกล้ๆ พวกเขาเลือกโต๊ะริมหน้าต่างและพูดคุยกันอย่างออกรส เจมส์พยายามจะหาเรื่องคุยทุกวิถีทางเพื่อที่จะได้อยู่กับคลิโอนานขึ้น
เขารับบทเป็นผู้ฟังที่ดี ปล่อยให้คลิโอได้เล่าเรื่องเกี่ยวกับบทเพลงที่เขาชื่นชอบ ประวัติของเครื่องดนตรีแต่ละชิ้น หรือแม้กระทั่งความฝันที่จะได้มีโอกาสแสดงในฮอลล์ใหญ่ๆ สักครั้งหนึ่งในชีวิต
“ผมว่าการที่เราได้ฟังดนตรีสดแบบนี้มันช่างแตกต่างจากการฟังจากแผ่นเสียงนะครับ” เจมส์เริ่มบทสนทนาต่อ
“แน่นอนครับ” คลิโอตอบ “เพราะดนตรีมันคือชีวิตครับคุณเจมส์ มันคือการสื่อสารที่แท้จริงระหว่างนักดนตรีกับผู้ฟัง”
เจมส์ยิ้มอย่างมีความหมาย
“งั้นถ้าอย่างนั้น ผมขออนุญาตตีความว่า ผมได้รับสารบางอย่างจากไวโอลินของคุณตั้งแต่วันแรกที่เราเจอกันเลยนะครับ”
คลิโอชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างขบขัน
“คุณเจมส์นี่ช่างเปรียบเทียบนะครับ”
เขาไม่ได้ปฏิเสธหรือเห็นด้วย แต่เปลี่ยนเรื่องคุยไปอย่างแนบเนียน
“ผมว่าเรากลับกันเถอะครับ มันดึกแล้ว”
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา “ความบังเอิญ” ก็เริ่มเข้ามามีบทบาทในชีวิตของพวกเขาทั้งสองคน เจมส์จะ ‘บังเอิญ’ ไปเจอคลิโอที่ร้านหนังสือที่เขาบอกว่าชอบไปเป็นประจำ หรือ ‘บังเอิญ’ ไปได้ยินมาว่าคลิโอมักจะไปซ้อมดนตรีที่ห้องซ้อมแห่งหนึ่ง แล้วเจมส์ก็ ‘บังเอิญ’ ขับรถผ่านไปแถวนั้นพอดี และทุกครั้งที่เจอกัน เจมส์ก็จะทำตัวเป็นสุภาพบุรุษเสมอ ไม่ว่าจะเป็นการถือของให้ การเปิดประตูให้ หรือแม้แต่การซื้อกาแฟที่คลิโอชอบมาให้โดยที่ไม่ได้เอ่ยปากขอ
คลิโอรู้ดีว่าความบังเอิญเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เขากลับเลือกที่จะทำเป็นไม่รู้เรื่องและสนุกไปกับมัน การกระทำของเจมส์ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกอึดอัด
แต่กลับรู้สึกอบอุ่นและพิเศษในแบบที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน เขายังคงรักษาระยะห่างในฐานะเพื่อน แต่ก็แอบส่งสัญญาณบางอย่างกลับไปให้เจมส์ได้รู้สึกถึงความหวัง เช่น การยิ้มให้เล็กๆ ยามที่เจมส์พยายามจะจีบเขาอย่างน่าเอ็นดู หรือการเล่าเรื่องส่วนตัวที่ไม่เคยเล่าให้ใครฟังมาก่อน
จนกระทั่งวันหนึ่ง ในวันที่ฝนตกหนัก เจมส์ตัดสินใจพาคลิโอมาส่งที่บ้าน เมื่อรถจอดสนิทหน้าอพาร์ตเมนต์ของคลิโอ เจมส์เปิดประตูให้คลิโอพร้อมกับกางร่มให้เพื่อกันไม่ให้คลิโอเปียกฝน
“คุณเจมส์ไม่ต้องมาส่งถึงที่ก็ได้นะครับ” คลิโอพูดด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด
“ผมขึ้นแท็กซี่กลับเองได้”
“ผมอยากจะมาส่งครับ” เจมส์ตอบด้วยรอยยิ้ม
“ถึงแม้จะไม่ได้นั่งคุยกันนานๆ เหมือนที่เคย แต่ผมก็ได้เห็นคุณมีความสุขกับการได้อยู่ท่ามกลางดนตรีที่รัก มันเป็นภาพที่สวยงามที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมาเลยครับ”
คลิโอเงียบไป เขามองเข้าไปในดวงตาของเจมส์ที่สะท้อนถึงความจริงใจอย่างเต็มเปี่ยม หัวใจของเขาสั่นไหวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“ขอบคุณนะครับ” คลิโอตอบด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา
“สำหรับอะไรครับ”
“สำหรับทุกอย่างครับ... สำหรับความบังเอิญทุกอย่างที่คุณสร้างขึ้นมา”
ในวินาทีนั้น เจมส์รู้ทันทีว่าคลิโอไม่ได้โง่ เขารู้มาตลอดว่าเจมส์พยายามจะทำอะไรอยู่ และสิ่งที่เจมส์รู้สึกนั้นไม่ใช่เรื่องที่เขารับรู้ได้เพียงคนเดียว หัวใจของพวกเขากำลังเล่นบทเพลงเดียวกัน เพียงแต่ยังไม่ถึงท่อนคลอเคลียที่ประสานเสียงกันอย่างลงตัวเท่านั้นเอง
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!