ชีวิตทุกคนบนโลกใบนี้ จะต้องศึกษาและเรียนรู้แล้วนำไปใช้ และลงมือปฏิบัติ ให้ครบทั้งองค์ประกอบของชีวิต ได้แก่กาย วาจาและจิตใจ เพราะชีวิตจะประสบผลสำเร็จได้ จะต้องมีหลัก มีความรู้ ทั้งทางการศึกษา และประสบการณ์ หรือแม้แต่แบบอย่างที่ดี ตัวอย่างของการก้าวเดินของคน ของบัณฑิต ผู้เป็นปราชญ์ หรือผู้รู้ ได้ชี้แนวทาง เหมือนดังส่องประทีบในที่มืด เปิดของที่ปิด หงายของที่คว่ำ
ชีวิตที่มีแก่นสาระ เพื่อพัฒนาตนเองก้าวไปสู่ความสุขและความสำเร็จนั้น จะต้องมีองค์ประกอบหลักที่สำคัญ คือ การศึกษา ค้นคว้าและลงมือกระทำ ประกอบ หรือปฏิบัติอย่างมีเป้าหมายหรือทิศทางชัดเจน
การศึกษานั้นไม่มีชีดจำกัด การศึกษาด้วยตนเอง การศึกษาเรียนรู้จากประสบการณ์โดยตรง ทางอ้อม และการเรียนรู้้จากแบบอย่างที่ดี ที่งดงามและจากตัวอย่างที่ประสบผลสำเร็จในการสร้างความสุข ความเจริญและความก้าวหน้าในหน้าที่และในการดำเนินชีวิต
สิ่งที่สำคัญ การศึกษาเป็นเครื่องมือทำลาย "มิจฉาทิฐิ" ความเห็นผิดหรือไม่ถูกต้อง ความเห็นถูกต้อง จะทำให้เกิดจักษุปัญญาภายใน ทำให้เห็นความจริงที่เกิดขึ้น ปรากฎขึ้นเป็นความจริงที่ถูกต้อง ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และผลที่จะเกิดขึ้นตามมาในอนาคต ที่สุดก็คือ ถอนออกซึ่ง ตัวตน ความไม่เห็นแก่ตัวออกได้
พระพุทธเจ้า พระองค์ได้ทรงตรัสถึงชีวิตที่มีสาระ ชีวิตที่มีประโยชน์ และชีวิตที่มีแก่นสารประกอบด้วยการศึกษาที่สำคัญในชีวิตเพื่อก้าวไปสู่ความสุขและความสำเร็จประกอบด้วย
ศีลสิกขา การศึกาาเกี่ยวกับเรื่องของกาย วาจาของตนเองเป็นสำคัญพร้อมมีความเมตตาก่ายกรรมและเมตตาวจีกรรมต่อคนอืนด้วย
จิตตสิกขา การศึกษาเรื่องของอารมณ์ จิตประสาท หรือ จิต มโนและวิญญาณของตนให้แจ่มแจ้งชัดเจน
ปัญญาสิกขา การศึกษาเรื่องการเจริญภาวนา ปฏิบัติ สติ สัมปัชชัญญะ หรือปัญญาของตนให้ก้าวไปสู่การอยู่เหนือปัญหาหรือความทุกข์
ในหลักคำสอน ของพระพุทธเจ้า พระองค์จึงทรงให้ จัดระเบียบชีวิต ใหัถูกต้องและเหมาะสม ได้แก่การสำรวมระวัง เกี่ยวกับเรื่องของสติ และสัมปัชชัญญะ โดยมี ศีลสิกขา เป็นรากฐาน หรือปูพื้นฐาน เหมือนดั่งการเทหินปูนทราย เป็นฐานของการสร้างบ้านที่อยู่อาศัย เมื่อฐานมีความมั่นคงแล้ว การก่อร่างสร้างบ้านของทำให้มีความเข้มแข็งและมั่นคง
ชีวิตที่แก่น สาร ที่จะพัฒนาตนเองไปสู่ความสุขและความสำเร็จ จำเป็นอย่างยิ่งชีวิตจะต้องเรียนรู้ จะต้องศึกษา นำไปสู่การประกอบหรือการกระทำ ด้วยเหตุผลและปัญญา่เป็นเครื่องประกอบ...จึงจะได้ชื่อว่า ช่ีวิตที่ประสบผลสำเร็จ เป็นชีวิตที่มีความสุขความเจริญอย่างสมบูรณ์ง
โดยปกติหรือโดยธรรมชาติ "มนุษย์"มักจะมองเห็นคนอื่นก่อนที่จะหันมามามองเห็นตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นความดี ความชั่ว ความเสียหาย หรือแม้แต่ข้อบกพร่อง ความไม่ดีต่าง ๆ แร่ในทางพระพุทธศาสนา "พระพุทธเจ้า"พระองค์ทรงสอนให้มีสติ ในการสำรวจตรวจสอบตนเองหรือมองมาดูตนเอง พิจารณาตนเองก่อน ตั้งแต่ตื่น ลุกขึ้นมาจากที่นอน โดยเน้นไปที่ใจ หรือลมหายใจเช้าออก สั้นรู้ ยาวรู้ โดยใช้สติ และสัมปัชชัญญะ ตัวหลักในการกำหนด รู้ อารมณ์ ที่จิตใจของตนเองว่า อยู่กับตัวเองหรือว่าหลีกเร้น หลบไปอยู่ ณ ที่แห่งใด
การใช้สติ(ใจ)ดูใจ เท่ากับการดูลมหายใจ มีค่าเท่ากับเราได้มีการเตรียมความพรัอมให้กับ ตัวเอง ในการลุกขึ้นมาเดินก้าวไปบนถนนสายชีวิตในวันใหม่ พร้อมที่จะเผชิญกับฝุ่นฝ่าละอองของชีวิต ที่ตัองพบกับปัญหา อุปสัค หนักเบา สุขทุกข์ ผิดหวัง ไม่สมประสงค์ ที่่จะต้องได้รับการกระทบกับสภาพแวดล้อมด้านต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมาในแต่วัน และเวลา
เหล่านี้เป็นการสำรวจ เพื่อให้รู้จัก มีความเข้าใจตัวเอ และสภาพสังคมรอบข้างได้ถุกต้อง ดีมากยิ่งขึ้น ดังคำกล่าวที่ว่า...
" คนเราบางครั้งจะต้องรู้จักตัวเองให้มากขึ้น สำรวมระวังพูดให้น้อยลง ลงมือทำให้ถูกต้องมากยิ่งขึ้น จะมีประโยชน์มากกว่า การที่จะไปมัวแต่นั่งมองคนอื่น สำรวจ พิจารณาคนอื่น มากกว่าตนเอง ทั้งปี ยังไม่เห็นตน ไม่รู้จักตน มองไม่เคยเห็นตัวเอง ไม่เคยสำรวจ ตรวจสอบตัวเอง ว่าคือใคร เป็นแบบไหน และอย่างไร...แม้แต่ลมหายใจที่เข้าออกของตัวเอง ก็ไม่เคยรู้เลยว่า มันกำลังหายใจเข้าหรือหายใจออก"
ดังนั้น ...
การสำรวจตัวเองให้เห็น เพื่อเตรียมความพร้อม ในการก้าวไปสู่เส้นทางที่จะมั่งคั่งด้วยความสุข และความสำเร็จ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใช้ลมหายใจในการกำหนดรู้ปัจจุบัน เพื่อเตรียมความพรัอม ทุก ๆ ด้าน ร่างกาย จิตใจ พลังและกำลังความคิด ที่จะขับเคลื่อนตัวเองให้ก้าวเดินไปอย่าง มีความรู้ มีความเข้าใจ เท่าทันปรากฎการณ์ที่จะเกิดขึ้นในระหว่างทาง อย่างมี สติ สัมปัชชัญญะ เท่าทันจิต อารมณ์ อย่างนุ่มนวล อ่อนโยน สุขุม รอบคอบ
เป็นการซักซ้อมความพร้อม ความหนักแน่น ความมั่นคงในอารมณ์ ทั้งร่างกายและจิตใจ เป็นการดูตนเองว่า มีอะไรบกพร่อง ตรงไหน อย่างไรบ้าง เพื่อถ่ายเท ปรับระดับ เสริมสร้างพลังของชีวิตให้เกิดสภาพที่สมดุล ในการ ทำหน้าที่ รับบทบาท แม้แต่้การดำเนินชีวิตอยู่ท่ามกลางกระแสของเปลวแดดร้อน ต่าง ๆ กล่าวคือ
มีความสุข ความสุขเสื่อหรือลดลงน้อย ไปเป็นความไม่สบาย หรือทุกข์ เพิ่มทวีคูณ
มีความทุกข์ ชีวิตจะต้องก้าวเดินไปบนถนนของชีวิตที่มีทั้งคับแคบ ทั้งกว้าง ไกล ลึกลับ สลับกันไป ต้องร้องไห้ สูญเสีย พลัดพราด ชอบพอ โกรธ เกลียดและชิงชัง
สรรเสริญ ยกย่อง เอาอกเอาใจ สรรหาคำพูดที่ฟังแล้วได้ความอิ่มเอมเปรม ปลาบปลื้ม เสมือนหนึ่งเป็นเทพผู้มีศักดิ์ใหญ่ ปรารถนาสิ่งใด ๆ ก็บันดาลให้ได้ตามที่ใจปรารถนา ทั้งที่คำยกยอนั้นมันก็คือน้าผึ้งหวานที่อาบด้วยยาพิษซึมซับให้ผลระยะยาว
นินทา คำนินทา ย่อมมีอยู่ในโลก ที่ใดมีมนุษย์อาศัยอยู่ที่นั่นย่อมมีคำนินทา แม้ผู้ทีละโลกนี้ไปแล้วก็ยังถูกนินทาได้ พระพุทธเจ้าพระองค์ทรงตรัสไว้ว่า " คนไม่เคยถูกนินทาย่อมไม่มีอยู่บนโลกใบนี้" เพราะมันเป็นสิ่งธรรมดาของโลกหรือที่เรียกว่า "โลกธรรม"
ดังนั้น เมื่อูถูกยกย่อง ยกยอ หรือสรรเสริญ หรือถูกนินทา ก็จึงใช้สติ สัมปัชชัญญะมองให้เห็นหรือให้ไกลออกไป ให้ทะลุถึง ความไม่มีตัวตนที่แทัจริง เมื่อมันมี ่มันเกิดขึ้นได้ มันก็ต้องย่อมเสื่อม ผันแปรและเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา คือไม่เที่ยง ไม่มั่นคง ไม่แน่นอน ไม่คงทนอยู่ ดำรงอยู่ได้นานนั่นและความจริง
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!