⸻
เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นเบาๆ ในเช้าวันจันทร์ พริม นักศึกษาสาวชั้นปีที่ 2 คณะนิเทศศาสตร์ ยกมือขึ้นลูบตาเบาๆ ก่อนจะลุกจากเตียงอย่างเชื่องช้า วันธรรมดาที่เหมือนจะไม่มีอะไรพิเศษ แต่ใครจะรู้ว่าในวันธรรมดานี้เอง… เธอกำลังจะได้พบกับใครบางคน ที่จะเปลี่ยนชีวิตของเธอไปตลอดกาล
⸻
“เอ้า! พริม รีบๆ หน่อย! เดี๋ยวอาจารย์จะเช็คชื่อแล้ว!” เสียงของฟาง เพื่อนสนิทตะโกนจากหน้าประตูห้องเรียน
พริมรีบคว้ากระเป๋าแล้ววิ่งออกจากหอ หอบหายใจแทบไม่ทันจนถึงห้องเรียน และทันทีที่ก้าวเข้าไป เสียงอาจารย์ก็ดังขึ้นพอดี
“มาแล้วเหรอคุณพริม เชิญนั่ง”
พริมยิ้มแหย ๆ แล้วรีบเดินไปนั่งข้างฟาง ซึ่งแอบส่งสายตาแบบ “รอดตัวไปนะ” มาให้
ขณะกำลังตั้งใจเรียน พริมก็หันไปมองที่โต๊ะมุมห้อง และนั่นเอง… สายตาของเธอก็สบกับเขา “คิริน” รุ่นพี่ปี 3 คณะเดียวกัน ที่ขึ้นชื่อเรื่องความนิ่ง เย็นชา และไม่ค่อยสุงสิงกับใคร
พริมเคยได้ยินเรื่องของเขา—ลูกคนเดียวของครอบครัวใหญ่ เป็นคนไม่ชอบพูด แต่เก่งทุกอย่าง ทั้งเรียน กีฬา และดนตรี และแน่นอน… หล่อจนสาวทั้งคณะจับตามอง
แต่ไม่รู้ทำไม สายตาของเขาในตอนนั้น กลับทำให้ใจพริมเต้นแรงกว่าปกติ มันเหมือนกับว่า… เขากำลังมองเธออยู่จริงๆ
⸻
“แก ๆ วันนี้พี่คิรินอยู่กลุ่มพี่เลี้ยงกิจกรรมรับน้องด้วยนะ!” ฟางพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นหลังเลิกเรียน
“หือ แล้วไงอะ?” พริมถามอย่างไม่ใส่ใจนัก แต่ใบหน้าเธอแดงขึ้นเล็กน้อย
“อย่ามาทำซึน! เมื่อกี้ก็แอบมองเขาอยู่นะ ฉันเห็น!” ฟางแซว
“บ้าเหรอ!” พริมผลักไหล่เพื่อนเบาๆ พลางหัวเราะกลบเกลื่อน
⸻
ช่วงเย็น พริมกับเพื่อนปี 2 ต้องไปช่วยเตรียมงานรับน้อง เมื่อถึงลานกิจกรรม พริมถูกจับไปดูแลอุปกรณ์เวที เธอแบกกล่องใบใหญ่ไปตั้งไว้ข้างๆ เสา จังหวะนั้นเอง เธอสะดุดกับสายไฟที่ลากบนพื้นจนล้ม กล่องในมือหล่นกระจาย
“โอ๊ย…” พริมกัดปากแน่นเมื่อข้อเท้าเริ่มปวด
“เธอเป็นอะไรไหม?” เสียงทุ้มเย็นๆ ดังขึ้น
เธอเงยหน้าขึ้นมา แล้วก็ต้องเบิกตากว้าง… คิรินกำลังยื่นมือมาหาเธอ
“พะ…พี่คิริน…”
“เจ็บตรงไหนรึเปล่า?” เขาถามเสียงเรียบ แต่แววตาดูเป็นห่วง
พริมส่ายหน้าเบาๆ แต่ก็ยอมให้เขาพยุงขึ้นมา
“เดินไม่ไหวก็พักก่อน เดี๋ยวฉันช่วยเก็บของเอง”
คำพูดสั้นๆ ของเขาเหมือนแทรกเข้ามาในหัวใจของเธอ พี่เขาอาจจะไม่ได้ยิ้มหวาน พูดเก่ง หรือเจ้าชู้เหมือนคนอื่น… แต่เขาอบอุ่นในแบบที่ทำให้หัวใจเธอสั่น
ในค่ำคืนนั้น หลังจากงานเลิก พริมยืนมองพระจันทร์แล้วเผลอยิ้มออกมา
…ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่หัวใจของเธอเริ่มเต้นแรง… แค่เพราะสายตาของใครบางคนลมเย็นพัดผ่านใบหน้าของพริมเบา ๆ ขณะที่เธอยืนพิงราวระเบียงบนดาดฟ้าหอพัก ดวงจันทร์คืนนี้กลมโตและสว่างจนน่าแปลกใจ หรืออาจเพราะหัวใจของเธอกำลังสว่างไสวเช่นกัน…
มือของเธอลูบเบา ๆ ตรงข้อเท้าที่เคล็ด แม้จะยังปวดอยู่บ้าง แต่สิ่งที่ฝังแน่นยิ่งกว่าคือสัมผัสจากมือของเขาเมื่อเย็นนี้ อ่อนโยน ไม่รีบร้อน แต่มั่นคงจนน่าประหลาดใจ
เสียงแจ้งเตือน “ติ๊ง!” ดังจากโทรศัพท์ พริมหยิบขึ้นมาดู
ข้อความใหม่จาก: KIRIN
“เดินไหวหรือยัง”
ดวงตาพริมเบิกเล็กน้อย เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาได้เบอร์เธอไปตอนไหน
“ดีขึ้นแล้วค่ะ ขอบคุณนะคะ :)”
พิมพ์ตอบไปทั้งที่หัวใจเต้นตุ้บตั้บ มือไม้เกือบสั่น พอส่งข้อความเสร็จก็รีบปิดหน้าจอราวกับกลัวว่าจะเผลอยิ้มออกมาดังๆ
ไม่ถึงนาที ข้อความใหม่ก็มาถึง
“อย่าลืมพักผ่อน”
แค่ข้อความสั้น ๆ ไม่ถึงสิบคำ แต่กลับทำให้พริมยืนยิ้มอยู่คนเดียวได้นานนับนาที…
⸻
คืนนั้น… พริมหลับไปพร้อมรอยยิ้ม และชื่อของเขาในหัวใจ
แม้เธอจะไม่รู้เลยว่า การพบกันในวันนี้
…จะกลายเป็นบทเริ่มต้นของเรื่องราวความรัก
ที่ทั้งหวาน และเจ็บปวดยิ่งกว่าที่เธอเคยจินตนาการไว้เช้าวันจันทร์ที่อากาศปลอดโปร่ง ท้องฟ้าสีฟ้าอ่อนปกคลุมเหนือมหาวิทยาลัยอย่างสงบ พริมก้าวลงจากรถสองแถวหน้า ม. พร้อมเสียงถอนหายใจเบา ๆ เมื่อเห็นเวลาในมือถือที่ขยับใกล้เข้างานเรียนทุกที
“แย่แล้ว…ต้องรีบขึ้นตึก!”
เธอวิ่งไปยังคณะด้วยความรีบร้อน เสียงรองเท้าผ้าใบกระทบพื้นคอนกรีตจังหวะเร็ว มือหนึ่งจับกระเป๋าสะพาย อีกมือโบกให้ฟาง เพื่อนสนิทที่ยืนรอหน้าอาคาร
“พริม! ทางนี้!” ฟางเรียก
ทั้งสองเดินเข้าไปในห้องเรียนทันเวลา และในช่วงนาทีที่อาจารย์หันหลังเขียนกระดาน พริมก็แอบถอนหายใจโล่งอก ก่อนหันไปสบตากับใครบางคน…
เขานั่งอยู่ริมหน้าต่าง โต๊ะมุมห้องที่มีแสงแดดอ่อนสาดเข้ามา แม้จะเป็นเพียงเสี้ยววินาทีที่สายตาสบกัน พริมกลับรู้สึกเหมือนหัวใจเธอหยุดเต้นชั่วขณะ
คิริน—ชายหนุ่มที่เธอได้ยินชื่อเสียงมาก่อนจากรุ่นพี่หลายคน
เขาไม่เคยพูดมาก ไม่เคยเข้ากลุ่มแซวรุ่นน้อง ไม่เคยแสดงตัวว่าโดดเด่น
แต่กลับสะดุดตาอย่างประหลาด
อาจเพราะท่าทีสงบนิ่ง หรือสายตาลึกซึ้งที่เหมือนอ่านใจคนได้
เขามองออกนอกหน้าต่างเงียบ ๆ เหมือนไม่สนใจโลก
แต่ก็หันมาสบตาเธอ… ตรง ๆ
เพียงแค่หนึ่งวินาทีนั้น
มันกลับตราตรึงในความคิดของพริมไปทั้งวัน
⸻
เย็นวันเดียวกัน
บริเวณลานกิจกรรมหลังอาคารคณะ มีการเตรียมสถานที่สำหรับงานรับน้อง
พริมในฐานะพี่ปีสอง จำใจต้องมาเป็นเวรเวที ทั้งที่ไม่ถนัดงานแรงเลยสักนิด
แต่เพราะเธอจับสลากได้หมายเลข “เวที-1” จึงไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ
“เอาของพวกนี้ไปวางข้างเสาให้หน่อยนะพริม”
เสียงพี่ผู้หญิงคนหนึ่งพูดขณะยกกล่องกลม ๆ ที่ดูหนักพอตัวมาวางตรงหน้า
พริมพยักหน้า ย่อตัวลงหยิบกล่องด้วยท่าทางระวัง
แต่ยังไม่ทันจะเดินพ้นระยะหนึ่งเมตร เธอก็สะดุดเข้ากับสายไฟเส้นเล็กที่วางพาดอยู่กับพื้น
ตุบ!
เสียงกล่องตกพื้นดังพร้อมกับร่างของพริมที่ล้มลง ข้อเท้าบิดเล็กน้อย
ความเจ็บแปลบแล่นขึ้นมาทันที
“โอ๊ย…!”
ก่อนที่เธอจะขยับตัวอะไร เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นใกล้หู
“เป็นอะไรรึเปล่า?”
พริมเงยหน้าขึ้น แล้วต้องเบิกตากว้าง…
คิรินนั่นเอง เขาย่อตัวลงข้าง ๆ พร้อมมองข้อเท้าของเธอด้วยสายตาจริงจัง
“นิดหน่อยค่ะ หนูซุ่มซ่ามเอง” พริมรีบตอบทั้งที่ยังเจ็บอยู่
“เดินไม่ไหวใช่ไหม เดี๋ยวฉันไปส่งที่ห้องพยาบาล”
“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวหนูเดินเอง…”
ไม่ทันจบประโยค คิรินก็ลุกขึ้นแล้วยื่นมือให้เธอจับ
น้ำเสียงและสีหน้าของเขาไม่ได้บังคับ แต่มั่นคงจนเธอปฏิเสธไม่ได้
มือของเธอสั่นเล็กน้อยตอนที่แตะมือเขา
มันอุ่น… มั่นคง… และแปลก
เธอไม่เคยรู้สึกปลอดภัยจากการสัมผัสของใครมาก่อนแบบนี้
⸻
หลังจากส่งพริมถึงเก้าอี้ริมสนามและให้เจ้าหน้าที่พยาบาลดูแล คิรินก็เดินกลับไปโดยไม่พูดอะไรเพิ่ม
เขาเงียบเหมือนเดิม… แต่ในความเงียบนั้นกลับทำให้หัวใจของพริมเต้นดังไม่หยุด
‘เขาคงเป็นแบบนี้กับทุกคน…ใช่ไหม?’
เธอถามตัวเองในใจ
แต่ก็ยังอดยิ้มออกมาไม่ได้อยู่ดี
⸻
ค่ำคืนนั้น
พริมเดินขึ้นดาดฟ้าของหอพักหญิงตามนิสัยประจำเวลาต้องการระบายอารมณ์
เธอชอบมองพระจันทร์ ชอบความเงียบ
แต่น่าแปลก…วันนี้มันไม่เงียบเลย
เพราะเสียงหัวใจของเธอ… กำลังดังมากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา
เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดภาพกลุ่มจากงานรับน้องวันนี้
มองหาใบหน้าของเขาในหมู่พี่ ๆ และเมื่อเลื่อนไปเจอ ก็เผลอกดซูมอย่างไม่รู้ตัว
“เฮ้อ… เป็นบ้าอะไรเนี่ยพริม” เธอบ่นกับตัวเองเบา ๆ แล้วหัวเราะออกมา
‘แต่ก็นะ… ก็แค่พี่คณะปี 3 คนหนึ่ง จะไปคิดมากทำไม’
ขณะที่วางโทรศัพท์ เสียงแจ้งเตือนดังขึ้น
เธอมองจอด้วยความงุนงง… ชื่อที่ปรากฏทำให้เธอใจสั่นวูบ
KIRIN: เดินไหวหรือยัง
เธอไม่รู้ว่าเขาได้เบอร์เธอมาจากไหน
แต่ก็ไม่อยากถาม เพราะในวินาทีนั้น มันช่างเป็นข้อความที่…อบอุ่น
PRIM: ดีขึ้นแล้วค่ะ ขอบคุณนะคะ :)
เธอกำลังจะเก็บโทรศัพท์ แต่แล้วมันก็แจ้งเตือนอีกครั้ง
KIRIN: อย่าลืมพักผ่อน
เธอมองจอนิ่งไปหลายวินาที แล้วจึงวางโทรศัพท์ลงบนตัก
ใบหน้าที่ร้อนผ่าวไม่ได้มาจากอากาศ แต่จากบางอย่างที่เกิดขึ้นในหัวใจ
คืนนี้ พระจันทร์ดวงเดิม แต่ใจของเธอไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว
เช้าวันจันทร์ที่อากาศปลอดโปร่ง ท้องฟ้าสีฟ้าอ่อนปกคลุมเหนือมหาวิทยาลัยอย่างสงบ พริมก้าวลงจากรถสองแถวหน้า ม. พร้อมเสียงถอนหายใจเบา ๆ เมื่อเห็นเวลาในมือถือที่ขยับใกล้เข้างานเรียนทุกที
“แย่แล้ว…ต้องรีบขึ้นตึก!”
เธอวิ่งไปยังคณะด้วยความรีบร้อน เสียงรองเท้าผ้าใบกระทบพื้นคอนกรีตจังหวะเร็ว มือหนึ่งจับกระเป๋าสะพาย อีกมือโบกให้ฟาง เพื่อนสนิทที่ยืนรอหน้าอาคาร
“พริม! ทางนี้!” ฟางเรียก
ทั้งสองเดินเข้าไปในห้องเรียนทันเวลา และในช่วงนาทีที่อาจารย์หันหลังเขียนกระดาน พริมก็แอบถอนหายใจโล่งอก ก่อนหันไปสบตากับใครบางคน…
เขานั่งอยู่ริมหน้าต่าง โต๊ะมุมห้องที่มีแสงแดดอ่อนสาดเข้ามา แม้จะเป็นเพียงเสี้ยววินาทีที่สายตาสบกัน พริมกลับรู้สึกเหมือนหัวใจเธอหยุดเต้นชั่วขณะ
คิริน—ชายหนุ่มที่เธอได้ยินชื่อเสียงมาก่อนจากรุ่นพี่หลายคน
เขาไม่เคยพูดมาก ไม่เคยเข้ากลุ่มแซวรุ่นน้อง ไม่เคยแสดงตัวว่าโดดเด่น
แต่กลับสะดุดตาอย่างประหลาด
อาจเพราะท่าทีสงบนิ่ง หรือสายตาลึกซึ้งที่เหมือนอ่านใจคนได้
เขามองออกนอกหน้าต่างเงียบ ๆ เหมือนไม่สนใจโลก
แต่ก็หันมาสบตาเธอ… ตรง ๆ
เพียงแค่หนึ่งวินาทีนั้น
มันกลับตราตรึงในความคิดของพริมไปทั้งวัน
⸻
แสงแดดยามบ่ายอ่อนๆ ส่องลอดผ่านม่านโปร่งสีขาว รอยฝนยังคงเกาะพราวตามกระจกหน้าต่าง แต่บรรยากาศในห้องดูสงบขึ้นกว่าตอนสายอย่างเห็นได้ชัด
พริมยืนเหม่อมองไปนอกหน้าต่าง ขณะที่ในมือของเธอยังคงถือจดหมายฉบับนั้น — จดหมายจากคิริน
เธออ่านมันมาหลายรอบ จนทุกคำ ทุกประโยคฝังอยู่ในหัว
“พริม… หากเธอได้อ่านข้อความนี้ แสดงว่าฉันอาจไม่มีโอกาสได้พูดมันกับเธออีกแล้ว”
มันไม่ใช่จดหมายลาจาก แต่เป็นจดหมายที่เหมือนจุดเริ่มต้นของบางอย่าง ที่เธอยังไม่รู้ว่าคืออะไร
เสียงข้อความในโทรศัพท์ดังขึ้นขัดจังหวะความคิด พริมละสายตาจากหน้าต่าง แล้วหยิบมือถือขึ้นมา
คิริน: “วันนี้ว่างไหม อยากเจอ”
ใจเธอสั่นวูบ ไม่ใช่เพราะกลัว… แต่เพราะไม่แน่ใจว่าจะรับมือกับความรู้สึกตัวเองยังไง
แม้จะยังมีคำถามมากมายที่ไม่มีคำตอบ แต่ลึกๆ แล้วเธอก็อยากเห็นหน้าเขา อยากรู้ว่าเขาเป็นยังไงบ้าง และอยากรู้ว่าที่ผ่านมา เขารู้สึกยังไงเหมือนกันไหม
พริม: “ได้ เจอกันที่คาเฟ่เดิม 4 โมง”
⸻
คาเฟ่เล็กๆ ริมสวนสาธารณะยังคงเงียบสงบ เหมือนเดิมทุกอย่าง ไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด ตั้งแต่โคมไฟสไตล์วินเทจ ยันกลิ่นกาแฟจางๆ ที่ลอยฟุ้งอยู่ในอากาศ
คิรินมาถึงก่อน เขานั่งอยู่ที่มุมประจำ สวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวพับขึ้นถึงข้อศอก ใบหน้ามีเคราน้อยๆ เหมือนคนที่ผ่านความเหนื่อยล้ามาหลายวัน
เมื่อพริมเดินเข้ามา เขาเงยหน้าขึ้น สบตาเธอ
“ขอบคุณที่มานะ” เขาพูดเสียงเบา
พริมพยักหน้า ไม่ได้ตอบอะไรในทันที เธอนั่งลงฝั่งตรงข้าม แล้วมองเขาอยู่อย่างนั้นเงียบๆ
คิรินยกกาแฟขึ้นจิบเล็กน้อย ก่อนวางลง
“ฉันรู้ว่าพริมยังโกรธ… และอาจไม่อยากฟังอะไรจากฉัน แต่ฉันอยากเริ่มต้นใหม่ เริ่มจากการพูดความจริงทุกอย่าง”
พริมขมวดคิ้วเบาๆ
“ความจริง… หมายถึงเรื่องที่พี่ตะวันบอก หรือเรื่องที่พี่เขาไม่รู้ด้วย?”
คิรินยิ้มเศร้าๆ “อาจจะทั้งสองอย่าง”
⸻
ตลอดเวลาหนึ่งชั่วโมงที่นั่งอยู่ในคาเฟ่นั้น คิรินค่อยๆ เล่าถึงปัญหาครอบครัวของเขา — การที่พ่อเขาเข้าไปพัวพันกับกลุ่มนักลงทุนเถื่อน การล้มละลายที่ถูกปิดไว้ด้วยเงินเงียบๆ และการที่เขาต้องเข้ามาแบกรับทุกอย่างตั้งแต่อายุยังน้อย
“ฉันไม่ได้อยากปิดบังพริมเลย แต่ฉันไม่อยากให้เธอเป็นห่วง หรือยิ่งไปกว่านั้น… ถูกดึงเข้าไปในวงจรที่อันตราย”
พริมฟังเงียบๆ น้ำตาเอ่อคลอโดยไม่รู้ตัว
“แล้วตอนนี้พี่จะเอายังไงต่อ?”
“ฉันกำลังเคลียร์ทุกอย่างให้เสร็จ เพื่อจะได้ออกมาใช้ชีวิตแบบคนปกติจริงๆ สักที… ถ้าทำได้ ฉันอยากเริ่มใหม่กับพริม”
คำว่า “เริ่มใหม่” ทำให้ใจของพริมสะดุดเล็กน้อย
เธอรู้ว่าความรู้สึกของเธอยังไม่หายไปไหน แต่คำว่า “เริ่มใหม่” มันไม่ใช่สิ่งที่จะพูดแล้วเกิดขึ้นได้ทันที
“มันไม่ง่ายหรอกนะคิริน” พริมตอบเสียงเรียบ “ใจของคนไม่ใช่สวิตช์ที่เปิดแล้วจะเหมือนเดิมได้ทันที”
“ฉันรู้…” คิรินตอบเบาๆ “ฉันแค่ขอเริ่ม… ใกล้กันอีกนิดก็ยังดี”
⸻
จากวันนั้น ทั้งสองเริ่มกลับมาคุยกันบ่อยขึ้น ไม่ใช่ในฐานะคนรัก… แต่ก็ไม่ใช่คนแปลกหน้าอีกต่อไป
คิรินพยายามหมั่นส่งข้อความ พาพริมไปทานข้าวในร้านเดิมๆ ที่เคยไปด้วยกัน หรือบางทีก็แค่เดินเล่นในสวนสาธารณะเงียบๆ พูดคุยเรื่องทั่วไป
มันไม่ใช่ความโรแมนติกหวือหวา
แต่กลับอบอุ่นอย่างน่าประหลาด
พริมเริ่มรู้สึกว่าเขา “เปิดใจ” มากกว่าที่เคยเป็น คิรินในวันนี้พูดน้อยลง แต่จริงใจขึ้น เขาไม่ปิดบังอีกต่อไป และเวลาที่อยู่ด้วยกัน… พริมเริ่มยิ้มได้อีกครั้งโดยไม่รู้ตัว
⸻
คืนหนึ่ง หลังจากแยกกันที่สวนสาธารณะ พริมกลับมานั่งเหม่อที่ระเบียงห้อง ลมเย็นๆ พัดผ่านผิวหน้าอย่างแผ่วเบา
เธอนั่งทบทวนทุกอย่างที่เกิดขึ้นในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ทั้งบทสนทนา รอยยิ้ม และความเงียบที่เข้าใจกันโดยไม่ต้องพูด
“เรากลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ไหมนะ…” เธอพึมพำกับตัวเองเบาๆ
เธอยังไม่ลืมความเจ็บปวดในอดีต แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า… เธอเริ่มหวั่นไหวอีกครั้ง
บางที… ความรักอาจไม่ต้องรีบร้อน
บางที… การ “ใกล้กันอีกนิด” อาจเพียงพอสำหรับการเริ่มต้นใหม่หลังจากวันนั้นที่พริมและคิรินได้พบกันที่คาเฟ่ พวกเขาก็ไม่ได้พูดเรื่องร้ายแรงอีกเลย ไม่มีคำถามที่ค้างคา ไม่มีความรู้สึกบีบคั้นในบทสนทนา
มีเพียงแค่ “การเริ่มต้น” เล็กๆ เหมือนต่างฝ่ายต่างพยายามจะก้าวข้ามอดีต โดยไม่ต้องพูดออกมา
วันถัดมา คิรินส่งข้อความมาหาเธอแต่เช้า
“วันนี้ว่างไหม? ไปเดินเล่นกันหน่อย”
มันไม่ใช่คำชวนที่ยิ่งใหญ่ แต่กลับทำให้พริมลังเลอยู่ครู่หนึ่ง
มือเธอวางอยู่บนหน้าจอ นิ้วชี้นิ่งค้างตรงปุ่มตอบกลับ ความรู้สึกขัดแย้งในใจต่อสู้กันระหว่าง “ควรไป” กับ “ควรอยู่ห่าง”
แต่ในที่สุด เธอก็ตอบกลับไปสั้นๆ
“ว่าง เจอกันบ่ายสามที่สวนเดิมนะ”
⸻
สวนสาธารณะในฤดูฝนดูเงียบสงบเป็นพิเศษ
ต้นไม้เปียกชื้น ม้านั่งริมทางเปื้อนน้ำฝนบางๆ แต่บรรยากาศกลับน่าอยู่ และกลิ่นหญ้าเปียกฝนก็ชวนให้นึกถึงความทรงจำเก่าๆ อย่างประหลาด
คิรินมายืนรออยู่ใต้ต้นชมพูพันธุ์ทิพย์ต้นเดิม — ต้นไม้ที่เคยเป็นพยานความรักของพวกเขาเมื่อหลายปีก่อน
เมื่อพริมเดินเข้าไปใกล้ เธอสังเกตเห็นรอยยิ้มอ่อนโยนที่คิรินไม่เคยแสดงออกมาในช่วงหลายเดือนก่อน
มันไม่ใช่รอยยิ้มฝืนใจ
แต่เป็นรอยยิ้มที่มาจากความสุขเงียบๆ ที่ได้เห็นเธออีกครั้ง
“พริมดูผอมลงนะ” คิรินทัก
“เพราะพี่ทำให้หนูนอนไม่หลับต่างหาก” เธอตอบพลางเลี่ยงสายตา
เขาหัวเราะเบาๆ ราวกับไม่ได้โกรธอะไร คำตอบของเธอทำให้บรรยากาศคลี่คลายขึ้นอย่างไม่คาดคิด
⸻
ทั้งสองเดินไปตามทางเดินในสวนโดยไม่รีบร้อน ไม่ได้คุยกันตลอดเวลา แต่ทุกครั้งที่พูด มันกลับเต็มไปด้วยความหมาย
พริมเล่าเรื่องงาน เรื่องแมวที่เพื่อนฝากเลี้ยง เรื่องละครที่เธอดูแล้วอินจนน้ำตาไหล คิรินนั่งฟังเงียบๆ บางครั้งก็แทรกคำแซวบ้างนิดหน่อย
มันธรรมดามาก
แต่ความธรรมดานี่แหละ ที่ทำให้หัวใจพริมค่อยๆ อ่อนลง
⸻
หลังจากนั่งพักใต้ศาลาเล็กๆ คิรินยื่นกล่องเล็กๆ มาให้เธอ
“ของขวัญอะไรอีกล่ะ?” พริมทำหน้าแปลกใจ
“ไม่ได้พิเศษอะไรหรอก แต่ฉันเห็นแล้วคิดถึงพริมเลยซื้อมา” เขาว่า
พริมเปิดกล่อง พบสมุดบันทึกปกผ้าลินินสีฟ้าเรียบๆ ข้างในเป็นกระดาษแบบที่เธอชอบ — ไม่มีเส้น
แต่ที่ทำให้เธอนิ่งไป คือข้อความหน้าแรกที่เขาเขียนไว้
“อยากให้ใช้มันเขียนความสุขใหม่ๆ ของเรา … ถ้าเธออนุญาตให้ฉันอยู่ในนั้น”
พริมเงียบไปนานมาก ไม่ใช่เพราะไม่รู้จะตอบยังไง แต่เพราะเธอไม่กล้าสบตาเขา
หัวใจของเธอสั่น
ไม่ใช่เพราะคำพูดของเขา
แต่เพราะ… เธอเองก็รู้ตัวว่าเธออยากให้เขาอยู่ในนั้นเช่นกัน
⸻
ช่วงเย็นหลังจากแยกกัน พริมกลับมานั่งอยู่ที่ระเบียงห้อง
เธอเปิดสมุดเล่มนั้นออกมาอีกครั้ง ใช้นิ้วลูบตัวอักษรที่คิรินเขียน
เธอเริ่มเขียนหน้าว่างแรกว่า
“วันนี้… เขาไม่พูดว่ารัก แต่การกระทำของเขากลับทำให้ใจฉันสั่นมากกว่าคำว่ารักเสียอีก”
⸻
ช่วงเวลาหลายวันหลังจากนั้น พริมกับคิรินเริ่มเจอกันบ่อยขึ้น
ไม่ใช่เพราะบังเอิญ
แต่เพราะตั้งใจ
เขาพาเธอไปนั่งดูหนังกลางแปลงที่ลานชุมชน ไปเดินตลาดกลางคืนที่เธอเคยบ่นว่าอยากไปแต่ไม่มีเพื่อนไปด้วย และแม้กระทั่งนั่งฟังเพลงเงียบๆ หน้าร้านกาแฟโดยไม่มีบทสนทนาใดๆ
มันคือช่วงเวลาที่ไม่มีคำว่า “ขอโอกาส” หรือ “ขอคืนดี”
มีแต่การแสดงออกว่า
เขาอยาก “อยู่” ตรงนี้
อยู่ในจังหวะของเธอ
และพริมเอง… ก็ยอมรับว่า เธอรู้สึกปลอดภัยเมื่อเขาอยู่ใกล้
⸻
วันหนึ่ง คิรินชวนเธอไปยังสถานที่ที่เธอไม่เคยไป — เวิร์กช็อปศิลปะกลางแจ้งริมแม่น้ำ ที่จัดขึ้นโดยเพื่อนของเขา
“ไม่คิดว่าพี่จะชอบวาดรูป” พริมแซว
“ก็ไม่ชอบหรอก แต่พอรู้ว่ามันทำให้พริมยิ้มได้ ฉันก็อยากลอง” คำพูดเขาตรงไปตรงมาแต่ทำให้หน้าเธอร้อนผ่าว
พริมลองระบายสีลงบนผ้าใบใบเล็ก ข้างๆ คิรินที่นั่งวาดภาพบางอย่างอย่างตั้งใจ
แม้ฝีมือของเขาจะไม่น่าชมเท่าไหร่
แต่การที่เขา “อยู่” กับเธออย่างเต็มที่ มันทำให้วันธรรมดากลายเป็นวันที่มีความหมาย
⸻
คืนนั้น ก่อนจะกลับ พริมถามเขาขึ้นมาเบาๆ ขณะรอรถ
“คิริน… ถ้าวันนั้นพี่ไม่เลือกหายไป ถ้าเราไม่เคยห่างกัน… พี่คิดว่าเราจะเป็นยังไงตอนนี้”
เขาหันมามองหน้าเธอ ชั่วขณะนั้น แววตาของเขาดูเศร้าแต่ก็อ่อนโยน
“ฉันคงรักเธอเหมือนเดิม” เขาตอบ “แต่ฉันจะไม่มีวันรู้ว่าการได้กลับมา มันมีค่าขนาดไหน”
เธอเงียบไป หัวใจอบอุ่นอย่างประหลาด
⸻
ก่อนแยกกัน คิรินถามเธอ
“พริม… วันนี้ฉันได้เข้าใกล้เธออีกนิดแล้วใช่ไหม?”
เธอยิ้ม
“นิดเดียว… แต่พรุ่งนี้อาจจะมากขึ้นก็ได้”
เขาหัวเราะเบาๆ แล้วบอก
“ฉันจะไม่รีบ แต่จะไม่ถอย”
หลังจากวันนั้น พริมรู้สึกได้ว่าใจของเธอไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว
คิรินเปลี่ยนไปจริงๆ ไม่ใช่แค่คำพูด แต่คือการกระทำของเขาทุกอย่าง
เขาไม่พยายามเร่งเธอ ไม่อ้อนวอนให้รักกันเหมือนเดิม แต่เขา “อยู่” อย่างมั่นคง
เหมือนเป็นคนที่พร้อมจะเดินข้างเธอ โดยไม่หวังจะลากเธอไปในทิศทางของเขาเอง
วันต่อมา เขาชวนเธอไปร้านหนังสืออิสระเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ชั้นสองของตึกเก่า ริมแม่น้ำสายเดิมที่เคยไปเมื่อปีก่อน
บรรยากาศในร้านสงบ มีแสงไฟสีอุ่นส่องสะท้อนกับไม้เก่าๆ เสียงเพลงแจ๊สคลอเบาๆ กับกลิ่นกระดาษหนังสือเก่า ทำให้เธอผ่อนคลายโดยไม่รู้ตัว
คิรินเดินนำเข้าไปก่อน และหยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมายื่นให้เธอ
“จำได้ไหม เล่มนี้พริมเคยอยากอ่าน แต่ตอนนั้นมันหมด”
พริมรับเล่มนั้นมา เป็นวรรณกรรมญี่ปุ่นเล่มบางที่เธอเคยพูดถึงแค่ครั้งเดียวเมื่อเกือบสองปีที่แล้ว
เธอเงยหน้าขึ้นสบตาเขา “พี่ยังจำได้?”
“จำทุกอย่างที่เกี่ยวกับพริมได้หมด” เขาตอบเรียบๆ พร้อมรอยยิ้มบางๆ
คำพูดนั้นเรียบง่ายมาก แต่กลับทำให้หัวใจของเธอสั่นไหวอย่างไม่ทันตั้งตัว
⸻
หลังจากเลือกหนังสือกันคนละเล่ม ทั้งคู่ก็นั่งลงตรงมุมโซฟาใกล้หน้าต่างของร้าน
ไม่มีใครพูดอะไร ต่างคนต่างอ่านหนังสือของตัวเอง แต่ในความเงียบนั้น กลับมีความรู้สึกบางอย่างแทรกซึมอยู่ในอากาศ
พริมรู้สึกได้ถึงความสงบที่ไม่เคยมีมานาน… ความสงบที่เกิดขึ้นเพราะมีเขาอยู่ข้างๆ
เมื่อเธอหันไปมอง เขาก็หันมาพอดี รอยยิ้มเล็กๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของทั้งคู่โดยไม่ได้นัดหมาย
ไม่มีคำพูดใด…
แต่นั่นคือช่วงเวลาที่ใกล้กันมากที่สุด เท่าที่ทั้งสองคนเคยเป็นมา
⸻
คืนนั้น ก่อนแยกย้าย คิรินยืนส่งเธอที่หน้าคอนโดเหมือนเคย
ฝนเริ่มตกลงมาเล็กๆ ละอองเย็นปะทะใบหน้า ทำให้พริมต้องรีบกางร่ม
“รีบขึ้นไปเถอะ เดี๋ยวไม่สบาย” เขาบอก
เธอพยักหน้า แล้วเดินขึ้นบันไดมาสองขั้น ก่อนจะหยุด หันกลับไป
“คิริน…” เธอเรียกเขาเบาๆ
เขาเงยหน้าขึ้นสบตาเธอ
พริมสูดหายใจเข้าลึก แล้วพูดว่า…
“วันนี้… ขอบคุณนะ ที่ไม่เร่งอะไรหนูเลย”
คิรินยิ้มอย่างอ่อนโยน “ฉันไม่รีบร้อนหรอก เพราะสิ่งที่ฉันต้องการที่สุด ไม่ใช่แค่การกลับมาคบกัน… แต่คือการได้กลับมาอยู่ในชีวิตของพริมอีกครั้ง ต่างหาก”
พริมยิ้มจางๆ แล้วหันหลังเดินขึ้นห้องไปอย่างช้าๆ พร้อมหัวใจที่เริ่มเปิดประตูออกทีละน้อย
⸻
และในคืนนั้นเอง…
เธอเปิดสมุดบันทึกที่เขาให้ไว้อีกครั้ง แล้วเขียนบันทึกสั้นๆ ลงไปว่า
“บางทีการกลับมา อาจไม่ใช่แค่การย้อนคืน
แต่เป็นการเริ่มต้นใหม่… ที่เราเลือกจะก้าวไปด้วยกันอีกครั้ง — อย่างช้าๆ และจริงใจ”
เสียงฟ้าคำรามดังก้องเหนือท้องฟ้า เทาเข้มที่ทอดตัวครอบคลุมทั่วเมือง เสียงหยาดฝนเริ่มแรกเบาบาง ก่อนจะเทกระหน่ำลงมาอย่างไม่ทันตั้งตัว พริมยืนอยู่ใต้ศาลาพักริมถนนหน้าโรงพยาบาล ใบหน้าเธอชื้นไปด้วยหยดฝนที่ปลิวมาตามลม สายตาเธอมองเหม่อไปยังเส้นทางที่ไม่รู้ว่าคนที่เธอรอจะโผล่มาเมื่อไร
“แกร๊ก…”
เสียงเปิดร่มกระทบกับเสียงฝนจางๆ ทำให้พริมสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะหันไปเจอใบหน้าคุ้นเคยของคนที่เธอไม่คิดว่าจะมาตอนนี้ — คิริน
เขาไม่ได้พูดอะไร แค่ยื่นร่มให้เธอ โดยที่ตัวเองยืนอยู่ในสายฝนเต็มตัว
“ทำไมไม่รอให้ฝนซาก่อน…” พริมพูดเสียงแผ่ว ไม่กล้าสบตาเขาตรงๆ
คิรินส่ายหน้าเบาๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ถ้ารอให้ฝนหยุด เราอาจจะไม่ได้พูดกันอีกแล้วก็ได้”
คำพูดนั้นของเขาทำให้หัวใจของพริมเต้นผิดจังหวะ ความรู้สึกบางอย่างถูกเปิดออกเหมือนกล่องความลับที่ซ่อนไว้ในใจ
“เมื่อวาน…ขอบคุณนะ ที่อยู่กับเรา” เขาเอ่ยเบาๆ แต่ในน้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ไม่อาจกลั้นไว้ได้
พริมมองเขา ดวงตาของเธอไหววูบไปชั่วครู่ ก่อนจะพูดออกมา
“เราไม่อยากให้เธออยู่คนเดียว…ไม่ใช่แค่เมื่อวาน แต่ไม่อยากให้เธอรู้สึกแบบนั้นเลย…”
คิรินเงียบไปชั่วครู่ แล้วหันมาจ้องตาเธอโดยไม่หลบ
“แล้วถ้าเรา…ไม่อยากอยู่คนเดียวเลยจริงๆ เธอจะอยู่ด้วยไหม?”
ฝนยังตกหนัก ลมยังเย็นยะเยือก แต่ใจของพริมกลับร้อนผ่าว
“นี่เธอพูดอะไร…” เสียงของเธอสั่น เธอไม่แน่ใจว่านั่นคือความหวังหรือเพียงแค่คำพูดจากอารมณ์ชั่ววูบ
คิรินถอนหายใจ แล้วเดินเข้ามาใกล้ ใช้มือจับไหล่เธอเบาๆ
“พริม…เราไม่เคยคิดว่าจะมีใครมาอยู่ข้างๆ เราได้ขนาดนี้เลยนะ แต่เธอ…ทำให้เรารู้สึกว่าความเงียบมันไม่ได้น่ากลัว”
“คิริน…”
“เรากลัวจะเสียเธอไป…ถ้าเราไม่พูดตอนนี้ เราอาจจะไม่มีโอกาสอีก”
เสียงสายฝนทำให้โลกภายนอกดูเหมือนหายไป เหลือเพียงคนสองคนกับความรู้สึกที่กำลังจะเอ่อล้น
พริมกลืนน้ำลายอย่างฝืดเคือง เธอไม่เคยคิดว่าจะได้ยินอะไรแบบนี้จากปากของคิริน
“ถ้าเรา…สัญญา ว่าจะพยายามเป็นคนที่ดีขึ้น จะไม่ผลักคนที่แคร์เราออกไปอีก เธอจะให้โอกาสเราไหม?”
พริมเม้มปากแน่น น้ำตาที่ไม่รู้ว่าเพราะฝนหรือเพราะใจ เริ่มเอ่อออกมา
เธอพยักหน้าเบาๆ
คิรินยิ้มออกมาเป็นครั้งแรกในรอบหลายวัน ยิ้มที่อ่อนโยนและเต็มไปด้วยความหวัง
“งั้นเรา…มีคำสัญญาหนึ่งที่อยากให้เธอจำไว้”
เขาจับมือเธอไว้แน่นแม้ฝนจะยังโปรยปราย
“ไม่ว่าเธอจะอยู่ที่ไหน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น…เราจะไม่หายไปอีก เราจะอยู่ข้างๆ จนกว่าเธอจะไม่ต้องการเราอีกต่อไป”
พริมกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ เธอโผเข้าไปกอดเขาทันทีโดยไม่สนว่าทั้งคู่จะเปียกปอนไปหมด
และในตอนนั้น — ใต้สายฝนที่โปรยปราย — มีเพียงสองหัวใจที่เต้นแรง พร้อมกับคำสัญญาที่ไม่มีคำว่าชั่วคราว
⸻
หลังจากวันนั้น…
คิรินเริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างเห็นได้ชัด เขาไม่ได้ขลุกอยู่แต่กับความเศร้า หรือปิดกั้นตัวเองจากโลกภายนอกอีกต่อไป พริมเป็นคนแรกที่เห็นรอยยิ้มของเขาในแต่ละวัน และเป็นคนเดียวที่เขาเล่าเรื่องในใจให้ฟัง
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องครอบครัวที่ยังทำให้เขาเจ็บ หรืออดีตที่เขาไม่อยากหวนกลับไป พริมอยู่ตรงนั้น…ฟังอย่างเข้าใจ ไม่ตัดสิน ไม่เร่งรัด แค่ “อยู่ด้วย”
และมันก็เพียงพอแล้ว…สำหรับหัวใจของเขา
“เราไม่เคยมีใครอยู่ข้างๆ แบบนี้เลยนะ” เขาพูดในวันหนึ่งระหว่างที่ทั้งสองนั่งอยู่ในห้องสมุด
พริมเงยหน้ามาจากหนังสือ แล้วพูดกลับอย่างไม่ลังเล
“งั้นก็ถือว่าเธอโชคดีแล้วล่ะ ที่เราไม่ยอมไปไหน”
คิรินหัวเราะเบาๆ แล้วพูดติดตลก
“แล้วถ้าเราอยากให้เธออยู่…ตลอดไปล่ะ?”
พริมหน้าแดงทันที แต่แกล้งตีแขนเขาเบาๆ
“อย่ามาทำหวานนะ!”
ทั้งคู่หัวเราะพร้อมกัน เสียงหัวเราะที่เคยห่างหาย กลับกลายเป็นสิ่งที่เติมเต็มหัวใจของกันและกันในทุกๆ วัน
⸻
คืนหนึ่ง หลังฝนตกอีกครั้ง
คิรินเดินมาส่งพริมที่หน้าบ้าน ฝนเพิ่งซา กลิ่นดินเปียกและเสียงจิ้งหรีดขับกล่อมอยู่เงียบๆ
“ขอบใจนะ ที่มาเป็นแสงในวันที่มืดของเรา” เขากระซิบเบาๆ ระหว่างที่ยื่นร่มให้เธอ
พริมยิ้มแล้วพูดกลับไป
“งั้นก็สัญญาไว้นะ ว่าจะไม่กลับไปอยู่ในความมืดอีก”
เขาพยักหน้าแน่น แล้วพูดด้วยแววตาที่จริงจัง
“เราสัญญา…และจะไม่ลืมคำสัญญาใต้สายฝนนั่นไปตลอดชีวิต”
วันต่อมา พริมและคิรินกลับมาใช้ชีวิตประจำวันในมหาวิทยาลัยเหมือนเดิม แต่ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาก็เริ่มเปลี่ยนไปอย่างช้าๆ และอบอุ่นขึ้นทุกวัน
สิ่งเล็กๆ ที่คิรินไม่เคยทำ กลับกลายเป็นเรื่องธรรมดาที่เขาค่อยๆ ทำให้พริมโดยไม่รู้ตัว เช่น การซื้อขนมมาฝากหลังเลิกเรียน การหยิบร่มมาเผื่อโดยไม่ต้องบอก หรือแม้แต่การนั่งรอเธอหน้าห้องเรียนตอนที่ฝนเริ่มตั้งเค้า
“วันนี้เรียนเหนื่อยไหม?” เขาถามขณะส่งน้ำเย็นให้
พริมพยักหน้า รับขวดน้ำมาอย่างไม่เก้อเขิน
“เหนื่อยมากเลย ขอบใจนะ”
“ไม่เป็นไร” เขาตอบเรียบๆ แต่แววตาอบอุ่นยิ่งกว่าแสงแดดยามเช้า
การมีใครสักคนที่ไม่ต้องพูดเยอะ แต่รับรู้ความรู้สึกได้ในทุกการกระทำ — มันเป็นสิ่งที่พริมไม่เคยคิดว่าจะมีอยู่จริง
เย็นวันนั้น หลังเลิกเรียน พริมกับคิรินเดินเล่นในสวนข้างมหาวิทยาลัย ใบไม้ปลิวไหวตามแรงลม กลิ่นฝนที่ตกเมื่อคืนยังอวลอยู่ในอากาศ
“เธอยังจำตอนที่เราทะเลาะกันครั้งแรกได้ไหม?” พริมถามขณะเดินเคียงข้างกัน
คิรินหัวเราะเบาๆ
“จำได้สิ วันนั้นเธอโยนหนังสือใส่เรา”
“ก็เธอพูดจาน่าหมั่นไส้นี่นา!” พริมเถียงกลับแล้วหัวเราะตาม “ใครจะคิดว่าจากวันนั้น…จะมาถึงวันนี้”
คิรินเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดอย่างจริงจัง
“เราไม่เคยคิดว่าจะมีใครยอมทนกับเราขนาดนี้”
พริมหันไปมองเขา
“ไม่ใช่เรื่องของความทนนะคิริน…แต่เป็นเพราะเรารู้ว่าเธอไม่ได้เลวร้าย เธอแค่หลงทางไปชั่วคราว”
เขานิ่ง เงียบอยู่พักใหญ่ ก่อนจะหยุดเดินแล้วหันมาจับมือเธอไว้แน่น
“ถ้างั้น…ขอสัญญาอีกครั้งได้ไหม?”
“หืม? สัญญาอะไรอีกล่ะ?” พริมถามพลางขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ
“สัญญาว่า…ถ้าเราหลงทางอีก เธอจะดึงเรากลับมาเหมือนที่เคยทำ”
เธอยิ้มออกมาเบาๆ
“สัญญา…ว่าจะอยู่ให้ดึงเสมอ”
มือของเขากระชับแน่นขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะพากันเดินต่อไปในยามเย็นที่มีแสงอาทิตย์สาดผ่านกิ่งไม้ ใบหน้าของพริมและคิรินถูกแต่งแต้มด้วยแสงสีทองอ่อนๆ และรอยยิ้มที่แทบไม่เคยหายไปเลยนับตั้งแต่วันฝนนั้น
⸻
คืนหนึ่งในวันหยุดสุดสัปดาห์ พริมได้รับข้อความจากคิริน
“ออกมาดูดาวกันไหม? มีเรื่องอยากเล่า”
พริมลังเลเล็กน้อย แต่หัวใจก็พลันเต้นแรงอย่างไม่ทราบสาเหตุ
เธอตอบตกลง แล้วไม่นานนัก รถของคิรินก็มารับเธอ พวกเขาขับออกไปยังเนินเขานอกเมือง ที่ที่ไม่มีแสงไฟจากเมืองรบกวนท้องฟ้ายามค่ำคืน
ทั้งคู่ปูผ้านั่งบนพื้นหญ้า ลมเย็นพัดผ่านเบาๆ และดาวนับพันดวงเปล่งประกายอยู่เหนือศีรษะ
“ที่จริงแล้ว…ตอนเด็กๆ เรากลัวฟ้ามากเลยนะ” คิรินเริ่มพูด
“ฟ้าร้องน่ะเหรอ?”
“ใช่ เวลามันร้อง เราจะเอามือปิดหูแล้ววิ่งไปหลบใต้โต๊ะ” เขาหัวเราะเบาๆ
“แล้วตอนนี้ล่ะ?” พริมถามอย่างสนใจ
เขาหันมามองหน้าเธอ แววตาจริงจังเจือแววอบอุ่น
“ตอนนี้เราไม่กลัวแล้ว เพราะมีเธอ…ไม่ว่าจะฟ้าร้องหรือฝนตก เราก็ไม่รู้สึกว่าอยู่คนเดียวอีกต่อไป”
พริมยิ้มกว้าง ก่อนจะเอนตัวพิงเขาเบาๆ ทั้งสองนั่งนิ่งอยู่อย่างนั้นเป็นเวลานาน ไม่มีคำพูดใดๆ แต่ก็ไม่จำเป็นต้องพูด เพราะหัวใจของพวกเขาต่างรู้ดีว่า ความรู้สึกนี้เรียกว่าอะไร
⸻
และในวันฝนตกถัดมา…
ที่เดิม ศาลาพักริมถนน พริมและคิรินยืนอยู่ด้วยกันอีกครั้ง ฝนโปรยปรายลงมาเหมือนในวันนั้น
“จำตอนนั้นได้ไหม?” คิรินถามขณะมองฝนที่ตกไม่หยุด
“จำได้สิ…” พริมยิ้มบางๆ
คิรินหันมาจับมือเธอไว้แน่น
“เราอาจจะไม่ใช่คนที่ดีที่สุด ไม่ได้อบอุ่นตลอดเวลา ไม่ได้พูดหวานเหมือนพระเอกในนิยาย แต่เราสัญญา…ว่าจะอยู่ตรงนี้ ไม่ว่าเธอจะร้องไห้ ยิ้ม หรือเงียบ เราก็จะอยู่”
พริมพยักหน้า น้ำตาคลออีกครั้ง
“งั้นเราก็ขอสัญญาด้วยเหมือนกัน…ว่าเราจะไม่ปล่อยมือเธอ ต่อให้พายุแรงแค่ไหนก็ตาม”
เสียงฝนยังคงตก แต่ภายในใจของทั้งสองกลับสงบและอบอุ่นเหลือเกิน
คำสัญญาใต้สายฝน…ในวันนั้น กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการเติบโต ความเข้าใจ และความรักที่ไม่มีวันลบเลือน
หลังจากค่ำคืนนั้นที่ทั้งสองได้ยืนยันคำสัญญาภายใต้สายฝน พริมก็เริ่มรู้ตัวว่าชีวิตของเธอเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ความเงียบของคิรินไม่ได้ทำให้เธออึดอัดอีกต่อไป กลับกัน มันกลายเป็นความเงียบที่ปลอดภัย เหมือนร่มที่กางคลุมเธอในวันที่ฝนตก
หลายครั้งที่ทั้งคู่ไม่ได้พูดอะไรกันมาก แค่นั่งอ่านหนังสือในมุมเงียบๆ ของห้องสมุด หรือกินข้าวด้วยกันอย่างเรียบง่าย แต่ในความเรียบง่ายนั้นกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกแน่นหนา
“เธอเชื่อเรื่องพรหมลิขิตไหม?” คิรินถามขึ้นระหว่างนั่งรอรถเมล์กลับบ้านในเย็นวันหนึ่ง
พริมเอียงคอนิดหน่อย คิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะตอบ
“เมื่อก่อนก็ไม่เชื่อ…แต่ตอนนี้เริ่มเชื่อนิดๆ แล้วล่ะ”
เขาหันมามองเธอ ยิ้มนิดๆ
“แล้วเธอคิดว่าเรา…คือพรหมลิขิตของกันและกันรึเปล่า?”
คำถามนั้นทำให้หัวใจของพริมเต้นโครมคราม เธอไม่ได้ตอบทันที แต่หันไปสบตาเขา แล้วพูดเบาๆ
“ถ้าเธอยังอยู่ตรงนี้ในวันข้างหน้า…เราก็คงเชื่อสนิทใจเลยแหละ”
คิรินไม่พูดอะไร แต่เพียงยกมือขึ้นโอบไหล่เธอเบาๆ ท่ามกลางแสงไฟถนนที่ส่องลอดผ่านใบไม้ลงมา ทั้งสองเหมือนหลุดออกจากความวุ่นวายของโลก มีเพียงความเงียบสงบและจังหวะหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะเดียวกัน
—
เมื่อเวลาผ่านไป ความสัมพันธ์ของทั้งสองเริ่มมีคนรอบตัวสังเกตเห็น
“นี่…เธอกับคิริน เป็นอะไรกันเหรอ?” เพื่อนในกลุ่มถามอย่างอยากรู้
พริมยิ้ม ไม่ตอบตรงๆ แค่พูดว่า
“เราก็แค่…คนที่เคยหลงทาง แล้วมาเจอกันระหว่างทางมั้ง”
คำตอบนั้นดูคลุมเครือ แต่ในใจของพริม เธอรู้ดีว่า คิรินไม่ใช่แค่คนที่เจอระหว่างทาง
เขาคือคนที่เธออยากเดินไปด้วยกันจนสุดปลายทาง
และบางที…คำสัญญาใต้สายฝนนั้น อาจจะไม่ใช่แค่คำพูดชั่วคราว
แต่มันคือจุดเริ่มต้นของคำว่า “ตลอดไป” ที่แท้จริง
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!