ตอนที่ 1 กำเนิดใหม่
เลือด…ที่ไหลลงจากอ่างอาบน้ำ เลือดที่ไหลลงท่อไปพร้อมกับน้ำที่ยังคงไหลอย่างต่อเนื่อง คัดเตอร์ที่ตกอยู่บนพื้นข้าง ๆ กันกับอ่างอาบน้ำ แขนที่วางอยู่บนขอบอ่างอาบน้ำ เลือดที่หยุดออกจากข้อมือ และมือที่ห้อยลงอย่างไร้การควบคุม นี่คือภาพของเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่ฆ่าตัวตายด้วยการเอาคัตเตอร์มากรีดที่ขอมือตัวเอง
“ตุลย์ ตุลย์ อาบน้ำเสร็จรึยังลูก” เสียงของหญิงวัยกลางคน ๆ หนึ่งที่ได้มาเคาะประตูห้องน้ำเพื่อถามคนในห้องน้ำ แต่ทว่าตอนนี้ภายในพื้นของห้องน้ำได้ฉาบไปแล้วซึ่งเลือดอันแดงฉานของตุลย์เด็กหนุ่มผู้คิดจะฆ่าตัวตาย ทุกอย่างเงียบสงัดไร้ซึ่งเสียงตอบรับใด ๆ จากภายในห้องน้ำ เสียงของหญิงกลางคนที่เรียกหาอีกครั้งแต่ก็ยังไร้ซึ่งเสียงตอบกลับไปอยู่ดี
แกร๊ก ๆ ๆ ๆ ~
“เอี๊ยดดด~” ประตูค่อยเปิดออกอย่างช้า ๆ “กรี๊ด~ ตุลย์ลูกแม่” ความรู้สึกของหญิงวัยกลางคนต่อภาพที่อยู่ยังเบื้องหน้า ทำให้จิตใจแทบจะแตกสลายเมื่อลูกชายที่รักของตัวเองอัตวินิบาตกรรมตัวเอง หญิงวัยกลางคนเธอลนลาน เธอสับสน เธอตกใจ เธอแทบจะทำอะไรไม่ถูก แต่เธอก็รีบวิ่งไปหาผ้าและโทรศัพท์ ผ้านั้นเธอเอามาห้ามเลือดให้เด็ชาย ส่วนโทรศัพท์เธอกดโทร 1669 เพื่อรถโรงพยาบาล จากนั้นเธอจึงได้พยายามที่จะอุ้มเด็กชายออกมาที่หน้าบ้านไปพร้อม ๆ กับน้ำตาที่ไหลเป็นสายไม่อาจหยุดยั้งได้
เสียงไซเรนที่ดังมาแต่ไกลและได้เข้ามาใกล้บ้านของตุลย์เข้ามาเรื่อย ๆ ในที่สุดรถกู้ชีพก็ได้มาจอดยังหน้าบ้านของตุลย์ ตอนนี้เหตุการณ์ทั้งหมดชุลมุนวุ่นวายจนถึงขีดสุด เพราะตอนนี้ตุลย์เด็กหนุ่มที่อัตวินิบาตกรรมตัวเองได้เสียเลือดจนเนื้อตัวขาวซีด เพราะฉะนั้นตอนนี้ทุกวินาทีคือชีวิต
เด็กหนุ่มถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วนที่สุดทันที โดยมีหญิงวัยกลางคนผู้เป็นแม่ของเขาไปกับรถโรงพยาบาลด้วย เมื่อรถมาถึงหน้าห้องฉุกเฉินบรรยากาศที่ถึงแม้จะเตรียมพร้อมกับเคสนี้ไว้แล้วแต่ก็ยังคงชุลมุนวุ่นวายจนถึงขั้นสุดอยู่ดี เพราะตอนนี้ทุกอย่างมันต้องแข่งกับเวลาไปหมด
ตอนนี้หมอและพยาบาลกำลังช่วยกันอย่างสุดชีวิตเพื่อยื้อชีวิตของเด็กหนุ่มเอาไว้ให้ได้ แต่ถึงอย่างนั้นชีพจรของเด็กหนุ่มกลับเต้นอ่อนลงไปเรื่อย ๆ ทุกที ๆ การหายใจที่เริ่มแผ่วลงไปอย่างช้า ๆ ถึงแม้จะอยู่ในมือของหมอแล้วก็ตาม สัญญาณชีพที่วิ่งผ่านไปทีละเส้นก็มีแต่รังจะลดลงไปอย่างไม่หยุด
“ตื๊ด ~”
เสียงของเครื่อง HRM ได้ดังเป็นสัญญาณทั้งดังและยาวไม่หยุด “คุณพยาบาลครับ…ขอ AED ด่วนเลยครับ คุณพยาบาลครับ…ทำ CPR รอ AED ด่วนเลยครับ อย่าลืมเตรียมสารกระตุ้นหัวใจด้วยครับ” ตอนนี้เมื่อสัญญาณชีพของตุลย์ได้หยุดลงจากที่สถานการณ์ย้ำแย่มากพอแล้ว ตอนนี้ยิ่งแย่ไปหนักไปกว่าเดิม เพราะคนไข้หนึ่งคนกำลังจะเสียชีวิตอย่างสมบูรณ์แล้ว ทุกอย่างในห้องฉุกเฉินตอนนี้ทุกคนเร่งทำหน้าของตัวเอง
ตอนนี้ตามตัวของตุลย์เต็มไปด้วยแผ่นอีเล็คโทรด “จะเริ่มทำการปั๊มหัวใจครั้งที่ 1 clear” เครื่อง AED ได้ดึงกระชากร่างของตุลย์ให้ขึ้นพร้อมกับกระแสไฟฟ้าที่วิ่งผ่านเข้าไปในตัวของตุลย์ “จะเริ่มทำการปั๊มหัวใจครั้งที่ 2 clear” นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่หมอพยายามจะ CPR หัวใจของตุลย์ แต่ทุกอย่างนั้นก็ยังคงนิ่งสนิท “จะเริ่มทำการปั๊มหัวใจครั้งที่ 3 clear” หลังจากผ่านครั้งที่สามไปแล้วทุกอย่างก็ยังคงเดิม
ในขณะที่อีกด้านหน้าห้อง OPD ได้ขึ้นไฟแดงเพื่อเป็นสัญญาณที่บอกว่ามีผู้ป่วยวิกฤต ตอนนี้หญิงวัยกลางคนผู้เป็นแม่ของตุลย์สงบจิตสงบใจให้นิ่งไม่ได้ หัวใจที่เต้นเร็ว เหงื่อที่ไหลซึมไปทั่วทั้งตัว ความกระวนกระวายที่พุ่งพล่านขึ้นจนถึงขีดสุด เธอยังคงรอคอยหมออย่างใจจดใจจ่อ
ตอนนี้ไฟแดงหน้า OPD ได้ดับลงแล้ว หมอก็ได้เปิดประตูห้องฉุกเฉินออกมาเพื่อที่จะเดินไปหาหญิงวัยกลางคน แต่หมอยังไม่ทันได้ก้าวเดินออกจากประตูเธอก็วิ่งเข้ามาหาหมอด้วยความกระวนกระวาย “คุณหมอ…ลูกฉันเป็นยังไงบ้างคะ” หมอได้แต่ยืนนิ่งก่อนที่จะพูดว่า “หมอเสียใจด้วยนะครับ…หมอพยายามอย่างสุดความสามารถแล้วครับ” หญิงวัยกลางคนได้ขาอ่อน เข่าทรุด และลงไปนั่งกับพื้นพร้อมกับร้องไห้ฟูมฟายเหมือนคนกำลังจะคลุ้มคลั่ง
หญิงวัยกลางคนเธอได้สลบหมดสติลงไป หมอและพยาบาลได้นำตัวเธอขึ้นเตียงเข็นและพยายามทำให้เธอได้ฟื้นคืนสติ เมื่อเธอฟื้นคืนสติมาเธอได้ถามกับหมอ “ลูกของฉันเขาจากไปแล้วจริง ๆ ใช่มั้ยคะ”
“หมอขอแสดงความเสียใจอีกครั้งด้วยนะครับ” หญิงวัยกลางคนเธอได้แต่นอนร้องไห้อยู่บนเตียง เธอกำลังเสียใจอย่างถึงที่สุดที่เธอได้สูญเสียลูกชายของเธอไปแล้ว เธอยังคงทำใจยอมรับกับเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้ เพราะเธอไม่เคยคิดเลยว่าเธอจะต้องมาสูญเสียลูกชายไปเร็วแบบนี้ เธอยังคงไม่พร้อมกับการที่จะยอมรับความจริงที่เกิดขึ้น นี่คือความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของหญิงวัยกลางคนนี้
เมื่อหญิงวัยกลางคนเธอเริ่มที่จะทำใจยอมรับกับการสูญเสียแล้ว มันก็ถึงเวลาที่เธอต้องไปเซ็นต์เอกสารกับโรงพยาบาล ตอนนี้เธอก็ได้ขอคุณหมอขอให้เธอได้เข้าไปเจอกับเด็กหนุ่มผู้เป็นบุคคลคนอันเป็นที่รักของเธออย่างถึงที่สุด เมื่อเธอได้เห็นร่างที่ไร้วิญญาณของตุลย์นั้นนอนอยู่ก็เริ่มมีน้ำตาไหลออกมาอีกครั้งเพียงครั้งนี้เธอไม่ได้เป็นลมหมดสติไปเพียงแค่นั้น
“รบกวนคุณเพ็ญภัฏเซ็นเอกสารหน่อยนะคะ” เพ็ญภัฏผู้เป็นแม่ของตุลย์ได้รับเอกสารจากพยาบาลเพื่อเซ็นรับทราบเพื่อที่จะนำร่างของตุลย์ไปชันสูตรต่อ เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นครบกระบวนการแล้ว เธอจึงกลับบ้านและรอวันมารับร่างของตุลย์กลับไปทำพิธีต่อไป
ในขณะที่อีกด้านหนึ่งร่างของตุลย์ตอนนี้กำลังถูกชันสูตร หมอสองคนที่ได้ทำการชันสูตรก็ได้คุยกัน “เออนี่แก…แกเคยได้ยินเรื่องของโอปปาติกะป่ะ” หมออีกคนจึงถามกลับไปด้วยความสงสัย “มันคืออะไรวะแก” หมอที่ถามจึงตอบกลับไป “ก็มันเรื่องโลกหลังความตายไงแก…คนอัตวินิบาตกรรมตัวเองอ่ะ จะมีโอกาสฟื้นกลับมาแล้วเป็นโอปปาติกะตามตำนานของศาสนาพุทธอ่ะนะ ฉันก็ไม่รู้รายละเอียดหรอก…ก็แค่รู้ว่าตายแล้วฟื้นแค่นั้นเอง แต่การฟื้นกลับมาจะกลับมาพร้อมกับพลังพิเศษที่เป็นพลังอารมณ์ประมาณว่าพลังสัตว์ประหลาดหรือปีศาจของตะวันตกอ่ะแหละ เพียงแต่พวกโอปปาติกะจะต้องจ่ายบางสิ่งเพื่อแลกกับพลังของตัวเอง”
“เพ้อเจ้อ…ของแบบนั้นมันจะไปมีได้ยังไง…ถ้ามันมีจริงป่านนี้คงมีสัตว์ประหลาดไปทั่วโลกละ” การชันสูตรยังคงดำเนินต่อไป หมอทั้งสองคนยังคงทำหน้าที่ของตัวเอง “เอาล่ะ…เสร็จสักทีเรากลับกันเถอะ” หมอทั้งสองคนก็ได้ทำหน้าของตัวเองเสร็จแล้วโดยที่เขาไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาคุยกันนั้นมันจะเกิดได้จริงหรือไม่
ร่างไร้วิญญาณของตุลย์ที่กำลังนอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงเพื่อรอบุรุษพยาบาลมานำร่างไปเก็บยังห้องดับจิต ตอนนี้ในห้องชันสูตรไม่มีใครมีเพียงแต่เหล่าร่างไร้วิญญาณเพียงเท่านั้น แต่ในวันนี้ในห้องชันสูตรนั้นมีเพียงร่างของตุลย์เท่านั้นที่เป็นร่างที่เกิดจากการอัตวินิบาตกรรมตัวเอง
นิ้วที่กระตุก ดวงตาที่ลืมตาตื่นเบิกโพลงขึ้น ณ ห้องชันสูตร ตุลย์ที่ได้ลืมตาตื่นและฟื้นจากความตาย เขาค้นพบว่าตัวเองอยู่ในห้องที่มีเพียงเครื่องมือแพทย์และเหล่าร่างไร้วิญญาณ เขาไม่รู้เลยว่าที่นี่มันคือที่ไหน แล้วมันเกิดอะไรขึ้นทำไมเขาถึงฟื้นขึ้นมาได้ ทั้ง ๆ ที่เขามั่นใจมากว่ารอยแผลคัดเตอร์กรีดที่ข้อมือนั้นของเขามันจะต้องทำให้เขาตายแล้วอย่างแน่นอน แต่แล้วทำไมตัวเขานั้นถึงยังฟื้นกลับขึ้นมาได้อีก มันเป็นคำถามในใจที่พกความสับสนมาอย่างเต็มเปี่ยม แต่ก่อนที่ตุลย์จะหาคำตอบให้กับความสงสัยในใจของเขา เขาจะต้องหาทางออกไปจากที่นี่ให้ได้เสียก่อน
ตอนนี้ตุลย์ที่น่าจะตายไปแล้วได้หาทางหนีออกจากโรงพยาบาล เมื่อตุลย์หนีออกมาจากโรงพยาบาลได้ตุลย์จึงหาทางที่จะกลับบ้านให้ได้ในขณะที่ตัวเขาก็ยังคงสงสัยว่าตัวเขาฟื้นจากความตายมาได้ยังไง และมันก็ไม่น่ามีสมการไหนที่จะมาอธิบายเรื่องนี้ได้เลย
ในขณะที่อีกด้านในห้องชันสูตรตอนนี้เหลือเพียงแค่เตียงเปล่า ๆ บุรุษพยบาลที่จะเข้ามานำศพเพื่อย้ายไปห้องดับจิตกลับพบเพียงแค่เตียงเปล่า บุรุษพยาบาลจึงได้แตกตื่นวิ่งหน้าตั้งด้วยความตกใจเพื่อมาหาเวชระเบียนและห้องฉุกเฉินเพื่อบอกว่าศพนั้นหรือร่างของตุลย์นั้นได้หายไป
อีกด้านตุลย์ที่เดินกลับบ้านก็ได้ค้นพบตัวเองว่าตัวเขาเองนั้นเดินมาเป็นกิโลแล้วแต่เขากลับไม่รู้สึกเหนื่อยเลย แถมตัวเขาเองนั้นยังรู้สึกว่าตัวเองเดินเร็วกว่าปกติมาก ๆ ด้วย เขาได้ยืนคิดและคิด ๆ “นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับเรากันแน่นะ” ตุลย์ได้ยืนถามตัวเองอยู่ ณ ที่ตรงนั้น
หลังจากที่ศพของตุลย์นั้นได้หายไปก็ได้ทำให้โรงพยาบาลถึงกับต้องวุ่นวายปั่นป่วนเพื่อตามหาศพของตุลย์และไขข้อข้องใจของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องให้ได้ว่าศพของตุลย์ไปไหนและอยู่ ณ ที่แห่งใด
ตุลย์ที่ได้เดินมาเรื่อย ๆ ได้ค้นพบตัวเองอีกทีก็ถึงหน้าปากซอยบ้านตัวเองแล้ว ตุลย์จึงเดินต่อไปเพื่อไปให้ถึงบ้านของตัวเอง แต่เบื้องหน้าของตุลย์ก็ได้มีสุนัขจรจัดที่เห่าไล่เขา แต่เมื่อตุลย์สบตากับมัน สุนัขเหล่านั้นก็เกิดอาการกลัวสุดขีดและวิ่งหนีตุลย์เหมือนว่าสุนัขเหล่านั้นมันกำลังจะวิ่งหนีตาย
จากเหตุการณ์สุนัขที่ผ่านมาเมื่อกี้ตุลย์ก็เริ่มรู้สึกแปลก ๆ กับตัวเองมากขึ้นจากเดิมมหาศาล เพราะแค่เขาจ้องมองพวกมันเท่านั้น พวกมันก็หนีตายกันแบบไม่คิดชีวิต เขารู้ได้อย่างเดียวเลยว่านี่ไม่น่าจะใช่สิ่งที่คนธรรมดาทำได้แน่ ๆ
ตุลย์ยังคงเดินไปแบบที่ยังงง ๆ กับทุกสิ่งสรรค์ทั้งมวลที่มันได้เกิดขึ้นมาจนถึงตอนนี้ และแล้วในที่สุดตุลย์ก็ได้เดินมาจนถึงหน้าบ้านของเขา แต่เขากลับพบว่าบ้านของเขาปิดไฟมืดไปหมด เขาทั้งตะโกนเรียกแม่ ทั้งกดกริ่งเรียกแม่ แต่ก็ไร้วี่แววของผู้เป็นแม่
ณ ตอนนี้เพ็ญภัฏมาถึงที่โรงพยาบาลเพื่อมารับทราบแล้วว่าศพของลูกชายตัวเองนั้นได้หายไป ตอนนี้เพ็ญภัฏเธอทั้งเสียใจ ทั้งงง ทั้งสับสน ทั้งรู้สึกใจคอไม่ดี ตอนนี้เธอเลือกไม่ถูกแล้วว่าเธอควรจะรู้สึกยังไงก่อนกันแน่
ในขณะที่อีกด้านตุลย์รู้แล้วว่าแม่ของตัวเองไม่ได้อยู่ที่บ้าน เขาจึงตัดสินใจปีนรั้วเข้าบ้าน เมื่อเขาปีนรั้วได้เป็นผลสำเร็จเขารู้ว่ากุญแจในของบ้านนั้นซ่อนไว้ที่ไหน เขาจึงไปยังที่ซ่อนของกุญแจบ้านทันที แต่เมื่อเขากำลังจะถึงที่ซ่อนกุญแจก็ได้เกิดบางสิ่งขึ้นกับร่างกายของเขา เขาค้นพบว่าเงาเขามันไม่ใช่เงาของตัวเอง มันเหมือนเงาของปีศาจที่ครอบร่างของเขาเอาไว้ เพียงชั่วครู่เขาก็กลับได้เห็นว่าเป็นเงาของตัวเองตามเดิม
ตอนนี้ความวุ่นวาย ณ ที่โรงพยาบาลก็ยังคงไม่จบลง เพราะการที่ศพหายไปโรงพยาบาลนั้นมันเรื่องใหญ่เอามาก ๆ เพราะฉะนั้นทุกคนจึงต้องหาร่างของตุลย์ให้เจอให้จงได้ และร่างที่ฉีด Formalin ไปแล้วไม่ทางที่จะลุกขึ้นมาเดินได้อย่างแน่นอน
เพ็ญภัฏที่รอคำตอบจากทางโรงพยบาลด้วยใจที่กระวนกระวายจนถึงที่สุด เธอจึงตัดสินใจบอกกับทางโรงพยาบาลว่าเธอจะขอกลับไปดูที่บ้านของและเธอจะรีบกลับมา ในเมื่อโรงยาบาลนั้นก็ยังหาคำตอบให้กับเธอไม่ได้ เธอจึงจะออกตามหาด้วยตัวเอง
แต่เมื่อเธอกำลังจะไปดูเหตุการณ์ที่บ้านของเธอ เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้มาพอดีเธอจึงต้องถูกตำรวจสอบสวนว่าเธอทำอะไร อยู่ที่ไหน และสอบสวนหมอนิติเวชทั้งสองคนด้วยว่าเกิดอะไรขึ้น เธอจึงยังจำเป็นที่จะต้องอยู่โรงพยาบาลต่ออีกหน่อย
ในขณะที่อีกด้านตอนนี้ตุลย์ได้มีอาการเหมือนร่างกายมีการตอบสนองบางอย่างในแบบที่ตัวเขาก็ไม่เข้าใจในตัวเอง มันมีอาการใจเต้นเร็วแบบแปลก ๆ และมีอาการร่างกระตุกเหมือนกับกำลังจะกลายร่างเป็นตัวอะไรสักอย่าง และเงาที่เขาได้เห็นในตอนแรกตอนนี้เงานั้นมันก็กลับมาอีกครั้ง
ตอนนี้เพ็ญภัฏได้คุยกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้สอบสอนต่าง ๆ นา ๆ เสร็จหมดแล้ว เธอจึงขอตัวจากเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อที่จะมาดู ณ ที่บ้านของเธอว่ามีอะไรเกิดหรือเปล่า เธอได้รีบออกมาจากโรงพยาบาลด้วยท่าทีที่กระวนกระวายใจเอามาก ๆ เพราะเธอสับสนไปหมดแล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
เพ็ญภัฏเธอได้ขับรถไปพร้อมคุยกับใครคนหนึ่งผ่านทางโทรศัพท์ไปด้วย เธอได้เล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้กับปลายสายโทรศัพท์นั้นได้ฟัง ทางปลายสายก็บอกว่ามันเป็นเรื่องที่ยากมากเลยนะที่จะทำใจให้เชื่อได้ มันยากมาก ๆ มันจะเป็นได้เหรอที่ตุลย์จะฟื้นขึ้นมา ตัวเพ็ญภัฏเองก็สับสนจนจับต้นชนปลายไม่ถูกเหมือนกัน
ตอนนี้ตุลย์เริ่มมีสีผิวที่แปลเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลดำ มือที่ใหญ่ขึ้นนิดหน่อย ผิวที่หยาบกระด้างราวกับผิวสัตว์ เล็บที่ยื่นยาวขึ้นและแหลมขึ้น และร่างกายที่ดูบึกบึนกำยำขึ้น ตอนนี้เขาไม่รู้แล้วว่าเขาจะกลายเป็นตัวอะไรกันแน่ เพียงแต่สิ่งหนึ่งที่เขารู้ได้อย่างแน่ชัดและมั่นใจที่สุดในชีวิตเลยคือตอนนี้เขา “ไม่ใช่มนุษย์อีกแล้ว”
เมื่อตุลย์ได้แปลงร่างไปในแบบที่เขาก็ไม่รู้แล้วว่าตัวเขาเองนั้นจะกลายเป็นตัวอะไรกันแน่ ในที่สุดทุก ๆ อย่างมันก็ค่อย ๆ เริ่มกลับคืนสภาพเดิม ค่อย ๆ เรื่อย ๆ ไหลกลับสู่สภาพการเป็นคน ตอนนี้มีอีกสิ่งหนึ่งที่ตุลย์ได้รู้แล้ว คือไม่ว่าไอตัวที่อยู่ในร่างของเขามันจะเป็นตัวอะไรก็ตามนอกจากมันไม่ใช่คนแล้วก็น่าจะเป็นตัวอันตรายอีกด้วย
เพราะเหตุใดที่ทำให้ตุลย์ต้องคิดแบบนั้น เพราะตอนที่เขาแปลงร่างเขาสัมผัสตัวตนของมันได้ว่าคนธรรมดาไม่มีทางที่จะเอาชนะสัตว์ประหลาดอย่างมันได้แน่นอน ตอนนี้ตุลย์ได้หยิบกุญแจมาเปิดเข้าบ้าน แล้วเขาก็มานั่งคิดถึงไอ้สิ่งมันอยู่ในตัวของเขาว่ามันคือตัวอะไร และมันต้องการอะไร และทำไมถึงต้องเป็นเขาด้วย ตุลย์เอาแต่คิดเรื่องของมันจนเขาได้ลืมไปแล้วว่าเขาเพิ่งอัตวินิบาตกรรมตัวเองมาเมื่อไม่กี่ชัวโมงแล้วนี่เอง
ในที่สุดเพ็ญภัฏเธอก็ได้กลับมาถึงบ้านที่บ้าน แต่สิ่งทำให้เธอนั้นตกใจคือไฟของบ้านนั้นมันได้เปิดอยู่ เมื่อเธอหยิบกุญแจมาไขประตูนอกได้เธอก็รีบวิ่งตรงเข้าไปในบ้านทันที โดยที่เธอลืมนึกไปเลยว่าประตูนอกมันล็อคอยู่ มันจะมีใครเข้าไปได้ยังไง หรือนั่นมันอาจจะเป็นโจรขโมยที่มาบุกยกเค้าบ้านของเธอก็เป็นได้ เพราะในหัวสมองของเธอตอนนี้มีเพียงเรื่องของตุลย์เท่านั้น เมื่อเธอเปิดประตูในเข้ามาในบ้านเธอก็ได้พบกับลูกชายของตัวเองที่นั่งอยู่ที่โซฟาของบ้าน
ในขณะที่เมื่อตุลย์ได้เห็นหน้าแม่ของเขา ตัวเขาก็รู้สึกตกใจเหมือนกันแต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรมากมายนอกจากผงะไปเพียงนิดหน่อยเท่านั้น
ตอนที่ 2 โรงเรียนใหม่
เมื่อสองแม่ลูกได้เจอกันแล้วเพ็ญภัฏจึงรู้ถึงสาเหตุว่าทำไมตุลย์ถึงได้พยายามอัตวินิบาตกรรมตัวเองแบบนั้น เพ็ญภัฏจึงตัดสินใจที่จะย้ายโรงเรียนให้กับลูกชาย แต่ก่อนหน้านั้นต้องพาตุลย์ไปจัดการเรื่องที่โรงพยาบาลเสียก่อนเมื่อสองแม่ลูกมาถึงที่โรงพยาบาลก็ทำเอาทั้งหมอและพยาบาลแตกตื่นกันเป็นอย่างมากทางโรงพยาบาลจึงขอให้ตรวจร่างกายตุลย์อย่างละเอียดซึ่งเพ็ญภัฏก็ไม่ได้ติดขัดอะไรและเพื่อความสบายของทุกฝ่ายด้วย
ตุลย์ได้เข้ารับการตรวจร่างกายอย่างละเอียดตามที่เพ็ญภัฏขอ แต่ผลการตรวจของตุลย์คือปกติทุกอย่างไม่มีอะไรที่ผิดปกติเลย ผลการตรวจของตุลย์ทำให้ทุกคนถึงกับหาคำตอบไม่ได้เลยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับเด็กคนนี้กันแน่
เมื่อการตรวจร่างกายของตุลย์จบลง เอกสารก็เสร็จหมดแล้ว เพ็ญภัฏจึงพาตุลย์กลับบ้าน “หิวข้าวไหมลูก…แวะหาอะไรกินก่อนเข้าบ้านกันไหม” เพ็ญภัฏถามลูกชายของเธอด้วยความเป็นห่วง “ไม่เป็นไรครับแม่…ผมไม่หิวครับ” ตุลย์ตอบเพ็ญภัฏ
ตอนนี้สองแม่ลูกก็ได้มาถึงบ้านกันแล้ว ตุลย์ขอตัวแยกจากเพ็ญภัฏขึ้นห้องไป ส่วนเพ็ญภัฏได้กดโทรศัพท์และโทรหาใครคนหนึ่ง “ตื๊ด ๆ ๆ คุณคะ…คุณทำเรื่องเข้าเรียนที่นั่นให้ลูกหน่อยสิคะ” ปลายสายที่ฟังเพ็ญภัฏพูดจบก็ได้ตอบเพ็ญกลับมา “นี่ลูกของเราก้าวผ่านความตายมาแล้วงั้นเหรอ” เพ็ญภัฏจึงตอบกลับไป “ค่ะ…ขอโทษนะคะที่ฉันห้ามลูกของเราไม่ได้” ปลายที่ฟังจบก็ได้ตอบเพ็ญภัฏกลับมา “คุณอย่าโทษตัวเองเลย คุณทำดีที่สุดแล้ว…เอาเป็นว่าเรื่องโรงเรียนเดี๋ยวผมจะจัดการให้เองนะ คุณไม่ต้องห่วง” เพ็ญภัฏที่ฟังปลายสายพูดจบ เธอก็ได้ตัดพ้อกับตัวเอง “ในที่สุดลูกก็เป็นเหมือนกับฉันจนได้ ทั้งที่ฉันภาวนามาตลอดเลยว่าอย่าให้มีวันนั้น” ปลายสายจึงตอบกลับเพ็ญภัฏ “ผมถึงบอกไงว่าคุณอย่าโทษตัวเองเลย…เพราะสักวันหนึ่งลูกก็ต้องเป็น” เพ็ญภัฏจึงถามกับปลายสาย “แล้วคุณจะกลับมาเมื่อไหร่คะ” ปลายสายจึงได้ตอบกลับเพ็ญภัฏ “ก็จนกว่าจะจัดการพวกนอกรีตที่นี่เสร็จอ่ะแหละ…ผมขอโทษนะที่ปล่อยให้คุณดูแลลูกคนเดียว” เพ็ญภัฏจึงได้น้ำตาซึมเหมือนจะร้องไห้ก่อนจะตอบปลายสาย “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ฉันเข้าใจ…ก็มันเป็นงานของคุณนี่คะ”
เมื่อคุยโทรศัพท์จบแล้ว เพ็ญภัฏจึงเรียกชื่อ ๆ หนึ่งออกมา “มายะ ๆ ๆ” เมื่อเธอพูดจบก็ได้เริ่มเงา ๆ หนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้าของเธออย่างช้า ๆ เงานั้นปรากฏขึ้นเป็นรูปร่างและค่อย ๆ ชัดเจน สิ่งนั้นเป็นรูปร่างของมนุษย์ผู้หญิงวัยรุ่นราวคราวเดียวกับเธอ “มายะ…เธอช่วยตามไปดูแลตุลย์ที่โรงเรียนนั่นหน่อยได้มั้ย” เงานั้นจึงตอบเพ็ญ “เขาตื่นขึ้นมาแล้วงั้นเหรอ” เพ็ญภัฏจึงยอมรับออกไป “ใช่” ผู้หญิงคนนั้นจึงตอบกลับเพ็ญภัฏ “ได้สิ…เขาก็เป็นลูกของฉันเหมือนกันนี่นา” เพ็ญภัฏได้ถอนหายใจก่อนจะตอบผู้หญิงคนนั้นกลับไป “ขอบใจนะมายะ” หลังจากนั้นผู้หญิงคนนั้นจึงค่อย ๆ จางและเลือนหายไปในที่สุด
วันต่อมา
“บี๊บ ๆ ๆ ๆ ~”
เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นมานั้นบนหน้าจอโทรศัพท์นั้นได้ขึ้นชื่อว่า “คฑาวุธ” และแล้วก็ได้มีมือมาคว้าโทรศัพท์นั้นไป “ว่าไงคะคุณ” โทรศัพท์นั้นคือโทรศัพท์ของเพ็ญภัฏและปลายสายคือคฑาวุธ “เรื่องโรงเรียนผมจัดการให้คุณแล้วนะครับ…อาทิตย์หน้าคุณพาลูกไปรายงานตัวที่โรงเรียนได้เลยนะครับ” จากนั้นสายของคฑาวุธก็ได้ตัดไป เพ็ญภัฏเธอรู้ดีว่าสามีของเธอนั้นต้องคอยต่อสู้เพื่อรักษาสมดุลให้กับโลก เพ็ญภัฏเธอเข้าใจในตัวสามีเธอเป็นอย่างดีและเพราะความมั่นคงในความรักของทั้งสองคนจึงทำให้คนทั้งสองคนถึงแม้จะห่างไกลกันแต่ระยะทางนั้นก็ไม่ได้ทำให้ความรักของทั้งสองคนนั้นลดลงเลย
ขณะที่ตุลย์นั้นก็ยังคงสงสัยสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองอยู่ภายในห้องของตัวเองคนเดียว เขาไม่รู้ว่าจะเอาสิ่งเหล่านี้ไปถามใคร แล้วถ้าพูดไปใครจะเชื่อเขาล่ะ ทุกคนต้องหาว่าเขาเป็นคนบ้าแน่นอน สิ่งที่อยู่ในตัวของเขามันคือตัวอะไรกันแน่ แล้วตัวที่มันมาสิงอยู่ในตัวของเขานั้นมันต้องการอะไร
“ตุลย์…ลงมาหาแม่หน่อยสิจ๊ะ” เพ็ญภัฏเธอได้ตะโกนเรียกลูกชายสุดที่รักของเธอเพื่อที่จะคุยอะไรบางอย่าง ในขณะที่ตุลย์ก็ได้ตอบรับเสียงของเพ็ญภัฏเช่นกัน “ครับแม่…ผมกำลังไปครับ” ตุลย์จึงต้องหยุดคิดหยุดสงสัยไปก่อนว่าตัวอะไรกันแน่ที่มันสิงอยู่ในตัวของเขา
เพ็ญภัฏเธอได้นั่งรอที่จะคุยกับลูกชายสุดที่ของเธออยู่ที่โซฟา “ผมมาแล้วครับแม่” เสียงของตุลย์ที่ทักเพ็ญภัฏขึ้นมา “นั่งก่อนสิลูก…แม่กำลังจะคุยกับลูกเรื่องโรงเรียนใหม่ที่ลูกต้องย้ายไปเรียนน่ะ” เมื่อตุลย์ได้มานั่งที่โซฟาตามคำพูดของเพ็ญภัฏแล้วตุลย์จึงได้ถามเพ็ญภัฏ “ผมต้องย้ายโรงเรียนใหม่สินะครับ”
เมื่อเพ็ญภัฏฟังตุลย์พูดจนจบแล้วเธอจึงเริ่มอธิบายต่อ “ลูกคงรู้ตัวแล้วสินะ…ว่าตัวลูกนั้นได้ฟื้นมาจากความตาย และลูกก็คงมีคำถามต่าง ๆ มากมายที่ตอนนี้ลูกกำลังถามตัวเองอยู่ จริง ๆ แล้วแม่รู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่กำลังเกิดขึ้นกับลูกในตอนนี้นะ แม่จึงต้องให้ลูกย้ายโรงเรียนไปในโรงเรียนที่พ่อกับแม่เคยเรียนมาก่อน เพราะตอนนี้ลูกไม่ใช่คนธรรมดาอีกแล้ว และนี่คือสิ่งที่แม่ภาวนามาตลอดเลยว่าขออย่าให้ลูกต้องเป็นเหมือนพ่อกับแม่”
ตุลย์ที่ได้ฟังคำพูดและน้ำเสียงที่แสดงถึงความเสียใจของเพ็ญภัฏแล้ว ตุลย์จึงได้เอื้อมมือไปจับและคว้ามือของเพ็ญภัฏขึ้นมา “แม่ไม่ต้องรู้สึกผิดอะไรหรอกครับ…ผมไม่เคยโกรธหรือโทษพ่อกับแม่เลยนะครับ” คำพูดนี้จากคนผู้ซึ่งเป็นลูกชายอย่างตุลย์ได้มีน้ำเสียงที่รู้สึกเคารพและขอบคุณในตัวของเพ็ญภัฏผู้เป็นแม่ที่เขารักที่สุด
เพ็ญภัฏเธอจึงได้เริ่มอธิบายต่อ “โรงเรียนใหม่ที่ลูกจะต้องไปเรียนนั้น…จะรวมเผ่าพันธุ์ต่าง ๆ หรือพวกที่เหนือมนุษย์ ที่โรงเรียนนั้นคนปกติไม่สามารถไปเรียนได้ ที่โรงเรียนแห่งนั้นเป็นความลับที่คนภายนอกไม่อาจจะเข้าไปรับรู้ได้ และตัวตนที่ลูกเป็นคือโอปปาติกะผู้ซึ่งฟื้นจากความตายและกลายเป็นอมนุษย์ มีพลังที่พิเศษแต่ทุกครั้งที่ใช้พลังก็จะมีสิ่งแลกเปลี่ยนที่ลูกต้องจ่ายเช่นกัน”
เมื่อตุลย์ได้ฟังที่เพ็ญภัฏอธิบายแล้วเขาจึงมีคำถาม “แม่ครับ…สรุปตอนนี้ผมไม่ใช่คนธรรมดาแล้วใช่มั้ยครับ” เพ็ญภัฏที่ฟังคำถามตุลย์จบจึงพยักหน้าก่อนที่จะพูดต่อ “ใช่จ่ะ…แล้วที่ลูกกลายเป็นโอปปาติกะส่วนหนึ่งก็อาจจะมาจากแม่ด้วยเพราะแม่เองก็เป็นโอปปาติกะมาก่อนที่จะได้เจอกับพ่อของลูกที่โรงเรียนนั้น”
ตุลย์ที่ได้ยินคำสารภาพความจริงจากเพ็ญภัฏผู้เป็นแม่ก็ได้ทำให้เขาถึงกับอึ้งและตกตะลึงจนถึงกับพูดไม่ออกกับความจริงที่เขาเพิ่งจะได้รับรู้จากเพ็ญภัฏ ตุลย์เองก็ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าตลอด 16 ปี ที่เขาเกิดมา แม่ของเขาก็ดูไม่เคยมีท่าทีหรืออาการใด ๆ เลย ที่จะแสดงถึงความไม่ใช่มนุษย์จากแม่ของตน
เพ็ญภัฏเธอได้จับมือของตุลย์ก่อนที่เธอจะพูด “กำหนดเข้าเรียนของลูกคือวันจันทร์หน้านะลูก…แม่ได้เตรียมการณ์ทุกอย่างไว้ให้ลูกหมดแล้ว อะไรแย่ ๆ ที่ลูกเคยเจอมาก่อนหน้านี้ แม่ขอให้ลูกนั้นทิ้งมันไว้ตรงนี้ และไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ในโรงเรียนใหม่ เพราะนับจากนี้ต่อไปชีวิตลูกจะไม่ใช่คนปกติอีกแล้วตลอดกาล” เพ็ญภัฏเธอได้พูดกับตุลย์ในแบบที่เธอนั้นก็ได้เตรียมใจมาแล้ว
“แม่ครับ…แม่ช่วยอธิบายถึงสิ่งที่ผมเป็นหน่อยได้มั้ยครับ” ตุลย์ได้ถามกับเพ็ญภัฏในสิ่งที่ตัวเขาเองยังคงสงสัยในตัวเอง และเมื่อเพ็ญภัฏฟังแล้วก็เข้าใจดีถึงความสงสัยที่ลูกชายของตนนั้นกำลังเผชิญอยู่ เพราะในวันที่เธอทิ้งความเป็นมนุษย์ไปเธอก็มีอาการที่สับสนแบบนี้เช่นกัน
“แม่เคยอัตวินิบาตกรรมตัวเองแบบที่ลูกทำ…แต่แม่ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมแม่ถึงได้ฟื้นขึ้นมาในฐานะของโอปปาติกะ แม่ขอโทษนะลูกที่ความเป็นโอปปาติกะของแม่ได้ส่งไปถึงลูก” เพ็ญภัฏเธอพูดคุยกับตุลย์ด้วยความรู้สึกผิดเอามาก ๆ
“ผมกลายร่างกลายเป็นเหมือนกับปีศาจอะไรสักอย่าง…แม่พอจะรู้มั้ยครับว่ามันคืออะไร” ตุลย์ได้ถามกับเพ็ญภัฏถึงความสงสัยของตัวเอง เมื่อเพ็ญภัฏฟังที่ฟังตุลย์พูดจบแล้ว เธอจึงได้มองหน้าของตุลย์ “อสูรกายสินะ” เพ็ญภัฏเธอพูดออกมาด้วยความรู้สึกที่กระอักกระอ่วนใจอย่างมาก
“ผมเข้าใจดีครับว่าแม่ไม่ได้อยากให้เรื่องมันเป็นแบบนี้…แม่ไม่ต้องโทษตัวเองนะครับ แล้วโรงเรียนใหม่ที่ผมจะต้องไปนี่มันเป็นยังไงเหรอครับแม่” ตุลย์ได้ปลอบเพ็ญภัฏพร้อมถามถึงโรงเรียนใหม่ที่เขาจะต้องไป เพราะตอนนี้ตุลย์ก็ได้เริ่มมีความสนใจถึงโรงเรียนใหม่ที่เขาจะต้องไปเรียนแล้ว
เพ็ญภัฏเธอจึงได้เริ่มอธิบาย “ที่โรงเรียนใหม่นั้นเป็นโรงเรียนประจำที่รวบรวมทุกตัวตนที่ไม่ใช่มนุษย์ เพราะที่นั่นจะฝึกทั้งความเป็นมนุษย์และไม่เป็นมนุษย์ในเวลาเดียวกัน เพื่อให้แต่ละเผ่าพันธุ์สามารถอาศัยร่วมกับมนุษย์ได้โดยที่ไม่เป็นภัยต่อกันและกัน”
เมื่อตุลย์ฟังเพ็ญภัฏพูดจบแล้วตุลย์จึงได้ลุกขึ้น “งั้นผมขอไปเต็มตัวและเก็บของก่อนนะครับ” จากนั้นตุลย์ก็ได้เดินไปจากเพ็ญภัฏเพื่อขึ้นห้องของตัวเอง แต่ในขณะที่ตุลย์เดินไปก็ได้คิดไปด้วยว่าชีวิตเราต่อจากนี้มันจะต้องไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
สัปดาห์ต่อมา
และแล้ววันนี้ก็ถึงวันที่ตุลย์จะต้องไปเรียนยังโรงเรียนใหม่ ซึ่งโรงเรียนแห่งนี้นั้นเป็นโรงเรียนประจำและมีสถานที่อำนวยความสะดวกอย่างครบครัน และตอนนี้ตุลย์กับเพ็ญภัฏก็ได้กำลังรถจากโรงเรียนใหม่ที่กำลังจะมารับพร้อมกับกระเป๋าเสื้อผ้าของตุลย์
ในที่สุดรถบัสที่จะนำพาตุลย์ไปยังโรงเรียนแห่งใหม่ก็ได้มาถึงเป็นรถบัสเฉพาะของโรงเรียนแห่งนี้ที่จะมารับนักเรียนใหม่ตามข้อมูลที่ได้รับมาจากทางโรงเรียน เมื่อตุลย์ได้ขึ้นรถมาพร้อมกับกระเป๋าแล้วเมื่อตุลย์ได้เจอวางนั่งที่ยังว่างตุลย์จึงยกกระเป๋าขึ้นไปไว้ตรงที่เก็บสัมภาระด้านบนหัว เมื่อตุลย์เก็บกระเป๋าเสร็จแล้วตุลย์จึงได้นั่งลงยังที่ว่าง
“เราชื่ออลิซ…เราเป็นจอมเวทย์ แล้วเธอล่ะ?” มือที่ได้ยื่นมาตรงหน้าของตุลย์พร้อมกับเสียงพูดใส ๆ ตุลย์รู้ว่าเธอคนนี้เป็นผู้หญิงก็เพราะตุลย์เห็นก่อนที่จะมานั่งอยู่ตรงนี้แล้ว “เราชื่อตุลย์…เราเป็นโอปปาติกะ” ตุลย์พูดพร้อมกับยื่นมือออกไปด้วยท่าทางเก้ ๆ กัง ๆ “ตุลย์เหรอ…ไม่ต้องเกร็งเราขนาดนั้นก็ได้” อลิซเธอบอกกับตุลย์เพื่อให้ตุลย์ได้ผ่อนคลาย
แต่ตุลย์นั้นไม่ชินกับผู้หญิงเพราะในชีวิตของตุลย์นั้น ผู้หญิงที่คุยกับตุลย์น่าจะนับคนได้เลย เพราะมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ตุลย์จึงได้รู้สึกเกร็ง ๆ กับอลิซ แต่อลิซเธอก็พยายามที่จะเป็นมิตรกับตุลย์
ด้วยความที่อลิซเธอเป็นแม่มดเธอเลยไม่ค่อยอยากมีเพื่อนเป็นคนธรรมดา แต่พอเธอรู้ว่าเธอจะต้องไปเรียนยังที่แห่งนั้น เธอจึงไม่จำเป็นที่จะต้องเก็บซ่อนตัวเองอีก และนี่จึงเป็นสาเหตุที่เธอได้ทักทายตุลย์ เพราะเธอรู้คนที่จะไปเรียนที่โรงเรียนแห่งนั้นน่ะไม่มีหรอกคนธรรมดา จะมีก็แต่พวกที่ดูเหมือนคนแต่ไม่ใช่คนทั้งนั้น
ส่วนตุลย์เองไม่เคยมีเพื่อนผู้หญิงมาก่อน แต่กลับถูกหญิงทักทายแบบนี้ตุลย์จึงได้แต่เกร็งและทำตัวไม่ถูก และแล้วอลิซกับตุลย์ก็ได้นั่งรถบัสเพื่อมุ่งหน้าไปสู่โรงเรียนนั้นด้วยกัน “ตุลย์…เราเคยได้ยินเรื่องของโอปปาติกะมาบ้างนะ แต่เราไม่เข้าใจอ่ะ เธออธิบายให้เราฟังหน่อยได้ป่ะ?” อลิซเธอได้ถามตุลย์เพราะเธอรู้ว่าเมื่อตายแล้วฟื้นจะกลับมาในฐานะโอปปาติกะ แต่เธอก็ไม่รู้อยู่ดีว่ากลไกที่จะกลายเป็นโอปปาติกะนั้นคืออะไร เพราะมันไม่ใช่ทุกคนที่จะได้เป็นโอปปาติกะ
ตุลย์ที่ได้ฟังคำถามของอลิซจบแล้ว ตุลย์ก็ได้แต่ส่ายหน้าไปมาเบา ๆ “เราเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน…เราแค่รู้ว่าเราฆ่าตัวแล้วเราก็ฟื้นกลับมาเป็นโอปปาติกะ เรารู้แค่นั้นแหละ” ตุลย์นั้นไม่ได้บอกกับอลิซว่าแม่ของตุลย์อย่างเพ็ญภัฏนั้นก็เป็นโอปปาติกะเช่นกัน เพราะตุลย์ยังไม่สนิทอะไรกับอลิซ ในขณะที่บนหลังคารถบัสก็ได้มีผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่บนหลังคารถบัสนั่นก็คือมายะนั่นเอง
ในที่สุดรถบัสก็ได้หยุดลง ทุกคนจึงได้แบกสัมภาระของตัวเองลงจากรถบัส และได้ชายหญิงคู่หนึ่งยืนรออยู่ด้านล่าง เมื่อทุกคนลงมาจากรถบัสกันจนหมดรวมถึงตุลย์และอลิซก็ด้วย ทุกคนก็ได้มายืนอยู่ ณ ตรงหน้าของชายหญิงคู่นั้น และเมื่อทุกคนลงมากันจบครบหมดแล้ว บทสนทนาระหว่างคนแปลกหน้าจึงได้เริ่มต้นขึ้น
“สวัสดีครับเด็ก ๆ ทุกคน พวกเธอพอจะรู้เหตุผลที่พวกเธอกำลังจะมาเรียนที่โรงเรียนแห่งนี้หรือเปล่า” ชายคนั้นได้ถามกับเด็ก ๆ ที่ลงมาจากรถบัสทุกคน ผู้หญิงที่ยืนข้าง ๆ จึงได้พูดต่อ “จากนี้เราจะได้เป็นลูกศิษย์อาจารย์กันแล้วนะ พวกเธอน่าจะพอรู้จักตัวเองกันแล้วว่าพวกเธอไม่ใช่คนธรรมดา และที่โรงเรียนแห่งนี้พวกเธอจะได้เรียนรู้ทั้งเรื่องตัวตนของพวกเธอเอง และพวกเธอจะได้เรียนรู้ที่จะใช้พลังของพวกเธอเพื่อที่จะอยู่ร่วมกับคนปกติได้” ผู้ชายจึงได้พูดต่อ “พวกเธอถือสัมภาระแล้วตามครูมา” จากนั้นชายหญิงคู่นั้นจึงได้หันหลังและเริ่มออกเดิน
เด็ก ๆ ทุกคนก็ได้เดินตามทั้งสองคนนั้นไป โดยที่เด็ก ๆ กลุ่มนั้นก็ไม่รู้เลยว่าทั้งสองคนนั้นจะพาพวกเขาหรือพวกเธอไปที่ไหน ตุลย์จึงได้ค่อย ๆ หยิบสัมภาระขึ้นมาอย่างช้า ๆ แล้วจึงค่อย ๆ เดิน ๆ ตามกันไป ตุลย์คิดอยู่ในใจตลอดว่าต่อจากนี้ตัวเขาจะต้องทำยังไง เพราะเขายังรู้สึกไม่ชินเลยกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวของเขาในตอนนี้
Evil 3 การพบเจอกันครั้งแรก
วันนี้เป็นวันแรกที่ตุลย์ได้มาเรียน ณ โรงเรียนแห่งนี้ วันนี้ทุกคนที่มาใหม่จึงได้รับตารางพร้อมห้องเรียน และตุลย์ก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่เพราะว่าวันนี้คือวันแรกตุลย์จึงเริ่มจัดของเข้าห้องของตน ตุลย์กับอลิซต่างแยกย้ายไปยังห้องของตัวเอง เมื่อตุลย์เข้ามาในห้องของตัวเองแล้วตุลย์ก็ได้กลับมานั่งคิดอยู่ว่าสิ่งที่อยู่ในตัวเขามันคืออะไร แล้วเขาจะสามารถควบคุมมันได้หรือไม่ เมื่อตุลย์นั่งคิดอยู่ได้สักพักตุลย์ก็ได้ลุกไปยังห้องน้ำ และเมื่อตุลย์ส่องกระจกและได้เห็นเงาของตัวเอง “แกที่อยู่ในตัวของเรา…แกคือตัวอะไรกันแน่” ตุลย์บ่นกับตัวเองเบา ๆ “นี่เป็นครั้งแรกงั้นสิที่เราได้คุยกัน” เสียง ๆ หนึ่งได้ดังขึ้นข้าง ๆ หูของตุลย์ และเมื่อตุลย์ได้มองไปยังกระจกอีกครั้ง ตุลย์ก็ได้พบว่าครึ่งซีกของใบหน้านั้นมันไม่ใช่ใบหน้าของตนเอง มันเป็นใบหน้าของอสูรกายตนหนึ่ง “แกคือตัวอะไรกันแน่” ตุลย์ได้เอ่ยปากถามอสูรกายที่อยู่อีกครึ่งของใบหน้าตนเอง “ฉันคืออสูรธรรมดา ๆ ตนหนึ่งก็แค่นั้น” ตุลย์ได้มองเงาอีกครึ่งในใบหน้าของตนเอง “เราไม่รู้ว่าแกคือตัวอะไร…และทำไมถึงต้องเป็นเรา”
เมื่อตุลย์ได้ปล่อยคำถามของตัวเองออกไป เงานั้นก็นิ่งเงียบและไร้ซึ่งการตอบรับใด ๆ “แม่บอกกับเราว่า…ถ้าเรายิ่งพึ่งพลังจากแกเท่าไหร่รูปลักษณ์ของแกก็จะปรากฎออกมาบนร่างกายมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้วสุดท้ายแกก็จะยึดร่างของเราไป” ตุลย์ได้พูดให้กับเงาอีกครึ่งหนึ่งได้ฟัง “ที่แกพูดน่ะมันถูกแค่ครึ่งเดียวนะ…ต่อให้แกมีร่างกายที่เป็นฉันไปแล้วแกก็ยังคงเป็นตัวเองจนกว่าฉันจะออกมาใช้ร่างกายของแก และแกก็ยังคงมีสติทุกอย่างแต่แกจะควบคุมร่างกายตัวเองไม่ได้ ก็เพราะว่าฉันกำลังใช้ร่างของแกอยู่ไง” เงาอสูรกายนั้นได้พูดกับตุลย์
“แต่เราไม่ได้อยากเป็นอสูรกายแบบแก” ตุลย์ได้บอกกับเงาอสูรกายอีกครึ่งหนึ่งของตนเอง “มันคือสิ่งแลกเปลี่ยนในการใช้พลัง…แต่แกไม่ต้องห่วงหรอกนะ เพราะฉันไม่ได้กระจอกจนถึงขั้นทำให้แกผิดหวังหรอกนะ รับรองว่าพลังที่แกจะได้มันจะคุ้มกับค่าใช้จ่านที่แกต้องจ่ายแน่นอน” อสูรกายนั้นได้พูดเหมือนกับจะบอกให้ตุลย์ยอมรับกับสิ่งที่กำลังจะเป็นไป
แต่สำหรับตุลย์แล้วมันไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ กับการที่จะยอมรับให้กับสิ่งนี้ เพราะตุลย์ยังคงอยากจะใช้ชีวิตในฐานะมนุษย์ต่อไป ตุลย์จึงได้ตัดสินในกับตัวเองว่าถ้าไม่เข้าตาจนจนถึงที่สุดจริง ๆ ตุลย์จะไม่ยอมใช้พลังนี้เด็ดขาด ถึงแม้ว่าอสูรกายนี้จะพึ่งพาได้ในการต่อสู้ แต่ถ้าตุลย์จะต้องสูญเสียความเป็นมนุษย์ไป ตุลย์พยายามที่จะคิดวิธีหาทางที่จะควบคุมพลังนี้ให้ได้เขารับไม่ได้ แต่ดูเหมือนอสูรกายนี้จะไม่อยากที่จะให้ตุลย์ทำแบบนั้นสักเท่าไหร่ ตุลย์ได้เอาตัวเองออกจากกระจกเพื่อที่จะเลิกติดต่อกับอสูรกายกายที่อยู่ในร่างกาย ตุลย์จึงได้ตัดสินใจออกไปเดินเล่น
เมื่อตุลย์นั้นได้ออกมาเดินเล่นและเมื่อตุลย์เดินไปได้สักพัก ตุลย์กลับรู้สึกเหมือนว่ามีใครกำลังมองเขามาจากบนต้นไม้ ตุลย์จึงตัดสินใจที่จะหันไปมอง แต่เมื่อตุลย์นั้นเงยหน้าขึ้นไปมองบนต้นไม้ก็กลับพบว่ามีแต่เพียงความว่างเปล่าเท่านั้น จากนั้นตุลย์จึงได้รู้สึกเหมือนกับว่ามีใครเข้ามาประชิดตัวเขาจากด้านหลัง แต่เมื่อเขาทำท่าทางว่ารู้สึกตัว เงานั้นก็ได้จู่โจมเขาทันทีด้วยการกัดเข้าไปที่คอของเขา
ตอนนี้ตุลย์นั้นกำลังรู้สึกได้เลยว่าเขานั้นไม่สามารถที่จะขัดขืนหรือต่อสู้กับสิ่งที่เข้ามาโจมตีเขาได้เลย และเมื่อเงานั้นได้กัดคอของเขาจนรู้สึกหนำใจแล้ว เงานั้นจึงได้ปล่อยคมเขี้ยวออกจากเขา แต่ตอนนี้สิ่งที่โจมตีเขาเมื่อครู่กลับต้องเป็นฝ่ายตกใจเสียเอง
“เราดูดเลือดเธอจนเธอน่าจะตายไปแล้วแน่นอน…แต่ทำไมเธอกลับไม่ตายและแถมยังดูเป็นปกติด้วย” สิ่งที่จู่โจมตุลย์นั้นได้พูดกับตุลย์ มันจึงถึงเวลาแล้วที่ตุลย์จะต้องหันไปมองให้รู้สักทีว่าสิ่งที่จู่โจมเขานั้นมันคือตัวอะไร ตุลย์จึงได้ค่อย ๆ หันหลังกลับไปอย่างช้า ๆ เมื่อตุลย์ได้เห็นถึงสิ่งจู่โจมเขาแล้ว มันก็ทำให้ต้องอึ้ง สิ่งที่โจมตีเขาคือผู้หญิงคนหนึ่งที่สูงประมาณ 160 เซนติเมตร ใบหน้ากลมเล็ก มีเขี้ยวสองเขี้ยวซ้ายและขวา ดวงตาสีแดงทับทิมใส่วาวเป็นประกาย หูแหลมเหมือนกับหูของค้างคาว และท่าทางของผู้หญิงคนนั้นที่ได้ตระหนกตกใจที่ตุลย์นั้นไม่ได้ตายอย่างหญิงสาวได้พูดออกไปก่อนหน้านี้ “เธอเป็นตัวอะไรกันแน่” หญิงสาวคนนั้นได้เอ่ยปากถามกับตุลย์ที่กำลังยืนมองเธออยู่ “แล้วเธอล่ะ…คือตัวอะไร” ตุลย์จึงได้ตั้งคำถามกลับไปยังหญิงสาวคนนั้น
“เราคือแวมไพร์ที่เพิ่งได้มาเรียนรู้วิธีการใช้ชีวิตแบบมนุษย์…แต่เพราะยังไม่ชินเราจึงได้เข้าดูดเลือดมนุษย์อย่างเธอ แต่เธอไม่เป็นอะไรเลย…สรุปเธอเป็นตัวอะไรกันแน่” หญิงสาวได้แนะนำตัวว่าตัวเธอนั้นคือแวมไพร์ “เราเป็นโอปปาติกะ…เราไม่ใช่มนุษย์” ตุลย์จึงได้บอกถึงที่สิ่งตัวเองนั้นเป็นออกไป แต่หญิงสาวคนนั้นกลับไม่อยากจะเชื่อ “เราได้กลิ่นมนุษย์จากตัวของเธอไม่ผิดแน่ ๆ แล้วโอปปาติกะนี่มันคืออะไรกันแน่” ดูเหมือนว่าหญิงสาวนั้นจะไม่รู้จักตัวตนที่เรียกว่าโอปปาติกะ จึงทำให้เธอนั้นเชื่ออย่างสนิทใจเลยว่าตุลย์นั้นต้องเป็นมนุษย์อย่างแน่นอน
“เราก็อธิบายไม่ถูกนะ…เพราะเราก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน” ตุลย์ได้ตอบหญิงสาวไปด้วยท่าทีที่กำลังสับสนกับทุกสิ่งที่เจอมาจนถึงตอนนี้ “เป็นไปได้ยังไง” หญิงสาวได้บ่นออกมาแบบที่ไม่อยากจะเชื่อ “เราไม่ใช่มนุษย์…นี่แหละความจริง” ตุลย์จึงได้ตอกย้ำกับหญิงสาวอีกครั้ง “เราชื่อแอลลี่ เอลิเซ่ ฟรอน โคมินัส” แอลลี่ตัดสินใจแนะนำชื่อของตัวเองให้กับตุลย์ได้รู้ “เราชื่อตุลย์ ตุลย์ตุลา ธาดาการ” ตุลย์จึงได้แนะนำชื่อของตนเองเช่นกัน
“เธอโกรธรึเปล่า…ที่เราดูดเลือดของเธอ” แอลลี่ได้ถามกับตุลย์ “เราไม่โกรธหรอก…เราตกใจมากกว่า” ตุลย์จึงตอบกลับแอลลี่อย่างอ่อนโยน เมื่อแอลลี่เห็นท่าทีแบบนั้นของตุลย์จึงได้ทำให้เธอรู้สึกประทับใจในตัวของตุลย์ พร้อม ๆ กับที่รู้สึกผิดไปด้วยในเวลาเดียวกัน ส่วนตุลย์นั้นก็ได้แต่สงสัยว่าทำไมแอลลี่ถึงได้บังเอิญมากัดคอของเขา ทั้งที่ในโรงเรียนแห่งก็น่าจะมีคนที่เป็นโอปปาติกะเหมือนกัน
ตอนนี้ทั้งสองคนได้แต่ยืนเขินและรู็สึกผิด รู้สึกสงสัยกันและกัน แต่เมื่อทั้งสองคนตั้งสติได้ทั้งสองคนจึงได้ขอตัวแยกย้ายออกจากกัน แต่ตุลย์นั้นยังคงเดินเล่นต่อไปเรื่อย ๆ จนตุลย์ได้เห็นชายสามคนที่กำลังจะเดินเข้ามาใกล้ เมื่อทั้งสามคนเดินมาจนถึงตัวของตุลย์ ทั้งสามคนได้เข้ายืนล้อมตัวของตุลย์เอาไว้ “เห้ย ๆ นี่มันเด็กใหม่นี่หว่า” ชายที่ดูเหมือนจะเป็นหัวโจกของกลุ่มได้พูดขึ้น “รับน้องกันสักหน่อยดีมั้ยนะ” คนที่ดูเหมือนสมุนหมายเลขหนึ่งได้พูดต่อ “เด็กใหม่…เช็ดรองเท้าให้พวกเราหน่อยดิ” ชายที่ดูเหมือนสมุนหมายเลขสองได้พูดขึ้นมา “เช็ดด้วยลิ้นของมึงเป็นไง” ชายที่ดูเหมือนหัวโจกได้พูดต่อ
แต่สุดท้ายเมื่อตุลย์ฟังจบตุลย์ก็ได้แต่ยืนนิ่งมองหน้าของทั้งสามคนในขณะที่แอลลี่ก็แอบตามดูอยู่ไกล ๆ “พ่อหนุ่ม…สลับตัวกันหน่อยดิ” เสียงของอสูรกายในตัวของตุลย์ได้พูดขึ้นในจิตสำนึกของตุลย์ “แกคิดจะทำอะไร” ตุลย์ได้ถามอสูรกายในร่างกายผ่านจิตสำนึก “ฉันจะสั่งสอนไอกร้วกสามตัวนี่…ให้รู้สำเนียกสักหน่อยว่ามันหาเรื่องผิดคน” อสูรกายในตัวของตุลย์ได้พูดขึ้นในจิตสำนึกของตุลย์ “ไม่…เราจะไม่ใช้พลังของแกพร่ำเพรื่อ” ตุลย์ได้ตอบกลับอสูรกายในร่างกายผ่านจิตสำนึก เมื่อสามเกรียนเห็นว่าตุลย์จะไม่ทำตามคำสั่ง ชายที่ดูเหมือนหัวโจกจึงได้ตบหัวของตุลย์
แต่สิ่งที่ชายที่ดูเหมือนหัวโจกของสามเกรียนได้ทำไปนั้นมันเสมือนเป็นการลั่นไกในจิตใจของตุลย์ ในที่สุดภาพสุดท้ายของตุลย์ก็ได้ตัดไป แต่เมื่อภาพทั้งหมดที่ตัดไปนั้นได้กลับมาก็ปรากฏว่าสามเกรียนนั้นได้ลงไปนอนกองอยู่กับพื้นเรียบร้อยแล้ว ส่วนแอลลี่ที่แอบมองอยู่ห่าง ๆ ก็ได้เห็นภาพทั้งหมดอย่างชัดเจน
ภาพที่แอลลี่ได้เห็นนั้นคือตุลย์ดูเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคนหลังจากที่ตุลย์นั้นถูกตบหัว และหลังจากนั้นตุลย์ก็ได้ซัดสามคนนั้นอย่างรวดเร็วจนสามคนนั้นหมดสภาพและลงไปนอนกองอยู่กับพื้นอย่างรวดเร็ว แอลลี่เธอคิดไม่ถึงเลยว่าตุลย์นั้นจะแข็งแกร่งได้ขนาดนี้ จึงได้ทำให้แอลลี่เธอยิ่งรู้สึกนิยมชมชอบในตัวของตุลย์มากกว่าเดิมเข้าไปอีก และภาพนี้ไม่ได้มีเพียงแค่แอลลี่เท่านั้นที่ได้เห็น แต่อลิซเองเธอก็ได้เห็นภาพนั้นด้วยเช่นกัน เพราะเธอได้ลงมาจากห้องพักเพื่อสำรวจรอบ ๆ โรงเรียนและเธอก็ได้เดินผ่านมาเจอพอดี
ตอนนี้ตุลย์ได้สร้างความประหลาดใจให้กับดวงตาทั้งสองคู่เป็นอย่างมาก ดวงตาของแอลลี่คือความประทับใจ ส่วนดวงตาของอลิซคือความประหลาดใจที่คนที่เธอเพิ่งเจอวันแรกนั้นเก่งได้ถึงขนาดนี้ ส่วนสามเกรียนได้แต่นอนหมอบอยู่กับพื้นในแบบที่ไม่มีปัญญาจะตอบโต้อะไรได้เลย
อลิซเธอได้เดินมุ่งหน้าตรงมาหาตุลย์ในทันที “ตุลย์…นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย!!!” อลิซเธอถามตุลย์ด้วยความกังวลและความเป็นห่วงตุลย์ “ฝีมือโอปปาติกะที่อยู่ในตัวเราน่ะ…เจ้านั้นขอสลับจิตกับเรา พอเราได้สติคืนมาไอสามคนนี้ก็มีสภาพอย่างที่เห็นนี่แหละ” ตุลย์ตอบกลับอลิซด้วยสีหน้าที่กังวลเช่นกัน อลิซเธอจึงได้เอื้อมมือของตัวเองไปคว้ามือของตุลย์และจูงมือตุลย์ออกมาจาตรงนั้นทันที ตามที่ตุลย์ถูกอลิซฉุดกระชากลากไป ตุลย์ก็เลยต้องไหลตามอลิซไปด้วย
“ตุลย์…เราเห็นนะว่ามีผู้หญิงแอบมองเธออยู่ แล้วถ้าจะให้เราเดายัยนั่นก็คงจะเป็นแวมไพร์” อลิซได้พูดขึ้นมาแบบลอย ๆ ตอนนี้อลิซได้พาตุลย์มายังร้านคาเฟ่ร้านหนึ่ง “เธอจะพาเรามานั่งกินกาแฟเหรออลิซ” ตุลย์ได้เอ่ยถามกับอลิซ “เธอไปหาที่นั่งสิ…เดี๋ยวเราตามไป” อลิซได้ตอบกลับตุลย์ จากนั้นตุลย์จึงแยกตัวไปหาที่นั่ง ในขณะที่อลิซก็ได้เดินยังเคาเตอร์เพื่อสั่งกาแฟ สักพักอลิซก็ได้เดินมาหาตุลย์พร้อมกับกาแฟสองแก้วในมือ
เมื่ออลิซได้นั่งลงพร้อมกับวางแก้วกาแฟแล้ว อลิซก็ได้เลื่อนกาแฟหนึ่งแก้วไปยังตรงหน้าของตุลย์ “แก้วนี้ของเธอนะตุลย์” อลิซได้บอกให้ตุลย์เข้าใจในการกระทำของเธอ ตุลย์จึงได้กล่าวขอบคุณอลิซ “เมื่อกี้ที่เราเห็นเราสัมผัสได้นะว่าสิ่งที่อยู่ในตัวเธอนั้นอันตรายมาก ๆ” อลิซได้พูดถึงสิ่งที่ได้เห็นเมื่อครู่ “เราไม่รูัตัวหรอกว่าเราทำอะไรลงไป…พอสติเรากลับมาได้สามคนนั้นก็ลงไปกองกับพื้นแล้ว” ตุลย์ได้บอกกับอลิซด้วยท่าทางที่เหมือนจะรู้สึกผิด
“เป็นไปได้ยังไงกัน…เธอจะบอกว่าเธอจะเสียสติทุกครั้งที่ใช้พลังเหรอ” อลิซเธอได้ถามกับตุลย์ พลังของเราคือเรามีอสูรกายอยู่ในร่างกาย…และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่อสูรกายในร่างของเรามันได้แสดงฝีมือ เราเองก็ตกใจเหมือนกัน!!!” ตุลย์ก็ได้ตอบอลิซพร้อมความสงสัยในตัวเองไปด้วย “แล้วยัยแวมไพร์ที่แอบสะกดรอยตามเธออยู่ล่ะ…มันหมายความว่ายังไงกันแน่” อลิซเธอเองก็เห็นเหมือนกันว่าทำไมแอลลี่ถึงได้แอบสะกดรอยตามตุลย์มาตลอดจนถึงตอนนี้
“เธอหมายความว่ายังไงอลิซ” ตุลย์ได้ถามกับอลิซด้วยความสงสัย “เฮย~ ไม่รู้ตัวเลยสินะ! ตอนนี้มียัยแวมไพร์ตัวขาวซีดแอบสโตรกเกอร์เธออยู่นะ” อลิซได้ตอบกลับตูลย์พร้อมกับจิบกาแฟไปด้วย ตุลย์จึงได้คิดตามที่อลิซพูดอยู่ชั่วครู่ “จริงสิ! ก่อนหน้าที่เราจะเจอกับสามคนนั้น เราได้เจอกับแวมไพร์ผู้หญิงคนหนึ่ง” ตุลย์ได้บอกให้อลิซฟัง “คงใช่แหละมั้ง” อลิซตอบกลับตุลย์ไปแบบชิลล์ ๆ
“อลิซ…เธอพอจะมีความรู้เรื่องเกี่ยวกับแวมไพร์บ้างไหม” ตุลย์ได้ถามกับอลิซ “ก็พอจะมีอยู่บ้างล่ะนะ…เธออยากรู้อะไรล่ะตุลย์” อลิซถามตุลย์เพราะอลิซรู้แล้วว่าตุลย์นั้นเริ่มมีความสนใจในแวมไพร์แล้ว “ถ้าถูกแวมไพร์กัดจะเป็นยังไงเหรอ” ตุลย์จึงได้ถามอลิซทันที “มันขึ้นอยู่กับการกัดนะ…ถ้าเป็นแวมไพร์สายเลือดแท้อ่ะนะ” อลิซได้ตอบตุลย์กลับไป
ตุลย์ทำท่าทางครุ่นคิดเพราะตุลย์ก็ยังไม่เข้าใจกับสิ่งที่ตัวเองได้เจอมา เพียงแต่มันไม่รู้จะเอาไปถามใคร แต่ตอนนี้ตุลย์คิดแล้วว่าอลิซอาจจะให้คำตอบในสิ่งที่เขากำลังสงสัยอยู่ได้ก็เป็นไปได้ “เล่าให้ฟังหน่อยได้มั้ยอลิซ” ตุลย์ถามอลิซ “ถ้าเป็นแวมไพร์สายเลือดแท้จะมีการกัดสองแบบ 1.กัดเป็นอาหาร…คนที่ถูกกัดก็ตาย 2.กัดเพื่อเปลี่ยนให้เป็นพวก” อลิซได้อธิบายให้กับตุลย์ได้ฟัง เมื่อตุลย์ฟังจบแล้วตุลย์จึงได้ถามอลิซต่อ “แล้วถ้าถูกกัดเป็นอาหาร…แต่คนที่ถูกกัดกลับไม่ตายล่ะ! มันจะเป็นไปได้รึเปล่า?” เมื่ออลิซฟังที่ตุลย์พูดจบเธอก็ได้ทำหน้าถอดสีตกใจกับคำถามของตุลย์ ตุลย์ก็ได้แต่นั่งมองหน้าอลิซด้วยความสงสัย
“มันจะเป็นไปได้ยังไงล่ะห๊ะ!!! มันไม่เคยมีหรอกนะ…ที่ถูกกัดเป็นอาหารแล้วจะรอดอ่ะ” อลิซตอบกลับตุลย์แบบที่ตะคอกใส่ตุลย์ด้วยความร้อนรน จากนั้นตุลย์จึงได้เอามือไปจับและลูบที่คอเบา ๆ ตุลย์ก็ได้พบว่ารอยกัดที่คอของตุลย์นั้นมันได้หายไปแล้ว
ด้วยความที่อลิซเธอนั้นตะคอกใส่ตุลย์และเสียงของเธอได้แหวกกระเจิงความสงบของคาเฟ่ จึงได้ทำให้ทุกสายตานั้นได้หันมามองอลิซ และเมื่ออลิซเธอมองไปโดยรอบแล้วและเห็นว่าทุกสายตานั้นจับจ้องมาที่เธอ จึงทำให้เธอรีบเก็บอาการและสงบลง จากนั้นอลิซจึงได้กลับมาคุยกับตุลย์แบบปกติ
“ถ้าเกิดว่ามันมีเหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้นจริง ๆ มันจะเป็นเพราะสาเหตุอะไรได้บ้างล่ะอลิซ” ตุลย์นั้นได้ถามอลิซด้วยความสงสัยและก็คิดว่าอลิซนั้นน่าจะให้คำตอบกับเขาได้ “เราไม่เคยยินมาก่อนนะว่าคนปกติที่ถูกกัดแล้วจะรอดอ่ะ…แต่เราไม่รู้ว่าถ้าเผ่าพันธุ์อื่นถูกกัดมันจะเป็นยังไง เรารู้เพียงแค่ว่าถ้าพวกไลแคนถูกกัดแบบเปลี่ยนให้เป็นพวก ไลแคนที่ถูกกัดนั้นก็จะกลายเป็นเลือดผสม แต่ถ้าแบบให้กำเนิดก็เป็นเลือดผสมนะ และแบบให้กำเนิดจะเก่งกว่าแบบที่ถูกกัด”
เมื่อตุลย์ได้ฟังที่อลิซอธิบายมาจนจบตุลย์นั้นก็ยังมีความสงสัยอยู่ นั่นก็เพราะว่าสิ่งที่อลิซอธิบายมานั้นมันยังไขข้อกระจ่างให้กับเขาไม่ได้เลย “อลิซ…สมมุติว่าถ้าโอปปาติกะถูกแวมไพร์กัดมันจะเป็นยังไงเหรอ” ตุลย์ได้เริ่มถามกับอลิซในสิ่งที่เขานั้นอยากจะรู้จริง ๆ แล้ว
“ไม่รู้สิ! เพราะเราเองก็ไม่เคยได้ยินหรืออ่านเจอเรื่องแบบนี้มาก่อนเหมือนกัน” อลิซได้ตอบตุลย์กลับไป แต่อลิซเธอนั้นก็ไม่ได้รู้อะไรเช่นกัน แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้อลิซจะเริ่มมีความอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาบ้างแล้ว เพราะคำถามของตุลย์นั้นมันได้ไปเหนี่ยวไกใส่ต่อมอยากรู้อยากเห็นของอลิซเข้าอย่างจัง
อลิซได้นั่งมองหน้าของตุลย์อยู่ชั่วครู่ “ตอนนี้เราเองก็อยากรู้เหมือนกันนะว่าถ้าเธอถูกแวมไพร์กัดขึ้นมามันจะเป็นยังไงกันนะ” อลิซได้พูดขึ้นพร้อมกับมองใบหน้าของตุลย์อย่างมีเลศนัยและก็ยิ้มอย่างกับว่ามีแผนการร้ายอยู่ในใจ “เธอคิดจะส่งเราไปให้พวกแวมไพร์กัดคออยู่รึเปล่าอลิซ” ตุลย์ได้ถามราวกับว่าเขารู้ทันความคิดของอลิซ “เปล๊า!!! เราไม่ได้คิดอะไรสักหน่อย” อลิซตอบปฏิเสธตุลย์อย่างมีเลศนัยเหมือนเดิม
ตุลย์และอลิซยังคงนั่งจิบกาแฟกันต่อไป “ว่าแต่!!! เธอมีคนที่ชอบมั้ยอ่ะตุลย์” อลิซได้ถามกับตุลย์ ดูเหมือนว่าอลิซจะเริ่มมีความสนใจและอยากจะรู้จักในตัวตนของตุลย์ให้มากขึ้นไปอีก “ไม่มีหรอก…เราไม่เคยชอบใครมาก่อน แล้วก็ไม่เคยมีใครมาชอบเราด้วย ว่าแต่เธอถามทำไมเหรออลิซ?” ตุลย์ถามอลิซด้วยความสงสัยในคำถามของอลิซ “เปล่าอ่ะ…ไม่มีอะไรหรอก!!!” อลิซตอบกลับตุลย์ ในขณะที่ตุลย์ก็ยังคงมองอลิซด้วยความสงสัยอยู่ “ไม่แน่ว่าตอนนี้อาจจะมีคนที่มาชอบเธอแล้วก็ได้นะตุลย์” อลิซเธอได้บอกกับตุลย์
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!