ชีวิต 'ไอยรา' ชายหนุ่มวัยยี่สิบกลางๆ ในกรุงเทพฯ ปี 2568 ไม่ได้มีอะไรหวือหวา เขาเป็นแค่นักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมดาๆ ใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อย อยู่กับกองหนังสือ อ่านการ์ตูน เล่นเกม และบ่นเรื่องอากาศร้อนๆ ในเมืองหลวง
แต่แล้ว... ในวันหนึ่งที่ฝนตกหนัก ฟ้าผ่าลงมาใกล้ๆ เขาที่กำลังจะวิ่งหลบฝนใต้ต้นไม้ใหญ่ ความรู้สึกสุดท้ายที่รับรู้คือแสงจ้าบาดตาและแรงกระแทกที่ทำให้โลกทั้งใบดับวูบ
เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง ไอยราพบว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในห้องนอนคุ้นเคย ไม่ได้อยู่ในกรุงเทพฯ ที่วุ่นวาย ไม่ได้อยู่ในปี 2568
เขากำลังนอนอยู่บนเตียงไม้สัก มีมุ้งบางๆ กั้นรอบ พัดลมไม่มี แอร์ไม่ต้องพูดถึง มีแต่ลมธรรมชาติที่พัดผ่านมาพร้อมกับกลิ่นดอกไม้ป่าและกลิ่นดินชื้นๆ เสียงรอบข้างไม่ใช่เสียงรถยนต์หรือเสียงผู้คนคุยโทรศัพท์ แต่เป็นเสียงไก่ขัน เสียงนก เสียงผู้คนพูดคุยกันด้วยถ้อยคำโบราณที่เขาเคยได้ยินแต่ในหนังพีเรียด
ที่สำคัญกว่านั้น... แขนขาที่ขยับอยู่ไม่ใช่แขนขาของเขา! มันเรียวเล็กกว่า นุ่มนิ่มกว่า และดูเหมือน... จะขาวผ่องกว่าของเขาเสียอีก!
ไอยราตกใจจนแทบจะกรี๊ดออกมา แต่เสียงที่เปล่งออกมากลับเป็นเสียงเล็กๆ ใสๆ ที่ฟังดูอ่อนหวานเหมือนเสียงผู้หญิงมากกว่าเสียงผู้ชายอกสามศอกอย่างเขา
"คุณหนูตื่นแล้วรึขอรับ!" เสียงชายหนุ่มดังขึ้นพร้อมกับมุ้งที่ถูกเปิดออก ชายหนุ่มท่าทางใจดี ผิวคล้ำแดด สวมเสื้อคอกระเช้า กางเกงสามส่วน นั่งลงข้างเตียงพร้อมรอยยิ้มเต็มใจ
"ใคร..." ไอยราพึมพำ รู้สึกมึนงงไปหมด
"ทองเองขอรับ คุณหนูไม่สบายจนไข้ขึ้น คงจะเพ้อไปแล้ว" ไอ้ทองพูดด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง ก่อนจะเอื้อมมือมาอังหน้าผากเขาอย่างแผ่วเบา "ตัวยังรุมๆ อยู่เลย คุณหลวง ท่านแม่นายเป็นห่วงแย่"
คุณหลวง? ท่านแม่นาย? ทอง? คุณหนู?
ความทรงจำที่ไม่ใช่ของตัวเองค่อยๆ ไหลเข้ามาในหัวไอยราเหมือนน้ำที่ซึมผ่านทราย ความทรงจำของ 'พุดตาน' ลูกชายคนเล็กของคุณหลวงปรีชาและแม่นายศรี น้องชายสุดที่รักของท่านขุนอินทร์ ชายงามแห่งเรือนที่ใครๆ ก็เอ็นดู...
พุดตานที่ป่วยหนักเพราะตากฝนเมื่อหลายวันก่อน... แล้ววิญญาณของเขาก็เข้ามาแทนที่?
ไอยรา... ไม่สิ ตอนนี้คือ'พุดตาน'ตกใจจนตัวแข็งทื่อ เขาไม่ได้ฝันไป! เขาย้อนเวลากลับมา! แถมยังมาอยู่ในร่างผู้ชายหน้าตาสวยหวานที่ชื่อพุดตานในสมัยอยุธยา!
โลกทั้งใบของเขาพลิกคว่ำไปหมด ในยุคที่ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีอินเทอร์เน็ต ไม่มีโซเชียลมีเดีย ไม่มีแม้แต่น้ำอัดลม! เขาจะอยู่ได้อย่างไร?!
แต่ความตกใจก็ถูกแทนที่ด้วยความอบอุ่น เมื่อแม่นายศรีและหลวงปรีชาก้าวเข้ามาในห้อง สีหน้าเต็มไปด้วยความห่วงใย แม่นายศรีนั่งลงลูบหัวเขาเบาๆ หลวงปรีชาจับชีพจรอย่างตั้งใจ น้ำเสียงของทั้งสองท่านเต็มไปด้วยความรักที่ทำให้พุดตานตัวปลอมรู้สึกผิดในใจที่เข้ามาอยู่ในร่างลูกชายสุดที่รักของพวกเขา
ไม่นาน ท่านขุนอินทร์ พี่ชายสุดหล่อก็เข้ามา ใบหน้าคมคายที่ปกติจะดูดุๆ ตอนนี้เต็มไปด้วยรอยย่นแห่งความกังวล ท่านขุนอินทร์นั่งลงขยี้หัวเขาเบาๆ อย่างที่ชอบทำประจำ พร้อมบ่นอุบอิบว่าให้ดูแลตัวเองหน่อย ทำให้พุดตานตัวปลอมรู้สึกได้ถึงความรักและความผูกพันของคนในครอบครัวนี้อย่างแท้จริง
ดูเหมือนว่า 'พุดตาน' ตัวจริงจะเป็นที่รักของทุกคนในบ้านนี้มากจริงๆ
ในความสับสนอลหม่านกับการต้องใช้ชีวิตในยุคที่ไม่คุ้นเคย พุดตานตัวปลอมต้องพยายามปรับตัว เรียนรู้วิถีชีวิต วัฒนธรรม ภาษา และมารยาทต่างๆ ของสมัยอยุธยา โดยมีไอ้ทองคอยเป็นพี่เลี้ยงส่วนตัว อดทนตอบคำถามแปลกๆ และช่วยเหลือเขาในทุกเรื่อง
แต่สิ่งที่พุดตานตัวปลอมไม่รู้คือ โชคชะตากำลังนำพาเขาไปพบกับใครบางคน... ใครบางคนที่ทรงอำนาจ น่าเกรงขาม แต่จะกลายมาเป็นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของเขา
'ท่านขุนเดช' ท่านขุนหนุ่มผู้เป็นสหายสนิทของพี่ชายเขาเอง... บุรุษผู้ที่จะมาพร้อมกับความรักที่ร้อนแรง ความหึงหวงที่น่ากลัว และจะทำให้ชีวิตในอยุธยาของพุดตานตัวปลอม ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป...
นี่คือเรื่องราวของไอยรา หรือพุดตาน ที่ต้องเอาตัวรอดในอดีต เรียนรู้ที่จะรัก และถูกรัก โดยท่านขุนผู้มีหัวใจภักดีเพียงหนึ่งเดียว... แม้ว่าความจริงของเขาจะคือความลับที่บอกใครไม่ได้ก็ตาม
ฝากกดใจเป็นกำลังใจให้ไรท์ด้วยน่ะ❤❤ คอมเม้นเป็นพลังให้ไรท์มาแต่งตอนต่อไปให้ทุกคนอ่านกันด้วยน่า🙏
แสงแดดยามเช้าแยงตา พุดตานตัวปลอมค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ความรู้สึกมึนงงจากไข้ยังคงมีอยู่เล็กน้อย แต่ความจริงที่ว่าเขาอยู่ในปีพุทธศักราชที่ห่างจากปีเกิดของตัวเองไปหลายร้อยปีต่างหากที่ทำให้หัวสมองตื่นตัวเต็มที่
เขาพลิกตัวช้าๆ มองสำรวจรอบๆ ห้องอีกครั้ง ทุกอย่างดูแปลกตาไปหมด ทั้งเครื่องเรือนไม้ ชุดผ้าฝ้ายที่สวมอยู่ และเสียงนกร้องที่ดังแว่วมาจากนอกหน้าต่าง
"คุณหนูตื่นแล้วจริงๆ ด้วย!" เสียงไอ้ทองดังขึ้นพร้อมกับเดินเข้ามาถือถ้วยน้ำอุ่นๆ "ดีจังเลยขอรับ ไข้ลดแล้วใช่ไหมขอรับ?"
พุดตานมองหน้าทองที่ยิ้มกว้างอย่างดีใจ รู้สึกผิดที่ต้องโกหก แต่ก็ไม่รู้จะอธิบายเรื่องการข้ามภพอย่างไรได้
"อือ... รู้สึกดีขึ้นแล้ว" เขาตอบเสียงเบา พยายามเลียนแบบน้ำเสียงและท่าทีที่รู้สึกว่าเป็นของ 'พุดตาน' คนเดิมจากความทรงจำที่ไหลเข้ามา
"โธ่ คุณหนู ทำเอาทองกับทุกคนใจหายใจคว่ำไปหมด" ทองบ่นด้วยน้ำเสียงโล่งอก ยื่นถ้วยน้ำอุ่นให้ "ดื่มน้ำก่อนนะขอรับ เดี๋ยวทองจะไปตามแม่นายมา"
พุดตานรับถ้วยน้ำมาจิบช้าๆ รู้สึกแปลกๆ กับน้ำเปล่าที่ไม่ได้แช่ตู้เย็นหรือใส่น้ำแข็ง แต่ก็จำต้องดื่ม
"ทอง... เมื่อคืน... ฝันแปลกๆ น่ะ" เขาลองเชิง อยากรู้ว่าท่าทีที่เขาแสดงออกเมื่อวานมัน 'แปลก' แค่ไหน
ไอ้ทองทำหน้าฉงนเล็กน้อย "ฝันว่ากระไรหรือขอรับ คุณหนูเพ้อถึงอะไรแปลกๆ ทั้งคืนเลย ทั้งแสงไฟสว่างๆ อะไรก็ไม่รู้ รถยนต์? ทองฟังแล้วไม่เข้าใจเลยขอรับ"
ใจพุดตานตกไปอยู่ตาตุ่ม! ตายแล้ว! เขาละเมอเป็นภาษาคนยุคใหม่ไปสินะ! ดีที่ทองคิดว่าเขาเพ้อ
"อ้อ... คงจะเพ้อจริงๆ นั่นแหละ" เขาหัวเราะแหะๆ "จำไม่ได้แล้ว"
"ช่างเถิดขอรับ คุณหนูหายดีแล้วก็พอ" ทองยิ้มอย่างโล่งใจ "เดี๋ยวทองไปยกสำรับมาให้เลยนะขอรับ คุณหนูไม่ได้ทานอะไรมาหลายวันแล้ว"
ทองเดินออกไปแล้ว พุดตานถอนหายใจยาวเหยียด เขาต้องระวังตัวให้มากกว่านี้! การใช้ชีวิตเป็นคนอื่นมันยากขนาดนี้เลยหรือ?!
ไม่นาน แม่นายศรีและหลวงปรีชาก็เข้ามาในห้อง ใบหน้าเต็มไปด้วยความสุขที่เห็นเขาฟื้นไข้ แม่นายศรีโอบกอดเขาอย่างอ่อนโยน หลวงปรีชานั่งลงจับข้อมือตรวจชีพจรอีกครั้ง
"หายดีแล้วจริงๆ ด้วยลูกแม่" แม่นายศรีพูดเสียงสั่น น้ำตาคลอเล็กน้อย "คราวหน้าคราวหลังอย่าไปตากฝนอีกนะรู้ไหม แม่เป็นห่วงแทบแย่"
"ขอรับ ท่านแม่" พุดตานตอบรับเสียงอ่อน รู้สึกผิดจับใจที่เห็นท่านแม่นายเป็นห่วงเขาถึงเพียงนี้
"พักผ่อนอีกสักหน่อยนะลูก" หลวงปรีชาพูดด้วยน้ำเสียงใจดี "ถ้าอยากได้อะไรก็บอกทองนะ"
หลังจากที่แม่นายศรีและหลวงปรีชาออกไปแล้ว ไอ้ทองก็ยกสำรับเช้าเข้ามา เป็นข้าวต้มร้อนๆ กับกับข้าวสองสามอย่าง กลิ่นหอมลอยมาเตะจมูก ทำให้พุดตานที่ไม่ได้กินอะไรเป็นชิ้นเป็นอันมาเกือบสองวันรู้สึกหิวขึ้นมาทันที
เขาพยายามใช้ช้อนไม้ตักข้าวต้มเข้าปากอย่างทุลักทุเล เพราะปกติเขาถนัดใช้ช้อนส้อมมากกว่า ไอ้ทองเห็นท่าทางเก้ๆ กังๆ ก็ยิ้มขำเล็กน้อย ก่อนจะเข้ามาช่วยพยุงถ้วยให้
"แหม คุณหนูไม่สบายจนลืมวิธีทานข้าวต้มไปเสียแล้วรึขอรับ" ทองแซวเบาๆ แต่ก็ไม่ได้มีท่าทีสงสัยอะไรมากนัก เพราะปกติพุดตานก็เป็นคนซนๆ เปิ่นๆ อยู่แล้ว
พุดตานยิ้มแห้งๆ ให้ทอง การต้องแสดงเป็น 'พุดตาน' คนเดิมมันยากกว่าที่คิดเยอะเลยแฮะ
ระหว่างที่กำลังนั่งทานข้าวต้มอย่างเอร็ดอร่อย เสียงฝีเท้าหนักๆ ก็ดังมาจากนอกชาน ไม่นานร่างสูงโปร่งในชุดผ้าไหมสีเข้มก็ก้าวเข้ามาในห้อง
เป็น 'ท่านขุนอินทร์' พี่ชายของเขาเอง! ใบหน้าคมคายที่ดูร้อนรนเล็กน้อยคลายลงเมื่อเห็นเขานั่งทานข้าวอยู่
"ไอ้พุด! หายแล้วรึวะ!" ท่านขุนอินทร์เดินเข้ามายีหัวเขาอย่างแรงจนผมเผ้ายุ่งไปหมด
"โอ๊ย! ท่านพี่อินทร์! ผมเพิ่งหายไข้นะขอรับ!" พุดตานร้องโวยวาย พยายามปัดมือพี่ชายออกไป แต่ก็อดรู้สึกอบอุ่นในอกไม่ได้กับท่าทีแบบเด็กๆ ของท่านขุนผู้ใหญ่
"ดีแล้วๆ หายเร็วๆ เสียที ข้าเป็นห่วงเจ้าจะตาย" ท่านขุนอินทร์พูดพลางทรุดตัวลงนั่งข้างเตียง มองเขาด้วยสายตาเอ็นดูสุดๆ "ไอ้ทองบอกว่าเจ้าเพ้ออะไรแปลกๆ ด้วยรึ? เพ้อถึงสาวไหนวะ"
"เพ้อถึงอะไรก็ไม่รู้ขอรับ ท่านขุน" ทองรีบตอบแทน "พูดจาแปลกๆ ฟังไม่รู้เรื่อง"
ท่านขุนอินทร์เลิกคิ้วเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ติดใจอะไรมาก อาจจะคิดว่าน้องชายคงเพ้อไปตามประสาคนป่วย
"ช่างเถิดๆ ต่อไปนี้อย่าไปซนตากฝนอีกนะรู้ไหม" ท่านขุนอินทร์ดุน้องชายเบาๆ ก่อนจะยื่นมือมาหยิบชิ้นหมูฝอยในถ้วยข้าวต้มเข้าปากตัวเองหน้าตาเฉย
"ท่านพี่! นั่นของผมนะขอรับ!" พุดตานโวยวาย
"แบ่งพี่บ้างสิวะ" ท่านขุนอินทร์เคี้ยวตุ้ยๆ อย่างไม่สะทกสะท้าน "หายดีแล้วก็มาช่วยพี่ทำงานบ้านบ้าง อย่าเอาแต่ซนไปวันๆ"
"ผมไม่ใช่บ่าวนะขอรับ!" พุดตานยู่หน้า
การโต้เถียงเล็กๆ น้อยๆ ระหว่างพี่น้องทำให้บรรยากาศในห้องกลับมาคึกคักอีกครั้ง พุดตานรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นเมื่อได้อยู่กับครอบครัว 'ใหม่' นี้ พวกเขาดูจะรักและยอมรับในตัว 'พุดตาน' คนเดิมอย่างไม่มีเงื่อนไข
หลังจากท่านขุนอินทร์ออกไปแล้ว ไอ้ทองก็เข้ามาเก็บสำรับ พุดตานมองตามแผ่นหลังของทอง รู้สึกขอบคุณในความใจดีของบ่าวผู้นี้ เขาโชคดีจริงๆ ที่มีทองคอยอยู่ข้างๆ
ตกบ่าย แม่นายศรีให้ทองพาพุดตานออกไปเดินเล่นรับลมที่สวนในบ้าน เพื่อให้ร่างกายได้ฟื้นฟู
สวนในบ้านคุณหลวงกว้างขวาง มีต้นไม้ดอกไม้มากมายส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ เสียงน้ำไหลจากลำธารจำลองทำให้รู้สึกสงบ พุดตานเดินสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าเต็มปอด รู้สึกดีกว่าการอยู่ในห้องแอร์ในยุคปัจจุบันเสียอีก
ขณะที่กำลังเดินชมดอกไม้เพลินๆ อยู่กับทอง สายตาของพุดตานก็พลันไปสะดุดเข้ากับบุรุษร่างสูงสง่าที่กำลังยืนคุยอยู่กับท่านขุนอินทร์อยู่ใต้ต้นมะม่วงใหญ่
บุรุษผู้นั้นสวมชุดผ้าไหมสีน้ำเงินเข้ม ขับให้ผิวขาวผ่องดูมีออร่าอย่างน่าประหลาด ใบหน้าคมคายหล่อเหลาราวกับรูปปั้น ดวงตาคมกริบที่มองตรงมาทางนี้ทำให้พุดตานถึงกับหยุดชะงัก
ท่านขุนอินทร์เห็นพุดตานก็โบกมือเรียก "ไอ้พุด! มานี่สิ! มาไหว้ท่านขุนเดชเสีย!"
ท่านขุนเดช...
ชื่อนี้ทำให้หัวใจของพุดตานเต้นแรงอย่างไม่ทราบสาเหตุ เขารู้สึกได้ถึงรังสีบางอย่างจากบุรุษผู้นี้ รังสีที่ทรงอำนาจ น่าเกรงขาม และดึงดูดอย่างประหลาด
พุดตานเดินเข้าไปหาพี่ชายและท่านขุนเดชช้าๆ โดยมีทองเดินตามมาติดๆ เขาพนมมือขึ้นอย่างงกๆ เงิ่นๆ เพราะไม่คุ้นเคยกับการไหว้ผู้ใหญ่แบบไทยโบราณนัก
"กราบท่านขุนเดชขอรับ" เขากล่าวเสียงเบา พยายามทำท่าทีให้ดูนอบน้อมที่สุด
ท่านขุนเดชไม่ได้ตอบคำ แต่ดวงตาคมกริบคู่นั้นกลับจ้องมองมาที่เขาอย่างพิจารณา ไล่ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า แววตาที่มองมานั้นยากจะคาดเดาว่าเป็นความรู้สึกใด ทำให้พุดตานรู้สึกประหม่าอย่างบอกไม่ถูก
นี่หรือคือ 'ท่านขุนเดช'... บุรุษผู้ที่ชะตาชีวิตกำลังจะนำพาเขาให้ผูกพันด้วยอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง?
โปรดติดตามตอนต่อไป...
นี่เป็นนิยายแรกของไรท์ ฝากกดใจเป็นกำลังใจให้ไรท์ด้วยน่ะ❤❤ คอมเม้นเป็นพลังให้ไรท์มาแต่งตอนต่อไปให้ทุกคนอ่านกันด้วยน่า🙏
พุดตาน ตื่นเช้าขึ้นมาด้วยความรู้สึกดีขึ้นกว่าเมื่อวาน แต่ก็ยังคงมีความมึนงงกับสภาพแวดล้อมอยู่ดี
เขาขยับตัวอย่างระมัดระวัง พยายามทบทวนความจำของ 'พุดตาน' คนเดิมที่ยังหลงเหลืออยู่ในหัว ทั้งเรื่องครอบครัว เรื่องบ้าน เรื่องชีวิตประจำวัน
"คุณหนูตื่นแล้วรึขอรับ" เสียงไอ้ทองดังขึ้นจากนอกมุ้งพร้อมกับร่างที่เดินเข้ามา ทองถืออ่างน้ำอุ่นเข้ามาให้พุดตานล้างหน้าล้างตา
"อื้อ... ตื่นแล้ว" พุดตานตอบรับ หยิบผ้าขนหนูที่ทองยื่นให้ขึ้นมาเช็ดหน้า "สบายตัวขึ้นเยอะเลย"
"ดีแล้วขอรับ" ทองยิ้มกว้าง ช่วยประคองให้พุดตานลุกขึ้นนั่ง "ทองจะช่วยแต่งตัวนะขอรับวันนี้ คุณหนูเพิ่งหายไข้"
พุดตานรู้สึกแปลกๆ ที่มีคนมาช่วยแต่งตัวให้ถึงขนาดนี้ แต่ก็ยอมให้ทองจัดการแต่โดยดี ไอ้ทองค่อยๆ สวมโจงกระเบนให้เขา จัดผ้าแถบที่อก สวมเสื้อคอกลมแขนยาวผ้าฝ้ายสีขาวที่นุ่มสบาย พุดตานมองตัวเองในกระจกเงาทองเหลืองที่ตั้งอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้ง ใบหน้าหวานๆ ดวงตากลมโต จมูกเล็ก ปากนิดจมูกหน่อย ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนไอยราคนเดิมเลยแม้แต่น้อย
"คุณหนูหน้าตาสดใสขึ้นแล้ว" ทองพูดด้วยความดีใจ มองพุดตานอย่างชื่นชม
"จริงเหรอ" พุดตานถามยิ้มๆ รู้สึกดีขึ้นเล็กน้อยเมื่อถูกชม
"จริงขอรับ" ทองยืนยันหนักแน่น "เมื่อวานยังดูซีดๆ อยู่เลย"
หลังจากแต่งตัวเสร็จ ทองก็พาพุดตานออกไปนั่งที่ชานเรือนใหญ่ อากาศยามเช้าสดชื่นมาก มีกลิ่นดอกไม้ป่าลอยมาตามลม พร้อมเสียงผู้คนในบ้านที่เริ่มทำงานกันแล้ว
ไม่นาน สำรับเช้าก็ถูกยกมาวางบนโต๊ะเตี้ยๆ ที่
ชานเรือน โดยมี 'ยายเฟื่อง' หญิงชราท่าทางใจดี เป็นคนยกถ้วยข้าวต้มร้อนๆ มาวางตรงหน้าพุดตาน
"อ้าว พ่อพุดตานฟื้นแล้วรึลูก" ยายเฟื่องทักด้วยน้ำเสียงเอ็นดู "ดีจริงๆ เลย ยายทำข้าวต้มปลาใส่ขิงอ่อนๆ ให้ กินแล้วจะได้มีแรงนะ"
"ขอบคุณขอรับ ยายเฟื่อง" พุดตานยกมือไหว้ยายเฟื่องอย่างนอบน้อม ยายเฟื่องเป็นแม่ครัวเก่าแก่ของบ้านนี้ อยู่มาตั้งแต่รุ่นแม่นายศรี เป็นที่นับหน้าถือตาของบ่าวไพร่ในบ้าน
"ทานเยอะๆ นะเจ้าคะ คุณหนู" 'อีทับ' สาวใช้รุ่นราวคราวเดียวกับทอง ที่รูปร่างเล็กๆ คล่องแคล่ว พูดขึ้นพลางยื่นถ้วยน้ำพริกกะปิกับผักสดมาให้แม่นายศรีที่เดินมานั่งร่วมโต๊ะแล้ว
อีทับเป็นสาวใช้ส่วนตัวของแม่นายศรี แต่ก็มักจะมาช่วยดูแลพุดตานด้วยอีกแรง
แม่นายศรีนั่งลงข้างๆ พุดตาน ลูบหลังเบาๆ "กินเถอะลูก จะได้หายป่วยไวๆ"
สักพัก หลวงปรีชาและท่านขุนอินทร์ก็เดินออกมาสมทบ ทั้งสองท่านดูสบายๆ ในชุดผ้าฝ้ายสำหรับอยู่บ้าน ไอ้ทองไปยกสำรับของทั้งสองท่านมาวาง โดยมี 'ไอ้จัน' เด็กหนุ่มรุ่นน้องของทอง ที่ดูท่าทางซื่อๆ ยิ้มง่าย คอยช่วยถือถาดตามมา
ไอ้จันเป็นเด็กในบ้านที่มักจะทำงานจุกจิกทั่วไป ทั้งช่วยทองดูแลพุดตาน ช่วยงานในสวน หรือช่วยงานในครัวบ้างแล้วแต่จะถูกเรียกใช้
"ไง ไอ้พุด หายดีแล้วกินเก่งเชียว" ท่านขุนอินทร์แซวเมื่อเห็นพุดตานตักข้าวต้มเข้าปากไม่หยุด
"ก็มันอร่อยนี่ขอรับ" พุดตานตอบ พลางหันไปยิ้มให้ยายเฟื่องที่ยืนมองอยู่ห่างๆ
"แน่จริงก็ลองไปทำเองดูสิ" ท่านขุนอินทร์ท้า
พุดตานยู่หน้า "ไม่เอาหรอกขอรับ "
"แล้วนั่นกินข้าวต้มประสาอะไรวะ ใช้ช้อนจิ้มๆ อยู่นั่นแหละ" ท่านขุนอินทร์ทักเมื่อเห็นพุดตานยังไม่ถนัดกับการใช้ช้อนไม้แบบโบราณ "เหมือนเด็กไม่เคยจับช้อนไปได้"
พุดตานหน้าเหวอเล็กน้อย ดีที่แม่นายศรีช่วยพูดขึ้นเสียก่อน
"แหม ท่านพี่อินทร์ ก็เพิ่งฟื้นไข้นี่ขอรับ" แม่นายศรีปรามลูกชายคนโต "อย่าไปแกล้งน้อง"
หลวงปรีชาได้แต่มองพุดตานนิ่งๆ แต่แววตาก็แฝงความสงสัยอยู่เล็กน้อย ตั้งแต่ฟื้นมาท่าทีของลูกชายก็ดูเปลี่ยนไป ทั้งการพูดจาบางครั้ง หรือกิริยาบางอย่างที่ดูไม่คุ้นตา แต่ท่านก็คิดว่าคงเป็นเพราะป่วยหนัก ทำให้เพ้อไปบ้าง
หลังจากทานข้าวเช้าเสร็จ หลวงปรีชากับท่านขุนอินทร์ก็ต้องไปทำงานราชการที่วัง ส่วนแม่นายศรีก็มีงานในเรือนต้องดูแล ส่วนพุดตานก็ถูกสั่งให้อยู่เรือนพักผ่อน
พุดตานใช้เวลาว่างเดินสำรวจเรือนอีกครั้ง เรือนของหลวงปรีชาเป็นเรือนไม้หลังใหญ่ มีหลายหลังเชื่อมต่อกัน มีทั้งเรือนนอน เรือนรับแขก เรือนครัว และเรือนสำหรับบ่าวไพร่ มีสวนกว้างขวาง มีศาลาริมน้ำ
เขาเห็นบ่าวไพร่คนอื่นๆ ทำงานกันขยันขันแข็ง ทั้ง 'ไอ้มาก' ชายหนุ่มรูปร่างกำยำที่กำลังหาบน้ำจากบ่อน้ำขึ้นมาใส่ตุ่ม 'อีแย้ม' สาวใช้ที่กำลังซักผ้าอยู่ริมท่าน้ำ หรือ 'ตาสน' คนสวนสูงอายุที่กำลังตัดแต่งกิ่งไม้
ไอ้ทองคอยเดินตามพุดตานไปตลอด คอยชี้ชวนให้ดูโน่นดูนี่ และตอบคำถามแปลกๆ ของพุดตานอย่างอดทน
"ทอง ไอ้มากนี่ทำงานหนักทุกวันเลยเหรอ" พุดตานถาม ขณะมองไอ้มากที่เหงื่อท่วมตัว
"ขอรับคุณหนู งานพวกผู้ชายก็จะหนักหน่อยขอรับ" ทองตอบ
"แล้วพวกผู้หญิงทำอะไรบ้าง"
"ก็มีซักผ้า ตำน้ำพริก ทำกับข้าว กวาดเรือน ถูเรือน เก็บกวาดดูแลความสะอาดขอรับ" ทองอธิบาย พลางชี้ให้ดูอีทับที่กำลังกวาดใบไม้อยู่บนชานเรือน
พุดตานมองชีวิตความเป็นอยู่ของบ่าวไพร่ในบ้านแล้วก็รู้สึกทึ่ง นี่คือชีวิตในอดีตที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน
ขณะที่กำลังเดินเล่นอยู่เพลินๆ ไอ้จันก็วิ่งหน้าตื่นเข้ามาหาทอง
"พี่ทอง! พี่ทอง! ท่านขุนเดชมาขอรับ!" ไอ้จันพูดเสียงหอบ
ท่านขุนเดช?! พุดตานหัวใจเต้นแรงอีกแล้ว เขากำลังมาทำอะไรที่นี่นะ ปกติท่านขุนเดชจะมาหาแต่ท่านขุนอินทร์นี่นา
"ไปเถิดขอรับคุณหนู ท่านขุนเดชคงมาหาท่านแม่นาย" ทองบอก พลางเดินนำไปทางเรือนรับแขก
พุดตานเดินตามไปอย่างงงๆ เมื่อไปถึงเรือนรับแขก ก็เห็นแม่นายศรีกำลังนั่งคุยอยู่กับท่านขุนเดช ท่าทางสนิทสนมตามประสาผู้ใหญ่ ท่านขุนเดชอยู่ในชุดเต็มยศ ดูสง่างามยิ่งกว่าเมื่อวานเสียอีก
"อ้าว พ่อพุดตาน มาพอดีเลยลูก" แม่นายศรีทักทาย "มาไหว้ท่านขุนเดชเสียสิลูก"
พุดตานยกมือไหว้อย่างประหม่าอีกครั้ง
"กราบท่านขุนเดชขอรับ"
ท่านขุนเดชหันมามองเขาช้าๆ ดวงตาคมกริบคู่นั้นจ้องมองมาที่เขาอีกแล้ว คราวนี้สายตาของท่านขุนเดชไม่ได้มีแค่ความพิจารณา แต่เหมือนจะมีอะไรบางอย่างที่ลึกซึ้งและร้อนแรงซ่อนอยู่ ทำให้พุดตานรู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งหน้า
"หายดีแล้วรึ พุดตาน" เสียงทุ้มนุ่มของท่านขุนเดชดังขึ้น คำพูดธรรมดาๆ แต่กลับฟังดูอ่อนโยนอย่างประหลาด
"ขอรับ... หายดีแล้วขอรับ" พุดตานตอบเสียงเบา ไม่กล้าสบตานิ่งๆ ของท่านขุนเดช
"ดีแล้ว" ท่านขุนเดชพยักหน้าช้าๆ ก่อนจะหันไปคุยกับแม่นายศรีต่อ แต่สายตาของท่านก็ยังคงแอบมองมาที่พุดตานเป็นระยะ
พุดตานรู้สึกเหมือนโดนจับจ้องตลอดเวลา จะขยับตัวก็เกร็งไปหมด เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมท่านขุนเดชถึงได้จ้องเขาแบบนี้ หรือว่าท่านขุนเดชจะรู้ว่าเขาไม่ใช่พุดตานตัวจริง?!
แต่ดูจากท่าทีของแม่นายศรีที่ดูสบายๆ ท่านคงไม่ได้สงสัยอะไร
ท่านขุนเดชคุยธุระกับแม่นายศรีอยู่พักหนึ่ง ส่วนพุดตานก็นั่งเงียบๆ อยู่ใกล้ๆ ได้แต่แอบมองท่านขุนเดชเป็นครั้งคราว ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกว่าท่านขุนเดชเป็นบุรุษที่สง่างามและน่ามองอย่างน่าประหลาด
ก่อนจะกลับ ท่านขุนเดชก็หันมาทางพุดตานอีกครั้ง
"พักผ่อนให้มากๆ นะพุดตาน ร่างกายจะได้แข็งแรงโดยเร็ว" ท่านขุนเดชพูดด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูห่วงใยกว่าปกติ
"ขอบคุณ... ขอบคุณขอรับ ท่านขุน" พุดตานตอบตะกุกตะกัก
ท่านขุนเดชยิ้มบางๆ ที่มุมปาก เป็นรอยยิ้มที่ทำให้พุดตานรู้สึกวาบหวามในใจอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
เมื่อท่านขุนเดชกลับไปแล้ว พุดตานก็ยังคงนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม รู้สึกสับสนไปหมดกับท่าทีของท่านขุนเดช
"ท่านขุนเดชดูจะเอ็นดูคุณหนูมากเลยนะเจ้าคะ" อีทับที่เดินมาช่วยแม่นายเก็บสำรับน้ำชาพูดขึ้น
แม่นายศรีได้ยินก็ยิ้มบางๆ "ท่านขุนเดชเป็นคนดี มีน้ำใจ ท่านสนิทกับท่านพี่อินทร์มาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว"
"นั่นสิขอรับ ท่านขุนเดชดูห่วงใยคุณหนูจริงๆ" ทองเสริม
พุดตานได้แต่ฟัง ทุกคนดูจะไม่เห็นสายตา 'แบบนั้น' ที่ท่านขุนเดชใช้มองเขาเลยนี่นา หรือเขาจะคิดไปเอง?
ไม่สิ สายตาแบบนั้นมันไม่ใช่สายตาที่ผู้ใหญ่ใช้มองเด็ก ไม่ใช่สายตาที่เพื่อนพี่ชายใช้มองน้องชายเพื่อน แต่มันคือสายตาที่... ที่คนมองคนที่ตัวเองสนใจต่างหาก!
หัวใจของพุดตานเต้นรัวเมื่อคิดถึงความเป็นไปได้นี้
แต่... เป็นไปได้อย่างไร? ท่านขุนเดชจะมาสนใจผู้ชายอย่างเขาได้ยังไง? แถมเขาก็ยังเป็นแค่คนที่วิญญาณมาอยู่ในร่างคนอื่นอีกต่างหาก!
พุดตานรู้สึกว่าชีวิตในอยุธยาของเขาคงจะไม่ง่ายอย่างที่คิดเสียแล้ว นอกจากจะต้องเอาตัวรอดจากความไม่คุ้นเคยแล้ว เขายังต้องรับมือกับความรู้สึกแปลกๆ ที่มีต่อท่านขุนเดช และสายตาคู่เดิมที่ดูเหมือนจะมองทะลุเข้ามาถึงข้างในจิตใจของเขาได้เสียด้วยสิ
ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัว พุดตานถอนหายใจยาว...
โปรดติดตามตอนต่อไป...
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!