ในบ้านเก่าหลังหนึ่งที่เงียบงันและมีต้นลั่นทมยืนต้นโดดเดี่ยวอยู่ท้ายสวน คนสวนชราผู้หนึ่งเดินเข้าไปในสุสานเล็กหลังบ้านตามปกติ เขานำกับข้าวไปวางหน้าโลงเเก้วของ คุณลั่นทม อดีตเจ้าของบ้านผู้ล่วงลับ ก่อนจะจุดธูปกระซิบเบา ๆ อย่างเคารพ
ทว่าในแสงเทียนริบหรี่ เขากลับเห็นบางสิ่งวาววับเรืองแสง...
แหวนเพชรเม็ดใหญ่บนนิ้วนางของโครงกระดูกในโลงที่แง้มไว้
“ใส่แหวนยังงี้จะให้ใครใช้...”
เสียงกิเลสดังก้องในใจ ก่อนเขาจะล้วงเอาแหวนออกจากนิ้วอย่างเบามือ
เขานำแหวนไปขายที่ร้านทองแห่งหนึ่งกลางเมือง ได้เงินก้อนโตในทันที
แต่ขณะขี่มอเตอร์ไซค์กลับบ้าน รถกลับเสียหลักชนต้นไม้ เสียชีวิตคาที่
ร้านทองที่รับซื้อแหวนวงนั้น...เริ่มมีเหตุการณ์ประหลาด ทั้งเสียงผู้หญิงหัวเราะในตอนดึก หลอดไฟระเบิดทั้งที่ไม่มีใครอยู่ และในกล้องวงจรปิดก็เห็นร่างผู้หญิงในชุดขาวเดินวนไปวนมาทุกเที่ยงคืน
ไม่นานก็มีสามีภรรยาคู่หนึ่งมาเลือกซื้อแหวนที่ร้านนั้น
ภรรยาสะดุดตากับแหวนเพชรเม็ดงามวงหนึ่ง
ทันทีที่สวมมัน เธอกล่าวว่า "รู้สึกคุ้นแปลกๆ เหมือนเคยใส่มาก่อน"
สามีเดินขึ้นบันไดอย่างช้า ๆ หลังได้ยินเสียงฝีเท้าดัง "ตึก... ตึก..." บนชั้นสอง ทั้งที่รู้ว่าภรรยายังอยู่ในครัวด้านล่าง
ไฟที่ปลายทางเดินกระพริบถี่ ๆ ก่อนจะดับลง ทิ้งไว้เพียงความมืดขมุกขมัว
"แกร็ก... แกร็ก..."
เสียงบางอย่างเหมือนไม้ฝ้าเพดานกำลังแตกร้าวดังขึ้นด้านบน
เขาเงยหน้าขึ้นมอง...
และนั่นเอง...
“เธอ”
ร่างของหญิงสาวในชุดขาวห้อยหัวลงมาจากเพดาน
ศีรษะพลิกกลับด้านผิดธรรมชาติ ผมดำยาวปกปิดใบหน้า กำลังค่อย ๆ แกว่งไกวอย่างไร้แรงโน้มถ่วง
เสียงหัวเราะแหบแห้งเริ่มดังขึ้น "คึ...คึ...คึ..."
มือซีดเซียวของเธอยื่นออกมาช้า ๆ ปลายนิ้วแหลมค่อย ๆ กรีดอากาศเบื้องหน้า
จากใต้ผมที่ปกปิดหน้า ดวงตาขาวโพลนคู่หนึ่งจ้องเขม็ง
ริมฝีปากแสยะยิ้มกว้างเกินกว่าคนปกติ — จนถึงข้างแก้ม
เสียงกระซิบเย็นเยียบเล็ดลอดออกมาจากลำคอที่เหมือนขาดเป็นสองท่อน
“แหวนกู...อยู่ไหน…”
และทันใดนั้น เธอก็กรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง!
“เอาแหวนกูคืนมา!!!!”ขณะเดียวกัน ภรรยากำลังเปิดฝาชีเพื่อจะกินอาหาร
ในจานกลับไม่ใช่กับข้าว
แต่เป็น “หัวของลั่นทม” ที่ยิ้มแสยะ แววตาจ้องเขม็ง ริมฝีปากขยับอย่างแผ่วเบา
“แหวนกูอยู่ไหน…”
รสสุคนธ์ ผู้หญิงเจ้าของแหวนวงนั้นคนใหม่
นั่งหวีผมอยู่หน้ากระจก อยู่ ๆ มือสีดำก็เอื้อมมาปิดหน้าเธอจากด้านหลัง พร้อมเสียงกระซิบแผ่วเบา
“แหวนเพชรฉันอยู่ไหน…”
มือค่อย ๆ ปลดออก เผยให้เห็นเงาสะท้อนของ “หญิงสาวผมยาวในชุดขาว”
ยืนอยู่ด้านหลังพร้อมกรีดร้องก้องหู
“แหวนกูอยู่ไหน!!!”
นั่งอยู่ดีๆอยุ่ดีๆมีความรู้สึกว่ามีใครบางคนเดินเข้ามาใกล้เก้าอี้ถูกเคลื่อนออกเล็กน้อยฉันมีความรู้สึกว่ามีใครบางคนกำลังนั่งอยู่กับฉัน ฉันเงยหน้าขึ้นแล้วพบว่ากับข้าวลดลงไปอย่างกับเหมือนมีคนเอาไป ตกดึกคืนนั้นมีไฟปิดเปิดกลางบ้านบ่อยครั่งทุกครั่งที่มีไฟปิดลงมักจะมีเงาของใครบางคนปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าต่างแล้วแสยะยิ้มเธอมักจะได้ยินเสียงคนเรียกให้ช่วยแบบไม่รู้ทิศทางทุกอย่าเกิดขึ้นหลังจากที่สามีของฉันไปทำงานต่างจังหวัดฉันตื่นขึ้นมาตอนเช้าจัดเตรียมอาหารเพื่อที่จะทำกับข้าวไปวัดระหว่างที่ฉันกำลังนำภัตตาหารไปให้พระสงฆ์ ทำไมไม่ชวนเพื่อนเข้ามาด้วยหรอคะ เพื่อนที่ไหนคะหลวงพ่อ
หน้าวัดไงโยมคนที่ใส่ชุดสีชมพูลายดอกไม้ จังหวัดนั่น ที่รสสุคนธ์เดินออกจากวัดหลวงพ่อเห็นหญิงสาวคนนั้นเดินเกาะไหล่แล้วร่างนั่นก็หันมายิ้มให้กับหลวงพ่ออย่างน่าสยองหลวงพ่อคิดได้ทันทีว่านี้ไม่ใช่คน
ค่ำคืนนั้นเงียบสงัดจนน่าผิดสังเกต ฉันนั่งอยู่คนเดียวกลางห้องโถง เสียงทีวีแผ่วเบาแต่ไม่ได้ช่วยคลายความเงียบ
จู่ ๆ ก็รู้สึกเหมือนใครบางคนเดินเข้ามาใกล้จากด้านหลัง...
เก้าอี้ที่ฉันนั่งอยู่เคลื่อนออกไปเล็กน้อยโดยที่ฉันไม่ได้ขยับ
เหมือนมีแรงของใครบางคนแทรกเข้ามานั่งข้าง ๆ อย่างเงียบเชียบ
ฉันรู้สึกได้ถึงลมหายใจเย็นเยียบข้างหู
หัวใจเต้นแรงจนน่ากลัว ฉันกลั้นหายใจ...แล้วค่อย ๆ เงยหน้าขึ้น
บนโต๊ะอาหาร กับข้าวที่เตรียมไว้กลับลดลงไปอย่างน่าประหลาด
ไม่มีใครอยู่ในบ้าน...ไม่มีใครเลยจริง ๆ
คืนนั้นทั้งคืน ไฟในบ้านปิดเปิดเองอยู่หลายครั้ง
และทุกครั้งที่ไฟดับลง...
ฉันมักเห็นเงาดำของผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่ที่หน้าต่าง
เงานั่นมักจะแสยะยิ้มกว้างผิดรูป ดวงตาจ้องตรงมาไม่กระพริบ
ทุกครั้งที่เธอปรากฏ ฉันจะได้ยินเสียงเรียก
เสียงเบา ๆ แว่วมาเหมือนลอยมาตามลม
"ช่วยฉันด้วย..."
"เอาของฉันคืนมา..."
หลังจากที่สามีของฉันต้องไปทำงานต่างจังหวัด ความหลอนก็ยิ่งทวีคูณ
เช้าวันหนึ่ง ฉันลุกขึ้นเตรียมอาหารเพื่อจะนำไปวัดตามปกติ
ขณะกำลังถวายภัตตาหาร หลวงพ่อพูดขึ้นอย่างสุภาพว่า
"ทำไมไม่ชวนเพื่อนมาด้วยล่ะ โยม?"
ฉันนิ่งไปก่อนจะยิ้มตอบ
"เพื่อนที่ไหนกันคะ?"
หลวงพ่อขมวดคิ้ว
"ก็คนที่ยืนอยู่หน้าวัดกับโยมนั่นไง... ใส่ชุดสีชมพูลายดอกไม้..."
ฉันหน้าซีดเผือด — ฉันมาคนเดียว
หลวงพ่อหันไปมอง แต่ไม่พบใครแล้ว
"เธอเดินเกาะไหล่โยมอยู่เลยนะ...แล้วหันมายิ้มให้หลวงพ่อแบบ...ไม่น่าใช่คน..."
ฉันกลับออกจากวัดด้วยความรู้สึกไม่สบายใจ
บนท้องถนน ในขณะขับรถกลับบ้าน
ฉันเห็นเธออีกครั้ง...
หญิงสาวในชุดสีชมพูลายดอกไม้ ยืนอยู่กลางถนน
ใบหน้าของเธอยื่นเข้ามาในกรอบกระจกรถด้านคนขับ
หัวของเธอบิดหันมาช้า ๆ พร้อมพูดเสียงเย็นเยียบว่า...
"เอาแหวนกูคืนมา!!!"
ฉันกรีดร้อง เบรกกระทันหัน
รถหมุนเสียหลักเกือบตกข้างทาง แต่ยังควบคุมไว้ได้
เมื่อเงยหน้ามองไปอีกครั้ง...
เธอหายไปแล้ว
แต่กระจกฝั่งคนขับ...ยังคงมีรอยมือเปื้อนสีดำป้ายยาวจากด้านใน...
ยามค่ำคืนในบ้านเงียบสงัด มีเพียงเสียงนาฬิกาแขวนผนังที่ดังเป็นจังหวะบอกเวลาใกล้ตีสอง
หลานสาววัยสิบขวบเดินย่องลงมาจากชั้นบน เธอคอแห้งและรู้สึกกระหายน้ำ
ดวงตายังปรือเพราะความง่วง เธอก้าวช้า ๆ ผ่านห้องนั่งเล่นที่มืดมิด ก่อนมาหยุดอยู่หน้าตู้เย็นในครัว
เธอยกมือจับที่เปิดประตูตู้เย็น…
แต่ก่อนที่มือของเธอจะสัมผัสกับที่จับ
บานประตูนั้นกลับขยับออกเองอย่างช้า ๆ
และแล้ว…
มือหนึ่ง—เหี่ยวแห้ง ซีดเซียว ดูไม่ต่างจากมือของศพ—เลื่อนออกมาช้า ๆ จากเงามืดในตู้เย็น
ดวงตาเล็ก ๆ เบิกโพลงด้วยความตกใจ
มือข้างนั้นนิ้วนางขวาสวมแหวนเพชรเรือนทองวาววับ
เธอจ้องมันนิ่งเหมือนต้องมนตร์
เพราะเธอแน่ใจว่าเคยเห็นแหวนวงนี้มาก่อน
ใช่… นั่นคือแหวนของน้า!
แหวนที่น้าของเธอเคยใส่ติดตัวเป็นประจำ
แหวนที่หายไปเมื่อหลายปีก่อน
น้าเคยบอกว่า “ทำหาย” ระหว่างเดินทาง
แต่เด็กหญิงจำได้… วันนั้นน้าร้องไห้หนักมาก ราวกับแหวนวงนั้นมีอะไรมากกว่าความทรงจำ
และตอนนี้…
แหวนกลับอยู่ในมือนิรนามที่ไม่มีเจ้าของ
ในตู้เย็นที่ไม่มีทางมีใครอยู่ข้างในได้
ในคืนที่น้าของเธอ…ยังนอนอยู่บนเตียงชั้นบน
เด็กหญิงหันขวับไปมองบันได พลางตัวสั่น
“น้า…?” เธอกระซิบเรียกเสียงแผ่ว
แต่ไม่มีเสียงตอบรับ มีเพียงลมเย็นวูบหนึ่ง
และมือแห้งเหี่ยว…ที่ค่อย ๆ หายลับกลับเข้าไปในความมืดของตู้เย็น
ก่อนที่ประตูจะปิดลง…อย่างช้า ๆ เอง
หลังจากหายไปนานหลายอาทิตย์ ชีพ กลับมาหา รสสุคนธ์ พร้อมดอกไม้ในมือและรอยยิ้มอบอุ่น ทั้งสองโผเข้าหากันด้วยความคิดถึง ความเงียบเหงาและช่องว่างที่เคยมีกลับถูกเติมเต็มในทันที พวกเขากลับมาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอีกครั้งภายในบ้านหลังเดิมที่อบอุ่น
แต่เรื่องราว… ไม่ได้จบลงแค่นั้น
คืนหนึ่ง ในยามดึก ท่ามกลางความเงียบสงัด มีเพียงเสียงนาฬิกาเดินช้า ๆ กับแสงไฟถนนจากภายนอกที่ลอดผ่านผ้าม่านบางเข้ามาในห้องนอน
เสียงลมหายใจแผ่วเบาของรสสุคนธ์ข้างกายยังคงสม่ำเสมอ บ่งบอกว่าเธอยังหลับสนิท ท่ามกลางความเงียบที่เหมือนโลกทั้งใบหยุดนิ่ง
ชีพ พลิกตัวหงาย มองเพดานสีซีดที่ถูกแต่งแต้มด้วยแสงส้มสลัวจากไฟถนนนอกบ้าน แต่ในห้วงความเงียบนั้นเอง...เขากลับสัมผัสได้ถึง "บางสิ่ง" เงาเคลื่อนไหว...เบาเกินกว่าจะเป็นมนุษย์ ตัดผ่านแสงไฟที่ลอดผ่านผ้าม่าน เงานั้นไหววูบอยู่ปลายเตียง ก่อนจะหยุดนิ่งข้างตู้เสื้อผ้า
เขาขยับตัวเล็กน้อย กะพริบตาอีกครั้งเพื่อปรับสายตา แล้วภาพนั้นก็ชัดเจนขึ้น...
เงาของผู้หญิงคนหนึ่ง ยืนหันหลังอยู่ ปล่อยผมยาวสยายปิดท้ายทอย เธอค่อย ๆ ใช้นิ้วเรียวยาว—ผิดธรรมชาติ ยาวเกินมนุษย์—สางผมตัวเองช้า ๆ เสียงเส้นผมเสียดสีกัน…แห้งกรัง เหมือนกำลังสางเส้นผมที่เปื้อนเลือดหรือฝุ่นจากโลงเก่า ๆ
“ผมฉัน…สวยไหม…”
เสียงของเธอเบา แต่เย็นเยียบ…และเหมือนกระซิบเข้ามาในหูโดยไม่ต้องเดินเข้ามาใกล้ ชีพขมวดคิ้ว ใจเต้นแรงโดยไม่รู้ตัว
“สุคนธ์...? เธอหวีผมอะไรตอนนี้...” เขาถามอย่างมึนงง เสียงสั่นเล็กน้อย
แล้วร่างนั้น...หยุดชะงัก
“กร๊อบ…กร๊อบ…แกร๊ก...” เสียงกระดูกบิดตัวดังขึ้นทีละปล้อง คอของเธอค่อย ๆ หมุนกลับมา…ไม่ใช่เพียงแค่ศีรษะ แต่ทั้งหัวของเธอ...บิดกลับจนเกินกว่าที่มนุษย์จะทำได้
ใบหน้า ที่เผยออกมานั้นเน่าเฟะ ดวงตากลวงโบ๋ มีเพียงความมืดสนิทที่สะท้อนแสงส้มจากหน้าต่าง ริมฝีปากฉีกจนถึงแก้ม เปื้อนคราบเลือดแห้งเกรอะ แต่ยังฝืนยิ้ม…ยิ้มกว้างจนเห็นเหงือกเน่า
เธอกระโจนเข้ามาในพริบตา—เสียงลมแหวกดังวูบใหญ่ คร่อมลงบนอกของชีพเต็มแรง จนเขาหายใจแทบไม่ออก กลิ่นเน่าเหม็นรุนแรงตีขึ้นจมูก เขาสำลักอากาศอย่างตกใจ
“ผมกูสวยไหม!!!”
เสียงเธอเปลี่ยนเป็นเสียงแหบต่ำปนเสียงกรีดร้อง ก้องสะท้อนทั่วห้องราวกับมาจากหลุมศพนับสิบ มือที่เย็นเฉียบจับคอของเขาแน่น...เล็บยาวแข็งจิกเข้าเนื้อจนเลือดซึม ชีพพยายามจะร้อง...แต่เสียงของเขาหายไป ห้องทั้งห้องเหมือนกำลังหมุนกลับด้าน ภาพตรงหน้าเริ่มพร่า... ก่อนที่สติจะดับวูบลง
หลังจากผ่านค่ำคืนที่แสนทรมาน
ร่างกายของทั้ง ชีพ และ รสสุคนธ์ เหนื่อยอ่อน ดวงตาแดงก่ำจากการนอนไม่พอ และจิตใจยังคงสั่นไหวจากเหตุการณ์สยองที่เกิดขึ้นเมื่อคืน
ตะวันเช้าสาดแสงลงมาบางเบา แต่ไม่อาจทำให้บรรยากาศในบ้านดูสดใสขึ้น
ความอึมครึมยังปกคลุมเหมือนหมอกบาง ๆ ที่มองไม่เห็น
ทั้งคู่หยิบกล่องใส่แหวนเพชร วงนั้นออกมา—วงที่ รสสุคนธ์ เชื่อว่าเป็นของแม่เธอ
พวกเขาตั้งใจจะ “คืน” แหวนให้เจ้าของเดิม
ชีพจุดธูปหนึ่งดอก บรรจงจ่อไฟอย่างตั้งใจ
...แต่สิ่งแปลกประหลาดก็เกิดขึ้น
ไฟที่หัวธูปไม่ติดเสียที ทั้งที่บ้านไม่มีลมเลยแม้แต่นิด
เขาลองอีกครั้ง…และอีกครั้ง
ไฟติดเพียงชั่วครู่ ก่อนจะดับวูบเหมือนมีบางอย่างเป่ามันออกไป
รสสุคนธ์ขมวดคิ้ว มองแหวนในมือแน่น ก่อนจะตัดสินใจพูดเสียงแน่น
“ฉันจะไม่ยอมคืนแหวนวงนี้ให้เธอหรอกนะ…”
เธอกำแหวนแน่นจนข้อขาว
“ฉันกับชีพรักกันมาก ไม่ว่ายังไงฉันจะแต่งงานกับชีพ!”
ขณะที่คำพูดของรสสุคนธ์จบลง
อุณหภูมิในห้องลดลงอย่างรวดเร็ว
ลมเย็นจัดพัดวูบเข้ามาโดยไร้สาเหตุ ผ้าม่านพลิ้วไหวแม้หน้าต่างจะปิดสนิท
ฟึ่บ!
ธูปที่จุดไว้ถูกบางอย่าง "ปัดตกลงพื้น" อย่างแรง
เสียงกรีดร้องเบา ๆ ดังแว่วเข้าหูพวกเขา
เสียงเหมือนหญิงสาวที่เจ็บปวดและโกรธเกรี้ยวปะปนกัน
แล้วกล่องใส่แหวนที่วางอยู่บนโต๊ะก็ เลื่อนเองช้า ๆ ราวกับมีมือที่มองไม่เห็นผลักมันออกห่างจากรสสุคนธ์
ทันใดนั้น...
เสียงผู้หญิงที่ทั้งเย็นเยียบและแผ่วเบา เอ่ยจากมุมมืดของห้อง
“ของ ๆ ฉัน…ไม่มีวันเป็นของเธอ”
เสียงนั้นสะกิดเข้าไปในหัวใจของรสสุคนธ์จนเธอขนลุก
ชีพรีบคว้าเธอไว้เมื่ออุณหภูมิเริ่มลดต่ำลงจนเห็นลมหายใจเป็นไอ
ลั่นทม…ยังไม่จากไปไหน
และเธอไม่ยอมปล่อยมือจากความรักครั้งเก่า—แม้จะตายไปแล้ว
จ บ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!