NovelToon NovelToon

ข้านี่แหละผู้กล้าสุดแกร่งจากต่างโลก

Introduction::Destiny ชะตา

Introduction::Destiny ชะตา

เคร้ง!! 

เสียงของท่อนเหล็กที่คมกริบฟันกระทบกันสนั่นท่ามกลางกองซากศพของทหารชุดเกราะนับหมื่นที่นอนตายเกลื่อนกลาดบนทะเลเลือดที่ย้อมผืนดินบริเวณนั้นให้เป็นสีแดงฉานราวกับภาพวาด อีกทั้งยังส่งกลิ่นคาวเลือดชวนคลื่นเหียนแต่ทว่า สิ่งเหล่านี้มันไม่มีผลกระทบอะไรกับทั้งสองที่กำลังห้ำหั่นกันอย่างเอาเป็นเอาตาย..

“มันต้องแบบนี้สิ ฮ่าฮ่าฮ่า!!!”

เคร้ง!!!!

เสียงคำรามกึกก้องราวกับถูกใจได้แทรกผ่านมายามที่ดาบยักษ์ทั้งสองอันคมกริบฟาดลงมาเต็มแรงด้วยร่างที่สูง 6 เมตรและกำยำพร้อมกับพละกำลังมหาศาลเกินกว่าที่มนุษย์จะรับไหวโดยที่อีกฝ่ายเป็นแค่ชายหนุ่มที่อยู่ในชุดนักรบเสื้อโค้ดสีดำราวกับหลุดออกมาจากเกมส์ได้ใช้ดาบเดียวรับน้ำหนักการฟันของฝั่งตรงข้ามได้อย่างสูสีแต่สีหน้าที่ชุ่มด้วยเลือดจากหัวที่แตกบ่งบอกได้ว่าเริ่มเต็มกลืนเสียแล้ว

“แกสินะ เซอร์ซอร์ด…ปีศาจในสนามรบ..ถึงว่าขนาดแค่ทหาร 1000 นายได้ตายเรียบแบบนี้ก็ไม่ต้องสงสัยแล้ว!!!!”

ชายหนุ่มตะโกนออกมาพร้อมกับรอบกายเริ่มมีแสงเรืองสีทองและยกดาบขึ้นมากันดาบสองมือของฝั่งตรงข้ามราวกับว่าเขามีพละกำลังที่จะสามารถต่อกรกับสิ่งท้าทายตรงหน้าได้โดยที่เขายกขาถีบอีกฝ่ายที่ร่างยักษ์และน้ำหนักเยอะกว่ากระเด็นด้วยลูกถีบเพียงลูกเดียวไปไกลถึง 10 เมตร จนร่างยักษ์นั่นกระแทกเข้ากับหน้าผาก่อนที่มันจะทลายลงมาทับเซอร์ซอร์ดให้จมเพราะแรงกระแทก

“เจ็บหน่อยนะ..ถึงจะบอกแค่ว่าออมมือให้”

ชายหนุ่มยกมือปาดเลือดที่เลอะใบหน้าออกพร้อมกับร่างกายเรืองแสงสีทองมากขึ้นโดยที่สายลมที่เคยพัดมาอย่างอ่อนโยนตอนนี้เริ่มกลายเป็นรุนแรงราวกับพายุพร้อมเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่าและเมฆครึ้มดำเริ่มปกคลุมทั่วอณาบริเณเข้ามาโดยที่ดวงตาสีทองของเขายังคงจับจ้องกองหินมากมายที่เคยร่วงลงมาทับร่างของเซอร์ซอร์ดเขม็งก่อนที่จะตวัดดาบที่ใหญ่กว่าตัวสองเท่ายกขึ้นมาตั้งท่ารับ

“เยี่ยมยอด..ถูกใจข้าจริงๆ!  500 ปีแล้วที่ยังไม่เคยมีใครต่อกรข้าได้ขนาดนี้!!!!!”

ตูมมม!!

ปีกหนังใหญ่สีดำพุ่งขึ้นมาจนหินที่ทับถมอยู่นั้นแตกกระจายราวกับระเบิดพร้อมกับร่างกายที่ใหญ่ทะมึนที่มีขนสีดำคลับขึ้นไปทั่วร่างและหน้าตากับเขาทีาเหมือนกระทิงตัวยักษ์แต่ดุดันมากกว่าร่างเมื่อครู่ยืนขึ้นมาพร้อมกับดวงตาสีแดงฉานจ้องมองมาที่ชายหนุ่มพร้อมกับแยกเขี้ยวที่แหลมคมพร้อมจะฉีกกระชากอีกฝ่ายด้วยความกระหาย และกรงเล็บที่คมกริบที่พร้อมจะขย้ำอีกฝ่ายที่ตอนนี้ยืนตั้งท่าพร้อมสู้อย่างไม่เกรงกลัว

“ยอดเยี่ยม เอาอีก..ขออีก!!! เอาให้หนักกว่านี้!!! สร้างบาดแผลข้าให้ได้ล่ะเจ้าหนู!!!!!”

“เออ..”

เซอร์ซอร์ดคำรามออกมาพร้อมกับวิ่งพุ่งเข้าหาอีกฝ่ายอย่างกระหายทันทีไม่รอช้าแต่ทางด้านชายหนุ่มก็เปลี่ยนจากยกดาบขึ้นตรงเมื่อครู่มาเป็นย่อตัวลงต่ำพร้อมกับขาซ้ายไปทางด้านหลังแล้วลดดาบลงต่ำมาด้านข้างเพื่อจะฟันแล้วจะได้เบี่ยงตัวหลบได้ทันพร้อมกันในดาบเดียวพร้อมกับแสงสีทองที่เปล่งประกายไปทั่วตัวเมื่อครู่ตอนนี้กลับครอบคลุมหนักกว่าเดิมมากขึ้นพร้อมกับปรากฏอักขระสีทองดาบของชายหนุ่ม

“ผู้ที่ฆ่าพระเจ้า..จะได้เป็นปีศาจ

ผู้ที่ฆ่าปีศาจ..จะได้เป็นราชา!! “

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!!!!

ชายหนุ่มตะโกนออกมาสุดเสียงพร้อมกับกำชับด้ามจับของดาบในมือแน่นก่อนที่จะดีดตัวพุ่งเข้าไปหาเซอร์ซอร์ดที่กำลังหัวเราะอย่างบ้าคลั่งและกำลังวิ่งตรงมาหาเขาเหมือนกันและได้ปะทะกันอย่างดุเดือดอีกครั้งท่ามกลางสนามรบแห่งนี้

The End Introduction 

บทที่ 1 อัญเชิญ

ณ โรงเรียนนานาชาติแห่งหนึ่งในช่วงคาบโฮมรูมของวัน ที่ทั้งห้องกำลังส่งเสียงเซงแซ่พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน จนทำให้ทั้งห้องนั้นเต็มไปด้วยความสดใสผสมกับความไร้เดียงสาของเด็กๆ เมื่อยามมองดูผิวเผิน บ้างก็พูดคุยกันถึงเรื่องส่วนตัว บ้างก็คุยกันเรื่องเกมส์ที่กำลังออกมาใหม่ ฯลฯ แต่กลับมีคนๆนึงภายในห้องที่สดใสนี้กำลังนั่งเงียบแล้วมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยความเคยชิน เขาเป็นเด็กหนุ่มที่มีหน้าตาดีพอสมควร ผมดำคลับและเงาเมื่อยามแสงอาทิตย์ตอนสายส่องลงมาผ่านหน้าต่างพร้อมกับปลิวไสวตามแรงลมอ่อนๆที่พัดโชยเข้ามาพอเย็นสบาย เขาถอนหายใจออกมาเล็กน้อยก่อนจะใช้มือที่เรียวสวยยกขึ้นมาเท้าคางของตัวเอง

"เห้!~ใจเหม่อลอยไปไหนอีกแล้วนะ!! "

เสียงสดใสของเด็กสาวที่มีหน้าตาน่ารัก ตากลมโตที่เข้ากับใบหน้าจิ้มลิ้มของเธอนั้นเดินเข้ามาอยู่ตรงหน้าเด็กหนุ่มที่นั่งเท้าคางเมื่อครู่ก่อนจะใช้สายตาจับจ้องไปที่เด็กหนุ่มที่กำลังหันสายตาสีเทาหม่นๆแต่ดูคมจนน่ามองน่าหลงไหลมองกลับมาตามเสียงขอเธอ

"ก็..ไม่มีอะไร"

เสียงนุ่มละมุนของเด็กหนุ่มนั้นเอ่ยออกมาพอให้อีกฝ่ายได้ยิน แต่กลับทำให้เด็กสาวนั้นแก้มแดงออกมาเล็กน้อยเมื่อสบตากับสายตาอีกฝ่ายแล้วหันหน้าหนีไปอีกทางเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกตนเองที่กำลังไปไม่ถูกกับอาการของตัวเองตอนนี้แล้วเธอก็ต้องสะดุ้งอีกครั้งเมื่ออยู่ๆอีกฝ่ายนั้นลุกขึ้นยืนแล้วเอามือโบกผ่านใบหน้าเด็กสาวอย่างสงสัย

"เป็นอะไร? เห็นเป็นนี้ประจำเลยที่มาคุยกับฉัน"

----

" เฮ้! ไวท์!"

เด็กหนุ่มเอ่ยแล้วลดมือลงพร้อมกับที่เด็กสาวหันมาจะอ้าปากตอบอีกฝ่ายแต่ไม่ทันเมื่อเพื่อนของเด็กหนุ่มนั้นตะโกนเรียกแทรกออกมาพอดี

"เน้ๆ~! กำลังจีบกันอยู่รึไง ฉันคงมาขัดจังหวะพวกนายสินะ!~ "

เพื่อนชายของเด็กหนุ่มนั้นเดินเข้ามาหาทั้งสองคนด้วยคำพูดหยอกล้อก่อนจะยกมือขึ้นกอดคอของไวท์เพื่อเผยความสนิทสนมที่คบกันมาตั้งแต่สมัยประถม แล้วยิ้มกวนๆให้เด็กสาวที่กำลังเริ่มยกมือกอดอกพร้อมกับจ้องตาเขม็งเมื่อตัวเองรู้สึกไม่ค่อยพอใจสักเท่าไรกับการถูกจังหวะในครั้งนี้

"ก็ เปล่า ฉันแค่กำลังมาบอกไวท์ว่าอย่าลืมเอางานคู่ที่เราทำกันไว้มาส่งให้ครูด้วยก็เท่านั้นเอง"

เสียงของเด็กสาวนั้นดูไม่ค่อยพอใจเท่าไรทั้งที่ยืนกอดอกอยู่อย่างเดิม

"..วันนี้เธอมัดผมทรงนี้ด้วยเหรอ?"

เสียงนุ่มละมุนของไวท์นั้นเอ่ยขึ้นมาอีกครั้งเมื่อเขามองไปที่ทรงผมของเด็กสาวที่มัดผมรวบขึ้นเป็นหางม้าที่เข้ากับใบหน้าของเธอพร้อมกับเส้นผมสีน้ำตาลเข้มที่มีน้ำหนักสวยงามไหวไปมาตามแรงสะบัดเบาๆของเด็กสาวก่อนที่เด็กสาวนั้นจะยกมือซ้ายขึ้นมาจับจงอยหน้าม้าข้างแก้มที่ปล่อยออกมาให้ดูพอดีแล้วใช้นิ้วเล่นปลายผมตัวเองแก้เขิน

"ก..ก็วันนี้มันร้อนไปหน่อย เลยมัดผมน่ะ "

ริมฝีปากชมพูระเรื่อของเด็กสาวที่กำลังขยับตามคำพูดของเธอนั้นกำลังเบี่ยงเบนให้สายตาของไวท์ให้หันมาสนใจริมฝีปากของเธอที่กำลังขยับเวลาที่เธอเอ่ยคำพูด แต่ก็สำเร็จเขาดูสนใจก็จริงแต่เขาแค่สนใจการเปลี่ยนแปลงของวันนี้ของเธอเท่านั้น

"วะ.."

---

"อุ้ว~ วันนี้เธอทาลิปสติกมาสินะ ~"

ยังไม่ทันที่ไวท์จะพูดเบรี่ เจ้าเพื่อนสนิทที่กำลังกอดคอของเขาอยู่นั้นก็เอ่ยแทรกขึ้นมา พร้อมกับยกยิ้มมุมปากกวนๆขึ้นพร้อมส่งสายตาประมาณว่า 'ฉันรู้นะเธอคิดอะไรอยู่' ขึ้นมาจึงทำให้ ตีน่า เด็กสาวที่กำลังเบี่ยงเบนความสนใจจากไวท์อย่างอ้อมๆนั้นชะงักขึ้นมานิดหน่อยจึงรู้สึกผิดหวังกับการที่เธอไม่ได้ถูกทักถามขึ้นจากปากของไวท์เอง แล้วส่งสายตาไปทางเบรี่ประมาณว่า 'ถ้านายพูดแทรกอีกเป็นครั้งที่สองนายเจอดีแน่'

🎶ปิ๊งง~ป่องง~🎵

ยังไม่ทันที่สนทนานั้นพูดจบ เสียงออดของโรงเรียนก็ดังขึ้นให้รู้ว่าหมดช่วงโฮมรูมแล้วและต้องเข้าเรียนได้แล้วนะจ๊ะเด็กๆ และระหว่างวันนั้นก็ดำเนินไปอย่างปกติของทุกๆวัน บางคนตั้งใจเรียน บางคนก็แอบคุยระหว่างเรียน บางคนแอบหลับ และบางคนก็เอาแต่สนใจมือถือใต้โต๊ะของตน รวมๆแล้วก็ดูเป็นธรรมดาของชีวิตประจำวันใช่ไหมล่ะ แต่ใครจะคิดว่าต่อไปนี้

สื่งที่ไม่คาดคิดของคนๆนึงกำลังจะเกิดขึ้น..และใครจะคิดล่ะว่า..ชะตากรรมของเขาต้องเผชิญกับเรื่องใหญ่นี้

--------------------------------------+++++++++------------------------------------

ณ อีกมิติหนึ่งในช่วงเวลาเดียวกัน

:จักรวรรดิโกเอเลียร์

ณ.เมืองเซียร์โอนาร์ด

ภายในพระราชวังค์โกเอเลียร์ ณ.ห้องท้องพระโรงขนาดใหญ่ที่ถูกประดับตกแต่งไปด้วยงานฝีมือและของตกแต่งต่างๆที่ดูมีราคาหรูหราของที่นี่และตอนนี้เหล่าผู้คนมากมายนั้นได้ยืนอยู่กันหนาแน่น นั่นคือ

เหล่าขุนนางที่เป็นสักขีพยานและเหล่าข้าบาทหลวงมาร่วมการอัญเชิญ มีวงค์เวทย์ขนาดใหญ่อยู่กลางท้องพระโรง จอมเวทย์หลวงนับสิบรายล้อมรอบวงเวทย์อัญเชิญศักดิ์สิทธิ์ และ เบื้องหน้านั้นคือราชาที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ ข้างกายของราชานั้นมีชายวัยกลางคน ยืนอยู่นั่นคือ วาลาฟาล ข้ารับใช้คนสนิทผู้เติบใหญ่เคียงข้างองค์ราชาตั้งแต่วัยเยาว์

" ท่านราชา เหล่านักเวทย์ของเราเตรียมพิธีอัญเชิญผู้กล้าเรียบร้อยแล้วพะยะค่ะ "

เสียงทุ้มลึกแต่หนักแน่นของ วาลาฟาล ชายวัยกลางคนประมาณ สี่สิบกว่าเอ่ยขึ้นเมื่อเตรียมพิธีเสร็จพร้อมกับโค้งตัวคำนับย่อเบาๆพอให้รู้ว่าเขานั้นเคารพอีกฝ่ายมากเพียงใด

" หึ่ม...นี่คงเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้สถานะการณ์ในตอนนี้พลิกกลับมาได้.. จงเริ่มพิธีอัญเชิญผู้กล้าซะ!! "

----

"รับคำสั่งพะพ่ะค่ะ"

วาลาฟาลโค้งรับอีกรอบก่อนจะหันหน้าไปที่เหล่านักเวทย์ที่เตรียมออกคำสั่งต่อจากราชาที่กำลังครุ่นคิดกับผลที่จะตามมาแต่เขาก็ประกาศเริ่มการอัญเชิญทันที เพียงเเค่สิ้นสุดเสียงเหล่าบาทหลวงก็ตั้งจิตภาวนาต่อทวยเทพเปล่งแสงอณูเวทย์สีทองอันศักดิ์สิทธิ์ลอยขึ้นเปร่งประกายทั่วท้องพระโรง เหล่าจอมเวทย์หลวงท่องคาถาอัญเชิญ ส่งผลให้วงเวทย์ขนาดใหญ่เริ่มเปร่งแสงสีแดงสีม่วงราวกับสายฟ้าที่กำลังฟาดไปมาอย่างเกรี้ยวกราดกระทบกับสิ่งของที่อยู่รอบๆดังเปรี๊ยะแล้วลอยขึ้นมาจากพื้น ขยายตัวใหญ่ขึ้นตัววงเริ่มขยับหมุนลอยขึ้นกลางอากาศจึงส่งผลให้ภายในท้องพระโรงเริ่มบิดเบี้ยวเพราะผลกระทบจากวงเวทย์อัญเชิญที่เริ่มดูดอณูเวทย์ศักดิ์สิทธิ์เข้าไปที่จุดกึ่งกลางทำให้วงเวทย์สำแดงเดชมากขึ้น จนวงเวทย์เริ่มส่องแสงประกายมากขึ้นเรื่อยๆ..มากซะจนทำให้ทุกคนต่างพากันปิดหูปิดตาเพราะเสียงอันแสบแก้วหูและแสงจากอณูเวทย์ที่เล็ดลอดออกมาจากวงเวทย์ที่ไม่มีท่าทีจะอ่อนลงแม้แต่น้อย

---------------------------------------+++++++++----------------------------------

ณ.เวลาเดียวกันภายในห้องเรียน..ช่วงพักกลางวัน

"ไวท์!~ ไปห้องสมุดเป็นเพื่อนหน่อยสิ เร็วๆ ตอนนี้ฉันรีบมากเลย! "

ตีน่า เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่เร่งรีบก่อนจะคว้ามือไวท์ให้ลุกแล้ววิ่งตามเธอไปอย่างไม่ทันตั้งตัว

"อ่ะ! ด..เดี๋ยว! จะรีบไปไหน แล้วทำไมต้องเป็นฉัน?"

ไวท์เอ่ยออกมาพร้อมกับที่ถูกจูงมือทั้งเดินและวิ่งไปด้วยกันกับเธอแต่ยังไม่ระคายที่จะรู้สึกสงสัยในความเร่งรีบนั้น

"เอาน่า นายอย่าเพิ่งพูดอะไรมาก รู้ไหมว่างานที่เราส่งครูไปมันผิดแทบจะหมด แล้วฉัน กับนาย ต้องมาช่วยกันค้นหา กันอีกรอบ โอ๊ยยยย! วันนี้มันเป็นวันอะไรของฉันเนี่ย!"

ตีน่าพูดออกมาด้วยความหงุดหงิดใจ แต่ก็ไม่วายที่จะรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยที่เธอได้สัมผัสกับมืออันอบอุ่นของเขา แต่ไวท์เจ้ากรรมดันซื่อบื้อซะจนไม่รู้ว่าเธอนั้นแอบมีใจให้เจ้าตัวมานานแล้ว

'ถึงเวลาแล้ว..~'

ไวท์หยุดชะงักเมื่ออยู่ๆก็ได้ยินเสียงแว่วผ่านสายลมเข้ามาก่อนจะมองตีน่า ที่กำลังยืนแลกบัตรของห้องสมุดที่เพิ่งมาถึง แล้วจึงหันไปสังเกตไวท์ที่กำลังสอดส่ายสายตาหาต้นเสียงเมื่อครู่ที่ตัวเองได้ยินว่ามาจากตรงไหน แต่ก็เป็นเสียงที่ไพเราะเหลือจนอยากเห็นหน้าเจ้าของเสียงนั้น

"กำลังมองหาอะไรเหรอ?"

ตีน่าเอ่ยขึ้นมาทันทีเมื่อมองรอบๆตามไวท์ ก่อนจะหันมามองเจ้าตัวแล้วกระพริบตาปริบๆอย่างสงสัย

"ไม่มีอะไร สงสัยฉันจะหูแว่วไปเอง ไปเถอะ"

สายตาสีเทาหม่นนั้นกระพริบก่อนจะหันไปสนใจชั้นหนังสืออันหนาแน่นของที่นี่ ที่ๆทำให้รู้ว่าห้องแห่งนี้เก็บความรู้ไว้มากขนาดไหน ก่อนที่เขาและเธอจะพากันแยกย้ายไปตามหมวดต่างๆเพื่อค้นหาหนังสือที่ต้องการมาทำงาน

ตีน่า อยู่ในหมวดของวิทยาศาสตร์และดาราศาสตร์ส่วนไวท์ ได้แยกตัวไปหาในหมวดมนุษย์ศาสตร์ และสังคมศาสตร์ ระหว่างที่หาอยู่นั้น สายตาของไวท์ก็ไปสะดุดกับหนังสือเล่มหนึ่งที่ดูต่างจากพวกมาก เขาได้เดินไปหยิบมันมาดูแล้วพลิกไปมามันเป็นหนังสือที่มีปกหนังสีดำสนิท..แต่กลับไม่มีตัวอักษรอะไรเลยที่จะบ่งบอกว่าหนังสือชนิดนี้คือหนังสืออะไร ก่อนที่เขาจะขมวดคิ้วเล็กน้อยอย่างสงสัยแล้วเริ่มเปิดพลิกหน้าหนังสือ..แต่เขาก็ต้องเลิกคิ้วขึ้นมองทันทีเมื่อสิ่งที่เขาเปิดหานั้นมันเป็นแค่กระดาษที่ว่างเปล่า..ไม่ว่าพลิกไปหน้าไหนก็ไม่มีอะไรถูกเขียนลงไปเลยแม้แต่น้อย

'ราเชล~'

'เสียงนั้นมาอีกแล้ว' ไวท์เงยหน้ามองรอบพร้อมกับมองหาต้นเสียงนั้นแต่เขาไม่ได้สังเกตุเลยว่ารอบๆตัวเขานั้นหยุดนิ่งอยู่กับที่ ทุกอย่างภายในห้องสมุดนี้..ตกอยู่ในห้วงของความเงียบงัน..ทั้งๆมันที่ก็เงียบสงบอยู่แล้วแต่กลับไร้วี่แววของเสียงแม้แต่เสียงฝีเท้าที่ก้าวเดิน จากที่เคยมีเสียงกระซิบกระซาบระหว่างนักเรียนบนโต๊ะที่มีหนังสืออยู่ตรงหน้าก็เงียบ เสียงฝีเท้าต่างๆที่มีคนเข้าออกตลอดเวลาก็หายไป เหมือนโลกทั้งโลกรอบตัวเขานั้นถูกหยุดเวลาเอาไว้

'ผู้กล้าของเรา..~'

สิ้นสุดเสียงปริศนา หนังสือที่เขาถืออยู่เกิดสั่นขึ้นมาพร้อมกับเสียง วี้ๆ ที่แสบแก้วหูเล็ดลอดออกมาจากในหนังสือ เขาพยายามจับหนังสือที่สั่นจนเหมือนแทบจะแตกออกถ้ามันเป็นแก้วเอาไว้แน่น ก่อนที่เขาเริ่มสูดหายใจลึกๆแล้วตัดสินใจกางหนังสือออกมา บัดนี้ห้องทั้งห้องนั้นถูกปกคลุมไปด้วยลมหมุนที่เริ่มจะรุนแรงขึ้น ก่อนที่พื้นที่เขายืนนั้นเริ่มบิดเบี้ยวแล้วปรากฏวงแหวนเวทย์ขนาดใหญ่ภายใต้เท้าที่เขายืนพร้อมกับที่เขาจะยกแขนขึ้นบังตาตนเองที่ตอนนี้แสงมันจ้าจนทนมองไม่ไหวแล้วทุกอย่างก็เงียบลง ตอนนี้เขาสัมผัสได้ว่าทุกอย่างกลับมาปกติเมื่อเขาลดแขนลงก็พบว่าตัวเขาไม่ได้อยู่ที่ห้องสมุดและรอบๆตัวเขานั้นขาวโพลนไปหมด เขานั้นได้แต่ตื่นตระหนกครุ่นคิดกับเหตุการณ์ประหลาดตรงหน้าจู่ๆก็มีเสียงดังขึ้นข้างหลังของเขา

"หนุ่มน้อยเอ๋ย ข้าขอยินดีต้อนรับเจ้าสู่ ' แกรนด์ ดิเอียร่า' โลกที่ข้าดูแล ข้าคือเทพธิดาผู้มีนามว่า ริเฟียน่า "

เด็กหนุ่มที่สะดุ้งตกใจเสียงที่ดังกึกก้องไปทั่วหันมามองต้นเสียงที่ตนเคยได้ยินก่อนหน้าจนตอนนี้มันฟังดูใกล้เสียเหลือเกิน เขาเบนสายตาที่ตื่นตระหนกไปทางหญิงสาวที่กำลังยืนอยู่ด้านหลังเขา ผิวพรรณของหญิงสาวนั้นดูขาวเนียนสะอาดสะอ้าน ใบหน้าสวยคม และผมของเธอนั้นเป็นเส้นตรงสลวยรับกับสีบลอนด์ทองของเธอ ราวกับเธอหลุดออกมาจากเทพนิยาย และรอบๆกายของเธอนั้นมีแสงสว่างปรกคลุมไปทั่วทั้งร่างของเธอ

"ผมมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง!"

เขาถามด้วยน้ำเสียงที่ดูตกใจ พร้อมกับมองไปรอบๆที่บัดนี้มันทั้งขาวโพลนและว่างเปล่า ทั้งมือ และขาของเขานั้นสั่นระริกด้วยความกลัวและตกใจพลั้นพลึงเพราะเหตุการณ์เมื่อครู่กับตอนนี้จนในสมองของเขากำลังทำงานอย่างหนักเพื่อทบทวนว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขาเทพธิดาผู้อ่อนโยนตระหนักถึงสิ่งที่เด็กหนุ่มดูตื่นตระหนก ก่อนจะค่อยเคลื่อนตัวเองไปข้างหน้าเขาแล้วใช้มือที่อ่อนโยนของตัวเองนั้นจับเข้าไปที่ใบหน้าของไวท์อย่างแผ่วเบา เพื่อบอกให้รู้ว่าไม่มีอะไรที่ต้องกลัว

"เจ้าไม่ต้องหวาดกลัวข้าหรอก ที่แห่งนี้คือห้วงมิติของเหล่าทวยเทพ สาเหตุที่เจ้ามาปรากฏ ณ ที่แห่งนี้เป็นเพราะคนในโลกนี้ได้ทำการอัญเชิญเจ้ามาในฐานะผู้กล้า และเหล่าทวยเทพนั้นมิอาจเมินเฉยต่อการแทรกแทรงของโลกได้ "

เสียงไพเราะนั้นเอื้อนเอ่ยขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับรอยยิ้มที่อ่อนโยนของเทพธิดาริเฟียน่า พลางใช้นิ้วหัวแม่มือนั้นลูบแก้มของไวท์อย่างแผ่วเบา

เมื่อเด็กหนุ่มได้ยินเรื่องราวจากเทพธิดา ไวท์ก็พยายามสูดหายใจที่สั่นครือของตนเข้าไปลึกๆเพื่อสงบจิตสงบใจแม้ในใจจะคิดว่า 'มันเกิดบ้าอะไรขึ้น หรือเราฝันกลางวันอยู่กันแน่'และเทพธิดานั้นยกยิ้มอย่างเอ็นดูเพราะเธอนั้นได้ยินในสิ่งที่เขาคิดทั้งหมดก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ ไวท์ได้มองเทพธิดานั่นอย่างสงสัย ก่อนที่เทพธิดาจะลดมือลงออกจากแก้มของเขา

"เจ้า..ไม่ได้ฝันไปหรอกหนุ่มน้อย เจ้าถูกเรียกมาในฐานะผู้ที่ถูกเลือกจริงๆ"

เมื่อได้ยินดังนั้น ไวท์ก็ได้สงบสติตัวเองลง ก่อนที่เขาจะเริ่มใช้สายตาสีเทาหม่นนั่นจับจ้องไปที่เทพธิดาด้วยสีหน้าจริงจัง

"งั้นท่านริเฟียน่าต้องอะไรจากผมล่ะครับ ผมถึงยังอยู่ที่นี่"

เสียงที่ฟังดูจริงจังของไวท์ได้เอ่ยขึ้นจึงทำให้เทพธิดานั้นเผยรอยยิ้มบางๆต่อเด็กหนุ่มที่ดู ซื่อ เสียจนเธอนั้นเอ็นดู

" เพราะเจ้าเป็นถึงผู้กล้า ข้าจักให้เจ้าไปเจอผู้คนบนโลกโดยปราศจากพรคุ้มครองของเทพธิดาได้อย่างไรกัน "

สิ้นเสียงของเทพธิดาก็ได้ย่างกายเข้าไปใกล้เด็กหนุ่มแล้วใช้มืออันเรียวสวยเนียนนั้นเชยคางเขาเล็กน้อยก่อนจะโค้งตัวลงจูบริมฝีปากของเด็กหนุ่ม ซึ่งมันทำให้เขาไม่ทันตั้งตัวถึงกับรีบถอยห่างออกมาด้วยใบหน้าที่แดงเรื่อ ปนระคนตกใจ แล้วยกมือขึ้นปิดริมฝีปากของตัวเอง

"อะ!!ทะ..ทะ...ทำอะไรของเธอเนี่ย!!"

เขาพูดด้วยความตกใจปนเปไปกับความเขินอายของตัวเองเป็นอย่างมากเพราะนั่นเป็นจูบแรกของเขา เทพธิดายิ้มหวานให้เขาก่อนจะถอยห่างออกมาก่อนที่ด้านหลังของไวท์จะปรากฏวงแหวนเวทย์วงใหญ่ขึ้นพร้อมกับส่องแสงประกายสีนวลทองอร่ามออกมา

"เพราะเจ้าน่ารักดี ข้าจึงมอบพรพิเศษให้เจ้าเสียหน่อย ข้าจักส่งตัวเจ้าไปตามคำอัญเชิญนั้น ถึงอย่างไรเราคงจักได้เจอกันอีกเป็นแน่..ราเชล"

เสียงนั้นค่อยๆสะท้อนหายไปพร้อมกับร่างกายของเด็กหนุ่มที่กำลังถูกวงเวทย์ดูดกลืน พร้อมกับสายตาของเขานั้นได้มองร่างสีทองอร่ามของเทพธิดาริเฟียน่าเป็นครั้งสุดท้ายที่ตนเองจะถูกกลืนจนหายไป

พลั่ก!

อยู่ๆเสียงร่างกายของเด็กหนุ่มนั้นร่วงลงมาตรงกึ่งกลางระหว่าง วงเวทย์ที่เคยเกิดกับเขาในห้องสมุดพร้อมกับกำลังนอนโอดโอยด้วยความจุกจนไม่สามารถส่งเสียงร้องออกมาได้

"สะ..สำเร็จ!! ท่านราชาเหล่านักเวทย์ของเราทำสำเร็จแล้วพะยะค่ะ เราอัญเชิญผู้กล้าสำเร็จแล้ว!!"

เสียงชายคนหนึ่งได้ตะโกนเอ่ยขึ้นอย่างดีใจเมื่อพิธีนี้สำเร็จแต่ก็ทำให้ข้าวของโดยรอบนั้นกระจัดกระจายไปคนละทิศละทางบ้างก็ตกมาพังเพราะฤทธิ์ของวงเวทย์อัญเชิญที่เพิ่งสำแดงเดชไป

เมื่อไวท์ที่เพิ่งตกลงมาอย่างทุลักทุเลนั้นกำลังยันกายของตนเองยืนขึ้นก่อนที่จะเริ่มใช้สายตามองไปโดยรอบก็พบว่าเขาอยู่กลางห้องโถงขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยผู้คน รอบๆตัวเขานั่นมีผู้คนสวมเสื้อคลุมสีขาวฟ้าล้อมรอบเป็นวงกลมนั่งหอบหมดแรงและบางคนก็สลบจากการใช้เวทย์อัญเชิญ มีอัศวินสวมชุดเกราะขาวเต็มตัวยืนขนาบเป็นแถวยาวไปจนถึงบันลังก์กษัตริย์ตรงหน้าที่มีพระราชาประทับอยู่ เสียงของพระราชาดังขึ้น

"ยินดีต้อนรับ ผู้กล้าที่ถูกอัญเชิญเอ๋ยข้าต้องขออภัยที่อัญเชิญท่านมาโดยพละการ"

พระราชาโค้งหัวลง ทำให้ทั้งห้องท้องพระโรงที่เต็มไปด้วยผู้คนมากมายและอัศวินกำลังคุกเข่าลงคำนับให้เด็กหนุ่ม แต่ด้วยความที่ไวท์นั้นยังงงงวยและไม่เข้าใจซึ่งสถานการ์ณในตอนนี้ เขาก็ทำได้เพียงแค่มองทุดคนโดยรอบอย่างตกใจและไปไม่ถูกที่อยู่ๆทุกคนในที่แห่งนี้หันมาคุกเข่าและโค้งเคารพตน 'ได้ยินไม่ผิดใช่ไหมเขาเรียกเราว่าผู้กล้า ใช่จริงๆสินะเหมือนหลุดเข้ามาอยู่ในนวนิยายของใครบางคนที่เขียนขึ้นเลยให้ตายสิ ' เขาได้ครุ่นคิดอยู่เล็กน้อยพร้อมกับทำหน้าฝืนยิ้มแต่สายตายังคงส่ายไปมามองผู้คนรอบๆที่แต่งกายย้อนยุคแปลกๆเหมือนในหนังที่ตัวเองเคยดู

"ล..แล้วผมจะสามารถกลับไปที่โลกเดิมของผมได้ไหม"

น้ำเสียงของไวท์ดูชักไม่มั่นใจกับสถานการณ์ในตอนนี้นั้นได้เอ่ยถามขึ้นกับชายร่างกำยำที่ดูราวกับเป็นรุ่นพ่อของตัวเองแล้วอีกทั้งการแต่งองค์ทรงเครื่องนั้นทำให้เขามองปราดเดียวก็ดูออกว่าเขาเป็นราชา ใช่ก็ราชานั่นแระ พร้อมกับการยืนกอดอกอันเป็นเอกลักษณ์ของเขานั่นก็ด้วย เด็กหนุ่มได้คิดว่า'ถ้าจ้างเขามาถ่ายหนังมันก็น่าจะเชื่ออยู่อ่ะนะ----'

แต่ทำไงได้ ต่อให้เขาตบหน้าตัวเองหรือวิ่งเอาหัวชนเสาหรือไม่ก็หยิบดาบของใครสักคนมาปาดคอตัวเองยังไง มันก็ได้กลายเป็นเรื่องจริงไปแล้วเขาไม่ฝันหรอก

"ท่านสามารถกลับไปโลกเดิมของท่านได้ แต่ก็ต่อเมื่อท่านนั้นสามารถโค่นล้มราชาปีศาจได้เท่านั้น"

เด็กหนุ่มนั้นเมื่อได้ยินคำว่าราชาปีศาจ ก็ถึงกับยกมือขึ้นลูบหน้าตนเองอย่างไม่เชื่อหูเพราะว่า เทพธิดาไม่ได้บอกอะไรต่อเขาเลยนอกจากคำว่าเป็นผู้กล้าแต่ใครจะไปรู้ว่าไอ้คำว่าผู้กล้านั้นมันต้องทำให้เขาได้มาเจอกับ สิ่งที่ทำให้เขาต้องเผชิญแต่เขาก็ไม่ได้มีท่าทีตกใจอะไรมากเท่าไหร่นัก พระราชาได้สั่งให้เหล่าจอมเวทย์ขนแผ่นคริสตัลขนาดใหญ่มาไว้ด้านข้างเด็กหนุ่ม สายตาสีเทาหม่นของไวท์ได้มองแผ่นคริสตัลนั้น ที่ถูกสลักด้วยภาษาแปลกตา และไม่เข้าใจเป็นอย่างมาก

"ท่านผู้กล้าเพื่อตรวจสอบให้แน่ใจว่าท่านเป็นผู้กล้าจริงๆ ได้โปรดนำฝามือของท่านสัมผัสคริสตัลแผ่นนี้ด้วยเถิด"

เมื่อไวท์ได้ยินดังนั้นก็เริ่มใช้มืออันเรียวสวยของเขายื่นไปสัมผัสกับแผ่นคริสตัลตามคำบอกของราชาทันใดนั้นก็เกิดปฏิกริยาบางอย่าง เพราะอยู่ๆคริสตัลแผ่นนั้นได้เรืองแสงขึ้นและปรากฏตัวอักษรโบราณประหลาดที่เด็กหนุ่มนั้นไม่รู้จัก และไม่เคยเห็นมาก่อน แต่ตอนนี้สติของเขานั้นได้อยู่ในภวังค์บางอย่างและจู่ๆเขาก็เริ่มอ่านได้อย่างปกติเหมือนเขาเคยใช้มันมาก่อน ก่อนที่ริมฝีปากของเขาจะขยับแล้วพูดขึ้นมาว่า

"ข้า..มีนามว่า ราเชล อัลมาร์บัส อายุของข้านั้น 18 ปี ผู้ถือครองตำแหน่งผู้กล้า ฉายาของข้าคือผู้ที่ได้รับความรักจากเหล่าทวยเทพ"

ทันใดนั้นเสียงพูดคุยที่ดูตื่นเต้นก็ดังขึ้นอื้ออึงอีกครั้งและครั้งนี้ดูจะเป็นการส่งเสียงที่น่าตื่นเต้นเป็นพิเศษ ต่อสิ่งที่ทุกคนภายในที่นี้ได้ยินจากปากของเด็กหนุ่มที่เพิ่งเอ่ยคำพรรณนาต่างๆออกมา

"นอกจากท่านจะเป็นผู้กล้าจริงๆแล้วท่านยังได้รับพรจากเหล่าทวยเทพอีกงั้นหรอ!!"

เสียงอื้ออึงเซ็งแซ่ดังขึ้นมาทันทีราวกับว่าสิ่งที่ไวท์ซึ่งตอนนี้กลายเป็นราเชลไปแล้ว พูดขึ้นมาว่าได้รับความรักจากเหล่าทวยเทพนั้นเป็นเรื่องมหัศจรรย์พันลึกที่ไม่มีใครสามารถจะมีได้แต่สำหรับเขานั้น..มันเป็นไปแล้ว

---------------------------+++++++++++-------------------+

รอตามต่อตอนที่ 2 นะจ๊ะ

บทที่ 2 เด็กหนุ่มและเออร์ธาน

"ข้า..มีนามว่า ราเชล อัลมาร์บัส อายุของข้านั้น 18 ปี ผู้ถือครองตำแหน่งผู้กล้า ฉายาของข้าคือผู้ที่ได้รับความรักจากเหล่าทวยเทพ"

 

 

ทันใดนั้นเสียงพูดคุยที่ดูตื่นเต้นก็ดังขึ้นอื้ออึงอีกครั้งและครั้งนี้ดูจะเป็นการส่งเสียงที่น่าตื่นเต้นเป็นพิเศษ ต่อสิ่งที่ทุกคนภายในที่นี้ได้ยินจากปากของเด็กหนุ่มที่เพิ่งเอ่ยคำพรรณนาต่างๆออกมา

 

"นอกจากท่านจะเป็นผู้กล้าจริงๆแล้วท่านยังได้รับพรจากเหล่าทวยเทพอีกงั้นหรอ!!"

เสียงระคนตื่นเต้นจากราชานั้นเอ่ยขึ้นมาเมื่อได้ยินสิ่งที่ไม่น่าเชื่อจากปากของไวท์ที่ตอนนี้กลายเป็นราเชลที่ทั้งภายในห้องโถงแห่งนี้ได้รู้จักกันไปแล้วไปแล้ว ราชานั้นรู้สึกปลื้มและยิ่งมีความคาดหวังมากขึ้นเมื่อเขาใช้สายตาจับจ้องไปที่ราเชล ที่ยังคงยืนสัมผัสกับคริสตัลนั้นอยู่พร้อมกับยกยิ้มออกมาทันใดภายใต้หนวดเครานั้นของเขา ก่อนที่เขาจะหลับตาลงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ที่การอัญเชิญในครั้งนี้สำเร็จได้อย่างลุล่วงก่อนที่จะเงียบไปสักครู่ แล้วยกมือลูบหนวดเคราของเขาอีกครั้งราวกับกำลังตัดสินใจอะไรบางอย่างอยู่

 

"เช่นนั้น ถ้าหากท่านสามารถล้มจอมมารได้ข้ายินดีที่จะมอบลูกสาวและตำแหน่งของข้าให้แก่เจ้าไปเลยท่านผู้กล้าราเชล"

 

สิ้นเสียงคำพูดอันปลื้มปิติของราชา ก็ได้มีหญิงสาวผู้งดงามราวกับหลุดมาจากภาพวาด ผิวพรรณนวลปลั่งน่าสัมผัส ใบหน้าเข้ารูปสวยงามพร้อมกับปากที่เป็นกระจับจิ้มลิ้มสีชมพูระเรื่อธรรมชาติ แววตาดูอ่อนโยนซึ่งรับกลับนัยน์ตาสีฟ้าได้เป็นอย่างดี ผมยาวสีขาวราวกับหิมะและเงางาม พร้อมกับร่างกายที่ดูระหงส์สะโอดสะอง ที่เข้ากับชุดรัดรูปกระโปรงลากยาวสีเงินที่ประดับด้วยผ้าคลุมไหล่บางๆพอให้เผยเห็นไหล่ที่เนียนสวยนั้น ได้ก้าวขาออกมายืนข้างๆบัลลังก์ของราชา

 

"ข้ามีนามว่า ออโรร่า องค์หญิงลำดับที่1 แห่งจักรวรรดิโกเอเลียน์ เป็นเกียติที่ได้พบเจ้าค่ะท่านผู้กล้า"

 

เสียงไพเราะอ่อนละมุนของเธอได้กล่าวออกมาด้วยถ้อยคำและท่าทางที่อ่อนน้อมถ่อมตน เมื่อเห็นเช่นนั้น

ราเชลก็ได้ลดมือลงจากคริสตัลแล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ เหมือนไม่ได้ต้องการอะไรแบบนั้นเลย

 

"ผมไม่ต้องการเป็นราชาและไม่ได้ต้องการลูกสาวของท่าน ผมแค่เพียงต้องการที่จะได้กลับบ้าน"

 

ราเชลเอ่ยออกมาอย่างไม่ลังเล และหนักแน่นให้รู้ว่าสิ่งที่ราชาจะมอบให้แก่เขานั้น มันไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ พร้อมกับสายตาที่มองย้อนขึ้นไปมองราชาที่กำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์และสบตากับเขาอย่างไม่กลัวตาย

ราชาที่ได้ยินอย่างนั้นก็หลับตาและถอนหายใจออกมาเล็กน้อยแเพราะรู้สึกเสียดายเด็กหนุ่มที่มุ่งมั้นแต่จะกลับบ้านอย่างเดียวโดยที่ไม่สนไม่สนใจข้อเสนอของเขาแม้แต่น้อย ก่อนที่เขาจะยกนิ้วขึ้นเจ้าหญิงก็ย่อตัวเป็นเชิงถอนสายบัวเล็กน้อยเคารพต่อราเชลก่อนเดินจากไป

"หลังจากนี้ ข้าจะให้หัวหน้าอัศวินและหัวหน้าเวทย์หลวง มาทดสอบทักษะด้านต่างๆของท่านได้โปรดตามพวกเขาไป"

 

ทันทีที่ราชากล่าวเสร็จ ก็มีชายแก่สวมชุดเกราะเต็มตัวร่างใหญ่สูงราวๆ'2.30'เมตรเดินมาตรงหน้าของราเชล ราเชลก็ได้เงียบแล้วรับคำนั้นอย่างง่ายดายก่อนที่อัศวินคนหนึ่งที่ดูภูมิฐานจะเชิญเด็กหนุ่มให้เดินตามเขาไปที่ลานฝึกของอัศวิน

เมื่อราเชลได้เดินตามอัศวินและคนที่มีตำแหน่งหัวหน้าเวทย์มาถึงลานฝึก ที่เต็มไปด้วยเหล่าทหารมากมาย ที่ตั้งใจซ้อมอย่างหนัก บางกลุ่มก็ซ้อมดาบ

และบางกบุ่มก็ซ้อมการยิงธนู และเสียงของผู้ออกคำสั่งในการฝึกซ้อมของพวกเขาก็ดังจนทำให้ราเชลสนใจหันมองซ้ายขวาตามเสียง เพราะมันเป็นสิ่งที่แปลกสำหรับเขา ก่อนที่ทั้งสองจะพาเขาหยุดเดินแล้วหันมามองราเชล

 

" เอาล่ะเจ้าหนุ่ม ข้ามีนามว่า เออร์ธาน เป็นหัวหน้าของกองพันนักรบอัศวินปีกศักดิ์สิทธิ์ ถึงเจ้าจะเป็นผู้กล้าแต่เจ้าดูตัวเล็กและผอมเป็นไม้เสียบหมูไม่มีเรี่ยวแรงแบบนี้ งั้นข้าจะให้เจ้าลองเลือกดูอาวุธที่เจ้าชอบก่อนแล้วกัน "

หัวหน้าอัศวินที่อยู่ภายใต้ชุดเกราะหนานั้นเสียงที่ดูมีอายุมากหนักแน่นพูดด้วยวาจาที่หึกเหิมและไม่ให้เกียติต่อเด็กหนุ่มที่เป็นถึงผู้กล้าแต่กลับดูอ่อนแอเกินไป จึงทำให้ราเชลรู้สึกขุ่นเคืองกับคำพูดเล็กน้อยจแล้วจึงหันไปเลือกอาวุธไม้สำหรับฝึกซ้อมที่มีมากมาย แต่ใส่สายตาของเขานั้นเขานั้นกลับสะดุดใจให้กับอาวุธชิ้นหนึ่ง และดูจดจ่อกับมันมากซึ่งทำให้หัวหน้าอัศวินสังเกตุเห็นและหัวเราะเสียงดังขึ้นมา

"วะฮาฮาฮ่า!! นี่เจ้าคิดจะถือเจ้านั้นด้วยเเขนที่บางเหมือนสตรีงั้นรึ!! "

 

เขาพูดจาไม่ไว้หน้าราเชลซึ่งทำให้เขานั้นรู้สึกโมโหจนคิ้วกระตุกเล็กน้อยแล้วเดินเข้าไปคว้าอาวุธชิ้นนั้นขึ้นมา ซึ่งมันคือดาบใหญ่2มือยาวถึง1.50เมตร ได้อย่างสบายๆ แล้วเขาก็ทำให้หัวหน้าอัศวินที่กำลังหัวเราะร่าเริงถึงกับหยุดชะงักและเงียบลงพรางเปลี่ยนสีหน้าเป็นจริงจังและดูเงียบขรึมพลางใช้สายตาที่ดูเผินๆเหมือนจะดุดันไปทาง เด็กหนุ่มที่แบกดาบไม้นั้นแกว่งไปมาอย่างนึกสะใจภายในใจเบาๆพร้อมกับยักไหล่อวดดีใส่ไปอีกต่างหาก

 

" ก็ไม่เห็นจะหนักเท่าไหร่เลยนี่ งั้นผมขอลองดาบนี้แล้วกันนะตาแก่เออร์ธาน"

 

เด็กหนุ่มพูดโดยไม่ให้เกียติกับหัวหน้าอัศวินกลับไปเช่นกันพร้อมกับยกยิ้มมุมปากขึ้นมาอย่างมีชัยเพราะสิ่งที่เออร์ธานพูดใส่เขานั้นไม่ไว้หน้าเด็กหนุ่มซ้ำยังหัวเราะใส่เขาอีก ได้เวลาเอาคืนบ้างแล้ว

 

" ย่อมได้!!เจ้าหนู!! "

 

หัวหน้าอัศวินกล่าวเสียงดังอย่างหึกเหิมและรอยยิ้มที่ดูตื่นเต้นเขาหยิบโล่โหญ่ขึ้นมาแล้วชักดาบยาวมือเดียวออกมาจากหลังโล่ ชายแก่ร่างใหญ่กำยำที่สวมชุดเกราะเต็มตัว ยืนต่อหน้าเด็กหนุ่มที่ในมือเขามีเพียงดาบใหญ่2มือ ทั้ง2ยืนประจัญหน้าอย่างไม่เกรงกลัว สายตาของเออร์ธานจ้องมองดูช่องว่างของเด็กหนุ่ม ก่อนจะชิงพุ่งเข้าไปใช้โล่ใหญ่กระเเทกเข้าหน้าของเด็กหนุ่มอย่างสุดแรงโดยที่เขาไม่มีท่าทีจะออมแรงหรืออ่อนข้อให้แม้แต่น้อย

ครึ้งงง!!!

 

สายตาของเออร์ธานถึงกลับสั่นคลอนเมื่อร่างกายที่ใหญ่โตของเขานั้นกลับถูกกระแทกจนปลิวไปข้างหลัง โดยที่เด็กหนุ่มนั้นฟาดฟันเพียงคมดาบเดียวใส่โล่เหล็กใหญ่นั้นยุบลงไปเป็นรอยฟันของดาบ ที่บัดนี้ราเชลก็แทบจะไม่ค่อยเชื่อสายตาตัวเองเหมือนกันว่าตัวเองมีกำลังขนาดนั้นเลยงั้นหรอ แต่เขาก็ยังข่มความคิดนั้นไว้พร้อมกับเริ่มแสดงสีหน้าเหนือกว่าขึ้นมาเล็กน้อยต่อเออร์ธานพร้อมกับยิ้มมุมปากออกมา

 

"เป็นอะไรไปล่ะตาแก่ แค่นี้ก็ลุกไม่ไหวแล้วหรือไง ไหนล่ะความมั่นใจในของยักษ์นั่น หรือว่าหนัก?"

 

เด็กหนุ่มพูดจายั่วยุหัวหน้าอัศวิน แต่เออร์ธานนั้นไม่ได้รู้สึกโกรธหรือถูกยั่วยุอย่างใดเลย แต่เขากำลังรู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมาก ที่บัดนี้มีคนที่สามารถสู้รบปรบมือกับเขาได้เสียที

 

 

" หึ!! เป็นเพราะพรของทวยเทพสินะ คงจะดูที่ภาพลักษณ์ของคนอย่างเดียวไม่ได้แล้วล่ะสิ แต่ถึงอย่างนั้นทักษะดาบของเจ้าก็ยังอ่อนหัดเกินไป "

 

เขาพูดจายอมรับตัวของเด็กหนุ่มไปเเล้วครึ่งหนึ่งเพราะความสามารถของราเชลถึงเขาจะไม่ค่อยออกกำลังกายมาก่อนก็เถอะ แต่สำหรับเขาก็พอให้ตกใจอยู่บ้างกับพละกำลังของตัวเอง ก่อนที่เออร์ธานจะลุกขึ้นยืนและเริ่มถอดสายลัดแขนออกจากโล่ของเขา จากนั้นเออร์ธานเริ่มจะใช้ดาบ2มือแล้วเอนตัวไปข้างหน้า

"ฮึ่ม!! "

ทันทีที่เขากดปลายเท้าพุ่งตัวไปข้างหน้า พื้นถึงกับทรุดตัวแตกเป็นรอยเท้า เด็กหนุ่มตกใจเป็นอย่างมากถึงกับตั้งตัวไม่ทันเพราะร่างใหญ่นั้นพุ่งเข้ามาประชิดตัวเขาแทบจะทันที ชายแก่ฟันดาบแรกอย่างหนักหน่วงจนเด็กหนุ่มที่ใช้ดาบใหญ่รับไว้ยังต้องทรุดคุกเข่าลง ไม่ทันไรชายเเก่ก็ใช้เข่ากระแทกใส่ดาบใหญ่เข้าทำให้ดาบใหญ่กระแทกหน้าเด็กหนุ่มอย่างจัง

"แอ็ค....!!"

ด้วยความที่เร็วจนราเชลนั้นมองไม่ทันและด้วยความมือสมัครเล่นของเขานั้นจึงทำให้เขาหลบไม่ทันต่ออีกฝ่ายที่รุกเข้ามาจึงทำให้ราเชลรับแรงกระแทกนั่นไปเต็มๆ จนเลือดกำดาวไหลออกตามมาเมื่อถูกกระแทก ที่บัดนี้ส่งผลให้ราเชล ล้มลงนอนหงายภาพตัดไปโดยปริยาย เออร์ธานเมื่อเห็นดังนั้นจึงวางดาบลงแล้วเอามือขึ้นเกาแก้มอย่างรู้สึกผิดนิดหน่อยที่ทำให้เด็กหนุ่มนั้น นอนฝันหวานไปชั่วครู่ชั่วคราว

"โอ้...นี่ข้าเล่นแรงไปหรือนี่…?"

หัวหน้าอัศวินกล่าวด้วยความรู้สึกผิดในใจ เพราะเขานึกว่าพรของทวยเทพจะทำให้เด็กคนนี้แข็งแกร่งขึ้นมากกว่าตนเสียอีก แต่ด้วยทักษะต่อสู้ของเด็กหนุ่มที่ตนนั้นเพิ่งจะสู้รบปรบมือด้วยเมื่อครู่ ก็ทำให้เออร์ธานรู้ว่าไม่เคยต่อสู้มาก่อนเพราะแทบจะไม่มีไหวพริบอะไรเลยในการต่อสู้ของเด็กหนุ่มคนนี้เออร์ธานนั้นได้ย่อตัวลงแล้วจับราเชลขึ้นพาดบ่าทั้งๆที่เด็กหนุ่มนั้นหลับสนิทชนิดที่ว่าถูกตบแล้วยังไม่ตื่น ก่อนเดินแบกราเชลมานอนที่แคมป์ทหารใกล้ๆ

:: หลังจากนั้นไม่นาน

"อู้ยยยย...เจ็บเป็นบ้า ตาแก่มันไม่รู้จักยั้งมือเลยหรือไง.."

เด็กหนุ่มที่ฟื้นจากการโดนกระแทกหน้านั้นก็ยังคงรู้สึกมึนๆอยู่บ้างเล็กน้อย ก่อนจะยันกายลุกขึ้นมานั่งซึ่งที่เขานอนอยู่เมื่อครู่ที่ใช้ฟางมาทำเป็นก้อนเหมือนเตียงและปูผ้าหนาๆเอาไว้สำหรับการนอนโดยเฉพาะ

เด็กหนุ่มนั่งนึกถึงสิ่งที่ตนเองได้เจอไปกับเออร์ธานแล้วยกมือขึ้นมาลูบจมูกตนที่เพิ่งโดนกระแทกไปตอนนั้น

"ซี๊ด!~.."

เขานั้นต้องสะดุ้งนิดหน่อย เมื่อเจ็บที่จมูกจนน้ำตาแทบเล็ดเพราะแรงกระแทกนั้นส่งผลให้จมูกของเขาต้องมีผ้าอุดเลือดกำดาวเอาไว้ 'ฝากไว้ก่อนเถอะตาแก่เออร์ธาน' เขานั้นคิดออกมาเมื่อรู้สึกเจ็บช้ำน้ำใจที่ต้องพ่ายแพ้แถมยังต้องมานั่งเป็นผักอยู่อย่างนี้

 

"ฟื้นแล้วเหรอเป็นยังไงบ้างคะท่านราเชล ยังเจ็บอยูรึเปล่าคะ"

เสียงเล็กๆที่ฟังแล้วดูลื่นหูเอ่ยขึ้นมา พร้อมกับใช้มือเรียวเล็กแหวกม่านของห้องในแคมป์ทหารเข้ามาพร้อมกับถาดยาในมือเธอแต่งตัวที่ดูคล้ายกับหญิงสาวชาวบ้านทั่วไป แต่ที่ไหนได้ เธอนั้นเป็นแพทย์ที่เก่งมากๆของกองกำลังทหารที่นี่ และผมสีแดงหยิกยักโศกของเธออนั้นก็ดูสะดุดตาไม่น้อย เด็กหนุ่มได้หันไปตามเสียงที่ลื่นหูนั่น ก่อนที่หญิงสาวจะหันไปวางถาดยาไว้บนโต๊ะไม้ข้างเตียงที่ราเชลได้นั่งอยู่ ก่อนที่จะเริ่มจัดยา

"เธอชื่ออะไรหรอ?"

ราเชลนั้นเอ่ยขึ้นมาพลางมองหญิงสาวที่กำลังหันหลังอยู่นั้นกำลังง่วนจัดอะไรสักอย่างให้ แต่สายตาก็ยังมองผมของหญิงสาวอยู่ไม่วางตา

 

"ข้ามีนามว่า ยีน่า เป็นแพทย์หลักของกองกำลังทหารที่นี่ "

เธอกล่าวออกมาแล้วหันไปยื่นถ้วยเล็กที่ใส่ยาน้ำสีดำสนิทให้ ถึงเธอจะดูไม่ค่อยงามเหมือนองค์หญิงอะไรนั่น แต่รอยยิ้มของเธอที่ยิ้มให้มันช่างดูละมุนละไมเสียเหลือเกิน แล้วไหนจะความเป็นกันเองไม่ถือสาอะไรที่มีให้ต่อเขานี่อีก เด็กหนุ่มนั้นรู้สึกสบายใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกเมื่อเธอยิ้มให้ก็ทำให้เขารู้สึกคุ้นเคยกับเธออย่างประหลาด ราวกับว่าเคยเจอเคยพบปะกันมาพร้อมกับเขาได้เอื้อมมือรับถ้วยที่ถูกยื่นมาจาก ยีน่า แล้วเอามาดมก่อนที่จะดื่ม แต่กลิ่นในถ้วยมันแทบจะทำให้เขาสำลัก แค่กลิ่นก็ไม่กล้ากินแล้ว

สักพักเสียงหัวเราะเบาๆจากยีน่านั้นเล็ดออกมากับความเปิ่นเปอะของเขา

 

"นั่นน่ะ เป็นยารักษากระดูก จมูกของเจ้าน่ะหักนะจะบอกให้รู้ไว้ กลั้นใจกินเข้าไปซะจะได้หายไวๆ"

 

ยีน่า ยกยิ้มขึ้นมาอย่างเป็นมิตรพลางขยั้นขยอให้ราเชล ดื่มยาสมานกระดูกไวๆ แต่สำหรับเราเชลแล้ว..มันยากที่จะดื่มจริงๆ แค่กลิ่นที่ลอยฟุ้งออกมาก็ทำให้รู้ว่ารสชาติมันต้องทำให้กลืนไม่ลงแน่ๆ 'เอาวะ..' ราเชลนั้นหลับตาลงสูดหายใจลึกๆแล้วกลั้นเอาไว้ก่อนจะยกยาน้ำสีดำนั่นกลืนลงคอไปรวดเดียวอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่รสชาติที่เขาสัมผัสนั้น...มันช่างแตกต่างจากที่เขาคิดไว้ มันกินง่าย และลื่นคอมาก เขาสัมผัสได้เลยว่ายานี้ช่างพิเศษจริงๆ มันทำให้ภายในตัวของเขาเย็นซาบซ่าน และความรู้สึกเจ็บปวดที่จมูกนั้นหายไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

 

"เป็นไง หายแล้วใช่ไหม? รู้สึกดีใช่ไหมล่ะ?"

 

ยีน่ายิ้มออกมามาอย่างดีใจที่ยานั้นมันสัมฤทธิ์ผลแต่ราเชล นั้นรู้สึกอึ้งนิ่งไปนิดหน่อยกับการรู้สึกในครั้งนี้เพราะสำหรับเขาแล้วมันวิเศษมาก ถ้าวงการแพทย์ในปัจจุบันบนโลกของเขานั้นทำได้ขนาดนี้ก็คงต้องก้าวไกลไปหลายขั้นแน่ๆ

 

"อะ แฮ่ม!.. เหมือนข้าจะมาขัดจังหวะอะไรสินะ"

 

เสียงแหบเข้มดังขึ้น พร้อมกับคนๆนึงที่ยืนจังก้าอยู่หน้าประตูของห้องที่ราเชลอยู่ บอกได้เลยว่านั่นใครเขาคนนั้นก็คือหัวหน้าอัศวินปีกศักดิ์สิทธิ์เออร์ธานนั่นแระ หลังจากที่เขารู้สึกตรึงเครียดจากการตอกหน้าผู้กล้าจนหลับฝันหวานไปเมื่อครู่เขากลับต้องเป็นกังวลและกระวนกระวายใจ เป็นห่วงจึงต้องยืนรอนั่งรอเฝ้าอยู่นอกห้องจนกว่าราเชลจะฟื้น แต่เขากลับพูดคำขอโทษต่อเด็กหนุ่มไม่ได้ ทั้งไฟที่ภายในใจของเอิร์ธานนั้นอยากจะขอโทษ ถึงจะเห็นว่าเขาชอบใช้กำลังแบบนี้แต่จิตใจของเขานั้นอ่อนโยนมากเลยนะแต่แค่ไม่ค่อยแสดงออกมาเท่านั้นแระ

 

"ถ้าเจ้าหายแล้ว.. หลังจากนี้.. ข้าจะพาเจ้าไปยังหอคอยจอมเวทย์หลวงเพื่อวัดพลังเวทย์ของเจ้า"

 

เออร์ธานพูดออกมาพร้อมกับเบนสายตาไปทางอื่นเล็กน้อยอย่างรู้สึกผิด แต่สำหรับราเชลแล้วเขาไม่ได้คิดอะไรเลยด้วยซ้ำและเขาก็ไม่ได้ถือโทษโกรธเออร์ธานเลยสักนิดต่อสิ่งที่เออร์ธานทำกับเขา ราเชลนั้นยื่นถ้วยยาคืนไปให้ยีน่าก่อนจะใช้มือดึงเศษผ้าที่อุดจมูกกันเลือดกำดาวไว้ ออกแล้วถอนหายใจเบาๆออกมาพลางมองไปที่เออร์ธานที่กำลังหลบสายตาสีเทาหม่นของเขาอยู่

 

"งั้นข้าขอตัวไปรักษาผู้อื่นก่อนนะ ท่านราเชล ข้าจักไม่อยู่ให้รบกวนสนทานสำคัญนี้หรอก และอีกอย่าง ท่านเออร์ธาน ท่านน่าจะเบาๆมือสักหน่อยก็ได้นะคะ ถึงข้าจะเป็นแพทย์ แต่ข้าก็ไม่สามารถดูแลคนของท่านทั้งหมดได้ในเวลาเดียวกันหรอกนะ"

 

หญิงสาวกล่าวอำลาเด็กหนุ่มพร้อมกับบอกเออร์ธานไปนิดหน่อยก่อนจะเดินถือถาดยาออกไปจากห้องของราเชล ที่ตอนนี้บรรยากาศในนี้กำลังดูอึดอัด เพราะความเงียบที่ราเชลมีต่อเออร์ธาน จนเออร์ธานนั้นทำอะไรไม่ถูกก่อนที่จะจิ๊ปากเดินเข้าไปหาราเชลที่ยังคงมองจ้องเออร์ธานตาไม่กระพริบ

 

"เอาล่ะเจ้าหนู ในเมื่อนายก็หายดีแล้วก็ไปหอคอยจอมเวทย์หลวงกัน "

 

"โอ๊ะ-----"

 

ชายแก่ร่างใหญ่จับคอเสื้อแล้วยกราเชลแบกขึ้นบ่าของเขาทันทีโดยที่ราเชลยังไม่ทันได้ตั้งตัวเดินออกจากแคมป์ของทหารเพื่อตรงไปยังหอคอยจอมเวทย์

" เห้!! ปล่อยฉันลงได้แล้วตาแก่ฉันลงเดินเองได้น่า "

เสียงโวกเวกโวยวายของเด็กหนุ่มนั้นดึงดูดสายตาของบรรดาทหารที่กำลังฝึกฝนกระบี่กระบองกันต้องหยุดชะงักให้กับความวุ่นวายของทั้งสองเป็นตาเดียวกัน บ้างก็กระซิบกระซาบกันอย่างสงสัย บ้างก็หัวเราะชอบใจเย้ยหยัน เมื่อราเชลเห็นแบบนั้นก็สงบปากสงบคำลง พร้อมกับกัดฟันกรอดที่ไม่พอใจเท่าไรนักเพราะเหมือนเขานั้นกำลังถูกนินทา พร้อมกับที่เออร์ธานนั้นก็ได้ปล่อยให้เขาลงเดินเอง

 

"ฮ่าห์! ถ้าแกเดินตามข้าคงไม่ทันหรอกเพราะแกขาสั้น "

เออร์ธานหัวเราะลั่นขึ้นมาอย่างได้ชัยพร้อมกับหันหน้าเดินนำราเชลไปตาทางก่อนจะเข้าโถงทางเดินที่เชื่อมต่อกับหอคอยศักดิ์สิทธิ์

 

" หน๋อยยย..พูดมาทีไรกวนโอ้ยได้ทุกทีสิน่า..ชิ.. "

 

เด็กหนุ่มหงุดหงิดพลางบ่นพึมพำโดยที่เดินตามเออร์ธานที่เอาแต่พูดจากกวนโอ๊ยเขาอยู่เนืองๆซึ่งเขาก็ต้องทนข่มอารมณ์หงุดหงิดเอาไว้ แล้วหันไปมองด้านนอกของโถงทางเดินที่เต็มไปด้วยสวนดอกไม้นานาพันธ์ พร้อมกับลมโชยอ่อนลงมาพอให้ใบไม้ดอกไม้พริ้วไหวตามแรงลมหยอกล้อกับแสงแดด และผีเสื้อมากมายที่บินโฉบดอกไม้ไปมามากมาย มองแล้วก็ช่างสบายตาและสวยงามเสียจริง ก่อนที่เขาจะเผลอเดินชนหลังของเออร์ธานที่ยังคงสวมเกราะหนาอยู่ดัง โป๊ง เพราะตัวเองนั้นเอาแต่มัวมองชมสวนดอกไม้จนไม่ได้มองข้างหน้า จากนั้นเสียงประตูไม้ใหญ่ตรงหน้าเออร์ธานก็ได้ลั่นดังเอี๊ยดบาดหูเมื่อเออร์ธานใช้สองมือค่อยๆผลักประตูไม้ออกเพื่อให้เปิดจากกัน

" เอ้า ข้าพาหนูน้อยมาให้เจ้าเล่นแล้ว เจ้าหนอนหนังสือ "

กึ่ง!

สิ้นสุดเสียงพูดของเออร์ธานบวกกับเสียงประตูที่เปิดจนสุด ก็เผยให้เห็นว่าหลังประตูที่เปิดไปนั้น เต็มไปด้วยชั้นหนังสือมากมายที่ตั้งสูงขึ้นไปจนเกือบติดชั้นเพดานของห้อง ที่กว้างพอๆกับห้องโถงแรกๆเหมือนที่เขาเคยถูกให้ทิ้งร่วงกลางอากาศก่อนหน้านั้น พร้อมกับมีแสงแดดส่องลงมาตามหลังคาที่ประดับด้วยกระเบื้องแก้ว จึงทำให้ห้องนี้ไม่จำเป็นต้องใช้ไฟในการมองหา เพราะมันสว่างไสวมากจนไม่ต้องกลัวว่าจะหลงเลยในห้องนี้ ก่อนที่เออร์ธานจะเอียงตัวหลบให้ราเชลมองดูห้องนี้อย่างเต็มๆตา ใช่ ที่นี่มันคือคลังความรู้ชั้นเลิศเลยก็ว่าได้

[ติดตามต่อตอนที่ 4 นะขอรับ]

 

เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!

novel PDF download
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!