ใต้ม่านละอองน้ำของหุบเขาต้องห้าม
เสียงน้ำตกทิ้งตัวลงจากหน้าผาสูงเสียดฟ้า ดังก้องราวเสียงขับกล่อมจากฟากฟ้า หยดน้ำโปรยปรายเป็นละอองเรืองรอง กระทบแสงแรกของรุ่งอรุณกลายเป็นประกายสีเงินที่เต้นระยิบระยับราวความฝัน
รอบข้างคือความเขียวชอุ่มจากพฤกษานับพันใบ แสงแดดอ่อนเย็นลอดผ่านพงไพรลงมากระทบผิวน้ำใสราวกระจก ขับภาพทุกอย่างให้ชวนหลงใหลและเกินจริง
และในบรรยากาศนั้น—คือเธอ
นางยกมือพริ้วไหวขึ้นช้า ๆ เหมือนบรรเลงบทกวีด้วยท่าร่ายรำของเทพี มวลกลีบดอกไม้สีอ่อนล่องลอยออกจากปลายนิ้วราวถูกเรียกด้วยมนตร์ ก่อนจะร่วงหล่นลงแตะผิวน้ำอย่างอ่อนโยน
เส้นผมเปียกแนบแผ่นหลังขาวเนียนดังงาช้าง เป็นเส้นยาวสี Deep Sea Green ราวกับสาหร่ายทะเลที่ไหลรินจากโขดหินลึก
กลีบดอกไม้บางส่วนติดแน่นอยู่บนเรือนผมนั้น ราวกับมิกล้าจากไป
และเมื่อเธอค่อย ๆ หันหน้า ดวงตาสีทองของเธอก็สะท้อนแสงอรุณเฉกเช่นอำพันที่ลุกไหม้ในเปลวเพลิงเยือกเย็น
เธองามดั่งคำสาปของจักรวาล—
เส้นผมยาวเป็นคลื่นสีน้ำทะเลลึก เมื่อพลิ้วไหวราวม่านหมอกแห่งรัตติกาลก็เหมือนสายธารที่พระเจ้าเองยังทอดสายตามอง
ดวงเนตรสีทองเข้มเจิดจ้าดั่งสุริยันแรกกำเนิด จ้องมองผู้ใดก็ราวจิตวิญญาณถูกฉุดลากเข้าสู่แดนต้องห้ามของสรวงสวรรค์
ผิวพรรณขาวเนียนราวแสงจันทร์บนผืนน้ำบริสุทธิ์ ไร้ตำหนิ ราวกับไม่เคยต้องโลกีย์หรือกาลเวลา
ใบหน้าของเธอไม่ใช่เพียงความงาม หากคือศิลาฤกษ์ที่ทำให้เทวะสรรค์สร้างสรรพสิ่ง พวงแก้มระเรื่อราวกลีบแรกของกุหลาบต้องน้ำค้าง
ริมฝีปากของเธอคือสีชมพูเนียนของการพิพากษา และความอ่อนโยน
นางคือบุปผาดอกแรกของเอกภพ และอาจเป็นดอกสุดท้าย—
เพราะผู้ใดที่ได้สบตานาง ล้วนไม่เหลือหัวใจให้รักสิ่งอื่นอีกต่อไป
และสิ่งแรกที่ได้สบตากับดวงตาสีทองอร่ามนั้น กลับเป็นความชั่วร้ายสิ่งแรกของจักรวาล ที่พร้อมจะกัดกินทุกสิ่ง
เขางดงามดั่งคำโกหกของพระเจ้า—
เส้นผมสีทองอร่าม ราวกับแสงแรกแห่งอรุณเหนือขอบฟ้าโลกใหม่ ทอดตัวเป็นลอนเบา ๆ เหมือนสายลมต้องเส้นไหม
ดวงตาสีทองเข้มลึก ลุ่มลึกดั่งห้วงอำมหิตของจักรพรรดิผู้นิทรา หากจ้องนานเกินไป…ผู้ใดก็ไม่อาจจำได้อีกว่าตัวเองเป็นใคร
โครงหน้าคมราวรูปสลักจากหินศักดิ์สิทธิ์ของสวรรค์—สันจมูกตรง คางแข็งแรง กรอบหน้าราวภาพฝันที่เทพีสร้างขึ้นเพื่อบูชาความงาม
รอยยิ้มของเขา…ไม่ใช่เพียงเสน่ห์ แต่คืออาวุธ ร้ายแรงกว่าอาวุธใดของปีศาจ เพราะมันอ่อนโยนพอจะทำให้เทพีร้องไห้
และเฉียบคมพอจะเฉือนสวรรค์ออกเป็นเสี่ยง ๆ ได้ด้วยคำพูดเพียงประโยคเดียว
เขาไม่เหมือนเทพ ไม่เหมือนมนุษย์ ไม่แม้แต่เหมือนซาตาน
เขาคือรูปลักษณ์ของ “ความหลอกลวงที่งดงามที่สุด”
..."เจ้าเป็นใคร?"...
นั่นเป็นบทสนทนาแรกระหว่างพวกเขา อาจเป็นบทสนทนาที่ตึงเครียด แต่ผู้ใดจะพินิจได้ว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของชะตาที่พระเจ้าไม่ใช่ผู้วาดฝัน เพราะเขาจะเป็นผู้วาดฝันมันเอง
..."เจ้าหลอกข้า"...
ภายใต้ม่านฟ้าสีเลือดจาง เทพีผู้เคยสง่างามเหนือสรรพสิ่ง กลับทรุดตัวลงดั่งดอกไม้ต้องน้ำค้างกรด—งามวิบัติ
ดวงเนตรสีทองที่เคยเปล่งประกายเช่นดวงอาทิตย์แรกแย้ม บัดนี้หล่อหลอมไปด้วยเงาแห่งความอาวรณ์ เธอไม่เคยรู้เลยว่า ความรัก…จะกลายเป็นคำสาปที่ละลายปีกแห่งศักดิ์ศรีจนหล่นหาย
บทกวีของปีศาจที่เอื้อนเอ่ยขับขานแผ่วเบา กลับกลายเป็นยาพิษหอมหวาน หลอกล่อเทพีให้กลืนกินด้วยหัวใจของตนเอง"
และในหยดน้ำตาหยดสุดท้ายของเธอ โลกทั้งใบก็เยือกแข็ง
..."จงตกนรก ไม่ได้ฝุดได้เกิดเถิด ลิซานดรา"...
ดาบทองลงทัณฑ์บนคอของเธอ เพื่อเป็นการประณามและลงโทษ เทพีผู้ลุ่มหลงในความรัก แต่สุดท้ายกลับถูกล่อลวง
..."จงเกิดใหม่อีกคราเถิด ลิซานดรา บุปผาของข้า"...
...1...
ใต้ม่านละอองน้ำของหุบเขาต้องห้าม
เสียงน้ำตกทิ้งตัวลงจากหน้าผาสูงเสียดฟ้า ดังก้องราวเสียงขับกล่อมจากฟากฟ้า หยดน้ำโปรยปรายเป็นละอองเรืองรอง กระทบแสงแรกของรุ่งอรุณกลายเป็นประกายสีเงินที่เต้นระยิบระยับราวความฝัน
รอบข้างคือความเขียวชอุ่มจากพฤกษานับพันใบ แสงแดดอ่อนเย็นลอดผ่านพงไพรลงมากระทบผิวน้ำใสราวกระจก ขับภาพทุกอย่างให้ชวนหลงใหลและเกินจริง
และในบรรยากาศนั้น—คือเธอ
นางยกมือพริ้วไหวขึ้นช้า ๆ เหมือนบรรเลงบทกวีด้วยท่าร่ายรำของเทพี มวลกลีบดอกไม้สีอ่อนล่องลอยออกจากปลายนิ้วราวถูกเรียกด้วยมนตร์ ก่อนจะร่วงหล่นลงแตะผิวน้ำอย่างอ่อนโยน
เส้นผมเปียกแนบแผ่นหลังขาวเนียนดังงาช้าง เป็นเส้นยาวสี Deep Sea Green ราวกับสาหร่ายทะเลที่ไหลรินจากโขดหินลึก
กลีบดอกไม้บางส่วนติดแน่นอยู่บนเรือนผมนั้น ราวกับมิกล้าจากไป
และเมื่อเธอค่อย ๆ หันหน้า ดวงตาสีทองของเธอก็สะท้อนแสงอรุณเฉกเช่นอำพันที่ลุกไหม้ในเปลวเพลิงเยือกเย็น
นางงามดั่งคำสาปของจักรวาล
เส้นผมยาวเป็นคลื่นสีน้ำทะเลลึก เมื่อพลิ้วไหวราวม่านหมอกแห่งรัตติกาลก็เหมือนสายธารที่พระเจ้าเองยังทอดสายตามอง
ดวงเนตรสีทองเข้มเจิดจ้าดั่งสุริยันแรกกำเนิด จ้องมองผู้ใดก็ราวจิตวิญญาณถูกฉุดลากเข้าสู่แดนต้องห้ามของสรวงสวรรค์
ผิวพรรณขาวเนียนราวแสงจันทร์บนผืนน้ำบริสุทธิ์ ไร้ตำหนิ ราวกับไม่เคยต้องโลกีย์หรือกาลเวลา
ใบหน้าของเธอไม่ใช่เพียงความงาม หากคือศิลาฤกษ์ที่ทำให้เทวะสรรค์สร้างสรรพสิ่ง พวงแก้มระเรื่อราวกลีบแรกของกุหลาบต้องน้ำค้าง
ริมฝีปากของเธอคือสีชมพูเรียบเนียนของความอ่อนโยน
นางคือบุปผาดอกแรกของเอกภพ และอาจเป็นดอกสุดท้าย—
เพราะผู้ใดที่ได้สบตานาง ล้วนไม่เหลือหัวใจให้รักสิ่งอื่นอีกต่อไป
แต่ทว่า ผู้แรกที่ได้สบกับดวงตาสีอำพันบริสุทธิ์นั้น ไม่ใช่ความอ่อนโยน คำโชคดี หรือมงคล
สิ่งนั้นคือความชั่วร้าย ภายใต้หน้ากากของความธรรมดา
เขางดงามดั่งคำโกหกของพระเจ้า—
เส้นผมสีทองอร่าม ราวกับแสงแรกแห่งอรุณเหนือขอบฟ้าโลกใหม่ ทอดตัวเป็นลอนเบา ๆ เหมือนสายลมต้องเส้นไหม
ดวงตาสีทองเข้มลึก ลุ่มลึกดั่งห้วงอำมหิตของกษัตริย์ผู้นิทรา หากจ้องนานเกินไป…ผู้ใดก็ไม่อาจจำได้อีกว่าตัวเองเป็นใคร
โครงหน้าคมราวรูปสลักจากหินศักดิ์สิทธิ์ของสวรรค์—สันจมูกตรง คางแข็งแรง กรอบหน้าราวภาพฝันที่เทพีสร้างขึ้นเพื่อบูชาความงาม
รอยยิ้มของเขา…ไม่ใช่เพียงเสน่ห์ แต่คืออาวุธ ร้ายแรงกว่าอาวุธใดของปีศาจ เพราะมันอ่อนโยนพอจะทำให้เทพีร้องไห้
และเฉียบคมพอจะเฉือนสวรรค์ออกเป็นเสี่ยง ๆ ได้ด้วยคำพูดเพียงประโยคเดียว
เขาไม่เหมือนเทพ ไม่เหมือนมนุษย์ ไม่แม้แต่เหมือนซาตาน
เขาคือรูปลักษณ์ของ “ความหลอกลวงที่งดงามที่สุด”
เมื่อดวงตาสีทองทั้งสองสบกัน กลับไม่มีคำบรรยายใดๆให้กับการกระทำนี้
ดวงตาอำพันบริสุทธิ์ พบกับความเยือกเย็น
"เจ้าเป็นใคร"
นั่นคือคำพูดแรกที่ทำลายความเงียบสงบระหว่างพวกเขา และเป็นจุดเริ่มต้นของโชคชะตาที่พระเจ้ามิต้องการ
..."ข้าคือทองคำ"...
...เขากล่าวอย่างไม่คิดอะไร และขบขัน...
..."งั้นข้าคงจะเป็นอำพัน"...
เธอกล่าว พยายามโต้ตอบเขาในขณะที่ลืมว่าตัวเองกำลังเปลือยกายไปชั่วขณะ
..."งั้นข้าก็คงมีค่ามากกว่าเจ้าสินะ อำพัน"...
...2...
ในป่าลึกที่ไม่เคยมีผู้ใดเหยียบย่าง นอกจากเสียงของใบไม้ไหวเบาและเสียงลมหายใจของดอกไม้ที่บานอยู่ตลอดกาล สายลมพัดหอมกลิ่นลาเวนเดอร์ปนมะลิอ่อน ๆ ประหนึ่งป่าทั้งผืนกำลังหายใจคลอเคลียไปกับความรักของพวกเขา
ใต้ต้นอาเคเชียทองที่โอบเงาร่มไว้เหนือผืนหญ้านุ่ม Cassiel นั่งเอนหลังพิงลำต้น ขณะเทพีนอนเอนศีรษะไว้บนตักของเขา เส้นผมสีเขียวทะเลของเธอพราวแสงแดดลอดใบไม้ ขณะที่ดวงตาสีทองหลับพริ้ม รอยยิ้มเล็ก ๆ ผุดอยู่บนริมฝีปากเธอราวกับความฝัน
Cassiel ใช้ปลายนิ้วเกลี่ยกลีบซากุระที่ร่วงลงมาจากต้น—กลีบบางเบาแตะผิวของเธอราวกลัวจะทิ้งรอย
"เจ้ารู้ไหม" เขากระซิบแผ่ว ดวงตาสีทองของเขาจ้องมองเธอ "บางทีข้าอาจเกิดมาเพื่อหลงรักเจ้าผู้เดียว"
Lysandra ลืมตาขึ้นอย่างเชื่องช้า ยิ้มของเธออบอุ่นราวแสงอรุณ
"แล้วข้าก็อาจเกิดมาเพื่อให้เจ้าลักพาตัวข้าออกจากสวรรค์นี้ ในยามที่ใคร ๆ หลับใหล"
หัวเราะเบา ๆ ดังขึ้นในระหว่างพวกเขา เสียงนั้นกลมกลืนไปกับเสียงน้ำไหลจากลำธารเล็ก ๆ ที่อยู่ไม่ไกล Cassiel ยื่นมือออกไปเด็ดแอปเปิ้ลลูกเล็ก ๆ สีแดงจากต้นหนึ่ง แล้วยื่นให้เธออย่างทะนุถนอม เธอรับไว้ด้วยปลายนิ้ว ก่อนกัดคำเล็ก ๆ
..."ขม..." เธอเบะปาก...
"แต่เรายังอยู่ด้วยกัน" เขาหัวเราะ "แม้แต่ความขมก็หวาน"
ณ ป่าส่วนตัวที่มีเพียงพวกเขาเป็นสักขีพยาน ความรักในเงาเงียบนี้ คือสิ่งที่งดงามกว่าคำสาบานใด ๆ ที่โลกเคยได้ยิน
"เจ้าดูนี่สิ"เขาเด็ดดอกไม้ที่ต้นไม้เบาๆ ดอกไม้นั้นทั้งอ่อนนุ่ม สวยงาม นุ่มนวล
"เป็นดอกไม้ที่วิเศษจริงๆ"เขาขยับดอกไม้นั้นมาที่จมูกของเขา และสูดดมมัน
"แต่ข้าวิเศษกว่าสิ่งใดในจักรวาลนี้ ใช่ไหมล่ะ?"เธอถาม ในขณะที่จ้องมองตัวอักษรบนหนังสือในขณะที่ศรีษะยังคงนอนทอดเคียงอยู่บนตักของเขา
"ในสายตาข้า ตลอดกาลเลยล่ะ"เขาตอบอย่างอ่อนโยน เต็มไปด้วยความรักและความลุ่มหลง เขาไม่เคยละสายตาจากดวงตาสีทองอำพันสว่างบริสุทธิ์ของเธอเลย
โดยไม่ทันสังเกตว่าเขาทำกลีบดอกไม้ที่เปราะบางร่วงหล่น
กลีบดอกไม้กลีบหนึ่ง ร่วงหล่นจากมือของเขา สัมผัสกับริมฝีปากสีชมพูนุ่มนวลของเธอ
...เธอเป่าเบาๆ เพื่อปัดเป่ากลีบดอกไม้ที่น่ารำคาญนั้นออกไป...
เขาก้มลงอย่างกระทันหัน ริมฝีปากของเราสัมผัสกันอย่างนุ่มนวลเหมือนกับลมที่ผลัดผ่านเบาๆอย่างสงบนิ่ง
...ข้ากำลังตกหลุมรักลุ่มหลงในใบหน้าที่งดงามนั้น โดยที่ไม่รู้จักใบหน้านั้นด้วยซ้ำ...
ข้าไม่สนใจสิ่งใดทั้งนั้น ข้าสนใจเพียงใบหน้าที่งดงามและชื่อของสิ่งนั้น
..."Cassiel"...
...เธอกระซิบกับริมฝีปากนั้นเบาๆ...
..."ข้าคิดว่าข้ากำลังตกหลุมรักเจ้า"...
...แม้จะผิดทัณฑ์หลวง...
...หรือต้องถูกแผดเผา...
...เราก็ยังคงจุมพิตกัน...
...3...
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!