กลิ่นดอกลั่นทมลอยฟุ้งมากับสายลมเย็นยามเย็น
ต้นลีลาวดีกำลังเบ่งบานเต็มที่ กลีบดอกสีขาวนวลร่วงหล่นลงช้าๆ เหมือนหยาดความทรงจำที่หวนคืน
ชีพนั่งอยู่บนม้านั่งไม้หน้าบ้าน ข้างๆ เขาคือเด็กหญิงตัวเล็กๆ ที่มีแววตาคุ้นเคยเหลือเกิน
เธอกำลังยิ้มสดใส มองต้นไม้ด้วยสายตาใสซื่อบริสุทธิ์
แต่ในใจของชีพ
กำลังสั่นไหวอย่างรุนแรง
“…หนูรู้ไหม”
เสียงของเขาแผ่วลง เขาเหลือบตามองเธออย่างไม่กล้าตรงเกินไป
“หนูหน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกับภรรยาของตามากเลยนะ… เหมือนกันจนแทบแยกไม่ออก”
เด็กหญิงหันมามองเขา ดวงตาใสซื่อกระพริบเบาๆ
“จริงเหรอคะ?”
ชีพยิ้มจางๆ เขาพยักหน้า แล้วเอ่ยต่อช้าๆ
“ตอนที่เธอเสียไป… ตายังเก็บร่างของเธอไว้ในโลงแก้วอยู่เลย
เพราะลุงทำใจไม่ได้… ลุงยังอยากใช้ชีวิตอยู่กับเธอ แม้จะไม่มีลมหายใจแล้วก็ตาม”
น้ำเสียงของเขาสั่นเล็กน้อย
“เดี๋ยวตาจะพาหนูไปดู... ลองดูสิ ทำไมคนนอนในโลงนั้นถึงหน้าตาคล้ายหนูขนาดนี้
หนูคือเขาจริงๆ ใช่ไหม... คนที่กลับชาติมาเกิด...”
เด็กหญิงนิ่งไปเล็กน้อย ก้มหน้าลงเหมือนกำลังสับสนกับคำพูดนั้น
“ก่อนที่เขาจะเสีย เขาก็มาลาตาเหมือนกันนะ
พูดเสียงแผ่วว่า ถึงเวลาต้องไปเกิดแล้ว…
ลุง...สงสัยจริงๆ ว่าหนูคือเขา”
เขาหันมามองเธอตรงๆ
น้ำตาคลอเบ้า มือเหี่ยวย่นของเขาเอื้อมไปแตะแขนเล็กๆ ของเธออย่างเบามาก
ราวกับกลัวจะทำลายสิ่งบางอย่างที่เพิ่งได้คืนมา
“หนูจำลุงไม่ได้เลยเหรอ…”
เขาถามเสียงเบาเหมือนคนละเมอ
แต่ถามย้ำอีก
“หนูจำลุง...ไม่ได้จริงๆ เหรอลั่นทม…”
หญิงน้อยนิ่งเงียบ
ดวงตากะพริบช้าๆ
สายลมพัดผ่านอีกระลอก
ดอกลั่นทมร่วงหล่นลงข้างๆ เธอ...กลีบดอกซ้อนกันพอดีราวกับจงใจ
แล้วเธอก็เงยหน้าขึ้น
ใบหน้ายังเป็นเด็ก แต่ในดวงตา...มีแววบางอย่างเปลี่ยนไป
ความฉงนเจือจางลง เหลือเพียงความเงียบ และบางอย่างที่เหมือน... "ระลึกได้"
เด็กหญิงนิ่งเงียบ
เสียงของคุณลุงที่ชื่อ “ชีพ” ยังคงสั่นเครืออยู่ข้างๆ
แต่มันไม่ได้ฟังดูน่ากลัวหรือน่ารำคาญเลย... มันกลับอบอุ่นจนใจเธอสั่น
เธอไม่เข้าใจ...แต่ข้างในหน้าอกกลับรู้สึกหนักๆ ราวกับความคิดถึงบางอย่างที่ไม่ควรมี
“หนูชื่ออะไรนะ” ชีพเอ่ยถามเบาๆ
“ชื่อ...ทมค่ะ” เธอตอบตามตรง
แต่ทันทีที่พูดคำนั้นออกมา หัวใจก็สั่นไหวแปลกประหลาด
เหมือนชื่อที่พูดออกมา...มันไม่ใช่ชื่อใหม่
แต่มันคือชื่อเดิมที่เคยหายไป
ลั่น—ทม
เด็กหญิงขมวดคิ้วเล็กน้อย ดวงตาเหม่อลอย
สายลมยังคงพัด กลิ่นดอกไม้เดิมยังคงหอมฟุ้งไม่จาง
เธอหันไปมองต้นลีลาวดี... แล้วเอื้อมมือเล็กๆ ไปสัมผัสลำต้น
“หนู...รู้สึกเหมือนเคยรดน้ำต้นไม้ต้นนี้...” เธอพึมพำเบาๆ
ชีพยิ้มทั้งน้ำตา
“ใช่…หนูเคยพูดว่า ต้นนี้ต้องดูแลเหมือนลูก…”
“เคยพูดจริงเหรอคะ?” เธอเงยหน้าถาม
มือยังแตะต้นไม้อยู่เหมือนมันเป็นเพื่อนเก่าที่ลืมชื่อกันไป
“ทุกเช้า เธอจะออกมารดน้ำ ร้องเพลงเบาๆ…
แล้วก็หันมายิ้มให้ตาทุกครั้ง…”
คำพูดของชีพคล้ายเสียงกระซิบจากอดีต
และในวินาทีนั้น ภาพเลือนรางบางอย่างแวบเข้ามาในหัวของทม
...เสียงน้ำที่สาดลงบนดิน...
...เสียงหัวเราะแผ่วเบา...
...เงาของชายคนหนึ่งที่นั่งดื่มกาแฟอยู่ตรงระเบียง...
เธอเบิกตาโพลงเล็กน้อย
“หนู...เหมือนเคยฝันว่าได้ทำอย่างนั้นจริงๆ...”
เธอหันมามองชีพด้วยสายตาฉงนและสั่นไหว
“คุณลุง...ในฝันนั้นลุงก็อยู่ด้วย…”
ชีพกลั้นน้ำตาไม่อยู่แล้ว
เขาคุกเข่าลงตรงหน้าเธอ มือสองข้างจับบ่าบอบบางนั้นไว้เบาๆ
“ใช่...เพราะหนูคือเขา...คือภรรยาของลุง…คือ ‘ลั่นทม’ ของลุงไง…”
ทมนิ่งไป
ราวกับโลกทั้งใบหยุดหมุน
เธอก้มหน้าลง น้ำตาหยดหนึ่งไหลลงข้างแก้ม
ไม่ใช่เพราะความกลัว
แต่เพราะหัวใจของเด็กหญิงตัวน้อยดวงนี้…มันจำได้แล้ว
“หนู...คิดถึงเสียงเพลงของลุง...คิดถึงเวลาที่นั่งข้างๆ ลุง...”
เสียงของเธอสั่นเครือเหมือนดอกไม้ที่ไหวตามลม
ชีพกอดเธอไว้แน่น
ร่างของเด็กหญิงสะอื้นในอ้อมแขน
เหมือนความรู้สึกทั้งหมดพังทลายลงมาทีละนิด
ไม่มีคำพูดใดจำเป็นอีกต่อไป
เพราะหัวใจ…ได้จำกันแล้ว
รุ่งเช้าในวันหนึ่ง
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นในห้องนอนเล็กๆ ของทม
หน้าจอแสดงหมายเลขไม่คุ้น ทมลังเลเล็กน้อย ก่อนจะกดรับสาย
“ฮัลโหล…”
เสียงแหบพร่าของชายชราดังจากปลายสาย
“ตาชีพเองนะ นังหนู… หนูว่างไหม วันนี้ตาอยากชวนมาเที่ยวสวนบ้านตา”
“ค่ะ…”
เธอตอบรับ ทั้งที่ในใจรู้สึกแปลกๆ อย่างบอกไม่ถูกเหมือนในใจเธอนั้นอยากไป
—
เมื่อทมก้าวเข้ามาในบ้านของตาชีพ เธอกลับพบว่าที่นั่นมีผู้คนมากมาย
โต๊ะไม้ยาวถูกจัดเรียงอย่างเรียบร้อย พร้อมแฟ้มเอกสารหนาเตอะ
ผู้ชายท่าทางสุขุมในชุดสูทสีเข้มกำลังพูดคุยอยู่กับตาชีพ
เขาเงยหน้ามามองเธอ แล้วยิ้มบางๆ
“คุณคือ...คุณทมใช่ไหมครับ?”
“ค่ะ...” เธอตอบอย่างระแวงเล็กน้อย
ตาชีพเดินเข้ามาใกล้ ยิ้มอย่างใจดีเหมือนทุกครั้ง
“นังหนู...วันนี้ตาเรียกหนูมาคุยเรื่องสำคัญ
ตาจะยกบ้านหลังนี้...กับโรงงานของภรรยาตา...ให้หนูนะ”
ทมตกใจจนพูดไม่ออก
“หา...ยกให้หนูเหรอคะ? ทำไมล่ะคะ...?”
ชีพถอนหายใจเบาๆ ดวงตาเศร้าสร้อยแต่มั่นคง
“ก็เพราะหนูคือภรรยาตาที่กลับมาเกิดยังไงล่ะ...
ทุกอย่างของลุงมันก็ต้องเป็นของหนูอยู่แล้ว”
เธอชะงัก น้ำเสียงลุงจริงจังจนเธอพูดไม่ออก
ในใจเริ่มร้อนผ่าวเหมือนอารมณ์บางอย่างจะไหลทะลักออกมา
ทนายความเปิดแฟ้มเอกสาร
ชีพหันไปบอกเบาๆ
“คุณทนายครับ...ถ้าผมตายเมื่อไหร่…
ขอให้เอาร่างผมไปเก็บไว้ในโลงแก้วนะครับ
ผมนอนกอดภรรยาผมได้ไหม…?”
ทมเบิกตาโพลง
“ลุงคะ…อย่าพูดแบบนั้นสิ…”
ตาชีพหันมาจับมือเธอเบาๆ มือของเขาเย็นแต่มั่นคง
“นังหนูเอ้ย…ลุงฝากผีฝากไข้ไว้กับหนูนะลูก
ลุงไม่อยากจากหนูไปไหน
ถ้าลุงตาย...ไม่ต้องเผา ไม่ต้องฝัง
ลุงอยากอยู่ในบ้านหลังนี้ อยู่กับภรรยาลุง
อยู่กับหนู...”
น้ำตาทมเริ่มไหล เธอรู้สึกเหมือนเด็กตัวเล็กๆ ที่ไม่เข้าใจว่าทำไมโลกถึงใจร้ายขนาดนี้
“หนู...จะดูแลทุกอย่างแทนลุงเอง...” เธอพูดเสียงเบา มือจับมือเขาแน่น
ชีพยิ้มอย่างโล่งใจ
“นั่นแหละ...ลุงก็วางใจได้แล้ว...”
“คืนสุดท้ายที่ทะเล”
เสียงคลื่นซัดฝั่งเบาๆ ดังกระทบจังหวะหัวใจ
ดวงอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้า เปลวแสงสีส้มทองทอดยาวไปทั่วผืนทะเล
สายลมเย็นเอื่อยพัดพาเอากลิ่นเค็มและอิสระมาแตะปลายจมูก
วันนี้ทมพาชีพมาเที่ยวทะเล — สถานที่สุดท้ายที่ชีพอยากไป
ทั้งสองนั่งอยู่ใต้ร่มเงาของต้นสนที่ยืนต้นอยู่ริมหาด
เบื้องหน้าเป็นผืนน้ำไร้ที่สิ้นสุด
เบื้องหลังคือเงาที่ทอดยาวของอดีต…ความรัก…และความผูกพันที่ยาวนานเกินกว่าจะอธิบายเป็นคำพูด
“ตาเคยมาที่นี่กับภรรยา” ชีพพูดเสียงแผ่ว ดวงตาเหม่อมองออกไปยังเส้นขอบฟ้า “ครั้งแรกที่เราคุยกันเรื่องความฝัน ตาก็อยู่ตรงนี้…”
ทมเงียบ ไม่พูดอะไร เธอเพียงแค่พยักหน้าช้าๆ
แม้ในความทรงจำของเธอในชาตินี้จะไม่ชัดเจน แต่ความรู้สึกบางอย่างภายในใจกลับอุ่นวาบ
เหมือนกับว่าเธอเคยมานั่งตรงนี้มาก่อน
“เค้าบอกว่า อยากมีบ้านหลังเล็กๆ มีสวนลั่นทม อยากให้เรานั่งชงชากันทุกเย็น”
“ตาทำสำเร็จแล้วนะคะ” ทมพูดขึ้นเบาๆ “บ้านหลังนั้นงดงามมาก”
ชีพหัวเราะเบาๆ แล้วไอเล็กน้อย
“แต่ไม่มีเค้าอยู่ด้วย…มันก็แค่เรือนว่างๆ”
—
คืนนั้นท้องฟ้าเปิดกว้าง
หมู่ดาวแต่งแต้มเต็มฟ้า
ลมทะเลเย็นพัดมาเรื่อยๆ เหมือนจะปลอบโยนสิ่งมีชีวิตทุกอย่างที่เหน็ดเหนื่อยจากโลกใบนี้
ทมกับชีพนั่งข้างกัน เงียบงัน ไม่มีใครพูดอะไรอีก
เธอมองมือเหี่ยวย่นที่วางอยู่บนตักของเขา
จับมันเบาๆ
กอบเก็บความรู้สึกสุดท้ายไว้ในหัวใจ
“ลุงเหนื่อยไหมคะ?”
“เหนื่อย…แต่ไม่เสียใจเลย” เขาตอบเบาๆ
“เพราะสุดท้ายก็ได้เจอกับหนูอีกครั้ง”
ทมยิ้ม ทั้งน้ำตา
เธอไม่แน่ใจว่าเธอเป็นใคร เป็นลั่นทมที่กลับมาเกิดใหม่ หรือเป็นแค่ทมที่มีความรู้สึกลึกซึ้งเกินเหตุ
แต่คืนนี้ — เธอคือคนสำคัญของชายชราคนหนึ่ง
และเธอจะอยู่กับเขาจนวินาทีสุดท้าย
—
เวลาล่วงไปจนดึก
เสียงคลื่นยังคงซัดฝั่งอย่างซื่อสัตย์
ทมเอนหัวพิงไหล่ชีพ เธอรู้สึกถึงการเต้นของหัวใจ
เขาแผ่วลงเรื่อยๆ
และเมื่อเธอเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง
ชายชราคนนั้นก็หลับตาแน่นิ่งไปแล้ว
ด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนที่สุดบนใบหน้า
พร้อมแสงจันทร์ที่สาดส่องลงมาอย่างอ่อนโยนพอดิบพอดี
—
ทมจัดการเรื่องร่างของชีพ
ตามความประสงค์ของเขา
เธอนำร่างเขากลับไปบ้านกลางสวนลั่นทม
ที่นั่น — มีห้องเรือนกระจกที่เคยเก็บร่าง
ภรรยาของชีพไว้ในโลงแก้ว
เธอจัดการทุกอย่างด้วยมือของเธอเอง
เปลี่ยนเสื้อผ้าให้เขา
วางร่างของเขาเคียงข้างผู้หญิงคนนั้น
ที่เคยเป็นเธอในอดีต
“นอนด้วยกันให้สบายเลยนะคะลุง”
เธอกระซิบ ก่อนจะหลับตาแล้วก้มกราบร่างที่เคยอบอุ่นนั้น
ทนายมาพร้อมเอกสารพินัยกรรม
ทุกอย่างถูกจัดการอย่างเรียบร้อย
บ้าน สวน โรงงาน และสิ่งของล้ำค่าทั้งหมดถูกโอนให้เธอ
แต่สิ่งมีค่าที่สุดไม่ใช่ทรัพย์สมบัติ
มันคือ ความรัก และ ความศรัทธา
ที่ชายชราคนหนึ่งมอบให้หญิงสาวคนหนึ่งไม่ว่าจะเกิดมากี่ครั้งก็ตาม
—
“สวนลั่นทมของความรัก”
หลายเดือนผ่านไป
บ้านหลังนั้นไม่ได้เงียบเหงาอีกต่อไป
ทมเปลี่ยนพื้นที่บริเวณบ้านเป็นเรือนรับแขกเล็กๆ ที่เปิดให้ผู้คนเข้าเยี่ยมชม
เธอไม่เรียกมันว่าพิพิธภัณฑ์
แต่เรียกว่า “สวนลั่นทมของความรัก”
ในสวนมีต้นลั่นทมหลายสายพันธุ์
กลิ่นหอมของมันลอยฟุ้งในอากาศ
มีมุมให้นั่งพักใจ มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับตาชีพและภรรยาของเขาแขวนอยู่ตามต้นไม้แต่ละต้น
เธอเขียนไว้เองทุกบรรทัด ทุกตัวอักษร
มีผู้มาเยี่ยมมากมาย
เด็กเล็ก คู่รัก นักเดินทาง หรือแม้กระทั่งคนที่เคยผิดหวังในความรัก
หลายคนมานั่งเงียบๆ แล้วร้องไห้
ก่อนจะยิ้มออกมาอีกครั้ง
เพียงแค่ได้รู้ว่า — โลกนี้ยังมีรักแท้จริงๆ
—
“จดหมายจากทม”
ค่ำคืนหนึ่ง
ทมนั่งอยู่ในห้องเรือนกระจก
เธอหยิบสมุดบันทึกขึ้นมาเขียน
ข้อความสุดท้ายในเล่มแรกมีใจความว่า:
> “ขอบคุณที่กลับมารอหนู
ขอบคุณที่ไม่ลืมกัน
ขอบคุณที่เชื่อว่าหนูจะกลับมา
และขอบคุณที่รักหนูไม่ว่าเราจะเป็นใคร ในกี่ชาติภพ”
> “หนูจะดูแลสิ่งที่ลุงรักให้ดีที่สุดนะคะ
จนกว่าจะถึงวันที่เราได้พบกันอีกครั้ง…”
เธอวางสมุดเล่มนั้นไว้ข้างโลงแก้ว
ดอกลั่นทมสีขาวร่วงลงเงียบๆ บนหน้าปก
พร้อมเสียงลมที่พัดแผ่ว…เหมือนเสียงกระซิบแผ่วเบาว่า:
> “รักแท้…ไม่มีวันตาย”
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!