ณ งานประมูลสินค้าเพื่อการกุศลเครื่องประดับโบราณที่ตกทอดมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาถูกเปิดตัวชิ้นแล้วชิ้นเล่าและปิดประมูลไปมากมายด้วยราคาหลายสิบล้านบาทจนถึงหลักพันล้าน แต่หญิงสาวร่างบางผู้มีใบหน้างดงามเสียจนสะกดใจหนุ่มๆ มากมายกลับไม่ให้ความสนใจเครื่องประดับชิ้นไหนเลย
ผิดจากผู้เป็นแม่อย่างคุณหญิงละอองดาวที่ประมูลไปแล้วมากกว่าห้ารายการจนเมื่อเครื่องประดับชิ้นต่อไปถูกนำขึ้นมา มันกลับฉุดความสนใจของเธอราวกับต้องมนตร์สะกด
" เอาละครับท่านผู้มีเกียรติทุกท่าน ถึงเวลาของเครื่องประดับชิ้นต่อไปกันแล้ว " เสียงของ MC หนุ่มดังขึ้นพร้อมกับสายตาของแขกเหรื่อในงานมากมายรวมทั้งหญิงสาวที่เหลือบไปมองบนจอแสดงสินค้าอย่างไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก หากแต่เธอคิดผิดที่เลือกจะมองมัน เพราะแหวนทองประดับอัญมณีน้ำงามสีชมพูหวานนั่นกำลังสะกดเธอ
และตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่เธอเริ่มที่จะยกมือขึ้นเพื่อประมูลมันจนเมื่อมันได้มาอยู่ในมือของเธอ เธอที่จ้องมองมันอยู่ก็ราวกับถูกสะกดด้วยแรงดึงดูดบางอย่างที่ไม่ทราบสาเหตุราวกับต้องมนตร์สะกด
" ไหนบอกแม่ว่าไม่สนใจไงแล้วทำไมถึงประมูลไปซะแพงขนาดที่ว่าไม่มีใครสู้เลยล่ะ ก็แค่แหวนธรรมดาวงหนึ่งเองแม่ไม่เห็นว่ามันจะน่าสนใจตรงไหนเลยนี่นา " คุณหญิงละอองดาวหันไปถามลูกสาวที่ยังคงนิ่งอยู่ใบหน้าของเจ้าตัวดูคล้ายกำลังสับสนก่อนจะหันมาสบตากัน
" นับไม่รู้ค่ะ นับแค่รู้สึกว่าอยากได้มัน มันเหมือนกับ... " หญิงสาวจ้องมองใบหน้าของผู้เป็นแม่ด้วยความสับสนบางอย่าง
" มันกำลังเรียกให้นับประมูล "
" หืม? "
" หรือจะถูกแหวนวงนั้นสะกดเข้าแล้วกันนะ " คุณหญิงละอองดาวว่ายิ้มๆ อย่างไม่จริงจังนัก ก่อนจะหันไปสนใจเครื่องประดับชิ้นต่อไปที่ถูกนำขึ้นมา
" งั้นนับขอตัวไปพักก่อนนะคะแม่พรุ่งนี้มีงานที่กองพลแต่เช้าด้วย "
" จ้ะฝันดีนะ แล้วพรุ่งนี้เช้าแม่จะให้แช่มเตรียมข้าวต้มหมูสับเยอะๆ แบบที่ลูกชอบเอาไว้ให้ "
" ขอบคุณค่ะ ฝันดีนะคะ " หญิงสาวยิ้มหวานให้แม่ของตัวเองก่อนจะเข้าไปจุ๊บที่แก้มของผู้เป็นแม่ทั้งสองข้างแล้วเดินแยกขึ้นห้องนอนที่ชั้นสองของตัวเองไป
" คุณหนูดูท่าทางเหนื่อยๆ นะคะคุณผู้หญิง " เสียงของแม่บ้านคนสนิทดังขึ้นข้างๆ คุณหญิงละอองดาวจึงหันไปพยักหน้า
" ยัยนับน่ะเป็นเด็กดี " คุณหญิงยิ้ม
" เพราะเกิดมาเป็นลูกคนเดียวแถมยังเป็นลูกสาวอีกด้วย ถึงได้เข้ารับราชการเป็นแพทย์ของหน่วยรบพิเศษตามที่พ่อเขาต้องการแทนที่พี่ชายที่เสียไปตั้งแต่อยู่ในท้องของฉัน " คุณหญิงละอองดาวว่าพร้อมกับเดินขึ้นบันไดไปยังห้องนอนใหญ่ของตัวเองกับสามีที่ไปร่วมงานเลี้ยงที่กองพล
" ถึงอย่างนั้นในฐานะลูกสาวคนเดียวแล้วเจ้าตัวก็ไม่เคยละเลยคนเป็นแม่อย่างฉัน ทั้งที่ท่าทางออกจะห้าวๆ ตามประสาคนที่ถูกฝึกการต่อสู้และอยู่แต่กับพวกผู้ชายมาตั้งแต่เด็ก แต่ก็ยังยอมไปงานนั่นนี่กับฉันแต่งตัวและสวมเครื่องประดับสวยๆ แบบที่เจ้าตัวไม่ชอบอยู่เป็นประจำ "
" เพราะว่าคุณหนูเป็นเด็กดียังไงล่ะคะ "
" ใช่ เพราะแบบนั้นฉันกับท่านนายพลก็เลยยอมเรื่องที่เจ้าตัวเขาขอร้องว่าเรื่องคู่ชีวิตเป็นเรื่องเดียวได้ไหมที่เขาอยากจะตัดสินใจด้วยตัวเอง แต่ถึงอย่างนั้น.. " คุณหญิงละอองดาวหยุดเดินแล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ
" ปีนี้ยัยนับก็ปาเข้าไปตั้งสามสิบแล้วน่ะสิ "
" แล้วยังได้เลื่อนยศเป็นถึงพันโทแล้วด้วยนะคะ "
" ใช่ไหมล่ะ ถึงจะต้องแลกมาด้วยงานเสี่ยงอันตรายชนิดที่ว่าลูกสาวฉันจะตายเมื่อไหร่ก็ไม่แปลกก็เถอะนะ "
" ค่ะดิฉันก็ว่าอย่างนั้น แต่ว่าก็มีอยู่คนหนึ่งไม่ใช่เหรอคะที่คอยทำคะแนนอยู่ทุกครั้งที่มีโอกาส ถึงคุณหนูจะบอกชัดเจนทุกครั้งว่าเป็นแค่เพื่อนกันก็เถอะ "
" นั่นสินะ ถ้าได้ตาเอกเป็นลูกเขยก็ไม่ได้แย่นักหลอกนะลูกชายของท่านรัฐมนตรีซะด้วยสิ "
" แต่ว่าท่านนายพลเองก็เป็นถึง ผบ.ทบ. นะคะ "
" อืม เอาเถอะสำหรับลูกสาวคนเดียวที่แสนจะน่ารักของฉันแล้วเขาจะรักใครชอบใครฉันก็ไม่เกี่ยงทั้งนั้นแหละขอแค่เขารักกันจริงๆ ก็พอ ต่อให้เป็นแค่คนขายหมูปิ้งหน้าปากซอยฉันก็จะไม่กรีดกันเขาหรอก "
" นั่นสิคะ แล้ว..ถ้าคนที่คุณหนูชอบเป็นผู้หญิงละคะคุณผู้หญิงจะว่ายังไง " แม่บ้านชราเอ่ยแล้วหันมองหญิงปลายวัยกลางคนตรงหน้าด้วยความสงสัย
" เพราะที่ผ่านมาคุณหนูก็เอาแต่ปฏิเสธหนุ่มๆ ที่เข้ามาจีบตลอดเลย "
" นั่นสินะ " คุณหญิงละอองดาวทำหน้าคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มออกมา
" แต่เอาเถอะฉันเองก็ไม่ใช่พวกหัวโบราณสักหน่อย เดี๋ยวนี้ผู้หญิงด้วยกันเขาก็มีลูกด้วยกันเยอะแยะไปยุคสมัยมันไปถึงไหนแล้ว ฉันไม่คิดจะเอาเรื่องเพศมาขัดขวางความสุขในชีวิตลูกสาวคนเดียวของตัวเองหรอกนะ "
" แล้วท่านนายพลล่ะคะท่านจะว่ายังไง "
" โอ๊ย! รายนั้นน่ะไม่ต้องห่วงหรอก " คุณหญิงละอองดาวยิ้ม
" เพราะเชื่อว่าลูกสาวคนเก่งของตัวเองน่ะดูแลตัวเองได้โดยไม่ต้องขอความช่วยเหลือจากใคร และที่สำคัญยังดูแลคนอื่นๆ ได้ดีอีกด้วย เหมือนกับที่ดูแลคนในหน่วยรบพิเศษของตัวเองในฐานะแพทย์ประจำหน่วยที่เป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวนั่นแหละ "
" นั่นสินะคะ " ทั้งสองพากันหัวเราะออกมาก่อนจะเดินเข้าห้องแล้วปิดประตูไป
ส่วนทางด้านของผู้ที่ถูกเอ่ยถึงในหัวข้อสนทนาของทั้งสองนั้น ก็กำลังมองแหวนโบราณวงหนึ่งที่อยู่ในมือของตัวเองอย่างไม่เข้าใจตัวเองสักนิด
" นี่เรา... ประมูลมันมาทำไมกันนะ ไม่เห็นจะเข้าใจตัวเองสักนิด เฮ้อ.... " หญิงสาวถอนหายใจ เธอวางกล่องแหวนวงนั้นเอาไว้บนลิ้นชักข้างหัวเตียงก่อนจะค่อยๆ ถอดชุดราตรีสีแดงสดที่สวมอยู่ออกแล้วเดินเข้าห้องอาบน้ำไป
.
.
กลิ่นบุหงาหอมฟุ้ง ณ เรือนไทยภาคกลางหลังใหญ่แห่งหนึ่งนอกเขตพระราชวังของคุณพระแสงเดชเดชากลาโหมคุณพระในสังกัดของเจ้าพระยาอดิศักดิ์แสนศัตรูพ่าย เจ้าพระยาที่นำทัพในพระราชโองการขององค์สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวในการกำราบพระยาพิษณุโลกที่คิดการใหญ่ไปเข้าพวกกับเชียงใหม่และจะทำการทุรยศต่อแผ่นดินอโยธยา จนได้อวยยศเป็นเจ้าพระยารวมทั้งคุณพระแสงเดชเดชาที่ได้อวยยศขึ้นมาจากหลวงเดชาเทวาพิทักษ์
" เพียะ!!! " เสียงฝ่ามือสวยกระทบใบหน้าหยาบกร้านของบ่าวคนสนิทดังสนั่นห้องนอนของแม่หญิงนางหนึ่ง ผู้ที่เป็นลูกสาวคนโตของคุณพระใหม่ก่อนจะตามมาด้วยเสียงก่นด่าที่ทำให้ทุกคนในเรือนได้แต่ถอนหายใจรวมทั้งแม่เลี้ยงอย่างแม่นายมะลิและน้องสาวต่างมารดาอีกสองคนอย่างบุหงาและดอกแก้ว
" เอะอะโวยวายกระไรกันอีกล่ะนั่น ถึงได้ดังจากเรือนโน้นมาถึงเรือนใหญ่นี้เชียว " แม่นายมะลิว่ากับลูกสาวทั้งสอง
" คงมิพ้นเรื่องของหมื่นวรเทพแลแม่หญิงพิมมาลาเป็นแน่เจ้าค่ะคุณแม่ " หญิงสาวแรกรุ่นที่นุ่งห่มสไบงามสมฐานะบอกกับแม่ของตนเองก่อนจะเหยียดริมฝีปากอย่างนึกสมเพชพี่สาวต่างมารดาที่หาได้ญาติดีกันเสียเท่าไหร่นัก
ต่างจากน้องสาวอีกคนที่กำลังเป็นห่วงพี่สาวต่างมารดาเสียเหลือเกินเธอไม่ค่อยเข้าใจนักว่าทำไมแม่และพี่สาวของตนจะต้องจงเกลียดจงชังพี่สาวอีกคนนัก ทั้งที่จริงๆ แล้วพี่สาวอีกคนของเธอนั้นก็ใจดีออกจะตายไปหากเข้าหาได้ถูกวิธี เด็กสาววัยสิบสองปีคิดในใจ
" หึ ดี! สมน้ำมะหน้านักคิดหรือว่าคนไร้ญาติขาดมิตรเช่นนั้นจักมาได้ดีกว่าลูกข้าเป็นเช่นไรเล่า สุดท้ายแล้วพ่อหมื่นวรเทพก็ไม่แลตามองหญิงร้ายกาจเช่นนางอย่างที่ข้าคิดเอาไว้เสียไม่ผิด "
" จริงเจ้าค่ะคุณแม่ " บุหงายิ้มเยาะพี่สาวต่างมารดาของตนตามผู้เป็นแม่ด้วยความสะใจเหลือทน
หล่อนแอบอิจฉาในความลำเอียงของผู้เป็นพ่อมานานนักที่ท่านเอาแต่รักพี่สาวต่างแม่มากกว่าพวกตนเสียเหลือเกิน ตามใจเสียทุกอย่างจนนางเสียคนเช่นนี้ตนจึงได้แต่สะใจที่วันหนึ่งนางก็ถูกผู้ชายที่หมายปองทิ้งไปอย่างไม่เหลียวแล
" คุณแม่แลพี่บุหงาเองก็ร้ายกาจมิได้ต่างไปจากคุณพี่งามจันทร์เสียเท่าใดดอกเจ้าค่ะ " ดอกแก้วคิดในใจแล้วเบือนหน้าหนีทั้งสองไปทางเรือนเล็กของพี่สาวอีกคนที่ดูจะน่าเป็นห่วงนางยิ้มกับนางแย้มบ่าวคนสนิททั้งสองของพี่สาวตนเสียเหลือเกิน
กลิ่นจำปีหอมชื่นแสนระทม ณ เรือนเล็กทางตะวันออกของเรือนคุณพระแสงเดชเดชากลาโหมหญิงสาวร่างบางนางหนึ่งกำลังร้องห่มร้องไห้อย่างหนักด้วยความเสียใจเจ้าตัวกรีดร้องโวยวายปานจะขาดใจตาย เมื่อได้ทราบข่าวจากบ่าวคนสนิทว่าชายหนุ่มที่เคยมาเกี้ยวพาราสีกันนั้นกำลังจะหมั้นหมายกับหญิงอื่นที่เป็นถึงลูกสาวของออกญามีชื่อ
" กรี๊ดดดดดดด~ "
" ไม่จริงเป็นไปมิได้! อียิ้มอีแย้มพวกมึงหลอกกู! กูมิเชื่อพี่หมื่นจักทำเช่นนี้กับกูได้เยี่ยงไรกัน อีพิมมาลามันยั่วพี่หมื่นกูใช่หรือไม่ มันเอายศเอาถาเอาอำนาจพ่อมันมาบังคับฝืนใจพี่หมื่นกูใช่ลืออียิ้มอีแย้ม "
" หามิได้เจ้าค่ะแม่นายเจ้าขา บ่าวเห็นมากับตาว่าท่านหมื่นยิ้มจนหน้าบานหรือกระด้งยามที่เห็นหน้าคร่าตาของแม่หญิงพิมมาลา "
" กรี๊ดดดดด... "
" เพียะ!!! "
" ไม่จริง! อียิ้มมึงหลอกกูกูไม่เชื่อ พี่หมื่นของกูหาใช่ชายชั่วใจโลเลไม่! เขาเกี้ยวกูอยู่จักไปรักใคร่นางพิมมาลาได้เยี่ยงไรกัน ไม่จริง!!! "
" บะ บ่าวขออภัยเจ้าค่ะแม่นายแต่บ่าวหาได้โป้ปดแม่นายของบ่าวไม่ หากแต่สิ่งที่บ่าวเห็นนั้นไม่จริงก็ขอให้บ่าวมีอันเป็นไปเสียแต่บัดนี้ " นางยิ้มเอ่ยด้วยตัวสั่นเทา
" แต่ทุกสิ่งที่บ่าวบอกแม่นายนั้นล้วนแต่สัตย์จริงนะเจ้าคะ "
" กรี๊ดดด อียิ้มมึงหุบปากกูไม่เชื่อ ไม่เชื่อ! กูไม่เชื่อโว้ย เพียะ!!! " สองบ่าวคนสนิทต่างถูกตบตีเพื่อระบายอารมณ์ของผู้เป็นนายเสียไม่ยั้งจนเสียงเคาะประตูดังขึ้นหญิงสาวผู้ร้ายกาจจึงได้หยุดมือลง
" ใครมากันนะ? " นับดาวถามออกมาเบาๆ เธอแอบหลบอยู่หลังฉากกั้นห้องนานแล้วเพื่อเฝ้ามองเหตุการณ์ตรงหน้า และถ้าถามหาสาเหตุว่าเธอนั้นมาอยู่ในห้องของหญิงสาวร้ายกาจผู้นี้ได้ยังไงก็บอกเลยว่าเธอเองก็ยังไม่ค่อยเข้าใจมันเหมือนกัน
เพราะหลังจากที่เธอตื่นนอนขึ้นมาในยามเช้าเธอก็เพียงแค่ลองเอาแหวนโบราณนั่นมาใส่เล่นดู และก็ราวกับถูกดูดข้ามเวลามาอยู่ในห้องนอนของหญิงสาวนางร้ายที่งดงามราวกับภาพวาดโบราณเช่นนี้ราวกับฝันไป
" ก๊อก ๆ ๆ " เสียงเคาะประตูยังคงดังขึ้นไม่หยุดจนหญิงสาวอารมณ์ร้ายหยุดมือที่กำลังทุบตีบ่าวทั้งสองของตัวเองลงแล้วฟังว่าใครที่มาเคาะประตูห้องนอนของหล่อน
" แม่งามจันทร์ลูก นี่พ่อเองเปิดประตูให้พ่อเถิดหนา " เสียงทุ้มๆ ของชายที่น่าจะอายุมากกว่าสี่สิบดังขึ้นก่อนที่หญิงสาวนางร้ายที่กำลังร้องห่มร้องไห้จะรีบไปเปิดประตูและโผเข้ากอดผู้เป็นพ่อขอวตัวเองเสียเต็มแรง
" คุณพ่อเจ้าคะ ฮึก! ฮือ...."
" มิเป็นไรหนาลูกพ่อ ออเจ้าอย่าเสียใจไปเลยหนาเพียงไอ้หมื่นชั่วที่เห็นแก่ยศถามันหาว่าเจ้าเป็นเพียงแค่ลูกของหลวงจึงใฝ่สูงหาแม่หญิงที่เป็นลูกพระยา แต่เพลานี้พ่อเจ้าก็ได้เป็นถึงพระแล้วมิช้าจักต้องมีชายที่ดีกว่ามันมาสนใจเจ้าแน่ลูกรักของพ่ออย่าร่ำไห้ไปเลยหนา อียิ้ม! อีแย้ม!! "
" จะ เจ้าคะคุณพระนาย! " บ่าวหญิงทั้งสองรีบรับคำเจ้าของเรือนแห่งนี้ทันที
" สารรูปพวกมึงหาดูได้ไม่ ไป! ไปให้พ้นหน้าลูกกูเสีย แล้วให้คนอื่นเอาลูกไม้ขนมหวานแลน้ำชามาให้ลูกกู"
" เจ้าค่ะ!!! " บ่าวทั้งสองรีบรับคำแล้วพากันวิ่งออกไปอย่างเร็ว
" ตั้งแต่เช้าออเจ้ายังมิยอมกินข้าวกินปลาเลยใช่รือ หากเจ้ายังเป็นเช่นนี้แล้วแม่ของเจ้าที่จากไปแล้วจักเป็นเช่นไร ออเจ้าจะให้แม่ของเจ้าต้องทุกข์ใจที่เห็นเจ้าเป็นเช่นนี้รึ " คุณพระเอ่ยพร้อมกับใบหน้าแสนเจ็บปวดผ่านทางแววตาแห่งความห่วงใย
" เพียงเห็นเจ้าเป็นเช่นนี้พ่อก็ทุกข์ใจมากแล้ว หากเพียงคิดว่าแม่เจ้าผู้เป็นเช่นยอดดวงใจแลเจ้าผู้เป็นเสียยิ่งกว่าแก้วตา ต้องทุกข์ใจเสียทั้งสองคนใจพ่อนี้ก็ร้าวรานเกินจะต้านไหว "
" คุณพ่อเจ้าคะ ฮื้อ~ " หญิงสาวกอดพ่อของตัวเองแน่นด้วยความเสียใจที่กำลังเล่นงานและความรักความอบอุ่นที่ไม่เคยเปลี่ยนไปเลยจากผู้เป็นบิดา
" ยิ่งเห็นออเจ้าเจ็บพ่อก็ยิ่งเจ็บเสียกว่า อย่าฟูมฟายไปเลยหนาไปเถิดอยู่ในห้องมันอบอ้าวจักยิ่งพาให้เจ้ายิ่งฟุ้งซ่าน ตามมาเถิดพ่อจักพาเจ้าไปนั่งพักที่หอนั่งเอง " ชายวัยกลางคนที่ไว้หนวดเคราดูน่าเกรงขามดั่งชายไทยโบราณว่าก่อนจะโอบไหล่ลูกสาวสุดที่รักแล้วพาไปยังหอนั่งใหญ่กลางเรือน
" เฮ้อ.... ในที่สุดก็ไปกันสักทีเสียวจะถูกหาเจอจะแย่ที่ให้แอบก็แคบแค่นี้เอง " หญิงสาวร่างสูงที่สวมชุดนอนสีครีมอยู่บนตัวถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกก่อนจะมองไปรอบๆ ตัวในห้องของหญิงสาวผู้เป็นนางร้ายแห่งอโยธยาผู้นั้น
" อยู่ไหนกันล่ะเนี่ยแหวนบ้านั่นหายไปไหนแล้วนะ ถ้าไม่มีแกฉันจะกลับยังไงจะให้มาเป็นนางเอกนิยายรักข้ามภพข้ามชาติกับเขาไม่เอาด้วยหรอกเว้ย ฉันยังมีงานเพื่อชาติเพื่อประชาชนทั้งหลายที่ควรจะทำแลกกับภาษีที่กินที่ใช้เป็นเงินเดือนอยู่ทุกวี่ทุกวันนะ " หญิงสาวบ่นกับตัวเองก่อนจะเจอแหวนต้นเหตุที่วางอยู่ในพานทองอันเล็กที่เต็มไปด้วยเครื่องประดับชิ้นอื่นๆ มากมายอยู่ด้วย
" เจอสักที! หวังว่าแกคงจะพาฉันกลับได้นะไม่อย่างงั้นละก็.... คงจะต้องแย่แน่ๆ " นับดาวว่าจากนั้นเจ้าตัวก็สวมแหวนไปที่นิ้วมือข้างขวาของตัวเอง
แต่ไม่ว่าจะสวมนิ้วไหนก็ไม่สามารถทำให้หญิงสาวกลับไปยังช่วงเวลาของตนเองได้เลย จนเมื่อลองสวมที่นิ้วเดิมหรือก็คือนิ้วนางข้างซ้ายดู ก็ปรากฏว่าแหวนวงนั้นได้ดูดเธอเข้าไปแล้วพากลับมายังโลกยุคปัจจุบันของตัวเองอีกครั้ง
" เฮ้อ!!! " ร่างสูงถอนหายใจออกมาเสียงดังอย่างโล่งใจก่อนจะทิ้งตัวลงบนเตียงนุ่มอย่างแรง ในที่สุดเธอก็สามารถกลับมาที่โลกของตัวเองได้สักที
" นึกว่าจะกลับมาไม่ได้ซะแล้วสิ ถ้าต้องติดอยู่ในนั้นอย่างในนิยายรักข้ามภพข้ามชาติจะทำยังไงนะ " เจ้าตัวว่าก่อนจะรีบถอดแหวนที่ใส่อยู่ออกแล้วโยนมันไว้ในลิ้นชักข้างหัวเตียง
" เรื่องมหัศจรรย์แบบนี้ถ้าเอาไปเล่าให้ใครฟังเขาจะเชื่อเรารึเปล่านะ ไม่สิเขาก็คงจะต้องหาว่าฉันบ้าไปแล้วแน่ๆ เฮ้อ...."
" ก๊อก ๆ ๆ " เสียงเคาะประตูดังขึ้นที่หน้าห้องของตัวเองก่อนจะตามมาด้วยเสียงของสร้อยหลานสาวของป้าแช่มที่อายุอ่อนกว่าเธอถึงสิบปี เจ้าตัวมาตามให้เธอลงไปกินข้าวตามคำสั่งของแม่ก่อนที่เธอจะตอบไปว่าเดี๋ยวลงไป
" เฮ้อ! มีหวังวันนี้คงได้เข้ากองพลสายแน่ๆ แต่จะว่าไปผู้หญิงคนนั้นก็น่าสงสารเหมือนกันนะถึงจะดูร้ายกาจขนาดนั้นแต่ก็คงจะรักผู้ชายคนนั้นน่าดู ถึงได้ร้องไห้ปานจะขาดใจตายเสียให้ได้ "
" แต่ก็นะ ผู้หญิงสมัยก่อนก็ไม่ได้สตรองเท่าผู้หญิงสมัยนี้ด้วยสิเพราะถูกกดให้ค่าความเป็นคนต่ำกว่าผู้ชาย ยังไงซะฉันก็หวังว่าเธอคงจะมูฟออนได้เร็วๆ นะแม่หญิงนางร้าย " นับดาวยิ้มออกมาก่อนจะคว้าผ้าเช็ดตัวแล้วเดินฮัมเพลงส่ายหน้ายิ้มๆ ให้กับความคิดของตัวเองก่อนจะเข้าห้องน้ำไป
" แต่ก็เป็น... " ^^
" แม่หญิงนางร้ายที่สวยจริงๆ "
ตะวันลับขอบฟ้านับดาวกลับจากกองพลเจ้าตัวนั่งลงรับประทานอาหารค่ำกับพ่อแม่ของตัวเองเหมือนอย่างเคยก่อนจะขอตัวขึ้นห้องนอนทันทีเพราะเรื่องบางอย่างที่รบกวนจิตใจของเธอมาตลอดทั้งวัน แม้ว่าจะไม่ทำให้ว้าวุ่นจนไม่เป็นอันทำการทำงานอะไรแต่ก็เข้ามารบกวนจิตใจอยู่ทุกครั้งที่สมองว่างเว้นจากเรื่องงาน
" ถ้าใส่แหวนนี่เข้าไปอีกรอบเราจะย้อนกลับไปที่นั่นอีกรึเปล่านะ แล้ว..... "
" ถ้าไปโผล่ในห้องของผู้หญิงคนนั้นอีก แล้วเราถูกจับได้ขึ้นมาล่ะ! "
" เฮ้อ! แต่ไงก็เถอะอยากจะรู้จริงๆ ว่าผู้หญิงคนนั้นตอนนี้จะเป็นยังไงบ้าง จะอาละวาดจนห้องเละเทะไปหมดหรือว่าจะร้องไห้จนตาบวมไปแล้วรึเปล่านะ... "
" โอ๊ย ไม่เข้าใจตัวเองเลยโว้ย! "
นับดาวโวยวายกับตัวเองเจ้าตัวยีผมของตัวเองจนยุ่งเหยิงกับความไม่เข้าใจตัวเองนี้
" ใช่! เราก็แค่บังเอิญไปเจอเธอก็เท่านั้นเพราะฉะนั้นเราก็ไม่เห็นจะต้องสนใจเธอเลยนี่นา "
เจ้าตัวบอกกับตัวเองอย่างมุ่งมั่นก่อนจะเก็บกล่องกำมะหยี่สีแดงสดตัวปัญหากลับเข้าลิ้นชักไปและปิดมันลงจากนั้นก็ไปอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้า
.
.
" ฮึก ฮึก! ฮื้อ..... "
เสียงสะอื้นร่ำไห้แสนเจ็บปวดแทบขาดใจของหญิงสาวร่างบางที่กำลังนอนร้องไห้อยู่บนเตียงดังเข้ามาในหูทันทีที่ร่างสูงปรากฏตัวยังห้องแห่งนี้ เขาแอบมองเธออยู่นอกเตียงที่มีผ้าม่านสีขาวบางกั้นเอาไว้และหลบอยู่หลังเสาที่ปลายเท้าของเธอ เฝ้ามองเธอด้วยความเห็นใจที่เห็นเจ้าตัวยังคงร้องไห้สะอึกสะอื้นไม่หยุดแม้ว่าจะผ่านพ้นวันมาแล้ว
" เฮ้อ~ " นับดาวถอนหายใจออกมาอย่างแผ่วเบากับภาพตรงหน้าที่เห็น
" เวลาคนเราอกหักเนี่ยมันจะต้องมานอนร้องไห้เหมือนอย่างในซีรีส์จริงๆ งั้นเหรอ ไม่เห็นจะเข้าใจเลยโชคดีนะที่ฉันยังไม่เคยมีความรัก " ร่างสูงคิดในใจก่อนจะเผลอพูดออกมาเบาๆ
" เฮ้อ! แล้วนี่ฉัน โสดมานานเกินไปแล้วรึเปล่านะ..."
" อุ๊บ! " ร่างสูงรีบตะครุบปากของตัวเองทันทีที่รู้ว่าเผลอพูดออกไปเสียงดัง แล้วรีบหันดูคนที่กำลังนอนร้องไห้อยู่ว่าจะได้ยินกันหรือเปล่า
" นั่นใคร!! " เสียงแข็งถามขึ้นทันทีอย่างไม่สบอารมณ์หญิงสาวลุกขึ้นนั่งก่อนจะสอดส่องออกมานอกมุ้งมองหาต้นตอของเสียงพูดที่ได้ยินไม่ชัดว่าเป็นของใคร
" ซวยแล้วเรา! " นับดาวคิดในใจ
" แหวนบ้านั่นหายไปไหนอีกแล้วเนี่ย แล้วทำไมห้องมันมืดแบบนี้นะจะไปหาเจอได้ยังไงวะ " เจ้าตัวบ่นกับตัวเองอย่างร้อนรนก่อนจะมองหาแหวนโบราณวงนั้นที่มันหายไปจากนิ้วมือของเธอทุกที
" กูถามว่าใคร!!! " เสียงหวานตวาดลั่นเมื่อไม่ได้รับคำตอบอย่างที่ต้องการ เจ้าตัวสะบัดมุ้งเปิดออกแล้วชะโงกหน้าออกมาดูด้วยความหงุดหงิด
" ตายแน่! " นับดาวมองหาที่ซ่อนให้กับตัวเองแล้วก็ไม่พ้นฉากกั้นห้องอันเดิมเพราะในห้องแห่งนี้มันไม่มีที่อื่นให้เธอซ่อนได้เลย ไม่มีห้องน้ำตู้เสื้อผ้าหรืออะไรทั้งนั้นทั้งหีบใบใหญ่นั่นก็สั้นเกินกว่าที่คนตัวสูงอย่างเธอจะเข้าไปได้
" เพล้ง!!! " เสียงของตกดึงความสนใจขอร่างบางให้หันไปมอง
" อียิ้ม!! อีแย้ม!! นั่นพวกมึงรึ "
" กูบอกพวกมึงแล้วใช่รือว่าห้ามเข้ามาในห้องกู นี่พวกมึงอยากลองดีกับกูรึอีบ่าวชั่ว! "
งามจันทร์เอ่ยก่อนจะลงจากเตียงนอนไม้โบราณอย่างจีนของเธอ แล้วเดินกระแทกส้นไปยังจุดที่ได้ยินเสียงเพราะไม่ว่าเธอจะเรียกเท่าไหร่ก็ไม่ได้รับการตอบรับกลับมาสักที
" กูเรียกหาพวกมึงมิได้ยินรึ! อยากจะโดนกูตบอีกสักทีสองทีกระมัง "
ร่างบางเดินมาหยุดอยู่ตรงท้ายห้องพร้อมกับกวาดสายตาไปจนถ้วนทั่ว แต่ก็หาได้พบเห็นผู้ใดไม่นอกเสียจากพานใส่เครื่องประดับของตัวเองที่ตกอยู่กับพื้น
" ซวยแล้ว! " นับดาวเหงื่อแตก เจ้าตัวกำลังยืนตัวลีบอยู่หลังฉากกั้นห้องเพื่อหวังว่าจะทำตัวให้เล็กที่สุดและไม่เป็นที่สังเกตของแม่หญิงผู้นั้น
" มิใช่อียิ้มอีแย้มงั้นรึ… " เสียงของร่างบางดังเข้ามาในหูพาให้ร่างสูงใจสั่น
" จะโดนจับได้ไหมวะตรู " เจ้าตัวได้แต่ร่ำร้องอยู่ในใจ
" แล้วผู้ใดกันอยู่ในห้องของข้าจงออกมาประเดี๋ยวนี้ มิเช่นนั้น… “ งามจันทร์เงียบไปครู่หนึ่งพร้อมกับกวาดมองอย่างหวาดระแวง
“ ข้าจักเรียกให้อ้ายอีพวกบ่าวมาจับไปเฆี่ยนเสียให้สิ้น "
เสียงที่ได้ยินพาให้นับดาวต้องสะดุ้งเมื่อได้ยินว่าตัวเองอาจจะถูกเฆี่ยนถ้าโดนจับได้
แต่จากเงารางๆ ที่เห็นว่าเจ้าหล่อนกำลังตรงมาทางที่ตัวเองหลบอยู่นั้นนับดาวก็คงจะไม่มีทางเลือกอื่น นอกเสียจากจะต้องจับตัวเธอเอาไว้แล้วหาแหวนเจ้าปัญหานั่นให้พบเพื่อพาตัวเองออกไปจากที่นี่
" ข้าบอกให้ออกมามิได้ยินรึ!!! "
เสียงหวานตวาดลั่นขึ้นอีกครั้งด้วยความขัดใจร่างบางเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเป็นคนสั่งให้อียิ้มและอีแย้มลงไปจากเรือนด้วยตัวเองเพราะความรำคาญ และเพราะเหตุนั้นตอนนี้เธอจึงเป็นเพียงผู้เดียวที่อยู่บนเรือนเล็กนี่
" มึงอยากจักลองดีกับกูสินะถึงได้มิยอมออกมา ดี!! "
งามจันทร์หยุดเดินเจ้าตัวเหยียดยิ้มก่อนจะหันหลังกลับและบอกกับอีกฝ่ายว่าตนจะเรียกให้คนอื่นมาเอาตัวอีกฝ่ายออกมาเอง
" ถ้ามึงมิยอมออกมากูก็จักเรียกให้ไอ้พวกบ่าวมาเอาตัวมึงออกไป!! " หญิงสาวเหยียดยิ้มและตะโกนเรียกบ่าวของเธอทันที
" ไอ้อีผู้ใดอยู่ข้างนอกรีบขึ้นมาหาข้าประเดี๋ยวนี้!!! "
" เฮ้ย! " นับดาวร้องเสียงหลงด้วยความตกใจเมื่อแม่หญิงตรงหน้าทำอย่างที่พูดจริงๆ เธอรีบพุ่งออกมาจากฉากกั้นห้องแล้วเอามือข้างหนึ่งปิดปากของหล่อนเอาไว้ส่วนอีกข้างก็รั้งแผงอกเล็กของคนที่ตัวเล็กกว่าไว้แน่นก่อนจะลากให้ถอยหลังมาด้วยกัน
" อื้อ! อือๆๆ "
" อย่าดิ้นสิ ฉันไม่ทำร้ายเธอหรอกน่า " ร่างสูงบอกคนในอ้อมแขนก่อนที่เธอจะโดนคนตัวเล็กกว่าเล่นงานเข้าให้
" โอ๊ย!!! " มือเรียวรีบสะบัดออกอย่างแรง งามจันทร์กระทืบเท้าเขาเต็มรักและถีบหัวเข่าของอีกคนจนล้มตึง
" โอ๊ย! มันเจ็บนะ นี่เธอเล่นแรงไปแล้วนะยัยนางร้าย " ร่างสูงว่าอีกคนที่กำลังจดจ้องมาที่เธออย่างน่ากลัว
" อีไพร่!! มึงกล้าดีเยี่ยงไรมาจับเนื้อต้องตัวกู มึงเป็นผู้ใดกันมาอยู่ในเรือนแลในหอนอนกูได้เยี่ยงไร "
งามจันทร์มองหญิงสาวร่างสูงตรงหน้าของเธออย่างโมโหและรอคำตอบจากอีกฝ่ายว่าเขาเข้ามาอยู่ในหอนอนบนเรือนของเธอได้อย่างไร
" โอ้โหมาเป็นชุดเลยนะ! " นับดาวว่าก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วเดินเข้าไปหาอีกคน
" มึงหยุดอยู่กรงนั้น! ใครให้มึงมายืนเทียบเสมอกู กูเป็นลูกคุณพระนายเลยหนามึงมิรู้รึ "
" รู้! “ นับดาวตอบกลับในทันที
" เมื่อเช้าพ่อเธอบอกแล้วตอนที่เธอกำลังตบตีคนอื่นเขาอยู่นั่นแหละ เป็นผู้หญิงแท้ๆ แต่ปากคอเราะรายจังเลยนะพูดมึงกูแบบนี้มันไม่เข้ากับหน้าสวยๆ นั่นเลยรู้ไหม " ร่างสูงยิ้ม เธอยิ้มให้อีกคนอย่างไม่เกรงกลัวก่อนจะเดินเข้าไปหาเรื่อยๆ อย่างใจเย็น
" กูบอกให้มึงหยุด! มิได้ยินรึอีไพร่!!! “
ร่างบางตะโกนใส่หน้าอีกคน เจ้าตัวค่อยๆ เดินถอยหลังหนีไปเรื่อยๆ เพื่อที่จะออกห่างจากเขาโดยไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังถูกเขาต้อนไปที่เตียงของตัวเอง
" ชู่! " นับดาวเอานิ้วชี้แตะที่ปากของตัวเองให้ร่างบางตรงหน้าดูก่อนจะส่งยิ้มให้
" เธอเนี่ยชาติที่แล้วเกิดเป็นลำโพงรึไงฮะถึงได้ชอบแหกปากแบบนี้ไม่เจ็บคอบ้างรึไง อีกอย่างถ้าอยากจะด่าฉันก็ด่าเบาๆ น่ะเป็นไหม? "
" ถ้าเธอเสียงดังแบบนี้เดี๋ยวก็ได้แห่มากันทั้งบ้านหรอก ฉันยังหาของสำคัญไม่เจอเลยนะแล้วแบบนั้นฉันจะออกไปจากห้องเธอได้ยังไง "
" หุบปากอีไพร่! " งามจันทร์ตวาดคนตรงหน้าเสียงดังก่อนจะร้องเรียกหาคนอื่นอีกครั้ง
" ผู้ใดอยู่ข้างนอกบ้าง!!! "
" กูถามว่า... อื้อออ "
" ตุ๊บ! " ร่างบางเหลือกตาขึ้นด้วยความตกใจเธอจ้องมองสบตากับคนที่คร่อมอยู่บนตัวของเธอด้วยแววตาตื่นๆ พร้อมทั้งส่งเสียงอื้ออึงในลำคอเพราะถูกเขาใช้มือกดริมฝีปากเอาไว้จนแน่น
ทั้งคู่พากันล้มลงบนเตียงของงามจันทร์นับดาวคร่อมทับอีกคนทั้งตัว เขายกยิ้มขึ้นด้วยความชอบใจและแววตาเจ้าเล่ห์ร้ายกาจนั่นก็ยิ่งทำให้ร่างบางดิ้นออกมา
" อื้อ!!! " งามจันทร์ดิ้นจนสุดแรงเมื่อคนบนตัวเริ่มที่จะทำอะไรแผลงๆ เขาจับข้อมือทั้งสองของเธอพาดขึ้นเหนือหัวก่อนจะมัดเข้ากับเสาเตียงจนร่างบางดิ้นไม่หลุด
" อื้อ!!! อื้อๆๆๆ อื้อ!!! " นับดาวใช้ผ้าคลุมไหล่ที่วางอยู่ยัดเข้าไปในปากเล็กของร่างบางจนอีกฝ่ายพูดไม่ได้
" ฮ่าๆๆ ฉันฟังเธอไม่รู้เรื่องหรอกนะคุณนางร้าย แต่ถ้าเธออยากจะแหกปากละก็เชิญตามสบายเลยถ้าเธอเอามือออกจากหัวเตียงมาดึงผ้าออกจากปากตัวเองได้อะ " นับดาวยิ้ม เธอยืนยิ้มด้วยความพอใจกับผลงานตัวเองที่เห็นอีกคนกำลังดิ้นไปมาไม่หยุดและมองมาที่เธออย่างแค้นเคืองสุดขีด
" นี่ถ้าเธอปรี๊ดแตกควันออกหูขนาดนั้นระวังสมองเธอมันจะบึ้มเอานะ แต่ว่าตอนที่เธอโกรธเนี่ยถึงจะดูร้ายไปหน่อย แต่ฉันว่า.. มันเหมาะกับเธอมากกว่าตอนร้องไห้อีกนะ " ร่างสูงยิ้ม เขาหยิกแก้มนุ่มนั่นไปเบาๆ อย่างมันเขี้ยว และนั่นก็ยิ่งทำให้ร่างบางเหลือกตาด้วยความโมโห
" อื้อ!! อื้อๆๆๆๆๆ "
" โอ้ๆ ใจเย็นๆ โอเคเข้าใจแล้วงั้นขอเวลาฉันแป๊บหนึ่งแล้วกัน " นับดาวบอกอีกคนก่อนที่เธอจะวิ่งวุ่นไปทั่วห้องเพื่อหาของบางอย่าง
" อีไพร่นั่นมันคิดจักทำกระไรของมัน หรือมันคิดจักขโมยของรึ! " งามจันทร์มองหญิงสาวอีกคนที่กำลังเดินไปเดินมารอบๆ ห้องของเธอ
" อื้อออ อื้อๆๆๆ " (อีไพร่มึงปล่อยกูบัดเดี๋ยวนี้นะ)
เธอโวยวายใส่เขาไม่หยุดเพื่อจะเรียกอีกคนให้มาปล่อยเธอแต่อีกคนก็หาได้สนใจเธอแม้แต่น้อย
" เจอแล้ว! " นับดาวยิ้มจนแก้มปริก่อนจะเดินกลับไปหาร่างบางที่ดีดดิ้นอยู่บนเตียง แล้วโน้มตัวลงไปคร่อมทับเอาไว้
" เอาล่ะ ฉันเจอของที่ต้องการแล้วงั้นฉันจะช่วยเอาผ้าที่ปากเธอออกให้เพราะฉะนั้น! เชิญเธอแหกปากอย่างที่ชอบได้เลยไม่อย่างงั้น... เธอคงจะต้องนอนในสภาพถูกเชือกมัดกับเสาเตียงไปตลอดทั้งคืนแน่ "
ร่างสูงยิ้ม เขามองอีกคนที่กำลังจดจ้องมาปานจะบีบคอกันให้ตายอย่างชอบใจ ไหนจะคิ้วโก่งสวยที่ขมวดเขาหากันจนยุ่งเหยิงนั่นอีก นี่เขาบ้าไปแล้วรึเปล่านะถึงได้รู้สึกว่าการแกล้งอีกคนมันเป็นเรื่องสนุกขนาดนี้ และที่สำคัญกว่านั้น...
" ทำไมฉัน... ถึงกำลังมองว่าเธอน่ารักกันนะ "
นับดาวพึมพำออกมาอย่างไม่เข้าใจตัวเอง แต่มันก็ดังพอจะทำให้คนที่กำลังถูกเธอคร่อมอยู่หยุดดิ้นและมองมาที่เธอด้วยแววตาไม่เข้าใจเช่นกัน ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นรังเกียจจนร่างสูงดูออก
" กำลังคิดว่าเราเป็นพวกชอบผู้หญิงด้วยกันอยู่ล่ะสิ แต่ว่า.... "
" บางทีที่เธอกำลังคิดอยู่เกี่ยวกับตัวฉัน มันอาจจะจริงก็ได้นะแม่หญิงผู้งดงามปานดวงจันทร์ แม่งามจันทร์.... "
นับดาวยิ้มเจ้าตัวสำรวจไปจนทั่วใบหน้ามนของอีกฝ่ายอย่างจงใจที่จะใช้สายตาหยาบคายในการแทะโลม ก่อนจะต้องประจักแก่ตาและใจตนเองว่าผู้หญิงตรงหน้าของเธอนี้งดงามสมกับชื่อของตัวเองมากแค่ไหน
" ช่างงดงามเสียยิ่งกว่าดวงจันทร์.. "
มือเรียวของร่างสูงค่อยๆ แตะขยับไปที่แก้มนวลของร่างบางอย่างเบามือ เขาจงใจอยากแกล้งอีกฝ่ายแม้ว่าร่างบางจะดีดดิ้นแค่ไหนก็ตาม แต่ก็คงจะไม่หลุดจากเชือกที่เขามัดอยู่ง่ายๆ
" ทั้งใบหน้าที่งดงาม ปลายคางรั้นๆ " เขาไล่นิ้วชี้เรียวยาวของตัวเองลากไล้จากแก้มนุ่มสู่ปลายคางสวยก่อนจะไล่ลงมาที่ลำคอขาว เหลือบมองสันกรามเล็กๆ ที่น่าขบกัดเบาๆ นั่น
" คอขาวๆ นี่ก็... "
" รู้ไหมถ้าฉันเป็นแวมไพร์ละก็... "
ร่างสูงยิ้มเขามองร่างบางอย่างจงใจแกล้ง
" เธอคงจะถูกฉันดูด อ่า~ ไม่สิพูดแบบนั้นความหมายมันจะสองแง่สองง่ามเกินไป จริงไหม? "
“ หึ! “ นับดาวกระตุกยิ้มมุมปากอย่างชอบใจที่เห็นร่างบางตรงหน้ากำลังจ้องมองกันอย่างกินเลือดกินเนื้อ
" แผงอกเนียนๆ ที่น่าลูบไล้นี่ " มือเรียวลูบไล้ไปตามแผงอกขาวเนียนของอีกฝ่ายก่อนจะลากไล้ผ่านปมผ้าสีอ่อนที่ปิดบังหน้าอกของอีกคนอย่างจงใจ
" หน้าอกนุ่มๆ คู่นี้ " รอยยิ้มเจ้าเล่ห์เผยออกมาให้กับอีกฝ่ายราวกับคนโรคจิตก่อนจะใช้สายตาเจ้าชู้นั่นแทะโลมหน้าอกของเธออย่างไม่ปิดบัง
เขาก้มลงจูบปมผ้าพันหน้าอกสีสวยนั่นพร้อมกับเผยอริมฝีปากออกงับมันเบาๆ และเหลือบสายตาเจ้าชู้ขึ้นมองอีกคนที่ถลึงตาขึ้นใส่กันอย่างขบขัน
" หรือจะเป็นหน้าท้องแบนราบที่ทั้งขาวทั้งเนียนทั้งนุ่มนี่ ก็หาได้น้อยหน้ากันเลยหนาแม่หญิง " ร่างสูงยิ้มเธอพูดล้อเลียนอีกคนด้วยภาษาของยุคนี้ก่อนจะใช้มือของตัวเองลูบไล้ไปทั่วหน้าท้องขาวของหล่อนจนลงมาถึงปมผ้านุ่งที่ปิดบังส่วนสำคัญของร่างบางเอาไว้พาให้เจ้าตัวต้องสะดุ้งและโวยวายออกมาจนตัวสั่น
" อื้อออ อื้อๆๆๆ อื้อ!!! " หญิงสาวดิ้นไปมาอย่างรุนแรงเพื่อหวังว่าจะหลุดออกจากพันธนาการของร่างที่กำลังคร่อมกันอยู่ แต่เมื่อไม่สามารถขยับออกจากอีกฝ่ายได้เธอจึงกระแทกหัวเข่าใส่ท้องเขาอย่างแรง
" อั๊ก! " นับดาวทิ้งตัวลงทับร่างของงามจันทร์อย่างหมดสภาพทันทีที่โดนกระแทกเข่าเข้าที่หน้าท้องของตัวเองอย่างไม่ทันตั้งตัว
" นี่เธอ.... ท้องฉัน " เจ้าตัวเอ่ยอย่างจุกๆ ก่อนจะคิดเอาคืนโดยการกดจมูกลงบนแก้มนุ่มขาวเนียนนั่นอย่างแรงไปหนึ่งที
" ฟอด! "
" อื้อ! อื้อๆๆๆ "
" อะไร? “
“ ไม่ต้องมาด่าฉันแล้วทำหน้าทำตาน่ากลัวแบบนั้นใส่กันเลยนะ คอยดูถ้าครั้งหน้าเธอถีบหรือเข่าศอกใส่ฉันอีกละก็… “
“ ฉันจะทำมากกว่าหอมแก้มเธอแน่ เข้าใจไหมแม่หญิงนางร้าย " ร่างสูงยิ้มกับอาการของอีกคนเขามองเธอที่ดีดดิ้นไปมาอย่างชอบใจ ก่อนจะรู้สึกสงสารเมื่อเจ้าตัวเริ่มจะโกรธจนหน้าแดงแล้ว
" อื้อๆๆๆ "
" โอเคๆ ฉันจะเอาผ้าที่ปากออกให้แล้วฉันก็จะไปจากที่นี่โอเคไหม อย่าทำหน้าดุนักสิเดี๋ยวก็แก่เร็วหรอก แล้วก็ "
หญิงสาวยิ้มก่อนจะก้มลงไปกระซิบที่หูของร่างบางให้เจ้าตัวต้องร้องอื้ออึงอยู่ในลำคอไม่หยุด
" ไว้จะมาเล่นด้วยใหม่อีกนะ ดีไหม? "
" อีไพร่มึง!!!! " ทันทีที่ริมฝีปากสวยเป็นอิสระจากผ้าที่ยัดอยู่ร่างบางก็อ้าปากด่าเขาทันที
" ชอบจริงๆ เลยนะคำว่าไพร่เนี่ย เอาเถอะในยุคของฉันไม่เจ็บกับคำแค่นี้หรอกนะเพราะฉะนั้นก็เชิญเธอด่าตามสบายเลยก็แล้วกัน อีกอย่างดูเหมือนว่าฉันจะแก่กว่าเธอหลายปีนะแต่ก็ไม่คาดหวังให้เธอเรียกฉันว่าพี่หรอก แค่ฉันอยากเรียกเธอว่าน้องก็เท่านั้นเอง " นับดาวว่าเจ้าตัวยักคิ้วใส่อีกคนอย่างกวนๆ จนร่างบางขมวดคิ้วโมโหแล้วด่าเขากลับ
" มึงมิต้องมาเรียกกูว่าน้อง! อีไพร่สันดานชั่วอย่างมึงกูมิมีวันจักนับญาติกับคนจัญไรอัปรีย์อย่างมึง!!! "
" เธอเนี่ยชักจะปากร้ายขึ้นทุกทีแล้วนะ เฮ้อ.... "
" เอาเถอะก่อนที่เธอจะพ่นอะไรออกมามากกว่านี้ฉันว่าฉันไปก่อนดีกว่า เธอก็พยายามเข้านะเพราะถ้าเธอไม่พยายามเธอก็คงจะต้องนอนในสภาพนี้ไปทั้งคืนแน่ แต่จะว่าไปแบบนี้... มันก็เซ็กซี่ดีนะ "
ร่างสูงว่าเขาทิ้งท้ายเอาไว้ให้หญิงสาวโกรธมากขึ้นแม้จะไม่รู้ว่าเธอจะเข้าใจความหมายของคำว่าเซ็กซี่หรือเปล่าก็ตาม
" ไปล่ะ แล้วพรุ่งนี้เจอกันราตรีสวัสดิ์นะคะน้องงามจันทร์... "
" เดี๋ยวอีไพร่มึงกลับมาก่อน มึงกลับมาแก้มัดให้กูประเดี๋ยวนี้เชียว อีไพร่! อีไพร่กูบอกให้มึงกลับมาไง อีไพร!!!"
ร่างบางตะโกนตามหลังคนที่เข้าไปหลบอยู่หลังฉากกั้นห้องของเธอ
" หึ เสียงดีแบบนี้พรุ่งนี้เห็นทีคงจะต้องเอายาอมแก้เจ็บคอมาฝากซะแล้วมั้ง "
ร่างสูงส่ายหน้าเบาๆ ก่อนจะสวมแหวนวงเดิมกลับเข้าที่นิ้วนางข้างซ้ายของตัวเองแล้วปล่อยให้มันนำพาเขากลับมาที่ห้องนอนของตัวเองในช่วงเวลาปัจจุบัน
" เฮ้อ.... "
นับดาวทิ้งตัวลงนอนบนเตียงของตัวเองทันทีที่กลับมาถึง ใบหน้าของเขามีแต่รอยยิ้มที่ไม่จางไปตั้งแต่อยู่ที่ห้องของร่างบาง
" งามจันทร์... "
เจ้าตัวเอ่ยเรียกชื่อของแม่หญิงคนสวยด้วยรอยยิ้มก่อนจะส่ายหัวในความปากร้ายของหล่อนที่เจอมาวันนี้
" เธอนี่มันปากร้ายจริงๆ เลยนะ และฉันเองก็คงจะเสียสติไปแล้วที่คิดว่าเธอน่ะเป็นคนน่ารักมากกว่าที่เห็น "
" หรือว่าฉันจะเป็นพวกโรคจิตจริงๆ กันนะ เพราะแบบนั้นฉันก็เลยยังไม่เคยมีแฟนกับเขาสักทีเหรอ "
" ไม่หรอกมั้ง? ฉันว่าฉันก็ปกติเหมือนคนอื่นๆ แหละ "
หญิงสาวพูดกับตัวเองอย่างสับสนเจ้าตัวเอาหน้าของตัวเองกลิ้งไปกลิ้งมาบนหมอนใบใหญ่ของตัวเองก่อนจะนอนหงายอย่างหมดแรง แล้วลุกขึ้นเดินออกมามองพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวที่ระเบียงห้องนอน
" ตกลงแล้ว เธอเป็นแม่หญิงที่..." ร่างสูงมองขึ้นไปบนท้องฟ้ายามค่ำคืนยังจันทร์เสี้ยวดวงเล็กและอมยิ้มออกมา
" ร้ายกาจแค่ไหนกันนะงามจันทร์... "
" กรี๊ดดดดด อีไพร่! มึงออกมาประเดี๋ยวนี้นะ อีไพร่!!! "
" กรี๊ดดด "
เสียงกรี๊ดปรอทแตกของร่างบางที่ถูกมัดมือติดอยู่กับเสาหัวเตียงยังคงดังออกมาไม่หยุดแม้ว่าตอนนี้ภายในหอนอนของเธอจะไร้เงาของหญิงสาวที่กำลังเรียกหาอยู่
" แม่นาย!! แม่นายเป็นกระไรรึเจ้าคะ แม่นาย!!! "
เสียงของนางยิ้มและนางแย้มดังเข้ามาจากด้านนอกพาให้ร่างบางที่กำลังแหกปากโวยวายอยู่สงบลง เจ้าตัวเอ่ยเรียกบ่าวคนสนิททั้งสองให้เข้ามาหาตนทันทีด้วยหวังว่าจะแก้มัดที่ข้อมือออกให้
" อียิ้มอีแย้มพวกมึงรีบเข้ามาหากูประเดี๋ยวนี้ "
" เจ้าค่ะแม่นาย "
เสียงจากบ่าวคนสนิททั้งสองตอบรับกลับมาก่อนที่เสียงประตูไม้เปิดออกจะดังขึ้นพร้อมกับร่างของบ่าวคนสนิททั้งสองที่ก้าวขาเข้ามายังหอนอนของเธอ
" ว๊ายยย แม่นาย! เหตุไฉนจึงอยู่ในสภาพเช่นนี้เล่าเจ้าคะ "
" อียิ้มมึงหุบปาก " หญิงสาวรีบเอ่ยดุบ่าวของตนทันที
" รอกระไรอยู่วะ! รีบแก้มัดให้กูสิ "
" จะ เจ้าค่ะแม่นาย "
นางยิ้มและนางแย้มรีบขานรับแล้วคลานขึ้นไปบนเตียงเพื่อแก้มัดให้นายของตน
" พวกมึงหูหนวกกันหรือไง กูร้องเรียกเสียนานจนคอแทบแตกเหตุใดจึงเพิ่งขึ้นมากันฮะ "
" บะ บ่าวขออภัยเจ้าค่ะแม่นาย "
นางแย้มว่าก่อนจะรีบหมอบลงไปแทบเท้าของร่างบางผู้เป็นนายทันที
" บะ บ่าวด้วยเจ้าค่ะเรือนทาสมันอยู่ไกลนักพวกบ่าวจึงมิใคร่ได้ยินเจ้าค่ะ เหตุที่ได้ยินก็เพราะเป็นห่วงแม่นายจึงใคร่มาเดินดูรอบๆ เรือนอีกครา แล้วค่อยไปนอนกันเจ้าค่ะ "
นางยิ้มว่าแล้วหมอบหัวลงไปแทบเท้าของร่างบางอีกคน
" แน่นะมึง "
" แน่เจ้าข้าา " ทั้งสองรีบตอบในทันที
" ประเดี๋ยวพวกมึงบอกกูว่าเดินอยู่รอบๆ เรือนใช่หรือไม่ "
ร่างบางถามบ่าวทั้งสองของตัวเองพร้อมทั้งลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดินไปดูที่ฉากกั้นห้องของตนที่บัดนี้หาได้มีผู้ใดอยู่ไม่
" แล้วพวกมึงเห็นผู้ใดหรือไม่ "
" ไม่เห็นเจ้าค่ะ มิมีผู้ใดอยู่ใกล้เรือนตามที่แม่นายสั่งเอาไว้เลยเจ้าค่ะ "
" จริงรึ? "
หญิงสาวหันหน้าไปถามบ่าวทั้งสองอย่างประหลาดใจเพราะช่วงเวลาที่นับดาวเดินหนีเธอไปกับช่วงเวลาที่นางยิ้มและนางแย้มเข้ามาในห้องของเธอนั้นมันห่างกันเพียงแค่นิดเดียว
" อีไพร่นั่นมันไวขนาดที่อีสองคนนี้ไม่เห็นเลยรึ "
หญิงสาวคิดในใจพร้อมกับทำหน้าฉงนออกมา
" พวกมึงมิต้องเรียนเรื่องนี้กับคุณพ่อท่าน แล้วปิดปากของพวกมึงให้สนิทเสียประเดี๋ยวท่านจักเป็นห่วงกูไปมากกว่านี้เข้าใจหรือไม่ "
" เจ้าค่ะ!!! " บ่าวทั้งสองรับคำ
" ดี! เช่นนั้นพวกมึงก็ออกไปจากห้องกูเสียแล้วก็นอนหน้าห้องกูเหมือนเช่นทุกวันนั่นแหละ แล้วถ้ากูเรียกหาคราใดก็ให้รีบมาอย่าให้ได้ต้องรออย่างครานี้อีก "
" เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ แม่นาย!!! "
นางยิ้มและนางแย้มรับคำเจ้านายของมันก่อนจะรีบพากันออกไปจากห้องของร่างบางที่กำลังทำหน้าเหมือนคิดอะไรอยู่ในใจ
" อีไพร่นั่นมันเป็นใครกัน มันเข้ามาในห้องเราได้เยี่ยงไรและออกไปทางใดกันแน่ เหตุใดทั้งประตูแลหน้าต่างก็หาได้ถูกเปิดไม่แม้สักบานก็ไม่มี "
ร่างบางถามตัวเองอย่างใช้ความคิดก่อนจะทำหน้าตาตื่นด้วยความตกใจ
" หรือว่ามัน.... จักเป็นผีกัน!!!! "
.
.
เช้าวันต่อมาที่เรือนเล็กของงามจันทร์เจ้าตัวถูกตามให้ออกมากินข้าวพร้อมหน้ากับผู้เป็นพ่อที่รู้ทันว่าลูกสาวจักไม่ยอมกินอะไรแน่จึงได้ออกมารับประทานสำรับด้วยในเช้านี้
" สำรับไม่ถูกปากรือออเจ้า พ่อเห็นเจ้าแทบจักไม่เอาเข้าปากเลยหนา "
คุณพระแสงเดชเดชากลาโหมถามลูกสาวด้วยความเป็นห่วงก่อนจักถอนหายใจออกมาเบาๆ
" หามิได้เจ้าค่ะคุณพ่อ เพียงแต่ลูกมิค่อยจักหิว "
ร่างบางตอบพ่อของตัวเองก่อนจะหลบสายตาที่มองมาด้วยความเป็นห่วง
" พ่อรู้ว่าเจ้ากินมิใคร่ลงแต่อย่างไรก็ต้องกินเสียบ้างหนา จักทรมานตนเองเช่นนี้ก็มิได้กระไรขึ้นมาจริงหรือไม่เล่างามจันทร์ของพ่อ "
" ลูกเข้าใจแล้วเจ้าค่ะแลจักรับประทานตามคำขอของคุณพ่อหากแต่ว่า " ร่างบางมองหน้าพ่อของตัวเอง
" มิว่าจักรับประทานไปเสียเท่าใดก็มิอาจเติมเต็มความโหยหาในใจของลูกได้เลย"
" งามจันทร์เอ๊ย ลูกก็รู้มิใช่รือว่าสำรับนี้เป็นเพียงแต่อาหารทางกายที่ทำให้ท้องอิ่มเท่านั้น "
" แล้วหากลูกต้องการให้ใจอิ่มเล่าเจ้าคะ คุณพ่อจักช่วยลูกได้หรือไม่ "
" พ่ออยากให้เจ้าคิดไตร่ตรองดูให้ดีหนาลูกว่าสิ่งที่เจ้ากำลังจักขอพ่อนั้นมันสมควรหรือไม่ แล้วไอ้ชายชั่วผู้นั้นมันดีพอกับลูกพ่อจริงหรือแม้ว่าจักไม่อยากทำให้เจ้าเสียใจ แต่พ่อหาได้ชอบพอมันจนอยากได้เป็นลูกเขยไม่หากเสียแต่ชังน้ำมะหน้ามันมานานนม ด้วยว่าเจ้าไม่รู้ว่าลับหลังเจ้านั้นมันเกี้ยวพาผู้ใดอยู่บ้าง "
" คุณพ่อหมายจักว่ากระไรกันเจ้าคะ "
ร่างบางถามพ่อของตัวเองในทันทีที่ได้ยินแบบนั้น เพราะพ่อเธอไม่เคยโกหกเธอเลยสักครั้งตั้งแต่จำความได้และก็คงจะไม่มีทางมาโกหกเธอในตอนนี้แน่
" พ่อจับตาดูมันมานานโขมิใช่เพียงแต่เจ้าที่ถูกเกี้ยวพาหากแต่ยังมีลูกสาวขุนน้ำขุนนางอีกมากมายแลแม่หญิงหลายคน ก็แอบลักลอบได้เสียกับมันจนถึงขั้นท้องโตก็มีหนาอย่างแม่นวลศรีที่เป็นข่าวขายหน้าคนไปทั่วทั้งพระนครอย่างไรเล่า "
" แต่... "
" มันบอกเจ้าว่ามิได้ทำใช่หรือไม่ แล้วเจ้าคิดว่าผู้ใดอีกเล่าที่เข้าออกเรือนของขุนศรีวิชัยอยู่บ่อยครายามเมื่อมันหาสังกัดเข้าเป็นทหารรับราชการในคราแรก "
" ไม่จริง "
ร่างบางพึมพำออกมาอย่างไม่อยากยอมรับ น้ำตาของเธอหยดออกจากดวงตาคู่หวานอย่างปวดร้าวแม้จะรู้ดีว่าผู้เป็นพ่อที่รักไม่เคยโกหกเธอเลยสักคราแต่เพลานี้เธอกลับภาวนาให้ท่านโกหกเธอสักหน
" ไม่จริง ลูกไม่เชื่อ ไม่เชื่อ ไม่เชื่อ!!! กรี๊ดดดด "
ร่างบางกรีดร้องออกมาจนสุดเสียงก่อนที่สติของเธอจะดับวูบไป
" แม่งามจันทร์!!! แม่งามจันทร์ลูก! เจ้าเป็นกระไรได้ยินพ่อหรือไม่เล่าแม่งามจันทร์ แม่งามจันทร์!!!! "
.
.
.
สายลมพัดเอื่อยในยามสายพาให้รู้สึกร่มรื่นในสวนดอกไม้หลากหลายสายพันธุ์ของคฤหาสน์อิศราศวร หญิงสาวร่างสูงเดินเล่นอยู่เพียงลำพังภายในสวนแห่งนี้อย่างอารมณ์ดีเจ้าตัวเดินดมดอกไม้ต้นนั้นทีต้นนี้ทีอย่างเรื่อยเปื่อยจนผู้เป็นแม่ที่มองอยู่ห่างๆ ก็เกิดสงสัยในความอารมณ์ดีที่ดูผิดหูผิดตานี้ขึ้นมา
" วันหยุดทั้งทีจะอยู่แต่บ้านทั้งวันจริงๆ เหรอลูก แม่ว่าเราน่าจะออกไปเที่ยวไหนบ้างนะจะได้พักผ่อนจากงานดีไหม "
คุณหญิงละอองดาวเดินตรงเข้ามาหาลูกสาวที่กำลังเดินดูดอกไม้อยู่อย่างอารมณ์ดีแล้วส่งยิ้มให้
" ถ้าออกจากบ้านนั่นก็ไม่เรียกว่าพักผ่อนแล้วล่ะค่ะ “ นับดาวยิ้ม
“ สำหรับนับการพักผ่อนที่ดีที่สุดก็คือการได้อยู่เฉยๆ ที่บ้านแบบนี้ มีความสุขที่สุดเลยล่ะค่ะ "
เจ้าตัวว่าก่อนจะตรงเข้าไปสวมกอดที่เอวผู้เป็นแม่
" เรื่องจริงพ่อเห็นด้วยเลย พ่อเองก็อยากจะหยุดบ้างเหมือนกันถ้าไม่ติดว่าที่กองพลยังมีงานค้างอยู่วันนี้ก็คงจะไม่ต้องเข้าไปแล้วเชียว "
ชายวัยกลางคนว่าก่อนจะทำหน้าเซ็งสุดขีดแล้วถอนหายใจออกมา
" งั้นคุณก็พักบ้างสิคะฉันเห็นนายพลคนอื่นๆ เขาไม่เห็นจะต้องทำงานหนักแบบคุณเลยออกจะกินเงินเดือนกันสบายเสียด้วยซ้ำ "
คุณหญิงละอองดาวว่ากับสามีก่อนจะได้รับการถอนหายใจกลับมาอีกครั้ง
" ผมไม่ใช่พวกเอาเปรียบประชาชนแบบนั้นหรอกนะ เงินเดือนที่ผมได้อยู่ทุกวันนี้ก็มาจากภาษีของประชาชนแล้วจะให้หยุดงานแล้วเอาเปรียบพวกเขาได้ยังไงกัน "
" ค่าๆๆ คุณสองพ่อลูกผู้ยึดมั่นในความยุติธรรมงั้นก็รีบไปเถอะค่ะเดียวรถติดแล้วจะสายเอา "
" ครับ แล้วคุณล่ะวันนี้จะเข้าไปตรวจงานกี่โมงงั้นเหรอ "
ชายวัยกลางคนถามภรรยาของเขาถึงธุรกิจที่ตกทอดกันมาในครอบครัวของเจ้าตัวที่เป็นถึงห้างชื่อดังมากกว่าสามสิบสาขาทั่วประเทศ
" คงบ่ายๆ ค่ะ จริงๆ ฉันก็เริ่มจะเหนื่อยแล้วล่ะนะไม่รู้เมื่อไหร่ลูกสาวคนเดียวจะเบื่อเรื่องช่วยงานพ่อแล้วเปลี่ยนมาช่วยงานแม่บ้างสักที "
" อีกไม่นานหรอกค่ะ นับขออีกหน่อยนะคะถ้าได้เลื่อนขั้นเป็นพันเอกเมื่อไหร่จะรีบลาออกให้ทันทีเลยค่ะ "
" อ่าว! ถ้างั้นพ่อก็ต้องสั่งชะลอเรื่องการแต่งตั้งยศของหน่วยเราแล้วสินะ "
" ได้ยังไงกันล่ะคะเรื่องครั้งที่แล้วที่พนมเปญเล่นเอาพวกเราเกือบตายกันยกทีมเลยนะคะแล้วคุณพ่อจะมาเบี้ยวพวกเราได้ยังไงกันอีกอย่างนับก็ตั้งใจเอาไว้นานแล้วด้วยค่ะว่าอยากจะลาออกก่อนตัวเองจะอายุสามสิบเพราะคนสวยแถวนี้พูดกรอกหูอยู่ทุกวันว่าเหนื่อยอยากพักงานมาอุ้มหลานสักที จนตอนนี้สามสิบแล้วก็คงจะต้องยอมเขาแล้วล่ะค่ะ ^^ "
" ดี! ให้มันได้อย่างนี้สิเราเองก็สามสิบแล้วนะลูก ต้องออกไปเสี่ยงอันตรายอยู่บ่อยๆ ใจแม่น่ะจะขาดให้ได้เชียว " คุณหญิงละอองดาวว่ากับลูกสาว
" ก็นี่ไงคะนับเองก็กำลังรอการแต่งตั้งจากคุณพ่ออยู่เหมือนกันค่ะ "
" อ่าว! แล้วไหงเรื่องมันมาลงที่พ่ออีกแล้วล่ะ งั้นพ่อว่าพ่อไปก่อนดีกว่าก่อนจะโดนแม่เราคาดโทษไปมากกว่านี้เดี๋ยวคืนนี้จะโดนนอนนอกห้องกันพอดี "
" คุณนี่ทำอย่างกับว่าตั้งแต่ยัยนับโตมาฉันเคยไล่คุณออกมานอนนอกห้องอย่างนั้นแหละ "
" ฮ่าๆๆ นั่นสินะ "
ชายวัยกลางคนหัวเราะอย่างชอบใจก่อนจะเข้าสวมกอดลูกสาวและภรรยาของเขาอย่างรักใคร่และบอกลาอีกครั้งพร้อมทั้งเดินออกไปขึ้นรถที่พลขับกำลังรออยู่
ซึ่งโดยปกติแล้วหากไม่ใช่ธุระเรื่องงานราชการในคฤหาสน์ของพวกเขาก็จะไม่มีเหล่าพลทหารผู้น้อยอยู่เลย เพราะไม่จำเป็นจะต้องเอาพวกเขามาทรมานใช้งานในเรื่องไร้สาระที่ไม่เกี่ยวข้องกับการป้องกันประเทศ
อีกทั้งคฤหาสน์ที่เขาอยู่นี้ก็ไม่ใช่บ้านพักข้าราชการนายทหารชั้นผู้ใหญ่ที่ดำรงอยู่โดยใช้ภาษีของประชาชนเพราะไม่เข้าใจว่าจะต้องเอาเงินของประชาชนที่พวกเขาหามาด้วยความยากลำบากมาใช้กับเรื่องไร้สาระแบบนั้นทำไม เพราะเมื่อเป็นถึงนายพลยศใหญ่กันแล้วก็ไม่มีใครต้องลำบากขนาดที่ว่าไม่มีบ้านอยู่เป็นของตัวเองหรือว่าหาบ้านพักใกล้สถานที่ทำงานกันไม่ได้หรอกนะ
ผลประโยชน์ที่มาพร้อมกับยศตำแหน่งทุกคนเองต่างก็ได้รับมันทั้งนั้นไม่เว้นแม้แต่ตัวเขาเองที่ก็ได้เป็นหุ้นส่วนบริษัทใหญ่ๆ อยู่หลายแห่งเช่นกัน
" แล้วตกลงเรื่องหัวใจตอนนี้เป็นยังไงบ้างล่ะเรา "
คุณหญิงละอองดาวหันกลับมาถามลูกสาวหลังจากที่สามีของเธอขึ้นรถออกไปแล้ว
" คุณแม่ก็รู้นี่คะ นับก็เหมือนเดิมแหละไม่มีใครเข้าตาเลยสักคนที่จะพอทำให้หวั่นไหวหน่อยก็..... “
หญิงสาวร่างสูงสะดุดไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยออกมา
“ ไม่มีเลยค่ะ "
เธอบอกแม่ของตัวเองก่อนจะหลบสายตาที่คนเป็นแม่มองมา เพราะอยู่ๆ ในหัวของเธอก็เกิดนึกถึงใบหน้าของแม่หญิงปากร้ายผู้หนึ่งขึ้นมา แม้ว่าจะไม่ได้รู้สึกชอบพออะไรหล่อนในทางนั้นก็ตาม
" ตอนนี้จะเป็นยังไงบ้างนะ หวังว่าคงจะทำใจได้แล้วและเลิกร้องไห้ฟูมฟายสักที "
" แม่คะ "
" หืม ว่าไงลูก "
คุณหญิงละอองดาวที่เพิ่งจะเด็ดดอกไม้แห้งออกจากต้นหันกลับมามองหน้าลูกสาวที่เรียกตนอย่างสงสัย
" คือ.... นับมีเรื่องอยากจะถามหน่อยน่ะค่ะ "
.
.
" เป็นอย่างไรบ้างออกขุนท่าน "
คุณพระแสงเดชถามขึ้นทันทีที่ท่านขุนศรีวรเวชตรวจอาการลูกสาวที่ยังไม่ฟื้นของเขาเสร็จ
" มิต้องห่วงไปดอกขอรับท่านออกพระ กระผมตรวจดูแล้วด้วยว่าแม่หญิงนั้นนอนหลับไม่เต็มตื่นแลมีเลือดลมตามประสาหญิง จึงได้หมดสติไปเช่นนี้ขอรับ "
" เช่นนั้นรึ ได้ยินท่านกล่าวเช่นนั้นข้าก็เบาใจ "
คุณพระแสงเดชว่าแล้วทำสีหน้าผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น
" เกิดอะไรขึ้นนะ "
นับดาวที่เพิ่งจะข้ามเวลามาแอบดูเหตุการณ์ที่มีคนมากมายอยู่ในห้องของงามจันทร์พูดขึ้นอย่างสงสัย ไหนจะแม่หญิงปากร้ายผู้นั้นที่กำลังนอนไม่ได้สติอยู่นั่นอีก
" ไม่สบายงั้นเหรอ แต่คุณลุงคนนั้นบอกว่าพักผ่อนน้อยหรือว่า.. จะเป็นลม! “
“ เอาไงดีนะถ้าถึงขั้นเป็นลมขนาดนี้ไปเช็กที่โรงพยาบาลจะดีกว่าไหมนะ แต่ว่าเราจะพาเธอไปยังไงกันล่ะ? เปลี่ยนเป็นแอมโมเนียกับน้ำหวานสักแก้วแล้วกัน "
ว่าแล้วนับดาวก็สอดส่องมองหาแหวนวงเดิมที่มักจะหายไปจากนิ้วของเธอทุกทีที่ข้ามเวลามาที่แห่งนี้ ก่อนจะเห็นมันอยู่ในพานเครื่องประดับอันเล็กที่เดิมจึงค่อยๆ ย่องไปหยิบมันมาใส่แล้ววาร์ปกลับมายุคปัจจุบันของตัวเอง
" ตอนแรกว่าจะเอายาอมไปฝากสักหน่อยแต่เปลี่ยนเป็นน้ำผลไม้เย็นๆ น่าจะดีกว่าล่ะนะ "
ร่างสูงยิ้มออกมาก่อนจะเดินตรงเข้าไปในห้องครัว
" เอาขนมไปฝากด้วยดีไหมนะ หรือว่ายาดมสักหลอดดี… "
.
.
" หืม ไปกันหมดแล้วแฮะเหลือแต่สองคนนั้นชื่ออะไรนะถ้าจำไม่ผิดเหมือนว่าจะชื่อยิ้มกับแย้มรึเปล่า "
" เอาเถอะก็คิดเอาไว้แล้วแหละว่าต้องเป็นแบบนี้งั้นเอาวางไว้ตรงนี้ก็แล้วกัน "
นับดาวพูดกับตัวเองเจ้าตัววางถาดขนมบราวนี่ฉ่ำๆ ที่แม่ของเธอเป็นคนทำเองกับมือและน้ำส้มคั้นสดๆ ที่เจ้าตัวเป็นคนทำขึ้นเองเอาไว้ที่โต๊ะตัวหนึ่งที่อยู่หน้าฉากกั้นห้องอันเดิมของเขา ก่อนจะวางจดหมายที่เจ้าตัวเขียนด้วยลายมือน่ารักๆ ให้อีกคนเอาไว้ด้วย
" หวังว่าเธอคงจะไม่เอาไปเททิ้งหรอกนะ รู้รึเปล่าเธอเป็นคนแรกเลยนะที่ฉันคั้นน้ำส้มให้แบบนี้ ขนาดตัวเองฉันยังให้แม่บ้านทำให้เลยแต่ไม่ต้องห่วงฉันชิมมาแล้วรับรองกินได้แน่นอน "
ร่างสูงเอ่ยออกมาเบาๆ เขามองไปที่ร่างบางที่ยังคงนอนนิ่งอยู่บนเตียงก่อนจะส่ายหน้ายิ้มๆ กับการเป็นลมของเจ้าตัวแล้วเดินกลับไปที่หลังฉากกั้นห้องเพื่อกลับสู่ยุคปัจจุบันของตัวเอง
" หวังว่าคงจะไม่เป็นอะไรมากหรอกนะ แม่หญิงงามจันทร์… "
" อือออ "
ไม่นานหลังจากที่นับดาวกลับไปร่างบางบนเตียงก็เริ่มขยับตัวก่อนจะค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา
" อีแย้มแม่นายฟื้นแล้วมึง "
" จริงด้วยวะ มึงคอยดูแม่นายด้วยอียิ้มเดี๋ยวกูจักไปเรียนคุณพระนายท่านว่าแม่นายฟื้นแล้ว "
" เออๆ รีบไปรีบมาล่ะมึง "
" เออกูรู้แล้วล่ะน่า "
" จะประคารมกันอีกนานไหมล่ะมึงไม่เห็นรึว่ากูเวียนหัวจะตายแล้วน่ะอีเวร! "
" เจ้าค่ะแม่นาย!! "
บ่าวทั้งสองรีบรับคำก่อนที่นางยิ้มจะเอายาหม่องไปให้แม่นายของมันดม
" งั้นบ่าวไปเรียนคุณพระท่านก่อนหนาเจ้าคะว่าแม่นายฟื้นแล้ว "
" เออ! จักไปไหนก็ไป "
" เจ้าข้าา "
นางแย้มรีบออกไปจากห้องในทันทีหลังจากที่ได้รับสายตาคาดโทษจากเจ้านายของมัน
" แม่นายเจ้าคะ "
" กระไร "
" มิรู้ผู้ใดเอาถาดขนมแลน้ำมาวางไว้กงนี้เจ้าค่ะ "
นางยิ้มบอกเจ้านายของมันก่อนจะยกถาดขนมอันนั้นไปให้เจ้านายพร้อมกับกระดาษใบเล็กสีสวยที่ถูกเขียนด้วยลายมือน่ารักๆ
" มีจดหมายด้วยเจ้าค่ะ "
" ไหน! "
" นี่เจ้าค่ะ " นางยิ้มยื่นจดหมายใส่มือเจ้านายของตัวเอง
" นี่มัน "
ดวงตาคู่สวยสั่นไหวทันทีที่ได้เห็นเนื้อความในจดหมาย ร่างบางนิ่วหน้าขมวดคิ้วเข้าหากันจนเป็นปมก่อนจะทำหน้าตาตื่นออกมา
" อียิ้ม! มึงเอาไปเททิ้งบัดเดี๋ยวนี้ "
" เจ้าข้าา "
นางยิ้มรับคำทันทีที่เห็นหน้าตาตื่นของเจ้านายตนเองก่อนจะชะงักไปเพราะเปิดประตูออกมาเจอคุณพระแสงเดชที่กำลังเดินมาถึงหน้าประตูพอดี
" นั่นถาดกระไร? แล้วนั่นน้ำกระไรกันจึงได้มีสีสันราวกับสีย้อมผ้าเช่นนี้ "
คุณพระแสงเดชถามนางยิ้มอย่างสงสัย
" มิมีกระไรหรอกเจ้าค่ะคุณพ่อ แค่ขนมแลน้ำส้มน่ะเจ้าค่ะ "
ร่างบางที่เดินออกมาหาพ่อตัวเองด้านนอกเอ่ยขึ้น
" น้ำส้มงั้นรึ? "
" เจ้าค่ะ "
งามจันทร์พยักหน้าก่อนจะมองพ่อตัวเองที่ยกแก้วน้ำส้มขึ้นมาดมอย่างสงสัย
" อืม.. กลิ่นหอมดีจริงแล้วเหตุใดลูกจึงไม่กินเล่า พ่อได้ยินเจ้าสั่งให้อียิ้มมันเอาไปเททิ้งใช่ลือแล้วนี่เจ้าไปหาน้ำส้มเช่นนี้มาจากที่ใดกัน พ่อมิเคยเห็นที่ใดมาก่อนเลยหนา "
" จักว่าเป็นส้มโอส้มแก้วรือก็คงมิใช่ แล้วนี่มันน้ำส้มกระไรกัน "
" ลูกก็มิทราบได้เจ้าค่ะ หากแต่ว่าเห็นเป็นสีประหลาดจึงมิใคร่กล้ากิน "
" กลัวจักเป็นพิษงั้นรึ "
" เจ้าค่ะ "
" อืม "
คุณพระแสงเดชพยักหน้าให้ลูกสาวอย่างเข้าใจแต่ก็ยังไม่วางแก้วน้ำส้มออกจากมือด้วยว่าพอใจในกลิ่นหอมของมันที่ทำให้สดชื่นดีจริง
" แล้วนี่.. ขนมกระไรกันไยช่างแปลกตานัก เจ้าไปซื้อมาจากตลาดบ้านขนมรึพ่อจึงมิเคยเห็นมาก่อน รึจักเป็นขนมใหม่เล่า "
" ลูกเองก็มิทราบได้เช่นกันเจ้าค่ะ "
" มิทราบได้รึ? "
คุณพระมองหน้าลูกสาวอย่างไม่เข้าใจก่อนจะหันไปหานางบ่าวที่ถือถาดขนมอยู่แทน
" อียิ้ม!!! "
" บะๆๆ บ่าวก็มิทราบได้เช่นกันเจ้าค่ะ บะ บ่าวเพียงแต่พบมันวางอยู่ในหอนอนของแม่นายพร้อมกับกระดาษใบหนึ่งเท่านั้นเจ้าค่ะคุณพระท่าน "
" อียิ้ม!!! "
ร่างบางตวาดบ่าวคนสนิทของตัวเองทันทีที่มันเผลอหลุดปากเรื่องจดหมายออกมา
" กระดาษกระไรกันรึเจ้า ผู้ใดกันที่เอาของพวกนี้มาให้บอกพ่อได้รึไม่เล่าแม่งามจันทร์ "
คุณพระถามลูกสาวด้วยสายตาและน้ำเสียงดุๆ จนเจ้าตัวไม่อาจปฏิเสธได้
" เจ้าค่ะ "
ร่างบางพยักหน้ารับก่อนจะส่งกระดาษสีสวยในมือของตัวเองให้ผู้เป็นพ่อไป แล้วตามท่านไปนั่งที่หอนั่งหน้าหอนอนของตัวเอง
" หืมมม นี่มันกระไรกันเล่าแม่งามจันทร์นางผู้นี้เป็นใครกันผู้ใดกันที่ส่งน้ำส้มและขนมบอ บรา บออะไรวะนี่มาให้เจ้ากัน แลยังจดหมายเล็กนี่ที่ลงชื่อผู้เขียนว่านับดาวอีกดูจากชื่อแล้วก็คงจักมิใช่บุรุษเป็นแน่ ใช่หรือไม่เล่า "
คุณพระแสงเดชมองหน้าลูกสาว
" เจ้าค่ะ "
ร่างบางพยักหน้าให้พ่อของตนเองเบาๆ อย่างจำใจ เพราะดูเหมือนว่าเธอคงจักต้องเล่าเรื่องของนางผีตนนั้นที่ไม่อยากพูดถึงให้ผู้เป็นพ่อฟังเสียแล้ว
" เรื่องมันเป็นมาเช่นไรเล่า เหตุใดในจดหมายสีสวยนี่จึงได้มีแต่ความห่วงใยอยู่เสียเต็มในตัวอักษรนี่เชียวแม่ "
" เรื่อง... เรื่องมันเป็นเช่นนี้เจ้าค่ะ "
ร่างบางว่าจากนั้นเธอก็เริ่มเล่าเรื่องเมื่อคืนของตัวเองให้ผู้เป็นพ่อฟัง
" ออเจ้าหมายจะบอกพ่อว่านางเป็นผีงั้นรึ "
" ผีรึ!!! " นางยิ้มและนางแย้มเอ่ยซ้ำเสียงดังอย่างตกใจ
" ลูกคิดเช่นนั้นเจ้าค่ะไม่เช่นนั้นนางจักหายตัวไปโดยไม่มีผู้ใดพบเห็นได้เช่นไรกัน แล้วยังมิได้เข้าออกทางประตูหรือหน้าต่างบานใดเลยเจ้าค่ะ "
" อืม ก็จริงของออเจ้าว่าแต่ออเจ้าบอกพ่อว่าเนื้อตัวนางก็อุ่นเหมือนอย่างเราๆ มิใช่รือ "
" เจ้าค่ะ หากแต่.. ทั้งวาจาคำพูดแลการแต่งตัว หาได้เหมือนชาวอโยธยาเราไม่ "
" เช่นนั้นเรื่องของนางก็ยังคงเป็นปริศนาอยู่ “ คุณพระเอ่ย
“ แล้วเหตุใดนางจึงได้เขียนจดหมายที่มีแต่ความห่วงใยแม้จะมีถ้อยคำจิกกัดเจ้าอยู่บ้างก็ตามเช่นนี้มาให้เจ้ากันเล่า ในเมื่อไม่เคยพบปะกันมาก่อน "
" ลูกก็มิทราบได้เจ้าค่ะ "
" อืม เช่นนั้นก็มาลองพิสูจน์กันดูว่านางเป็นห่วงเจ้าจริงหรือคิดร้ายต่อเจ้ากันแน่ "
" อย่างไรรึเจ้าคะ "
ร่างบางถามพ่อของตัวเองและมองตามสายตาของท่านไป ที่กำลังมองถาดขนมแลน้ำส้มอยู่
" ก็ลองกินดูอย่างไรล่ะ "
" อียิ้มอีแย้ม! "
" จะ เจ้าคะ "
นางบ่าวทั้งสองรับคำตัวสั่นด้วยว่าพอจะรู้ชะตาของตัวเอง
" พวกเอ็งลองกินดู หากแม้นว่ามิตายข้าจักตกรางวัลให้คนละบาทเสียเป็นไร "
" แล้วหากตายเล่าเจ้าคะ "
นางยิ้มรีบถามกลับไปทันที
" ตายก็เอาไปฝังสิวะ! หรือพวกมึงคิดขัดคำสั่งกูรึ อีทาส! "
ชายวัยกลางคนกระทืบเท้าเสียงดังด้วยความหงุดหงิดที่ถูกพวกบ่าวยอกย้อน
" หะ หามิได้เจ้าค่ะ "
" หามิได้ก็รีบกินเข้าไปเสียทีสิวะ "
" เจ้าข้า!!! "
นางยิ้มและนางแย้มรับคำทั้งน้ำตาก่อนจะค่อยๆ คลานเข้าหาถาดขนมแล้วนางยิ้มก็หยิบบราวนี่ก้อนหนึ่งขึ้นมาด้วยมือที่สั่นเทา ก่อนจะเอาเข้าปากไปเล็กน้อย
ส่วนนางแย้มเองก็จิบน้ำส้มคั้นสดๆไปหนึ่งจิบเช่นกันก่อนที่ทั้งสองจะต้องตาโตออกมาด้วยความประหลาดใจ แล้วพากันเปลี่ยนกันชิมของอีกฝ่ายจากนั้นก็ตะกละตะกลามกินกันเสียจนหมดเกลี้ยงไม่มีเหลือ
" นี่ก็ผ่านมานานกว่าห้าบาทแล้วแต่อีสองตัวนี้หาเป็นไรไม่ เช่นนั้นก็รู้แล้วว่าขนมแลน้ำส้มนี่หาได้มีพิษต่อเจ้าไม่แม่งามจันทร์ "
" เจ้าค่ะ " ร่างบางพยักหน้าเบาๆ อย่างฝืนๆ
" แล้วเป็นเช่นไรบ้างอียิ้มอีแย้ม รสชาติเป็นเช่นไรวะ "
คุณพระแสงเดชถามนางบ่าวทั้งสองด้วยความอยากรู้
" หอมมมม สดชื่นนน หวานนน เปรี้ยวกลมกล่อมเหลือเกินเจ้าค่ะคุณพระนายท่าน เป็นบุญของบ่าวเหลือเกินเจ้าค่ะที่ได้กินน้ำแก้วนั้น "
นางแย้มว่าด้วยใบหน้าเปี่ยมสุขเหลือทน
" บ่าวด้วยเจ้าค่ะคุณพระนายขนมหน้าตาประหลาดนั่นมีรสหวานฉ่ำและขมนิดๆ ที่ปลายลิ้น แต่เพลากินแล้วกับหยุดปากเสียมิได้เลยเจ้าค่ะทั่วทั้งพระนครนี้บ่าวไม่เคยเห็นขนมที่ทั้งนุ่มลิ้นหวานหอมและฉ่ำขนาดนี้มาก่อนเลยเจ้าค่ะแม่นายเจ้าขา ราวกับเป็นขนมที่มาจากสวรรค์ชั้นฟ้าก็เสียไม่ปานเจ้าค่ะ "
นางยิ้มว่าด้วยใบหน้าราวกับเพ้อฝันและอยากจะลองลิ้มรสมันอีกสักครา
" ขนาดนั้นเลยรึพวกเอ็ง "
" เจ้าค่ะคุณพระนาย "
นางแย้มยืนยันในคำพูดของตัวเอง
" บ่าวว่าหากแม่นายบอกว่านางผู้นั้นมิใช่คนหากแต่เป็นผีสาง บ่าวกะ ก็ว่านางคงจักเป็นนางฟ้าหรือนางไม้จำแลงเล่ากระมังเจ้าคะ จึงได้นำของเลิศรสเช่นนี้มาให้แม่นายของบ่าวได้ "
นางยิ้มพูดขึ้นก่อนจะเข้าไปบีบนวดเท้าให้ร่างบางที่เงยหน้าหันไปมองหน้าพ่อของตัวเองเมื่อได้ยินเช่นนั้น
" หากนางเป็นนางฟ้าหรือนางไม้จริงพ่อนี้ก็คงจักเบาใจหนา ด้วยว่ามีคนเมตตาแลเป็นห่วงลูกสาวพ่อเพิ่มอีกสักคนแม่เจ้าเองก็คงจักเบาใจเช่นกัน "
" เจ้าค่ะ "
ร่างบางรับคำพ่อของตัวเองเสียไม่ได้แม้ว่าเธอจะคิดต่างออกไปจากการกระทำที่นางผู้นั้นทำกับเธอเมื่อคืน
" หากคุณพ่อได้มาเจอะเจอเช่นลูกคุณพ่อก็คงจักต้องเปลี่ยนความคิดเป็นแน่ เพราะลูกว่าอีไพร่ผู้นั้นหากมันไม่ใช่คนก็คงจักเป็นผีห่าตายโหงเสียมากกว่าเจ้าค่ะ "
ร่างบางคิดในใจแล้วมองพ่อของตัวเองที่กำลังพูดกับบ่าวคนสนิททั้งสองของเธอว่าหากคราหน้านางผู้นั้นนำขนมมาให้อีกแล้วเธอไม่กินให้นำไปให้ท่านลองชิมบ้าง
" นางผู้นั้นเป็นใครกันแน่นะ "
ร่างบางได้แต่ถามตัวเองในใจ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!