1,000 ปีก่อนคริสตกาล
โลกแห่งเวทมนตร์ยังคงแบ่งแยกด้วยไฟแห่งสงคราม มนุษย์ เทพเจ้า และปีศาจ ต่างถืออาวุธเข้าห้ำหั่นกันเพื่อครองดินแดน ท่ามกลางเสียงสรรเสริญแห่งแสงและศรัทธา... มีเพียงหนึ่งเดียวที่ยืนหยัดในเงามืด — ผู้ถูกขนานนามว่า “จอมมารผู้ครองอบิส”
อัซเซลคาร์ ดูแร็กซ์เทียร์ เดอวาลเซียน แห่งอบิส
ผู้บงการความมืด ผู้เขียนประวัติศาสตร์ด้วยเลือด ผู้ที่แม้แต่เทพเจ้ายังต้องระวังหลัง
ทว่าแม้เขาจะยิ่งใหญ่เพียงใด แต่ท้ายที่สุดก็ไม่อาจต้านความทรยศ
> “พวกเจ้ากล้าหักหลังข้า…?” เสียงทุ้มต่ำดังก้อง
“ข้าสู้เคียงข้างพวกเจ้ามานานนับศตวรรษ แต่เจ็ดจักรพรรดิ… เจ้า—ผู้กล้า… แม้แต่เทพเจ้า ก็ยังบังอาจ!”
ภายใต้คมดาบของผู้กล้า และคาถาพิพากษาแห่งสวรรค์… จอมมารพ่ายแพ้
ร่างของเขาถูกฝังลึกใต้ดันเจี้ยนไร้ชื่อ พร้อมมือขวาผู้ภักดี “ดาริอุส เฟลเดล”
ด้วยความแค้นที่ไม่อาจลบเลือน…
—
ปี 2050
ในซอกหลืบของโลกอนาคตที่ไร้เวทมนตร์ ที่ซึ่งเวทมนตร์กลายเป็น "สิ่งต้องห้าม" เทพเจ้าถูกลดสถานะเหลือเพียง เผ่าพันธุ์ใกล้สูญพันธุ์
ผู้คนลืมตำนานไปหมดแล้ว... ไม่มีใครเชื่อว่า “จอมมาร” มีอยู่จริง...
ภายในดันเจี้ยนร้าง เด็กสาวสวมผ้าคลุมสีดำคุกเข่าต่อหน้าหลุมศพสองโลง
นางกรีดแขนตนเอง ปล่อยโลหิตบริสุทธิ์ลงบนผืนดิน...
โลหิตหยดลง... โลกสั่นไหว...
ทันใดนั้น—
"บึ้มมม!!!"
ม่านเวทที่ผนึกไว้พันปีถูกทำลาย! แสงดำสาดส่องสู่ฟากฟ้า ประตูสู่อบิสเปิดอีกครั้ง!
จอมมารและดาริอุสฟื้นขึ้นมาท่ามกลางควันและพลังเวทอันเกรี้ยวกราด
> “อืม... กลิ่นแห่งความทรยศยังไม่จางไปแม้ผ่านพันปี...”
สาวน้อยคุกเข่าต่อหน้าจอมมารด้วยน้ำตา
จอมมารชี้หอกไปยังคางของนาง ดันขึ้นเบา ๆ ให้ใบหน้าประจันหน้า
> “หลานเซราฟีนหนิ... น่าสนใจ...” "เอ่ยนามเจ้ามาซิ.."
"ข้าชื่อแอสเทลเป็นหลานของป้าเซราฟีน"
จากนั้น ทั้งสามก้าวออกจากดันเจี้ยนเข้าสู่โลกที่เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
ตึกระฟ้า ป้ายโฆษณา จักรกลอัจฉริยะ พาหนะบินได้...
จอมมาร:
> “โลกและยุคสมัยได้เปลี่ยนไป… แต่ข้าจะกลับมาครองโลกอีกครั้ง!!
ดูไว้ซะ พวกมนุษย์แสนงี่เง่า! ไม่ว่าเทพหรือหน้าไหน ข้าจะล้างบางให้หมด!!!”
(เสียงซุบซิบจากคนแถวนั้น)
> “หมอนั่นใครวะ... คลั่งรึเปล่า?”
“แหงล่ะ มาคอสเพลย์เป็นจอมมารอีกแล้ว ตลกดีแฮะ”
จอมมารไม่สนใจ ประกาศก้อง
> “เอาหล่ะ… ได้เวลาแสดงให้โลกประจักษ์ถึงการกลับมาของข้า!”
จากนั้นเขาชูมือขึ้น
> “โมโนโครม เบลซิ่ง ฟิสท์!!!”
เวทย์มหาประลัยพุ่งออกไปรอบทิศ กวาดทะลุต้นไม้ ป้ายรถเมล์ และถังขยะปลิวกระจาย!!
(เสียงไซเรน)
> “นี่คือเจ้าหน้าที่ตำรวจ! หยุดทันที! คุณมีสิทธิ์ที่จะไม่พูดอะไรทั้งสิ้น!”
ดาริอุส:
> “ท่านจอมมาร!! พวกมันเข้าใจผิดในพลังของท่านอีกแล้ว!!”
“โอ๊ยยย ท่านยังเท่ไม่เปลี่ยนเลยขอรับ ขนาดถูกจับยังอลังการ!”
รถตำรวจพาทั้งสามเข้าคุก โดยจอมมารยังงงไม่หายว่า "คุก" คืออะไร
---
บทที่ 1 — เถ้าธุลีใต้ท้องนภาโลหิต
สนามรบระหว่างเทือกเขาเอลซารัส ปีศักราชสุดท้ายของพันธสัญญาแห่งเทพ
ลมหนาวพัดกรูผ่านสนามหญ้าที่กำลังเหี่ยวเฉา เสียงฝีเท้าหนักแน่นของเหล่าทัพเทพดังกระหึ่มจากฟากฟ้า ขณะที่กองทัพมนุษย์จำนวนมหาศาลยืนเรียงแถวแน่นหนา แววตาของพวกเขาสั่นไหว ทั้งกลัวและศรัทธาในผู้ที่พวกตนเรียกว่า “องค์เทพ”
อีกฟากของสนาม กลุ่มหมอกสีดำแผ่กว้างออกมาทีละน้อย ราวกับโลกเองก็สั่นสะท้านต่อสิ่งที่กำลังปรากฏตัว... จอมมารดูแร็กซ์เทียร์ ผู้นำเผ่าพันธุ์โบราณ และกองทัพปีศาจของเขา
“—พวกเขามาแล้ว...” ทหารมนุษย์คนหนึ่งกระซิบพลางตัวสั่น
เสียงซุบซิบแผ่ขยายราวโรคร้ายกลางแนวรบมนุษย์
“มันคือตัวจริงเหรอ... จอมมารดูแร็กซ์?”
“ข้าเคยได้ยินว่ามันเผาทั้งเมืองไปในคืนเดียว...”
“มันจะพูดอะไรก็ช่างเถอะ! ฆ่าแม่ข้าตายเมื่อศตวรรษก่อน! พวกปีศาจมันก็แค่พวกโกหกหลอกลวง!”
“เฮ้อะ! อย่าฟังมัน! มันต้องการแค่หลอกล่อเราให้ทรยศต่อเทพเจ้า!”
บางคนเริ่มสวดภาวนาเสียงสั่น บางคนยกโล่ขึ้นด้วยมือที่สั่นเทา บางคน...เริ่มชี้หน้าด่าจอมมารด้วยความเกลียดชังที่ปนความกลัว
ขณะที่เทพเจ้ายืนเหนือพื้นฟ้า แผ่ประกายศักดิ์สิทธิ์อาบแสงลงมา
จอมมารเพียงยืนสงบ มือไขว้หลัง สายตานิ่งเยือก เย้ยหยันเสียงสวดมนต์ทั้งหลาย
เสียงของเขาก้องกังวานไปทั่วสนามรบ ราวกับพุ่งเข้าสู่หัวใจของทุกคน
“พวกมันใช้ศรัธาเป็นข้ออ้างในการปลอบประโลมพวกอ่อนแอ...
ฟังให้ดี เหล่ามนุษย์เอ๋ย—”
“ตัวข้า—จอมมารดูแร็กซ์เทียร์ ผู้ครั้งหนึ่งเคยถูกตราหน้าว่าชั่วร้าย บัดนี้กลับมาเพื่อปฏิวัติโลกที่ไร้ความเท่าเทียมนี้”
“ข้ามิได้ปรารถนาจะเข่นฆ่าพวกเจ้า...แต่โลกที่พวกเจ้าศรัทธานั้น—กลับทำลายพวกเจ้าด้วยมือของมันเอง!”
เสียงตะโกนสวนกลับมาจากกองทัพมนุษย์
“โกหก!! แกมันก็แค่ปีศาจบ้าอำนาจ!”
“พวกเราจะไม่มีวันยอมสยบต่อแก!”
“องค์เทพจงประทานชัย!”
แม้เสียงต่อต้านจะดังก้อง แต่ก็ยังมีบางสายตาเริ่มลังเล คล้ายเมล็ดแห่งความสงสัยได้หยั่งรากในใจพวกเขาแล้ว
“สองร้อยปีก่อน อาณาจักรแห่งแสงล่มสลายเพียงเพราะลืมถวายเครื่องบูชา”
“พวกเจ้ากลับยังกล้าหวังในพระเมตตาของเทพเจ้าเช่นนั้นหรือ?”
“จงเปิดตาให้กว้าง—และยอมสยบแก่ข้าเถิด จอมมารดูแร็กซ์เทียร์ ผู้จะปูทางไปสู่โลกใหม่ที่เท่าเทียม!”
สิ้นเสียง เสียงแตรศึกก็ดังขึ้นจากฝั่งเทพเจ้า พายุเวทย์เริ่มก่อตัวเหนือท้องฟ้า
จอมมารปรายตามองอย่างเฉยชา พลางยกมือขึ้นช้าๆ
“เช่นนั้น...ก็จงพิสูจน์กัน ด้วยสงคราม”
---
เสียงกรีดร้องปนเสียงอาฆาตของเหล็กกระทบกันดังกึกก้อง พื้นดินแตกระแหงจากแรงเวทย์ขนาดมหาศาล
ร่างมนุษย์—ทั้งนักรบ พ่อค้า ชาวบ้าน และแม้แต่เด็กตัวน้อย ถูกพัดหายไปในคลื่นพายุศักดิ์สิทธิ์ของเทพเจ้า
"จงถวายสิ้นซึ่งร่างและวิญญาณแด่เรา ผู้เป็นหนึ่งเดียวเหนือสรรพสิ่ง—!"
เทพเจ้าผู้ยืนเหนือก้อนเมฆตะโกนด้วยน้ำเสียงดั่งสายฟ้าฟาด ม่านแสงสวรรค์พุ่งลงสังหารทุกสิ่งที่ขวาง
แต่ที่ปลายฟากฟ้าอีกด้าน เสียงคำรามอันเยือกเย็นก็ดังขึ้นข่มอำนาจแห่งสวรรค์
"เจ้ากล้าเรียกตัวเองว่าเทพ...ในขณะที่เหยียบย่ำชีวิตผู้บริสุทธิ์เช่นนั้นงั้นหรือ?"
กลุ่มเงาดำทะมึนเคลื่อนผ่านม่านหมอกสงคราม—กองทัพแห่งจอมมาร เผ่าพันธุ์โบราณที่ถูกตราหน้าว่าเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์
และผู้นำของพวกเขา—ในชุดเกราะดำลายทอง ผมยาวสีเงินเปล่งประกายราวจันทรายามราตรี ดวงตาสีทับทิมดั่งกองเพลิง—ปรากฏตัว
"หากเจ้ายังเรียกการเข่นฆ่าว่าความยุติธรรม...งั้นจงสำนึกในบาปของเจ้าด้วยเวทมนตร์ที่ข้าเฝ้าเก็บงำมานับพันปีเถิด"
ฝ่ามือของจอมมารยกขึ้นสูง มวลพลังเวทย์มืดกระจายตัวรอบสนามรบ
ดินแดนทั้งผืนสั่นสะเทือนเมื่อเวทย์ที่ไม่ได้ปรากฏมาในโลกนี้กว่า 3,000 ปี เริ่มตื่นขึ้นอีกครั้ง
“โลกที่อ่อนแอ...จะไม่มีวันรอดในศรัทธาจอมปลอม”
“โลกใหม่ที่เท่าเทียม จะเริ่มขึ้นด้วยมือของข้า—!”
---
ตอนที่ 2: นายแบบรันเวย์
เสียงประตูเหล็กของโรงพักดังเอี๊ยดเบาๆ ก่อนจะเปิดออกอย่างช้าๆ
ภายในนั้น ดาริอุสนั่งกอดอกเหม่อมองผนัง ส่วนดูแร็กซ์และแอสเทลก็หมดอารมณ์จะพูดอะไรอีก
"โอ้... ไม่ได้เจอกันเป็นพันปีเลยนะ หนุ่มๆ"
เสียงหวานแต่แฝงพลังดั่งอสรพิษดังขึ้นจากหน้าประตู
แอสเทลเงยหน้าขึ้นทันที
"ท่านป้าเซราฟีน!"
หญิงสาวร่างสูงสง่างามในชุดแฟชั่นสุดล้ำ สวมแว่นกันแดดหรู ยืนอยู่พร้อมเอกสารประกันตัว
"มารับพวกเจ้าน่ะสิ โดนจับตั้งแต่วันแรกที่ฟื้นขึ้นมาเนี่ยนะ?"
ดาริอุสเบิกตากว้าง ราวกับเห็นผีในตำนาน
"หรือว่า... เจ้าเป็น... เซราฟีน คาร์ ไครีออส เดอ ลูเซีย… จอมมารอันดับหนึ่งแห่งสมัยโบราณ?"
เธอหัวเราะเบาๆ
"นั่นมันชื่อเล่นสมัยยังหนุ่มสาวน่ะ ตอนนี้เรียกข้าว่า 'คุณป้าซาร่าผู้ใจดี' ก็พอ"
ดูแร็กซ์จ้องหน้าเธอ
"หมายความว่าไงว่า ‘แค่ในอดีต’? แล้วจักรพรรดิคนอื่นๆ ล่ะ?"
สีหน้าของเซราฟีนเปลี่ยนไปทันทีจากล้อเล่นเป็นจริงจัง
"พวกนั้น... แยกย้ายกันไปหมดแล้ว ตอนนี้พวกมารที่เหลือกลายเป็นผู้ลี้ภัยในโลกที่ไม่เหลือความศรัทธาใด ๆ อีก"
เธอก้าวเข้ามาใกล้ พูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
"มนุษย์ใช้เทคโนโลยีปกครองกันเอง เทพเจ้าหายสาบสูญ สงครามไม่ได้เกิดจากเทพหรือปีศาจอีกแล้ว... แต่มนุษย์ทำร้ายกันเอง"
"และตอนนี้... หากเจ้าคิดจะกลับมาอยู่ในโลกใบนี้... เจ้าต้องมี ‘อาชีพ’ นะจ๊ะ"
___
คอนโดขนาดกลางใจกลางเมือง ไฟนีออนสีพาสเทลส่องผ่านหน้าต่างเข้ามา เซราฟีนเท้าเอวพูดอย่างจริงจัง
"เอาล่ะ ถ้ายังอยากมีชีวิตอยู่เพื่อปกครองโลกล่ะก็...พวกเจ้าต้องไปหางานทำ"
แอสเทลพยักหน้าเสริม
"ใช่เลยค่ะ ในโลกยุคนี้ การดำรงชีพอยู่ได้คือการทำงานแลกเงิน...เหมือนยุคท่าน แต่เทคโนโลยีมันล้ำขึ้น ค่าเช่าคอนโด ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าอาหาร...ต้องใช้เงินหมด"
จอมมารยืนสง่างามกางแขนออก พลังบัฟพุ่งกระจาย
"หึ! ภารกิจเช่นนี้ สำหรับข้าผู้เป็นจอมมารเผ่าพันธุ์โบราณ ถือว่าจิ๊บจ๊อยนัก! ดาริอุส! กลับมาเป็นมือขวาของข้าอีกครั้ง!!"
ดาริอุสน้ำตาคลอเบ้า
"ข้า...ข้ารอคำนี้มานานเหลือเกินท่านจอมมาร! แสงแห่งออร่าของท่านยังคงเจิดจ้าไม่เปลี่ยนแปลง!"
ทั้งสองเดินออกจากห้องด้วยความฮึกเหิม...
แต่...
"เอ่อ...เจ้านี่มันเครื่องเคลื่อนย้ายมวลสารใช่มั้ย?" จอมมารชี้ไปที่ลิฟต์
"ไม่ทราบเหมือนกันขอรับ... แต่ข้าคิดว่าเซราฟีนกดปุ่มตรงนี้..."
จอมมารหัวเราะ "หึ ง่ายดายนัก!"
จากนั้นเขาก็กดมั่วๆ จนปุ่มกระพริบวาบวาบอย่างกับจะระเบิด
"หรือว่า...ต้องอัดพลังเวทย์?"
เขายกมือขึ้นเตรียมยิงพลังใส่ลิฟต์
แต่จู่ๆ ประตูลิฟต์ก็เปิดออก และชายชราหน้าตาโทรมๆ คนหนึ่งก็เดินเข้ามาพร้อมกลิ่นมาม่าคัพ
"เห้ยๆๆๆ พวกเจ้า! โลกนี้เขาห้ามใช้เวทย์นะ!"
ชายแก่พูดอย่างใจดี "ลิฟต์มันน่าหงุดหงิดใช่มั้ยล่ะ ฮ่าๆ ข้าก็เคยแบบนั้นแหละ... เอาล่ะ จะไปชั้นไหนกัน?"
"ข้าจะไปล่ามอนสเตอร์!" จอมมารพูดอย่างมั่นใจ
"หา!? เจ้าพวกนั้นสูญพันธุ์ไปเกือบหมดแล้วนะ! ถ้าอยากได้งาน...ไปหาเสื้อผ้าดีๆ ก่อน แล้วไปที่บริษัทจัดหางาน"
เขาหยิบเหรียญเงิน 2 เหรียญยื่นให้ "เอาไปซื้อเสื้อผ้าซะ ข้ามีแค่นี้... หวังว่ามันจะพอ"
ดาริอุสและจอมมารรับไว้ เงียบไปเล็กน้อย ก่อนจอมมารจะเอ่ยขึ้นอย่างซาบซึ้ง
"ข้าขอบคุณ... บุญคุณครานี้ ข้าจะไม่มีวันลืม เจ้าเป็นมิตรสหายของข้า"
"ฮ่าๆ ไม่เป็นไรๆ เอาเถอะ สู้ๆ ก็แล้วกัน หางานให้ได้นะ!"
---
เสียงเครื่องปรับอากาศดังหึ่ง ๆ แสงไฟนีออนสะท้อนกับพื้นกระเบื้องวาววับ จอมมารกับดาริอุสเดินเข้ามาในห้างสรรพสินค้าเป็นครั้งแรก... ดวงตาของจอมมารเบิกกว้าง
"นี่มันอะไรกัน?! สิ่งก่อสร้างอันสูงตระหง่านและคริสตัลเรืองแสงระยิบระยับเช่นนี้... ช่างเจิดจ้างดงามราวกับวิมานทวยเทพ!"
เขาเงยหน้ามองบันไดเลื่อน แผ่น LCD และโคมไฟระย้าอย่างตื่นตะลึง
"หลังจากข้าปกครองโลกใบนี้ได้อีกครั้ง... ข้าจะสร้างปราสาทเช่นนี้เป็นอนุสรณ์แห่งยุคสมัยจอมมาร!!"
เสียงตะโกนของเขาดังก้องไปทั่วโถงกลางห้าง ทำเอาผู้คนหยุดมองแล้วซุบซิบกันไม่หยุด
"เขาใครน่ะ...?"
"หน้าตาดีอ่ะ แต่ทำตัวเหมือนหลุดมาจากละครเวที..."
"หรือว่าเป็นนักแสดง? ดูสิ ชุดจอมมารหล่อมากเลยอ่ะ!"
"เอ๊ะ! หรือว่ากำลังถ่ายอะไรอยู่?!"
ในขณะที่คนทั่วไปคิดว่าเป็น cosplay ดาริอุสก็ยืดอกพองลม
"ออร่าท่านจอมมาร...เจิดจ้าดุจดวงตะวันกลางรัตติกาล งดงามที่สุดเพคะ!"
"หึหึ แน่นอนอยู่แล้ว ดาริอุส!" จอมมารยิ้มมุมปากอย่างภูมิใจ ก่อนทั้งสองจะเดินตัวตรงเข้าสู่ใจกลางห้าง
เป้าหมายถัดไป: หาเสื้อผ้า ‘โลกมนุษย์’ ที่เหมาะแก่การสมัครงาน!
---
เมื่อจอมมารและดาริอุสเดินเข้าสู่ใจกลางห้าง พวกเขาเผชิญหน้ากับสิ่งประหลาดที่สุดในชีวิต...
"อะไรกัน...เจ้าบันไดเวทย์มนต์นี่กำลังเคลื่อนที่เองได้?! มันพยายามจะผลักข้าลงไปในห้วงเหวข้างล่างแน่ๆ!!" จอมมารร้องอย่างตกใจ
ดาริอุสขมวดคิ้วพลางตั้งท่าพร้อมร่ายเวทย์
"ท่านจอมมารระวัง!! ข้าเชื่อว่านี่อาจเป็นกับดักของเหล่ามนุษย์ที่ใช้ล่อปีศาจเช่นเรา! ไม่แน่อาจดูดพลังชีวิตเราไปทีละขั้น!"
ขณะที่ทั้งคู่ยืนงงและถกเถียงกันอยู่ตรงบันไดเลื่อนขาลง เสียงใสๆ ของหญิงสาวดังขึ้นจากด้านข้าง
"เอ่อ...ขอโทษนะคะคุณทั้งสอง... ถ้าจะขึ้นไปชั้นบน ต้องใช้บันไดฝั่งนี้ค่ะ ไม่ใช่ฝั่งขาลง..."
หญิงสาวคนนั้น หน้าตาสะสวยในชุดพนักงานของร้านเสื้อผ้า ชี้ไปยังบันไดเลื่อนขาขึ้นอีกฝั่งด้วยรอยยิ้มบาง ๆ
"อ้อ...อย่างนี้นี่เอง เจ้าหล่อนช่างฉลาดนัก เจ้าเป็นผู้พิทักษ์ทางผ่านใช่ไหม?"
"ไม่ค่ะ แค่พนักงาน Zara..."
ทั้งสองรีบเดินตามหญิงสาวคนนั้นขึ้นไป และเมื่อถึงจุดสิ้นสุดของบันไดเลื่อน...
ดูแร็กซ์ก้าวข้ามช่องว่างระหว่างบันไดกับพื้นอย่างสง่างาม—ราวกับร่ายรำบนผิวน้ำ แต่พอจอมมารจะก้าวข้ามบ้าง...
พรืด!
เขาล้มหน้าคะมำ แผ่หลาแบะเต็มพื้นห้าง คนในห้างหยุดเดินกันทั้งชั้น
"อะ...อะไรกัน?! ข้าถูกสะกดด้วยเวทย์ล่องหนงั้นรึ?! หรือมนุษย์วางกับดักในจุดนี้?!"
"บางทีท่านอาจจะต้องฝึกใช้บันไดเวทย์มนต์นี้ก่อนนะครับ..." ดาริอุสพยายามกลั้นขำ แต่ก็ยังช่วยประคองจอมมารขึ้นมาอย่างสุภาพ
---
หลังจากรอดชีวิตจากบันไดเวทย์มนต์มาได้ ทั้งจอมมารและดาริอุสก็เดินตรงเข้าร้านเสื้อผ้าแห่งหนึ่งซึ่งเต็มไปด้วยหน้าจอแสดงภาพจำลอง 3D ของเสื้อผ้าหลากสไตล์
ดูแร็กซ์หยุดยืนงงตรงจอที่มีภาพหญิงสาวหมุนตัวในชุดสูทสมัยใหม่
"นี่คือภาพลวงตาหรือจิตวิญญาณของคนที่เคยสวมชุดนี้?"
"ไม่ทราบขอรับท่านจอมมาร... แต่ข้าคิดว่าเราต้องอัญเชิญมันออกมาเพื่อสวมใส่ให้ได้..." ดาริอุสเริ่มจะยกมือปล่อยเวทย์ใส่จอ
ทันใดนั้น สาวๆ กลุ่มหนึ่งที่อยู่ในร้านก็หันขวับมาทางพวกเขา จากนั้นก็...
"ว้ายยยยยย คอสเพลย์จอมมารหรอคะ? ขอสแนปทีได้มั้ยคะ สมจริงมาก!!"
"โอ๊ย... แกๆ น้ำเดินเลย! เขาเหมือนหลุดมาจากเกมอะ..."
"ใครอ่ะ... ขนาดตอนหาวยังหล่อเลย~"
จอมมารดูแร็กซ์หันมามองกลุ่มสาว ๆ ด้วยสีหน้าสง่างาม พร้อมเอามือกุมอก
"ข้ายินดีให้พวกเจ้าบันทึกภาพข้าไว้ในฐานะราชันย์ผู้คืนชีพ... แต่ห้ามใช้เพื่อสาปแช่งข้าเด็ดขาด"
"แงงง พูดแบบนี้อีกแล้วววว ใจบางจะตาย!"
สาวๆ พากันหัวเราะคิกคัก มือไม้ไม่หยุดแชะภาพจอมมารกับดาริอุส จนพนักงานของร้านรีบเข้ามาเก็บสถานการณ์
"เอ่อ สวัสดีค่ะคุณลูกค้า สนใจเสื้อผ้าแบบไหนคะ? เรามีให้เลือกผ่านหน้าจอ สามารถทดลองใส่ผ่าน AR ได้เลยนะคะ"
ดูแร็กซ์พยายามจิ้มจอ แต่กดไปโดนปุ่มซูมจนภาพเสื้อยืดลายแมวขยายใหญ่เต็มจอ
"โอ้... เสื้อแห่งวิญญาณเสือขนาดมหึมา... นี่คือชุดสำหรับขุนพลใช่ไหม?"
ดาริอุสรีบเข้าช่วย
"ขอรับท่านจอมมาร... ข้าขอแนะนำให้เลือกเสื้อที่ดูทันสมัยและกลมกลืนกับมนุษย์ยุคนี้ เพื่ออำพรางพลังแห่งจอมมารของท่าน"
สาวๆ ที่ยืนดูอยู่เริ่มแนะนำด้วยเสียงกรี๊ดกร๊าด
"ใส่เสื้อเชิ้ตสีดำให้ดู bad boy ไปเลยค่ะ!"
"ไม่ๆ พี่ต้องสูทเท่านั้น หล่อแบบ CEO ห้างนี้เลย!"
---
พนักงานร้านเลือกสูทให้จอมมารและดาริอุสอย่างกระตือรือร้น
"ว๊ายย ชุดนี้คือหล่อจนต้องกรี๊ด!"
"พี่! ลองชุดนี้สิ! คัตติ้งอย่างเนี้ย โดนสุด!"
"โอ๊ยแก ชั้นจะเป็นลม เขาใส่อะไรก็หล่อไปหมดเลยย~"
สาวๆ ทั้งร้านแทบจะละลายกับภาพตรงหน้า แต่แล้ว...
"เอ่อ…พวกเรามิได้มีเงินทองของโลกนี้" จอมมารกล่าวอย่างขึงขัง ขณะยื่นเหรียญเงิน2เหรียญที่หล่นลงพื้นแล้วกลิ้งหายไปใต้ตู้โชว์
เกิดความเงียบชั่วครู่หนึ่ง...
ก่อนที่สาวๆ จะพร้อมใจกันกรี๊ดและควักกระเป๋าตังค์ออกมาทันที
"หนูเปย์เองค่ะ!! แค่เห็นเขาหล่อชั้นก็พร้อมล้มละลายแล้ว!"
"ฉันเอาบัตรเครดิตใบสำรองผัวมาให้เลย!"
ทันทีที่ทั้งสองแต่งตัวเสร็จ... ก็เดินออกจากร้านด้วยความสง่างามระดับจักรวาล จนคนในห้างต่างพากันหลีกทางให้ เหมือนโมเสสแหวกทะเลแดง
ในเวลาเดียวกันนั้น...
"อีกรายการหนึ่งหานายแบบได้แล้วนะครับ!"
เสียงจากแว่นตาไฮเทคของผู้กำกับตัวแม่แห่งวงการแฟชั่นดังขึ้น ขณะเธอกำลังทำชาเลนจ์หานายแบบหน้าใหม่ในห้าง
สายตาของเธอหยุดนิ่งที่สองร่างสูงใหญ่ที่เดินอย่างมีออร่าราวองค์เทพลงมาจากสวรรค์
"นั่นมัน... นั่นมันออร่าอะไรฟระ?! โบราณแต่โคตรแฟชั่น! กล้ามเนื้อนั่น!! หน้าตานั่น!!!"
อาเจ๊แฟชั่นวิ่งปรื๊ดเข้าไปหาทั้งคู่ทันที
"นี่ๆ หนุ่มๆ สนใจเป็นนายแบบมั้ย!? เดินแบบ! ถ่ายแบบ! เจ๊เปย์หมดหน้าตัก!!"
ทั้งเบลลิอุสและดาริอุสมองหน้ากันอย่างงุนงง
"เดินแบบ? ถ่ายแบบ? คืออะไรกัน..."
"ข้าเคยเดินในสนามรบ และข้าก็เคยถ่ายศีรษะศัตรูใส่หอก..."
เจ๊แฟชั่นหัวเราะเสียงแหลม
"ไม่จ้า! อันนี้เดินแบบใส่เสื้อผ้าสวย ๆ แล้วถ่ายภาพลงนิตยสาร... รับรองหล่อทะลุจักรวาล!"
ดูแร็กซ์หันมามองดาริอุสด้วยสายตาขรึม
"หากมันคือภารกิจในการยึดครองโลกนี้... ข้าย่อมไม่ปฏิเสธ"
ดาริอุสพยักหน้ารับ
"เพื่อแผนพิชิตโลกมนุษย์ ข้าพร้อม... แม้จะต้องเปลือยอกกลางแสงแฟลชก็ตาม"
---
---
ทั้งจอมมารและดาริอุสถูกพามายังกองถ่ายอีกฝั่งของห้าง
รอบข้างเต็มไปด้วยทีมงาน ไฟสตูดิโอจ้าๆ และผู้คนที่กำลังยกมือถือขึ้นมาส่องเหมือนเจอสิ่งศักดิ์สิทธิ์
"เอาล่ะค่ะ!" ผู้กำกับแฟชั่นตะโกนเสียงแจ๋ว
"ฉากนี้...หนุ่มโอตาคุใส่เสื้อยืดแบรนด์ โนวา ดูเท่แต่ติดดินนะคะ! พร้อมมั้ยหนุ่มๆ?"
ทั้งสองมองเสื้อยืดในมือด้วยสายตาคลางแคลงใจเล็กน้อย ก่อนที่...
แกรก... ซวบ... ปึ่ก...
เสื้อคลุมและเกราะหลุดออกจากร่างอย่างไม่ลังเล
"อ๊ากกกก!! ถอดกันต่อหน้าต่อตาเลยเหรอคะ!!!"
"อ๊ายยย ซิกแพค... มัดกล้าม... วงแขน...!"
เสียงกรี๊ดพุ่งสูงระดับเครื่องบินเจ็ท
กล้องหล่น มือถือสั่น เต็นท์กองถ่ายโยกคล้ายแผ่นดินไหว
ร่างทั้งสองเผยให้เห็นหุ่นบึกแน่นที่ผ่านการฟาดฟันในสงครามและการฝึกฝนอย่างเข้มงวด
ผิวสีแทนอมทองที่สะท้อนแสงไฟในสตูดิโอราวกับเทพเจ้ากรีกหลุดมาจากหนังสือเทพปกรณัม
"เฮ้ย... ถ่ายเลย!" ช่างภาพตะโกน
"ฉากเผลอแบบนี้มันได้อารมณ์จริง ๆ!! ไม่ต้องโพสเลย! เธอ... แค่ยืนก็เป็นศิลปะแล้วลูกกกก!!!"
ดูแร็กซ์ยืนเท่ มือหนึ่งง้างเสื้อยืดจะใส่ อีกมือหนึ่งถือเกราะไว้ข้างเอว
ดาริอุสทำหน้าไม่เข้าใจ ขณะหยิบเสื้อขึ้นดมแล้วพูดเบาๆ
"กลิ่นจากโรงงานของมนุษย์สินะ...หืม มันหอมแปลกดี"
ผู้กำกับแฟชั่นตะโกนลั่น
"แชะ! แชะ! นั่นแหละ!! โอ๊ยยย เผลอแต่เท่! เผลอแต่เป๊ะ! พระเจ้าจอร์จ!!!"
คนมุงดูรอบข้างพากันเอามือปิดปาก น้ำตาไหล
"ฉันตายไปแล้วและฟื้นขึ้นมาเพราะกล้ามเขา..."
"คืออะไรรู้มั้ย นี่มันเทพเจ้าบนโลกมนุษย์! ฉันไม่เคยเห็นใครใส่เสื้อยืดโอตาคุแล้วทำให้มันดูเซ็กซี่ได้ขนาดนี้!"
---
---
...ใกล้จบรายการชาเลนจ์เฟรนหานายแบบแปลกหน้า...
เสียงพิธีกรสาวดังขึ้นกลางเวทีท่ามกลางผู้คนมากมายที่ล้อมรอบเวทีถ่ายแบบขนาดใหญ่
"ก่อนเราจะปิดรายการ...อยากรู้กันมั้ยคะว่าหนุ่มหล่อผู้ชนะในวันนี้เขาชื่อว่าอะไร!"
เสียงคนในห้างเฮลั่น บ้างตะโกน “ชื่ออะไรคะ!!” “บอกชื่อหน่อย!!” “จะได้ไปตามในไอจี!!!”
พิธีกรหันไมค์ไปหาจอมมารซึ่งยืนสูงเด่นกลางเวที เสื้อยืดแนบเนื้อโชว์กล้ามแน่น ผมยาวสยายในจังหวะลมจากพัดลมกองถ่ายเบอร์ใหญ่
กล้องหลายตัวจับภาพเขาแบบโคลสอัป เสียงพิธีกรถามอีกครั้ง
"ไม่ทราบว่านายแบบผู้ชนะเลิศในรายการชาเล้นท์เฟรนหานายแบบแปลกหน้ามีชื่อว่าอะไรคะ?"
จอมมารแหงนหน้าขึ้นเล็กน้อย แววตาเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ ดั่งราชาผู้รอการสรรเสริญ
เขาแสยะยิ้มอย่างช้าๆ แล้วตอบด้วยเสียงหนักแน่นกังวาน
"หึ...จำชื่อข้าไว้ให้ดี เหล่ามนุษย์เอ๋ย—"
"ข้าคือ...จอมมารอัซเซลคาร์ ดูแร็กซ์เทียร์ เดอะ วาลเซียนแห่งอบิส!!"
"และข้าจะล้างแค้นและทวงศักดิ์ศรีของข้าคืน!!!"
---
ตัดภาพไปยังอีกมุม—ด้านแอสเทลและเซราฟีนที่ดูรายการสดอยู่ผ่านจอมอนิเตอร์เวทย์
"เฮ้ยยยย...!! นั่นมัน...จอมมารดูแร็กซ์!!!" แอสเทลแทบกระโดดจากเก้าอี้
"ไปอยู่รายการทีวีได้ไงฟะ!?!"
เซราฟีนที่ปกติสงบนิ่งถึงกับลุกพรวด ตาจ้องจอมอนิเตอร์ไม่กระพริบ
"เขา...ใส่เสื้อยืดแบรนด์มนุษย์...? แล้วนั่นอะไร กล้องหมุนรอบตัว!?"
แอสเทลกุมขมับ "ข้าไปตามหาซะทั่ว...นึกว่าโดนจับไปทรมาน ที่ไหนได้...กลายเป็นไอดอล!!!"
เซราฟีนเริ่มพูดช้าๆ เหมือนกำลังตั้งสติ
"อาจจะเป็นแผนลับของท่านก็ได้นะ...แฝงตัวในโลกมนุษย์เพื่อหาข้อมูล...แบบแนบเนียน..."
"แนบเนียนตรงไหน!? โพสแบบยกแขนโชว์กล้าม แล้วตะโกนชื่อตัวเองออกสื่อเนี่ยนะ!!" แอสเทลเหงื่อตก
เซราฟีนหน้าแดงนิดๆ "...แต่ท่านจอมมารดูเท่ดีนะ ฉันไม่เคยเห็นท่านยิ้มแบบนั้นมาก่อนเลย..."
"เจ้า...!!!" แอสเทลแทบจะพ่นไฟใส่ป้าตัวเอง
---
ตัดกลับไปที่เวที
เสียงผู้คนตะโกน "จอมมารดูแร็กซ์!! จอมมารดูแร็กซ์!!" ดังกระหึ่มไปทั่วห้าง
เบลลิอุสเดินเข้ามาแล้วพูดเบาๆ
"ท่านจอมมาร...ผมไม่แน่ใจว่าท่านกำลังยึดครองโลกมนุษย์...หรือยึดหัวใจสาวๆ กันแน่..."
จอมมารแค่นเสียงหัวเราะต่ำ
"หึ...ไม่ต่างกันหรอกดูแร็กซ์ ไม่ต่างกันเลย..."
---
---
[ฉากในคอนโดหรู ยุค 2050 – ยามค่ำ]
แสงไฟจากเมืองเบื้องล่างส่องลอดกระจกใสเข้ามา เส้นแสงจากอากาศยานไร้คนขับวาดลวดลายอยู่บนท้องฟ้า จอมมารนั่งอยู่บนโซฟาเรียบหรูในคอนโดหรูใจกลางเมือง ดวงตาเหม่อมองไปยังหน้าต่าง ท่ามกลางแสงสีของโลกอนาคตที่ทั้งเจริญและว่างเปล่าในเวลาเดียวกัน
แอสเทล—หนึ่งในขุนพลปีศาจของเขา ยืนอยู่เงียบ ๆ ที่มุมห้อง ก่อนจะเอ่ยถามเสียงเบา ทว่าเต็มไปด้วยความใคร่รู้
“ท่าน...ข้าใคร่รู้เหลือเกิน ท่านเรียนเวทย์มาจากที่ใดหรือเพคะ?”
คำถามนั้นเงียบงันไปชั่วขณะ ก่อนจอมมารจะละสายตาจากหน้าต่าง หันมามองหญิงสาวผู้ภักดี ดวงตาเขานิ่งราวกับซ่อนบางสิ่งไว้
“เจ้าถามเช่นนี้ ข้าควรจะตอบดีหรือไม่นะ...”
แอสเทลไม่ได้กดดัน เพียงรอฟังอย่างสงบและจริงใจ เขาจึงค่อย ๆ เอ่ยออกมา
“ข้าเกิดในเผ่าปีศาจ...แต่จิตใจข้ากลับไม่เหมือนพวกมัน” เขาหัวเราะเบา ๆ “ในตอนที่ยังเด็ก ข้ารู้สึกว่า...โลกนี้มีบางอย่างผิดแปลก พวกเราเรียนรู้ที่จะฆ่าโดยไม่ตั้งคำถาม เรียนรู้ที่จะเกลียดเพียงเพราะเขาไม่ใช่เผ่าของเรา”
เขาเอนตัวพิงพนัก หยิบสมุดบันทึกเก่าเล่มหนึ่งจากโต๊ะข้างโซฟา
“แต่ข้าชอบอ่านหนังสือเก่า ๆ ที่มนุษย์ทิ้งไว้ หนึ่งในนั้นคือบันทึกของใครบางคน...ดิอาโบล เอลลุส” น้ำเสียงของเขาเบาลง “เขาเขียนถึงโลกที่ทั้งสองเผ่าจะอยู่ร่วมกันได้ ถึงความเข้าใจและการให้อภัย...ซึ่งข้าไม่เคยพบในชีวิตจริงเลยแม้แต่น้อย”
“ดิอาโบล...” แอสเทลพึมพำ “ชื่อของเขาข้าคุ้นเคย...นั่นหรือคือผู้ที่ท่านยึดถือ?”
จอมมารพยักหน้า ดวงตาหม่นลง
“ข้าตัดสินใจตามหาเขา หวังจะได้พบต้นฉบับแห่งปัญญา แต่เมื่อข้าลงไปยังหมู่บ้านที่เขาเคยอยู่ ข้ากลับพบแต่ความเงียบ...เขาถูกสังหารโดยมนุษย์เมื่อห้าสิบปีก่อน เพียงเพราะแนวคิดของเขาแตกต่าง”
แอสเทลนิ่งเงียบอย่างเคารพ “มนุษย์...ก็ไม่ต่างจากพวกเราเท่าไรเลยสินะเพคะ”
“ใช่” จอมมารเอ่ย “ดิอาโบลถูกพวกเดียวกันฆ่าทั้งที่เขายิ่งใหญ่เกินใคร...เหมือนเช่นข้าในตอนนั้น ข้าเริ่มถูกจับตา ถูกหวาดกลัว...แต่ก็ไม่มีใครกล้าทำอะไร เพราะข้า...แข็งแกร่งเกินไป”
เขาวางสมุดบันทึกลงอย่างระวัง
“สมุดเล่มนี้...เป็นจุดเริ่มต้นของข้า มันสอนข้าทุกอย่าง ให้แนวคิด ให้เวทย์มนตร์ ข้าศึกษามัน ซึมซับมัน แล้วทำให้มันเป็นของข้า จนในที่สุด—ข้ากลายเป็นจอมมาร”
---
---
เซราฟีนเอ่ยขึ้น น้ำเสียงเด็ดขาดแฝงความร้อนรน
“เอาล่ะ...ตอนนี้ข้ามีแผน—ฟังให้ดี เราจะใช้เครื่องไทม์แมสชีนย้อนเวลากลับไปเปลี่ยนจุดสำคัญในประวัติศาสตร์ สิ่งที่เราต้องการมีสองอย่าง หนึ่งคือ สมุดบันทึกของดิอาโบล และอีกหนึ่งคือ หอกศักดิ์สิทธิ์ของผู้กล้าเคนตะ”
เธอเว้นช่วง มองสบตาแอสเทลและจอมมารอย่างจริงจัง
“...เคนตะ—เจ้าคงรู้จักชื่อนี้ดี ผู้กล้าที่เคยเป็นตัวแทนแห่งความหวังของมนุษย์ทั้งปวง หอกของเขาคือกุญแจสำคัญ”
เซราฟีนเดินไปยังหน้าจอโปรเจกเตอร์ที่แสดงภาพตึกสูงระฟ้าหรูหราโลโก้ ‘NOVA’ ฉายเด่นชัด
“และเจ้าจะไม่เชื่อ...แต่เครื่องบ้านั่น—มันอยู่ใต้ตึกของแบรนด์เสื้อผ้าโนวาที่เจ้าเคยใส่นั่นแหละ ใช่—มันเป็นเพียงฉากบังหน้า”
เธอจิ้มไปที่ภาพของชายคนหนึ่ง
“CEO ของโนวา...คือ จักรพรรดิองค์ที่หก—ลอร์ดวาเลนไทน์ เจ้าผู้นั้นเคยทรยศข้า และเขาไม่มีวันยอมให้เราใช้เครื่องนั่นง่าย ๆ”
เสียงของเซราฟีนเย็นลง
“ทางเข้าอยู่ใต้ตึก ผ่านระบบรักษาความปลอดภัยระดับสูง หากเจ้าคิดจะเดินเข้าไปขอ...เจ้าคิดผิดแล้ว ไม่มีใครยอมมอบเครื่องย้อนเวลาที่สามารถเปลี่ยนทุกสิ่งให้ศัตรูหรอก”
เธอกำมือแน่น
“เราต้องวางแผนลักลอบ...อย่างรอบคอบที่สุด เพราะนี่คือโอกาสเดียวของพวกเรา”
---
---
ทันทีที่สิ้นชื่อ “วาเลนไทน์” เสียงคำรามของจอมมารก็ดังก้องในลำคอ ดวงตาแดงฉานฉายแววเดือดดาล
“วาเลนไทน์งั้นรึ...!!”
ไม่รอคำเตือนหรือคำห้ามใด ๆ ร่างของเขาก็พุ่งทะยานด้วยโทสะ ละลานสายตาไปด้วยแรงเวทย์มหาศาล กระจกห้องโถงแตกกระจายเป็นเสี่ยง ทะลุทะลวงมุ่งตรงไปยังสำนักงานใหญ่ของโนวา ณ ใจกลางเมือง
เสียงระเบิดเบา ๆ ดังขึ้นพร้อมแสงวาบเมื่อเขาทะลุถึงชั้นบนสุด—ห้องของชายผู้ทรยศ
และที่นั่น...ลอร์ดวาเลนไทน์ยืนรออยู่ รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏบนใบหน้าอย่างไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย
“แหม ๆ ๆ...ในที่สุดวันนี้ก็มาถึงแล้วสินะครับ” เขากล่าว พลางยกแก้วไวน์จิบเบา ๆ
“สาวกของท่านคงปลุกท่านขึ้นมาอีกแล้วล่ะสิ ข้านึกว่าคงไม่ได้เจอกันอีกเสียแล้ว”
“เจ้าจะไม่มีโอกาสพูดเย้ยหยันเช่นนี้อีก” จอมมารคำราม
“หากเจ้ากลับมารับใช้ข้า ข้ายังอาจไว้ชีวิตเจ้าบ้าง”
วาเลนไทน์หัวเราะในลำคอ ก่อนตอบเสียงเรียบ:
“เรื่องนั้น...ขอปฏิเสธนะครับ ตอนนี้ข้ามีทุกอย่างที่ต้องการแล้ว เพราะฉะนั้น—ได้โปรดหันหลังกลับไปยังหลุมเดิมของเจ้าด้วยเถอะ”
ประกายเวทย์สีดำสาดออกจากฝ่ามือจอมมารทันที คลื่นแรงโน้มถ่วงอันรุนแรงปะทะกับพื้นที่อย่างจัง บดบี้ทุกสิ่งรอบตัวให้บิดเบี้ยว แต่—
“ฮ่า ๆ ๆ...ตลกดีนะครับ” วาเลนไทน์พูดอย่างผู้ชนะ “ที่นี่คือ เขตแดนไร้พลังเวทย์ พลังทุกอย่างของท่าน—ไร้ค่า”
ก่อนที่จอมมารจะทันตั้งตัว วาเลนไทน์ก็วาดมือเรียกสกิลแสงสายฟ้าและคลื่นแรงกระแทกที่ดูเป็นเทคโนโลยีผสานเวทมนตร์ เขารัวใส่จอมมารอย่างไร้ปรานี ก่อนร่างของจอมมารจะถูกซัดทะลุกระจกตกจากชั้นบนสุดลงมายังสระน้ำข้างล่าง เสียงกระแทกดัง ตูม!!
เงียบงันชั่วขณะ—
น้ำกระเซ็นสูงราวม่านแห่งความพ่ายแพ้ ขณะที่ฟ้าคำรามอย่างเย้ยหยัน...
---
---
เสียงรองเท้าหนังกระทบพื้นถนนเปียกน้ำเป็นจังหวะช้า ๆ เส้นผมดำสนิทแนบติดใบหน้า ร่างสูงใหญ่ของจอมมารย่ำเท้ากลับมาที่คอนโดด้วยสภาพเปียกโชก น้ำหยดจากชายเสื้อและปลายผมดั่งสายฝนกลั่นจากโทสะ
เมื่อถึงหน้าลิฟต์...แสงไฟกะพริบเตือน "Error: ระบบป้องกันน้ำเข้าทำงาน..."
“หึ...” เขาหัวเราะในลำคออย่างเย็นชา "เจ้าเครื่องกลโง่งม กล้าขัดคำสั่งข้ารึ..."
เพล้ง! ฝ่ามือฟาดเข้าที่แผงควบคุมจนวงจรไหม้ไฟลุกวาบ ลิฟต์ดับสนิทพร้อมเสียงเตือนภัยเบา ๆ
ไม่มีคำอธิบาย ไม่มีแผนสำรอง จอมมารเงยหน้าขึ้นมองตึกสูงร้อยชั้นที่เขาเรียกว่าบ้าน—ก่อนจะก้าวขึ้นผนังด้านข้างอย่างไร้เยื่อใย
ผู้คนภายในตึกต่างตะลึงมองผ่านกระจก ใครบางคนทำมือถือหล่น บ้างอ้าปากค้าง บ้างถ่ายคลิปไว้เงียบ ๆ แต่ไม่มีใครกล้าขัดหรือพูดอะไรเมื่อเห็นชายเปียกปอนเดิน ไต่ ขึ้นมาตามผนังตึก—โดยไม่ใช้เวทย์แม้แต่เศษเสี้ยว
เขามาถึงห้องของตนผ่านรอยทะลุกระจกเดิมที่ยังไม่ได้ซ่อม ความเงียบในห้องมีเพียงเสียงน้ำหยดเปื้อนพรม
เขายืนอยู่ตรงกลางห้อง สูดลมหายใจอย่างหนักหน่วง ก่อนจะคำรามเสียงต่ำ
“ข้าไม่เคย...ไม่เคยถูกเหยียดหยามเยี่ยงนี้มาก่อน...”
เขากำหมัดแน่นจนเล็บจิกเข้าเนื้อ เลือดสีดำไหลช้า ๆ
“ข้า...กลับมาอย่างผู้พ่ายแพ้”
เสียงของเขาเจือด้วยโทสะและความผิดหวัง ทว่าแววตา—ยังคงเปล่งแสงแห่งความไม่ยอมแพ้
---
---
รุ่งเช้าของวันถัดมา
ภายในห้องวางแผนลับ แสงสลัวจากหลอดไฟติดเพดานกระพริบเป็นระยะ รอบโต๊ะกลมกลางห้องคือผู้กลุ่มคนที่ต่างมีเป้าหมายเดียวกัน—การเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์
แผนผังอาคารสำนักงานโนวาถูกขยายขึ้นบนหน้าจอโฮโลแกรมขนาดใหญ่ ดวงตาทุกคู่จดจ่อแน่วแน่ ขณะที่เซราฟีนอธิบายแผนการขั้นสุดท้าย
"เครื่องไทม์แมสชีนอยู่ใต้ตึกโนวา...ซ่อนอยู่ภายใต้บริษัทแฟชั่นสุดหรูที่เจ้าเคยใส่เสื้อผ้ามันนั่นแหละ" เธอหันไปพูดกับจอมมารที่ยืนนิ่งอยู่มุมห้อง “CEO ที่เป็นเจ้าของบริษัทก็ไม่ใช่ใครอื่น ลอร์ดวาเลนไทน์ จักรพรรดิที่หก...ศัตรูของเรา”
แผนการวางไว้ชัดเจน
ดึงความสนใจที่หน้าตึก
เจาะระบบรักษาความปลอดภัย
ลอบผ่านทางช่องระบายอากาศ
และเข้าใช้ลิฟต์ลับที่พาไปยังห้องไทม์แมสชีน
“หากผิดพลาดแม้แต่นิดเดียว เราไม่มีโอกาสซ้ำสอง” เซราฟีนเตือนเสียงจริงจัง
เมื่อแผนวางเสร็จ ทุกคนแยกย้ายไปขึ้นรถที่จอดรออยู่ด้านหน้าอาคารสีดำทึบ
...
เสียงเครื่องยนต์คำรามขึ้นพร้อมกันหลายคัน ขบวนรถแล่นฝ่าเช้าอึมครึมมุ่งหน้าสู่ตึกโนวา
เมื่อถึงด้านหน้าอาคาร แร็กซ์—มือสังหารเลือดร้อน—พุ่งตัวออกจากรถทันที ปะทะกับบอดี้การ์ดของตึกอย่างรุนแรง
หมัดแรกซัดจนอีกฝ่ายปลิวกระเด็นไปกระแทกผนัง เสียงกระจกแตก เสียงลั่นของกระสุนไร้ประโยชน์เมื่อปะทะเกราะเวทย์ของแร็กซ์
“กล้องวงจรปิดถูกควบคุมแล้ว” เซราฟีนรายงานผ่านลิงก์สื่อสาร
จอมมารกับดาริอุสใช้จังหวะนั้นลอดเข้าช่องระบายอากาศด้านข้างตึก ทั้งคู่คลานผ่านท่อโลหะเก่าแคบๆ จนไปโผล่ในห้องหนึ่งที่เต็มไปด้วยฝุ่นและกลิ่นเหล็ก
“ตรงนั้น” ดาริอุสชี้ไปยังลิฟต์ลับบานหนึ่ง ที่ซ่อนอยู่หลังแผงควบคุมเก่า
เซราฟีนรีบแฮ็กระบบจากระยะไกล “รหัสลิฟต์... 8382 กดเลย”
...
ภายในลิฟต์
แสงไฟสีขาวกระพริบเล็กน้อยก่อนลิฟต์จะเริ่มเคลื่อนตัวลงใต้ดิน
เสียงกลไกดังก้องไปทั่วทางเดินแคบๆ
ภายในมีเพียงเสียงลมหายใจเงียบ ๆ ของทั้งสองและเสียงเฟืองที่ขูดกับรางเหล็กอย่างเย็นเยียบ
“ลิฟต์กำลังลงไปลึกกว่าระดับพื้นโลก 300 เมตร…” เซราฟีนเอ่ยจากลิงก์ พร้อมเสียงพิมพ์คีย์บอร์ดที่ยังไม่หยุด
ดาริอุสมองจอมมารด้วยแววตาชื่นชม “ช่างง่ายดายสมกับเป็นท่านจอมมาร… แม้แต่ประตูนรกยังเปิดรับท่าน”
แต่จอมมารยังคงเงียบ สายตาเยือกเย็นมองไปข้างหน้า ไม่ตอบคำใด
“ข้าไม่ต้องการคำชม…ข้าเพียงต้องการแก้สิ่งที่ควรถูกแก้…ด้วยมือตัวเอง”
เขาพูดเบาๆ แต่ชัดเจน
"ติง!"
เสียงลิฟต์ถึงชั้น 8382 ดังขึ้น ไฟเหนือประตูสว่างวาบ
ประตูเหล็กหนักๆ ค่อยๆ เปิดออก เผยให้เห็นอุโมงค์ยาวสว่างด้วยไฟหลอดสีฟ้าจาง ๆ
ไอเย็นและหมอกบางพวยพุ่งออกมาจากห้องเบื้องหน้า... ห้องที่บันทึกเวลา—กำลังรอการเปลี่ยนแปลงจากผู้ควบคุมโชคชะตา
---
ทันทีที่ประตูลิฟต์เปิดออก
หมอกสีฟ้าเจือแสงไฟเรืองรองเบื้องหน้าเริ่มจางหาย เผยให้เห็นร่างสูงสง่าในชุดสูทหรูสีดำสนิท ยืนรออยู่เพียงลำพังในใจกลางห้องทรงกลมล้อมด้วยเครื่องจักรโบราณและสายไฟส่องประกายแดง
ลอร์ดวาเลนไทน์
รอยยิ้มเจือเย้ยหยันผุดขึ้นทันทีเมื่อเห็นผู้มาเยือน
“แหมๆ…ยังเลือดร้อนเหมือนเดิมเลยนะครับ จะยุคไหนคุณก็ยังคงเป็นตัวปัญหา เกะกะขวางทางผมเสมอเลย”
เขายกมือปัดฝุ่นจากแขนเสื้อเบา ๆ
“เสียดายที่วันนี้... จะเป็นวันสุดท้ายของคุณแล้วล่ะครับ”
จอมมารหรี่ตาลง แรงเวทย์คุกรุ่นรอบกายพร้อมเสียงคำรามในลำคอ เขาหันไปบอกดาริอุสทันที
“อัญเชิญพวกนั้นเข้ามา เดี๋ยวข้าจัดการเอง!”
ดาริอุสพยักหน้า รีบร่ายเวทย์วงแหวนบนพื้น—แสงสว่างพุ่งออกมาจากอักขระสีทองเพื่อเรียกพรรคพวกอีกสองคน
แต่ยังไม่ทันพลังเวทย์จะจาง จอมมารพุ่งทะยานไปยังวาเลนไทน์ด้วยความเร็วเหนือมนุษย์!
หมัดหนักดั่งภูเขาฟาดเข้าเต็มท้องของวาเลนไทน์ จนอีกฝ่ายกระอักเลือดออกมาในพริบตา
“ฮ่าๆๆ สุดยอด…”
วาเลนไทน์หัวเราะทั้งที่ยังเลือดไหลจากมุมปาก
“หมัดนี่ยังหนักแน่นเหมือนเดิมเลยนะครับ…แต่ดูเหมือนคุณจะลืมไปแล้ว ว่าผมคือ ลอร์ดวาเลนไทน์ ผู้ควบคุมเลือด…”
เขายกมือขึ้นช้าๆ
“ดังนั้น... เตรียมตัวตายได้เลยครับ”
ทันใดนั้น
เลือดที่เปื้อนอยู่บนมือของจอมมาร—เลือดจากหมัดเมื่อครู่—เริ่มเปลี่ยนสีเป็นสีดำมืด
มันเริ่มไหลย้อนกลับอย่างผิดธรรมชาติ จากมือ…สู่แขน… และ…
“ชิ...!”
เสียงกรดกัดเนื้อดัง ฉ่าาาาา แขนของจอมมารถูกละลายอย่างรวดเร็ว จนหลุดขาดในไม่กี่วินาที!
ร่างสูงผงะถอยไปหนึ่งก้าว จ้องมองแขนที่หายไปด้วยสายตาเย็นเยือก ทว่าปราศจากเสียงร้อง
มีเพียงแววตาแห่งความเคียดแค้นลุกโชนขึ้นแทน
“เจ้าจะต้องชดใช้… ด้วยชีวิต”
---
ทันใดนั้น—
แสงสีทองและม่วงพุ่งวาบขึ้นจากวงแหวนเวทย์กลางห้อง แอสเทลและเซราฟีนปรากฏตัวในชั่วพริบตา เสียงสายลมที่ไหลผ่านพลังเวทย์กรีดห้องเงียบสงัดให้กลายเป็นสมรภูมิชั่วพริบตา
“รับไปสิคะท่านจอมมาร!”
แอสเทลยกคฑาขึ้นเหนือหัว ปล่อย พลังบัฟแห่งการฟื้นฟูขั้นสูงสุด
—พลังแสงสีฟ้าขาวเปล่งประกายห่อหุ้มร่างจอมมาร ก่อนที่แขนที่ขาดจะเริ่มงอกกลับมาช้าๆ พร้อมกล้ามเนื้อที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม!
“หึ...ไม่เสียแรงที่เจ้าอยู่ข้างข้า”
จอมมารพูดพลางเอื้อมแขนที่พึ่งฟื้นมาคว้าแอสเทลมากอดแน่น
“ข้าจะปกป้องเจ้าเอง”
เขาโอบเอวเธอแน่นราวกับจะไม่ปล่อยให้ห่างอีก
“อี๋ แหวะ!!”
วาเลนไทน์ขมวดคิ้วทันทีด้วยความหมั่นไส้
“คนมีความรักนี่มัน…อ่อนแอชะมัด!!”
เขาตะโกนพลางทำท่าปัดๆ อากาศเหมือนรังเกียจ ก่อนจะตบมือดัง เพี๊ยะ! หนึ่งครั้ง
—เลือดที่หยดอยู่บนพื้นสั่นสะเทือนทันที—
มันแปรสภาพกลายเป็นแอ่งดำซึ่ง อันเดดหลายสิบตน ผุดขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง
โครงกระดูก สัตว์อสูรเลือด และนักเวทย์ไร้วิญญาณ เริ่มบุกเข้าหาทั้งกลุ่มด้วยเสียงคำรามแสบหู
“ตายซะพวกแมลง!”
วาเลนไทน์ยกมือขึ้น — สร้าง Blood Lance หอกสีเลือดพุ่งใส่จอมมาร!
"หึ!"
จอมมารเบี่ยงตัวหลบหอก ก่อนจะพุ่งใส่วาเลนไทน์อีกครั้ง
คราวนี้เขาต่อยไปด้วยหมัดที่ห่อหุ้มด้วยพลัง แรงโน้มถ่วงทำลายล้าง
“Graviton Smash!!!”
พื้นห้องถึงกับแตกระเบิดจนกระจกข้างห้องปลิวกระจาย
เซราฟีน ประกอบกับ ดาริอุส ก็ไม่ยอมนิ่ง
เซราฟีนแฮ็คระบบคอนโทรลของห้อง พุ่งพลังเวทย์เข้าเชื่อมกับสายไฟใต้พื้น
“ระบบปิดผนึกเวทย์งั้นหรอ? งั้นขอขัดลำดับพลังซะหน่อย!”
—เธอสั่งให้พลังเวทย์ถูกปล่อยกลับมา ช่วยให้เวทย์โจมตีแรงขึ้นสองเท่า
ดาริอุสเปลี่ยนแขนให้กลายเป็น ดาบพลังงานสายฟ้า
“เจ้าพวกนี้...ชอบเรียกเพื่อนมาช่วยมากนักใช่ไหม? งั้นเอาไปกินนี่!”
เขาฟาดใส่อันเดดทั้งแถวจนแหลกกลายเป็นฝุ่น
วาเลนไทน์ ยังยืนมั่นไม่หวั่นไหว
เขาเรียกโล่เลือดมาป้องกันหมัดของจอมมารแล้วตวัดมีดพิธีกรรมสีดำเฉือนอากาศ
“Blood Vortex!”
ลมหมุนสีเลือดปั่นวนเป็นพายุพุ่งเข้าหาทุกคนอย่างบ้าคลั่ง!
แอสเทล รีบสร้าง เกราะเวทย์แสงศักดิ์สิทธิ์ บังไว้ทันเวลา
พายุสลายเมื่อปะทะกับแสงจนเกิดการระเบิดขนาดใหญ่!
“จอมมาร! เราจะลุยพร้อมกัน!” เซราฟีนตะโกน
“ถ้าเจ้าจะตาย ก็ขอให้ตายเพราะพวกเรารวมพลังกันนี่แหละ วาเลนไทน์!!”
---
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!