NovelToon NovelToon

Criminal ฉันได้ยินแต่ฉันไม่ได้ยิน

ปฐมบท

ณ สถานบันเทิงหรูใจกลางเมือง

เสียงผู้คนจอแจ มวลมนุษย์นับร้อยกับลีลาโยกย้ายตามเสียงเพลงกระหึ่มก้องที่เหล่าดีเจได้บรรเลงในคํ่าคืนนี้ ร่างบางสมส่วนของสองชีวิตในนั้นที่กลมกลืนไปกับผู้คน หากแต่จุดประสงค์แตกต่างจากชาวบ้าน ทั้งสองกำลังแหวกดันผู้คนนับร้อย ที่ต่างออกลวดลายอวดกันอยู่ไปยังจุดใจกลาง ซึ่งโอบอุ้มชะตาชีวิตของมวลมนุษยชนในนี้อยู่

ในขณะที่ ชาแนล ฌาลัลน์ กำลังโฟกัสกับเป้าหมายอยู่นั้น หูของ เจ้าเอย จุฑารัตน์ ก็ดันได้ยินบทสนทนาที่ดึงความสนใจของเธอไป

"แกได้ยินเรื่องคุณเลียมรึยัง"

"เลียมไหนว่ะ?"

"ก็คุณ เลโอนอร์ เลียม ฮอว์กตัน ไง"

ชื่อของบุคคลในอดีตผ่านเข้ามาในโสตประสาท กระตุ้นให้ความทรงจำในวันวานฉายภาพขึ้นมาในห้วงความคิดคำนึง

เจ้าเอยไม่อยากแน่ใจจนกระทั่งชื่อจริงของอดีตคนรักถูกเรียกขึ้นมา ขาทั้งสองข้างหยุดเดินโดยอัตโนมัติ ในขณะที่เพื่อนร่วมชะตาชีวิตกำลังมุ่งหน้าไปเรื่อยๆ

ทว่าเจ้าเอยยังคงหยุดฟังเรื่องราวต่อจากนี้ของคนคนนั้นอย่างลืมตัว

"..."

"ชื่อแปลกจัง เขาทำไมหรอ"

"ก็เขาอ่ะ ว่ากันว่าเป็นเจ้าของผับนี้เลยนะ ที่บ้านทำธุรกิจ brand luxury ด้วยนะ ทั้งหล่อมาก รวยด้วย แต่เสียดายนะ"

"..."

"เสียดายอะไรย่ะ?"

"ก็คนหล่อมักมีเจ้าของนะสิ"

สิ้นเสียงเจ้าหล่อนไป เจ้าเอยเหมือนตัวชา ก้อนเนื้อตรงอกเต้นแรงอย่างไร้ความสามารถในการควบคุม ลมหายใจเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ

"ได้ข่าวว่าคุณเขาจะแต่งงานกับคู่หมั้น ลูกสาวรัฐมนตรีนะสิ "

"..."

"ลูกสาวรัฐมนตรี?"

"ก็คนที่ชื่อว่าดาหลาไง"

หัวใจเจ้าเอยกระตุกแรง เมื่อได้ยินชื่อคุ้นเคยอีกหนึ่งชื่อจากปากพวกหล่อน ดาหลางั้นหรอ แม้จะอยากคิดว่าบนโลกประเทศไทยจะมีคนชื่อนี้นับหมื่นนับพันคนก็ตาม แต่เมื่อมันดันมีชื่อของคนก่อนหน้าขึ้นมาก็สามารถยืนยันได้เป็นนัยว่า สัญชาตญาณเธอไม่ผิดแน่

"เจ้...อะ...ครึะด ่้.เเ.....นางจุฑารัตน์! ทราบแล้วเปลี่ยน"

"ฮ๊ะ เอ่อ ...''

"อย่าบอกนะว่าหล่อนยังอยู่กับที่ เวลาไม่ใช่เรื่องตลกนะเว้ย จะตายแล้วยังไม่เจียมตัว..."

"เอออ ใจเย็นมาดาม"

"จิ๊"

หลังจากโดนเพื่อนร่วมชะตาดับฝัน เจ้าเอยก็รีบพาตัวเองไปยังจุดที่คาดว่ามีระเบิดถูกติดตั้งไว้อยู่ ร่างบางแคล่วคล่องสอดส่องรอบข้าง หลับตานึกถึงแผนผังเส้นทางที่ถูกเซฟไว้ในสมอง และนําพาร่างกายไปยังจุดหมาย

เจ้าเอยเข้าไปยังห้องหนึ่งซึ่งเป็นคลังเก็บสุรานานาชาติหลากชนิด ด้วยยูนิฟอร์มที่กลมกลืน ซึ่งเจ้าตัวเพิ่งขโมยมาจากพนักงานคนหนึ่งเมื่อไม่กี่วินาทีก่อนหน้า และตอนนี้พนักงานคนที่ว่าก็ได้นอนนับดาวดวงที่ร้อยเอ็ดอยู่

ร่างสมส่วนมาหยุดอยู่ตรงแผงวงจรขนาดใหญ่ที่กำลังลำเลียงกระแสไฟฟ้า และอาจจะลำเลียงความตายมาสู่ทุกคนในที่นี้รวมถึงตัวจุฑารัตน์เองก็ด้วย

สายตาเรียวไล่มองปุ่มควบคุมนับร้อยอย่างพินิจพิเคราะห์ หาสวิทช์กุญแจสำคัญของอีเว้นท์นี้ พลางสายตาก็เหลือบไปมองนาฬิกา แข่งกับเวลาอันน้อยนิดที่เมื่อพลาดแม้แต่นิดเดียวนั่นอาจหมายถึงทั้งชีวิตของมวลมนุษยชาติที่กำลังรื่นรมย์ไร้ซึ่งความตระหนักรู้ใดใด

อีกด้านหนึ่งของสถานบันเทิง ตามแผนผังที่คาดกันว่ามีระเบิดติดตั้งอยู่ บนช่องระบายอากาศเหนือศรีษะผู้บริหารสถานบันเทิงชื่อดัง ฌาลัลน์ได้แต่ก่นด่าตัวคนก่อเหตุในใจที่เลือกวางระเบิดในที่แบบนี้ ในขณะที่ทุกวินาทีกำลังเสียไปฌาลัลน์ที่กำลังหยุดยั้งระบบของระเบิด พยายามควบคุมลมหายใจ

เหงื่อเหนียวใสไหลลงปรกเต็มกรอบหน้าได้รูป ด้วยแสงและเวลาที่มีจำกัดบวกกับเสียงวินาทีที่เดินถอยหลังเรื่อยๆ

...10...

...9...

...8...

...7...

ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ดๆๆ!

จากร้อยนับถอยหลังมาจนกระทั่งเลขเจ็ด เครื่องระเบิดก็เกิดเสียงแจ้งเตือนถี่ขึ้น เสี้ยววินาทีนั้นฌาลัลน์ก็คิดว่าระเบิดอาจเกิดการระเบิดก่อนเวลา แต่เพียงพริบตาเดียวตัวเลขที่แสดงบนหน้าจอขนาดเล็กก็ดับลง ตาเรียวเบิกกว้างอ้าปากไม่ทันเอ่ยเสียง เสียงระเบิดก็ดังขึ้นสนั่นสถานบันเทิงชื่อดังเรียกเสียงตกใจจากนักท่องราตรีและนักดนตรีทุกคน รวมถึงฌาลัลน์

สมองประมวลผลอย่างรวดเร็ว ฌาลัลน์ร้องเรียกหาจุฑารัตน์ด้วยนํ้าเสียงสั่นเนื่องจากแรงตกใจทันที เพราะคนร้ายได้สับขาหลอกว่าระเบิดจะถูกจุดชนวนเมื่อเวลาที่แสดงบนหน้าจอได้หมดลง

แต่นี่ยังไม่ทันที่จะหมดเวลาก็เกิดการระเบิดขึ้นทันที

"...เอย!"

"..."

"เจ้าเอย!!!"

"นึกว่าเสียงระเบิดที่ไหน แหม่มชานี่เอง"

เสียงตอบกลับมาจากอีกด้าน นํ้าเสียงแสดงออกทีเล่นทีจริง ในเวลาน่าหวาดเสียวแบบนี้ สร้างความไม่พอใจให้กับฌาลัลน์เป็นอย่างมาก ทั้งที่หล่อนเป็นห่วง

เมื่ออีกด้านเงียบไปจุฑารัตน์จึงเอ่ยขึ้น

"แหม่ม หล่อนก็กู้ระเบิดมาหลายงานแล้ว ไม่อยากเชื่อว่าจะแยกเสียงระเบิดจริงกับเสียงจากลำโพงไม่ได้"

และฟางเส้นสุดท้ายก็ขาดสะบั้นลง

"เออ! กูตื่นตูมเอง ปากไอ้ด่าง*อย่างนี้ รู้งี้น่าจะปล่อยให้โดนระเบิดตายๆ ไปซะ อีดอก ตั้งแต่เข้ามาแล้วนะมึงอะ จะตายแล้วยังไม่เจียมตัว เมื่อไหร่ยมบาลจะมาเอามึงไปสักทีกูรำคาญ"

"ฮิ๊วววว ดุว่ะ"

"กวนตีนแบบนี้เชิญหล่อนมึงจัดการที่เหลือคนเดียวเลย อีก 1ชั่วโมง 27นาที 3วินาที ใต้โซฟาห้องVVIP "

"หมายความว่างะ...."

"หมายความว่าบันเทิงแน่"

"แหม่มๆ มาดาม อีชาแนล"

"..."

"ฉิบหาย!!!"

cheers

แก้วใสรูปทรงเหลี่ยมที่บรรจุน้ำสีอำพันถูกยกขึ้นชนกันตรงกลางโต๊ะซึ่งมีบุคคลสำคัญนั่งอยู่ล้อมรอบ และหนึ่งในนั้นคือชายหน้าคมแววตาสีเอิร์ธ ที่ตอนนี้กำลังเพ่งเลงไปยังนาฬิกาแบรนด์หรูอยู่ ในขณะที่ทุกคนรอบข้างกำลังสังสรรค์กันอย่างออกรสออกชาติ กลับกันคนร่างสูงกลับนิ่งเฉยตามบุคลิกที่เรียบนิ่งของเจ้าตัว

"ดูช่วงนี้ราเชนทร์จะดูอารมณ์ดีจังเลยนะ"

"หึ~" คนถูกถามแค้นเสียงหัวเราะอย่างชอบใจ

"สงสัยมีเรื่องดีๆที่พวกเรายังไม่รู้แน่เลย' ชายอีกคนในวงกล่าวขึ้น ทุกสายตาจับจ้องไปยังคนที่ถูกเรียกว่าราเชนทร์ สามีแห่งชาติของสาวน้อยใหญ่ครึ่งค่อนประเทศ เนื่องด้วยภาพลักษณ์ของดาราดาวรุ่งลูกครึ่งไทย-ฝรั่งเศส,สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ที่ทางบ้านรวยมาก เขาเคยแสดงละครในบทบาทตัวละครสมทบเพียงครั้งเดียวแต่กลับมีมัมมี่ที่ทั้งอายุมากและน้อยกว่าเขาเยอะมาก เพราะเจ้าตัวบริหารเสน่ห์เก่งด้วยจึงไม่ยากต่อการหลอกล่อสาวน้อยใหญ่ทั้งหลาย

แต่ใครจะรู้ว่าภายใต้ภาพลักษณ์สดใสมีเสน่ห์นั้นคือมาเฟียดีดีนี่เอง มาเฟียผู้คุมธุรกิจทั้งสีขาว เทา ไปจนดำ และเป็นตระกูลที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลกอันดับสองรองลงมาจากตระกูลเดอะ ลอน์ง ตระกูลที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานไม่แพ้ตระกูลออครอสโตของราเชนทร์เลย

"ก็ไม่มีอะไรมากหรอกปกติฉันก็เป็นแบบนี้" ไหล่หนายกขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ ท่าทีอวดดีของคนตรงหน้ามักสร้างความหงุดหงิดให้กับ เลียม เสมอ หากแต่ชายหนุ่มไม่สามารถทำอะไรได้มากเพราะอีกฝั่งเป็นคู่ค้าคนสำคัญของตาแก่ ลานอส บิดาบังเกิดเกล้าของตน

ดวงตาสีเอิร์ธเหลือบมองนาฬิกาอยู่บ่อยครั้ง พรางจีบเหล้าไป ท่าทีนี้อยู่ในสายตาของคนโง่ในกาลเทศะเสมอ

"เลียม ฉันเห็นนายจ้องมันนานแล้วนะไอ่นาฬิกาหรูหราราคาแพงนั่นนะ"

"นั่นก็เป็นสิทธิของผมไม่ใช่หรอครับคุณราเชนทร์" คนหน้านิ่งยังคงตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเรียบๆ โดยไม่ได้ใส่ใจอะไร แต่คำตอบนี้กลับสร้างโทสะให้กับคนที่ยากจนในeqได้เป็นอย่างดี

ราเชนทร์ปล่อยรังสีอำมหิตไปทั่วบริเวณรัศมีรอบโต๊ะสร้างความตระหนกให้แก่พวกชอบประจบและแสวงหาผลประโยชน์เป็นอยางดี ยกเว้นคนต้นเรื่องที่ยังคงเย็นชาไร้ซึ่งความตระหนักรู้ใดๆ เพราะมันไม่ใช่ประโยชน์อะไรในชีวิตเขา

เรื่องสนุกคือต่อจากนี้ต่างหาก

สักพักก็มีเด็กเสิร์ฟเดินเข้ามาพร้อมกับถาดรองสุราชั้นเลิศราคาแพง ถูกนำมาเสิร์ฟให้กับแขกวีไอพีทุกคน

เจ้าเอยเดินเข้ามาในห้องก็ต้องสะดุดกับบรรยากาศมืดมนแปลกตาชวนหายใจไม่ออก ใบหน้างามที่ถูกแต่งแต้มรอยสิ๋ว พร้อมกับแว่นหนาเตอะเพื่ออำพรางตัวตน เมื่อเดินมาถึงข้างหน้าของราเชนทร์ที่กำลังหงุดหงิดอยู่แล้ว บวกกับบุคลิกเก้กังที่เจ้าเอยได้แสดงอยู่นั้น แก้วที่ถูกรินด้วยนํ้าสีอำพันก็ถูกปัดออกไปแบบคนปัดไม่สนทิศทาง สนหน้าใครทั้งสิ้น

"หงุดหงิดว่ะแม่ง เอาเด็กพาทไทม์หงิมๆมาเสิร์ฟให้แขกวีไอพีแบบนี้ได้ไงว่ะ "

ราเชนทร์โวยวายหมายจะแซะคนตรงข้ามที่หักหน้ากันก่อนหน้า หวังจะเห็นปฏิกิริยาไม่สบอารมณ์ของอีกฝ่ายซึ่งมันก็เหมือนจะได้ผล ทันทีที่เห็นอาการตกใจของพนักงานเสิร์ฟตรงหน้า เลียมก็เหมือนจะเกิดอาการไม่พอใจขึ้นมา บรรยากาศในห้องจึงยิ่งติดลบเข้าไปใหญ่

"ต่อให้คุณราเชนทร์จะโมโหแค่ไหน ก็ไม่ควรทำพฤติกรรมไร้การอบรมแบบนี้กับพนักงานของผมนะครับ"

"นี่...''

"ต่อให้ยิ่งใหญ่คํ้าฟ้าแค่ไหนถ้ามาทำกิริยาแบบเมื่อกี้ในที่ของผมคราวหน้าเรียนเชิญผับเกรดอีเถอะครับ"

"..." ทุกคน

"ดูจะเหมาะสมกับคุณราเชนทร์ที่สุดแล้วครับ"

ว่าจบก็หยิบเหล้าขึ้นมากระดกหนึ่งอึก เอาลิ้นดันกระพุ้งแก้มอย่างหัวเสีย ท่าทีโมโหจริงของคนตรงหน้าต่อให้จะไม่พอใจยังไง ราเชนทร์ก็ทำได้เพียงแค่สะกดกลั้นโทสะเอาไว้

เมื่อไม่มีที่ระบายจึงได้แต่หัวเสียแล้วลาจากไปทั้งแบบนั้น ทุกคนในห้องต่างเงียบไม่มีใครกล้าพูดสิ่งใด เมื่อเห็นว่าทุกคนต่างกลัวกันหมดเลียมจึงหันไปมองเป็นการส่งสัญญาณให้ทุกคนลืมเรื่องเมื่อสักครู่ไปแล้วทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

เหตุการณ์ระทึกขวัญเมื่อกี้ยังคงอยู่ในใจเจ้าเอย ไม่แปลกที่คนมีอำนาจจะผิดใจกัน แต่ที่แปลกคือหน้าตาของคนตรงหน้าที่น่าจะเป็นเจ้าของผับ มันดูคุ้นแปลกๆ ซ้ำร้ายสายตาคมนั้นก็มองมาทางเธอ มันช่างน่าอึดอัดไปหมด ถ้าไม่ติดว่ายังค้างภารกิจอยู่เจ้าเอยคงจะพาตัวเองออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุดไปแล้ว

คิดได้ไม่นานก็ก้มลงมองนาฬิกาบ่งบอกว่าเวลาใกล้หมดลงเต็มทีแล้ว สิ่งที่เจ้าเอยต้องทำไม่ใช่การกู้ระเบิดเหมือนอย่างคราวแรกหากแต่เป็นการล่าคำใบ้ซึ้งผู้ร้ายมักจะทิ้งเอาไว้หลังจากก่อเหตุในแต่ละครั้ง สถานที่จะแตกต่างกันไปตามคำใบ้ในคราวก่อน ตาเรียวสอดส่องไปทั่วบริเวณเพื่อสังเกตหา

ทุกกิริยาอยู่ภายใต้สายตาคม ท่าทีเรียบนิ่งของร่างกายแต่ย้อนแย้งกับสายตาเรียวสวยที่กำลังลนลานอยู่นั้น มันดูว้าวุ่นไปหมดแต่กลับน่าดึงดูดสำหรับคนมองมาก ไม่ว่าจะตอนนี้หรือตอนไหน เขาก็ไม่เคยหยุดลุ่มหลงได้เลยสักครั้ง

เจ้าเอยพยายามหาโอกาสในการที่จะทำภารกิจ ในหัวเต็มไปด้วยวิธีการและขั้นตอนในการชิงคำใบ้มา หารู้ไหมว่าตัวเองได้ตกหลุมพลางหมาป่าเจ้าเล่ห์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว...

ภายใต้ดวงตาสีเอิร์ธน่ามองนั้นแม้ภายนอกดูสงบนิ่งแต่กลับซ่อนบางอย่างไว้

หึ

ท่าทีราวกับกะรอกหาโพรงไม่เจอนั้นแม้จะน่าขบขันในสายตาของเลียมแล้ว แต่ก็ปฎิเสธไม่ได้ว่าน่าเอ็นดูอยู่หลายส่วน มือหนาพรางยกขึ้นปิดริมฝีปากหนาที่ซุกซ่อนรอยยิ้มไว้ให้พ้นจากสายตาทุกคน หากแต่สายตาของเจ้าตัวนั้นกลับฉายแววถึงความสนุกและสนอกสนใจอย่างไม่สามารถปิดไว้มิด

"เอ่อ~ คุณเลียมได้ยินแว่วมาแว่วๆว่ากำลังมีข่าวดีในไม่ช้านี้ ยังไงก็ขอแสดงความยินดีด้วยนะครับ"

"ใช่ๆๆ เห็นว่าคู่หมั้นของคุณเลียมเป็นถึงลูกสาวรัฐมนตรี ช่างเหมาะสมกันราวกับกิ่งทองใบหยกจริงๆ"

"..."

หลังจากเงียบไปได้ไม่เท่าไหร่ เหล่าปรสิตก็ทำลายบรรยากาศดีๆไปจนหมดสิ้น เลียมคิ้วกระตุก เส้นประสาทตรงขมับสั่น อารมณ์คุกรุ่นในตอนนี้ถูกถ่ายทอดผ่านทางสายตาแข็งกร้าวที่มองไปยังคนพูดนิ่ง

คนถูกมองรู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาล แม้ไม่เข้าใจว่าตนพูดอะไรผิดแต่มั่นใจได้เลยว่านี่คือลางร้ายของตนเอง

เช่นเดียวกับอีกด้านหนึ่ง ใจดวงน้อยเต้นแรงเมื่อนึกบางอย่างขึ้นได้ ชื่อคุ้นหูที่ออกจากปากคนเมื่อกี้ ใบหน้าคุ้นเคยในอดีต เจ้าเอยพยายามควบคุมลมหายใจไม่ให้สั่น ประคองสติ เงยหน้าขึ้น

"...!!!"

ไม่ได้คาดหวังว่าจะสบตากัน ไม่เคยคิดถึงวันที่จะได้พบกันอีกครั้ง ซ้ำยังเจอกันในสถานที่อับโคจรแบบนี้ ใบหน้าสวยค่อยๆก้มลงอย่างคนไร้สติ สายตาเรียวที่ตอนนี้ยังเบิกกว้างอยู่สั่นไหวอย่างไร้การควบคุม มือเรียวประสานเข้าหากันแน่นพยายามบังคับไม่ให้มันสั่นแข่งกับหัวใจดวงน้อยที่ไม่รักดี.

อดีตที่พยายามฝังกลบกลับงอกเงยออกมา ออกมา และออกมาเรื่อยๆราวกับเขื่อนแตก เพียงเพราะรอยร้าวเดียว คำถามในใจเจ้าเอยตอนนี้คือ

เขาจะจำกันได้ไหม

2017

"ตรงนี้เราเข้าใจแล้ว แต่ยังงงตรงส่วนนี้อยู่เลย เอยช่วยอธิบายให้เราฟังอีกรอบได้ไหม"

"..."

เลียมเอ่ยถามคนตรงหน้าพร้อมกับรอคำตอบ หากแต่คนถูกเรียกกลับเงียบเฉยราวกับรูปปั้น ซึ่งไม่รับรู้ถึงสิ่งรอบข้างที่มีชีวิตเคลื่อนไหวอยู่ อยู่เพียงในโลกของตัวเอง

"เอย"

"..."

เลียมเรียกคนตรงหน้าซ้ำแต่ก็ได้รับคำตอบเหมือนเดิมคือความเงียบ

"เจ้าเอย!"

"!!?"

คนถูกเรียกอยู่นานสองนานสะดุ้ง พร้อมกับมองมาที่คนเรียกด้วยสายตาที่มีคำถาม เลียมจึงถอนหายใจพร้อมกับยื่นมือไปกอบกุมมือบางอย่างอ่อนโยน

"เราเรียกเธออยู่ตั้งนานไม่ได้ยินเลยหรอ?"

"..."

คนถูกถามไม่ตอบแต่กลับเงียบ มีเพียงเหล่าน้ำตาที่เริ่มคลอหน่วยตาสวยเป็นคำตอบ มือหนาพลางกอบกุมมือบางแน่นขึ้นแทนคำปลอบโยน มากกว่าภาษาพูดซึ่งเขาไม่ถนัดคือภาษากายที่เขาแสดงออกมาด้วยความจริงใจ แบ่งปันความอบอุ่นและเป็นคำยืนยันว่าเขาจะอยู่เคียงข้างคนตรงหน้าในช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดในช่วงชีวิตนี้

"ฮึก..."

เสียงสะอื้นดังขึ้นในที่สุด ก่อนที่สาวเจ้าจะปล่อยเสียงร้องไห้โหออกมาในไม่กี่วินาทีต่อมา

สายตาของผู้คนรอบข้างที่มองมาก็ไม่สามารถหยุดยั้งความเสียใจที่บีดรัดอยู่เต็มอกตอนนี้ได้

เลียมมองดูใบหน้าใสที่เคยประดับไปด้วยรอยยิ้ม แต่มาตอนนี้กลับเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตาไม่น่าดู แม้มือหนาจะกอบกุมมือบางไว้แล้วปล่อยให้คนตรงหน้าบีบรัดมันตามใจตนเพื่อระบายความเจ็บปวดและอัดอั้น ใบหน้าของเลียมก็เสมองไปทางอื่นเหตุว่าไม่สามารถทนมองน้ำตาของคนตรงหน้าได้นาน

"ฮึก...ฮื่อออ"

ปัจจุบัน

ภาพในอดีตฉายชัดขึ้นในความทรงจำของเจ้าเอย ในช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุด ซึ่งเธอได้สูญเสียพ่อซึ่งเป็นที่พึ่งเดียวในชีวิตอย่างโหดร้าย ผู้หญิงตัวคนเดียวไร้ซึ่งพลังจะไปสู้และเรียกร้องอะไรกับใคร นอกจากยอมรับชะตากรรม

ในวันนั้นที่เขา คนตรงหน้าในวันนี้ คอยอยู่เคียงข้างเสมอความรักที่บริสุทธิ์ของพวกเขามันผิดพลาดไปตรงไหนกัน เจ้าเอยก็ยังไม่สามารถหาคำตอบของคำถามนี้ได้จนถึงตอนนี้ เมื่อหลายปีก่อนมีเหตุผลอะไรที่คนตรงหน้าหายตัวไปทั้งที่พวกเรารักกันดีตั้งขนาดไหนๆ

ท่าทางราวกับลูกนกตกน้ำนั้นสร้างความหงุดหงิดในใจให้กับเลียมได้ดี แม้จะไล่ตะเพิดไอ่ตัวปัญหาออกไปได้ แต่กลับไม่ทำให้ความหงุดหงิดที่มีในใจลดน้อยลงไปเลยแม้สักนิด

เศร้าอยู่ได้ไม่นานเจ้าเอยก็ต้องรีบดึงสติกลับมา เนื่องจากยังมีภารกิจที่สำคัญกว่ารออยู่ เวลาก็ยังคงเดินไปเรื่อยๆ แต่เจ้าเอยกลับไม่สามารถนำข้อมูลมาได้เลย ซ้ำร้ายยังเจออดีตรักแรกที่ฝังใจอีก ยิ่งทำให้กวนใจไม่น้อยเลยทีเดียว แม้จะถูกฝึกฝนมาอย่างเข้มข้นเพียงไหน ทว่าความรู้สึกของคนเรานั้นไซร้ ช่างลึกล้ำเกินกว่าจะหยั่งรากและตัดไปให้สิ้นต้นตอรักได้โดยง่าย

เจ้าเอยกลับมาโฟกัสที่คำใบ้ตรงหน้า ถ้าไม่ผิดจากที่ยัยมาดามบอกไว้ตำแหน่งก็คือใต้โซฟา ใช่แล้วทุกคนอ่านไม่ผิดหรอกใต้โซฟาที่พ่อหนุ่มตาสีสนิมนั่งทับอยู่นั่นเอง

ความยากเพิ่มขึ้นเป็นสิบเท่า ทั้งคนตรงหน้าและผู้คนมากมายนับสิบชีวิตในห้องอบายมุขแห่งนี้ ถ้าหากหล่อนผลีผลามทำอะไรที่ไม่เข้าท่าลงไปละก็ ผลที่ได้รับกลับมาก็คงมีเพียงตายกับตาย

เจ้าเอยหลับตาลงตั้งสติคิดหาทางมากมาย เสียงหัวใจเต้นแข่งกับเข็มวินาทีที่เดินไปอย่างช้าไปเรื่อยๆ ลมหายใจถูกปล่อยออกมาหนักหนัก ในใจพรางร้องว่า

"เอาว่ะ"

ทางด้านเลียม ทุกอิริยาบถของแฟนเก่าคนโปรดยังคงอยู่ภายใต้สายตาเฉียบแหลมเสมอ แม้จะหัวเสียที่อีกคนโดนดูถูกต่อหน้าต่อตาจากไอ่สวะราเชนทร์นั่น แต่เหตุผลที่แท้จริงที่ทำให้อีคนมายืนอยู่ตรงหน้ากัน เลียเองก็รู้ดีกว่าใครทุกคนในนี้เลยล่ะ เขาอยากจะรู้จริงจริงว่าต่อจากนี้คุณหล่อนจะใช้วิธีไหนกันแน่

เลียมเท้าคางอย่างใจเย็น มองดูคนตรงหน้า พลันอ่านใจเล็กๆนั่นออกทันทีว่าอีกไม่กี่นาทีอีกคนคงจะพุ่งมาหาตนอย่างน่าเอ็นดูแน่ๆ เพียงเพื่อคำใบ้น่าขำนั้น

ฮึ ราวกับเด็กน้อยเล่นไล่ลับก็ไม่ปาน

ฟิ๊ว พรึบ!

"เฮื๊อก!"

"กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดด!!!"

"อะไรว่ะไฟดับได้ไง?!"

ไม่กี่วินาทีต่อมาก็เกิดเรื่องวุ่นวายขึ้น เมื่อไฟในห้องดันมาดับกระทันหัน เจ้าเอยตกใจและงงงวยกับเหตุการณ์ตรงหน้าได้ไม่นานก็มีเสียงอันคุ้นเคยดังผ่านโสตประสาทมาอย่างชัดเจนว่า

"อย่ามัวแต่เหยิมนางจุฑารัตน์ รีบไปเอาคำใบ้มา"

ขอบคุณพระเจ้า! แม้ว่าหลังจากนี้จะต้องโดนเพื่อนสุดที่รักบ่นจนหูชา แต่ก็รู้สึกขอบคุณที่หล่อนมาช่วยได้ทันเวลาเสมอ เจ้าเอยใช้จังหวะนี้แหละพุ่งตัวเข้าไปข้างหน้า แม้มองไม่เห็น เงาของเธอที่ผ่านไปอย่างรวดเร็วสัมผัสเข้ากับร่างอันไวต่อความรู้สึกของสาวจ้าวคนนึง ทำให้หล่อนสะดุ้งกรีดร้องออกมาเสียงดังสร้างความวุ่นวายให้กับได้ดี

ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เลียมสัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมอ่อนๆที่คุ้นเคยในความทรงจำ กลิ่นโปรดที่เขาคิดถึงเสมอ เขานั่งนิ่งปล่อยให้ผู้บุกรุกทำตามใจ จับนู่นจับนี่โดยไม่ขัดขืน ไม่ตอบกลับ และไม่หลบไปไหนแม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าตัวเองกำลังนั่งทับของสำคัญที่คนตรงหน้าตามหาอยู่

ชายหนุ่มยิ้มมุมปากอย่างชอบใจโดยที่ไม่มีใครมองเห็น ตาคมจ้องผ่านความมืดมองเข้าไปในตาของอีกฝ่าย แม้มองไม่เห็นแต่กลับสัมผัสได้ถึงซึ่งกันและกัน ริมฝีปากหนาเปิดออกเล็กน้อย

"First impression ในรอบเจ็ดปี  ไหงมาอยู่ในสถานการณ์นี้ได้ อ่าส์ แม่สาวมือหนวดปลาหมึก"

เจ้าเอยขนลุกซู่ เมื่ออีกฝ่ายกระซิบเสียงกระเซ่าอยู่ข้างหูหล่อน แต่เจ้าเอยยังคงทำใจดีสู้เสือควานหาคำใบ้อย่างไม่ลดละความพยายาม

"อ่าห์ เลิกทำตัวน่าเอ็นดูได้ไหม Babe"

เลียมกระซิบพร้อมกับกัดไปตรงใบหูที่ขึ้นสีแดงในความมืดของคนน่ารักตรงหน้าอย่างไม่เบานัก.

หนีเสือปะจระเข้

อุณหภูมิ 24องศาเซลเซียส ถูกปล่อยออกมาจากเครื่องปรับอากาศ กระทบกับผิวสุขภาพดีของผู้หมวดสาวประจำกองบังคับการปฏิบัติพิเศษ จุฑารัตน์ พฤกษ์ฑาสน ราวกับผ่านมาสัมผัสเพียงผิวเผินแล้วจึงกลับสู่แหล่งกำเนิด

เหงื่อเหนียวใสตามไรผมทำท่าทีพร้อมจะไหลผ่านกรอบหน้าอยู่ทุกขณะ แม้ภายนอกจะดูสงบนิ่งคล้ายรูปปั้นและถึงแม้สายตาจะแสดงออกว่าหนักแน่นเพียงใด แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าในใจของเจ้าเอยตอนนี้สั่นเสียยิ่งกว่าแผ่นดินไหวขนาดสิบริกเตอร์

เนื่องจากภารกิจในครั้งนี้แม้ในท้ายที่สุดจะผ่านไปได้แต่ก็ไม่ดีตามที่คาดหวังไว้ ต้องยอมเลยรับว่ามีหลายส่วนที่เจ้าหล่อนทำพลาดอย่างไม่น่าให้อภัย ดูได้จากสีหน้าของสารวัตรยุทธที่กำลังมองมาที่หล่อนในตอนนี้ สายตาคมทั้งคู่เต็มไปด้วยความโกรธและตำหนิ ที่ชัดเจนที่สุดคล้ายว่าจะมีประกายแห่งความหยามเหยียดเพียงชั่วครู่ แค่เพียงเสี้ยววินาที หากแต่มันกลับทำให้เจ้าเอยเกลียดสายตาแบบนั้นมาก ทว่าทำได้เพียงแค่เก็บกดความอึดอัดไว้ให้ลึกที่สุดในก้นบึ้งของหัวใจ

เพราะหล่อนจะไม่มีวันยอมปล่อยให้อารมณ์และความรู้สึกมาอยู่เหนือเหตุผลและเป็นจุดอ่อนของหล่อนต่อหน้าศัตรู เหมือนกับในคืนที่ผ่านมาเด็ดขาด เพราะมันตอกย้ำให้หล่อนรู้ว่าหล่อนยังอ่อนแอ

"ก่อนไปปฏิบัติภารกิจในครั้งนี้ คุณบอกผมอย่างมั่นใจนักหนาว่าทุกอย่างจะลุล่วงไปด้วยดี แต่ที่เห็นอยู่ตอนนี้ผมว่ามันไม่ใช่ว่ะ" ร่างสูงของชายวัยกลางคนลุกขึ้นจากเก้าอี้ประจำตำแหน่งก่อนจะเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าทั้งคู่

"..."

"..."

"ชักเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าผมตัดสินใจผิดหรือถูกกันแน่ที่เลือกคุณมา" สายตาคมราวกระบือเผือกจ้องนิ่งมายังคนตรงหน้าทั้งสองแต่เน้นสายตาโดยเฉพาะกับเจ้าเอย

"คือว่าสารวัตรคะ ใน ..."

"ฌาลัลลน์ ไม่ต้อง คุณคิดว่าผมแยกแยะไม่ออกหรอ"

"ไม่ใช่แบบนั้นค่ะ ฉันคะ...."

"พอ! ผมไม่ชอบที่ต้องมาเห็นสภาพแบบนี้"

"..."

"..."

"สภาพที่ทำตัวราวแม่พระยอมรับความผิดไว้คนเดียว " ว่าแล้วก็เดินวนรอบตัวผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งสองด้วยจังหวะเท้าที่เนิบพอสมควร

"ผมซาบซึ้งในมิตรภาพของพวกคุณนะ แต่เรื่องผิดพลาดแบบนี้ครั้งเดียวก็เกินพอ ทั้งที่มีประสบการณ์และถูกฝึกฝนมาอย่างดี นี่ไม่ใช่ครั้งแรกนะ พวกคุณอย่าทำเป็นเล่นดิวะ"

สารวัตรยุทธยังคงเปล่งน้ำเสียงบ่นออกมาโดยไม่คิดจะเว้นช่องว่างให้ผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งสองได้เอ่ยสิ่งใดออกมา

"พวกคุณได้รับความไว้วางใจจากเพื่อนพี่น้องในกอง ได้รับประดับยศเป็นถึงร้อยตำรวจ และที่สำคัญในฐานะหัวหน้าและรองหัวหน้าแห่งกองบังคับปฏิบัติการพิเศษ ทุกลมหายใจของพวกเขาขึ้นอยู่กับพวกคุณ แล้วนี่อะไร นี่หรอผลงานที่คุณแสดงให้พวกเราเห็น"

"..."

"ขอโทษค่ะ.,.ทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะ.,..." เจ้าเอยซึ่งเงียบอยู่นานเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ หากแต่ยังไม่มีโอกาสได้พูดจนจบประโยคใดใด

"แน่นอนอยู่แล้วว่าเป็นความผิดพลาดของคุณ แค่คำขอโทษมันไม่เพียงพอหรอก"

"..."

"..."

"ไม่ต้องกังวลไปหรอก พวกคุณทั้งคู่จะได้รับโทษอย่างทั่วถึงแน่นอนตามใจปรารถนาของพวกคุณ"

สารวัตรยุทธส่งพลังงานอึดอัดและกดดันผ่านสายตาออกมาให้กับผู้ใต้บังคับบัญชา ด้วยสายตาที่คาดโทษ ในฐานะผู้บัญชาการสูงสุดของกองบัญชาการพิเศษแห่งนี้ซึ่งมีไว้เพื่อพิทักษ์ประชาชนจากเหล่าอาชญากรที่ไร้ซึ่งคุณธรรมและมนุษยธรรมใดใด

หน่วยกู้ระเบิดที่ถูกก่อตั้งภายใต้กองบัญชาการพิเศษแห่งนี้ ซึ่งเคยคิดว่ามีตำรวจน้ำดีมีฝีมืออยู่ แต่ผลงานมันก็เป็นคำตอบและประจักษ์แก่สายตาทุกคนแล้วว่าคนทั้งคู่ตรงหน้าไร้สามารถและเป็นภัยแค่ไหน

ทั้งที่ได้รับฝึกฝนอย่างเข้มข้นสู้กันมานํ้าตาแทบกระเด็นออกมาเป็นหยดเลือด เพื่อให้ผ่านการคัดเลือก

ลูกน้องไร้สามารถแบบนี้ชื่อเสียงและความจงรักภักดีที่เขาได้อุทิศมาตลอดหลายสิบปีในฐานะผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ใครมารู้เข้าคงไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน คนที่ถูกคัดเลือกแล้วแต่ฝีมือยังไม่ได้เรื่องเลย

ฉะนั้นเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่คนที่เหลือแน่นอนว่าเขาจะต้องมอบบทลงโทษทางวินัยอย่างเด็ดขาดแก่ทั้งสองคน

สารวัตรยุทธมองไปที่ทั้งสองคนสลับกันก่อนที่จะมายืนอยู่ตรงหน้าจุฑารัตน์ในระยะที่ใกล้มากขึ้นเป็นพิเศษ

"เนื่องจากคุณเป็นต้นเหตุที่ทำให้ทุกอย่างล้มเหลวในครั้งนี้ ผมตัดสินใจแล้ว"

"..."

"..."

"คุณจะถูกย้ายไปอยู่หน่วย*พยัคฆ์"

"!!!"

"!!!"

"สารวัตรคะ แต่..."

"เพราะผมคิดว่าหน่วย*ฟินิกซ์แห่งนี้คงไม่เหมาะกับคุณ ใช่ไหม? ฉะนั้นผมให้เวลาภายในอาทิตย์นี้ทุกอย่างต้องเรียบร้อย ผมถือว่าผมใจดีมามากแล้วนะ"

"..."

"..."

เจ้าเอยกำมือทั้งสองข้างที่สั่นแน่นไว้ กดเก็บความเจ็บใจไว้ในอก ริมฝีปากขบเข้าหากันอย่างแน่น ชาแนลเหลือบมองเพื่อนด้วยความเป็นห่วงแต่ก็ไม่สามารถเอ่ยอะไรออกมาได้

"หึ" ชายวัยกลางคนแค่นเสียงหัวเราะในลำคอก่อนจะกล่าวต่อไปอีก

"ส่วนคุณ" หันมาหาผู้ใต้บังคับบัญชาอีกคน ริมฝีปากหนากระตุกเล็กน้อยก่อนเอ่ยต่อ

"ในฐานะหัวหน้าของหน่วยฟินิกซ์ ซึ่งผมไว้ใจมากคนหนึ่ง กลับไม่สามารถแสดงความเป็นผู้นำ ไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ดี ไร้ซึ่งไหวพริบ คุณทำให้ผมผิดหวังที่สุด แต่ผมถือว่ายังเห็นแก่ความตั้งใจของคุณหรอกนะ เพราะฉะนั้นคุณจะถูกลดตำแหน่งเหลือเพียงรองหัวหน้าหน่วยฟินิกซ์ในภารกิจถัดไปและถัดถัดไป ส่วนคนที่จะมาทำหน้าที่หัวหน้าแทนคุณคือเบนจามิน"

".?!"

"!!!"

คนฟังนิ่งค้างไปโดยเฉพาะฌาลัลน์ เหตุว่าเจ้าตัวและจุฑารัตน์เพื่อนรักได้เข้าร่วมการฝึกฝนและประลองในการฝึกฝนครั้งสุดท้ายจนถูกแต่งตั้งขึ้นมาในตำแหน่งหัวหน้าและรองหัวหน้าประจำหน่วยฟินิกซ์จากบรรดาเพื่อนพี่น้องทั้งหมดในกองบัญชาการพิเศษโดยผู้กำกับ แล้วสารวัตรมีสิทธิ์อะไรมาลดตำแหน่งและโยกย้ายแบบนี้ แล้วเรื่องนี้ผู้กำกับรับรู้รึเปล่าก่อน

"สารวัตรแน่ใจแล้วหรอคะ เบนจามินแพ้ให้ชาแนลในการฝึกครั้งสุดท้าย สารวัตรลืมไปแล้วหรอคะ?!"

"เงียบ!!!"

"..."

"..."

"เบนจามินสมควรที่จะได้รับโอกาส และที่สำคัญพวกคุณก็ทำให้ผมเห็นแล้วว่ายังไม่พร้อม เพราะฉะนั้นทำตามที่ผมสั่งอย่างเงียบๆไว้ซะ"

>🥂<

เครื่องดื่มมากดีกรีนานาชาติถูกเสริฟไว้กลางโต๊ะประจำ ที่ในขณะนี้รายล้อมไปด้วยบุคคลสี่คน ซึ่งสองในสี่นั้นก็มีท่าทีที่ไม่ค่อยสู้ดีนัก

"ทำไมหล่อนทั้งคู่ทำหน้าแบบนั้นห๊ะ ตั้งแต่เข้ามาแล้วนะ เหมือนตูดลิงชิมแปนซีเลย"

กอดอุ่น เพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มเอ่ยถามขึ้นเมื่อเห็นเพื่อนรักทั้งสองพร้อมใจกันทำหน้าบึ้ง สมฉายาแหม่มชาบังเอยจริงๆ

"เฮ้อ~"

"เอ้า ไอ่พวกนี้"

"คิกคิก สภาพทั้งคู่ดูไม่จืดเลย เจองานหินรึไง"

ฟ้าคราม เพื่อนอีกคนในกลุ่มเอ่ยถามขึ้นอีกคนด้วยน้ำเสียงสบาย หากแต่คำตอบที่ได้กลับมามีเพียงความเงียบและเสียงถอนหายใจของคนทั้งคู่ บรรยากาศในโต๊ะจึงเงียบลงไปชั่ววินาที

"พวกตัวทำอะไรกัน เล่นเกมกันอยู่หรอ?"

"เฮ๊ย!!!"

กอดอุ่นต้องสะดุ้งสุดตัว เมื่อเกาหลินเพื่อนรักหอยทากในกลุ่มโผล่มาด้านหลังตนแบบไม่ทันตั้งตัว แต่แทนที่ทุกคนจะตอบเพื่อนอีกคนที่มาใหม่กลับมีเพียงเสียงถอนหายใจอย่างคนเพิ่งหายตกใจของกอดอุ่น กับเสียงเพลงของร้านที่ดังอยู่เพียงเท่านั้น แม้จะงงอยู่หากแต่เกาหลินก็หย่อนก้นลงตรงเก้าอี้ประจำ

"เฮ้อ~ อยู่หน่วยพยัคฆ์เป็นไงบ้างฟ้าคราม?"

ภายใต้ความเงียบของทุกชีวิตในโต๊ะชาแนลก็ถามขึ้น สร้างความสงสัยให้ฟ้าครามและเพื่อนๆ อีกสองคน ฟ้าครามขมวดคิ้ว แอบรู้สึกเป็นกังวลในใจอย่างบอกไม่ถูก หรือว่าทุกคนจะรู้อะไรมา แต่ในที่สุดหล่อนก็ตอบกลับไป

"ก็เรื่อยๆ มีอะไรรึเปล่า" เพื่อนอีกสามคนมองหน้ากันอย่างรอคำตอบ

"อาทิตย์หน้าเอยจะย้ายแล้วนะ"

"ห๊ะ!"

ทั้งสามคนอุทานขึ้นพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย คำตอบที่ได้น่าตกใจกว่าที่คิดไว้เสียอีก

"ย้าย หมายความว่าไง"

เกาหลินถามขึ้นทันที

"เฮ่อออ"

แต่ชาแนลยังคงถอนหายใจอย่างเหนื่อยใจ ความกดดันที่เผชิญมามันกัดกร่อนแรงในการพูดไปเสียหมด เมื่อไม่นานมานี้มีแต่เรื่องปวดหัวไปหมด เจ้าเอยที่เห็นแบบนั้นก็จำเป็นต้องเอ่ยปากออกมาแทนในที่สุด ด้วยน้ำเสียงที่ทั้งเศร้า รู้สึกผิด และหดหู่ใจอย่างสุดซึ้ง

"กูโดนสั่งย้าย"

"ไอ่เหี้ยยยยย"

เกาหลินอุทานขึ้นหลังจากได้ยินเรื่องราวทั้งหมดที่เพื่อนทั้งสองประสบมา ฟังแล้วก็รู้สึกหงุดหงิดแทนเพื่อนไม่ได้

"โครตทุเรศเลยว่ะ ไม่คิดว่าจะเกิดกับพวกหล่อน"

ฟ้าครามเอ่ยขึ้น เรียกสายตาของทุกคนบนโต๊ะทันที ด้วยบุคลิกที่สุขุม และความสุภาพจากภายในไม่บ่อยนักที่จะสบถคำหยาบออกมา ทว่าครั้งนี้เกินกว่าที่ทุกคนจะรับได้ และโดยเฉพาะคนที่รักในเกียรติของอาชีพอย่างเธอแล้ว เป็นเรื่องที่ไม่น่าให้อภัยที่สุด

"ไอ่นั้นมันใหญ่มาจากไหนว่ะ ถึงได้โชคดีแบบนี้"

กอดอุ่นอดที่จะถามออกไปไม่ได้ แม้ว่าเพื่อนสาวของเธอจะทำงานพลาดจริง แต่การแต่งตั้งเบนจามินขึ้นมาแทนชาแนลอย่างพลการนั้นเป็นเรื่องที่น่าเกลียดเกินไปแล้ว ยิ่งมองหน้าเพื่อนกอดอุ่นก็อดรู้สึกเห็นใจคนทั้งสองมิได้

"เฮ๊อ~"

ชาแนลถอนหายใจคล้ายคนสิ้นหวัง เมื่อนึกถึงภูมิหลังของเบนจามิน ตลกร้ายยิ่งกว่านั้นคือหล่อนต้องมาร่วมงานกับเจ้าตัวปัญหานี่สิ คิดแล้วหน้าตากวนบาทากิริยาทรามชวนสำรอกของใครอีกคนก็ลอยขึ้นมาในจินตภาพ

กรรมเวรอะไรทำดีไม่เคยได้ดี กู้ระเบิดช่วยชีวิตคนมานับครั้งไม่ถ้วน ผลบุญบาปคือการต้องมาร่วมชายคาเดียวกับไอ่คนไร้สามารถแบบนี้หรอ มันไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย

"เพราะกูทุกคนถึงต้องลำบาก"

เจ้าเอยที่เงียบอยู่นานเอ่ยขึ้นฝ่าวงความเงียบ หล่อนโทษว่าเป็นความผิดตัวเอง ถ้าวันนั้นไม่เอาเรื่องส่วนตัวมามีอิทธิพลเหนือหน้าที่ เพื่อนำร่วมงานก็คงไม่ต้องมาลำบากอย่างนี้ ยิ่งคิดยิ่งโมโหตัวเองไม่หยุด

"ถ้าวันนั้นกูมีสติ แม่งทุกอย่างก็คงไม่เกิดขึ้น"

เมื่อดีกรีดีดอยู่ในเส้นเลือด ความอัดอั้นในใจก็พลันทะลักออกมาราวเขื่อนที่แตกอันเนื่องมาจากรอยร้าวก่อนหน้า

"กูมัวแต่คิดถึงเรื่องไอ่เหี้ยเลียมจนลืมโฟกัสกับงาน แค่ได้ยินชื่อมันนิดหน่อยต่อมเสือก็กูก็ทำงาน แม่งทั้งที่มันทิ้งกูไปขนาดนั้น นึกว่าจะตายโหงตายห่าไปแล้ว"

เจ้าเอยพรั่งพรูคำพูดและสารภาพถึงมูลเหตุและความในใจที่อัดอั้นอยู่นานอย่าอึดอัดใจ

"..." ทุกคน

"พวกมึงรู้อะไรไหม พอได้ยินชื่อมันนะแม่งมันก็โผล่มาตอนกูเก็บคำไบ้อีก นั่งทำหน้าสลอน ไอ่เหี้ยนี่ตายยากชิบหาย"

"ตายยากจริงแหละ"

เกาหลินพูดขึ้นอย่างอึ้งๆหลังจากเพื่อนระบายเสร็จ

"แล้ว...คือมึงยังไม่ลืมมันละสิ"

กอดอุ่นถามขึ้นอย่างระวัง หากแต่คำตอบที่ได้กลับมามีเพียงความเงียบ หล่อนจึงได้แต่เม้มปากสายตาลอกแลกไปไม่เป็นและไม่รู้จะพูดอะไรต่อ

"เอาเถอะ ตอนนี้โทษตัวเองไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย"

ฟ้าครามคนสุขุมกล่าวขึ้นราวกับเสียงฟ้าร้องในหน้าแล้ง

"แต่เค้าว่านะ ไอ่สารวัตรยุทธนั่นต้องเป็นหนึ่งในพวกที่มีตั๋วแน่ๆ"

เกาหลินพูดขึ้นอย่างคาดเดา มันก็อดสงสัยไม่ได้ที่คนที่ชอบวางอำนาจไปทั่วจะใช้วิธีสกปรกเพื่อความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน

"งั้นที่เขาบอกว่าหนึ่งในเจ็ดของสารวัตรแห่งหน่วยปฏิบัติการพิเศษ มีตั๋วเพื่ออำนวยอำนาจอาจจะเป็นไอ้ยุทธนี่ก็ได้นะสิ " กอดอุ่นกล่าวขึ้นทันที

"แต่ฉันว่านะตอนนี้ไม่มีอะไรชัวร์ทั้งนั้น ที่เราคิดไว้อาจมีอะไรมากกว่านี้ก็ได้"

ชาแนลพูดขึ้นบ้าง ด้วยความเป็นคนขี้ระแวงและยั้งคิดยั้งทำ

"เอาเถอะๆ นานๆทีพวกเราจะได้รวมตัวกันหลังจากจบจากโรงเรียนนายร้อย ตอนเข้าคัดเลือกครั้งสุดท้ายก็เกือบไม่ได้เจอกันล่ะ เห็บเรื่องซีเรียสไว้ก่อน"

ฟ้าครามกล่าวขึ้นพร้อมกับยกแก้วขึ้นเหนือศรีษะตรงกลางวง

เต๊งงงง

แล้วก็ตามมาด้วยเสียงแก้วกระทบกัน

ติ๊ง!

เสียงข้อความแจ้งเตือนโทรศัพท์ของกอดอุ่นดังขึ้นในขณะที่ทุกคนกำลังดื่มกันอยู่

"อย่าดื่มเยอะนะครับ ผมเป็นห่วงงงง"

พรู่ดดดด!

ของเหลวในปากเกาหลินแทบพุ่งหลังจากที่ฟ้าครามอ่านข้อความในโทรศัพท์ของกอดอุ่นอย่างถือวิสาสะ ทำให้ทุกคนบนโต๊ะตาโตและหันมามองที่ทั้งคู่เป็นตาเดียว อย่างไม่ได้นัดหมาย และคนที่ตาโตแทบจะถลนออกมาจากเบ้าคงหนีไม่พ้นกอดอุ่น

"คิกๆๆๆ"

ฟ้าครามหัวเราะอย่างชอบใจในขณะที่กอดอุ่นตัวแดงแทบระเบิด ตามมาด้วยสายตาสงสัยเติมประดาของชาแนล

แต่คนที่หยุดร่างกายและต่อมาอยากรู้ไม่อยู่เลยคือเกาหลิน นั่นจึงเป็นที่มาของคำถามซึ่งคล้ายกับการซักจำเลยในคดีร้ายแรง

"ใครกัน?"

"ตั้งแต่เมื่อไหร่...?"

"แล้วตัวได้....ไม่สิ! ต้องถามว่าตัว จุด จุด จุดกับเขากี่รอบแล้ว!!! ยังไงบ้าง..."

"คิก"

ฟ้าครามกลั้นขำหน้าดำหน้าแดง ชอบใจที่เพื่อนซักเพื่อน

ปรี๊ดดดดด

ระดับความอายในเลือดของกอดอุ่นกำลังทะลุปรอท

"ไม่น่าเชื่อ"

ชาแนลปิดปากอย่าเหลือจะเชื่อ

"โหยยยย มีผงมีผม ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าร้ายเงียบ คงแซ่บละสิท่า~"

คนที่เครียดอยู่อย่างเจ้าเอยอดไม่ได้ที่จะเเซว

"...น.,"

"ละหล่อนไม่ปฏิเสธด้วยนะ ฮ่าาาาๆๆๆ"

"มะ...."

"ตายแล้วววววว กอดอุ่น ตัวอย่าไปหลอกเขานะ"

เกาหลินเอ่ยขึ้นอย่างเป็นห่วงฝ่ายตรงข้าม

"ฮ่าๆๆๆๆ" ทุกคนหัวเราะคิกคักชอบใจลืมเรื่องเครียดไปชั่วพริบตา

ปึ้งงงงง

"หุบปากเลยนะไอ่พวกนี้ ยัยครามใครให้หล่อนเสียมารยาทอ่าน ห๊ะ"

"คิกๆๆ"

"อ้าวแล้วไม่ตอบข้อความคุณเขาหน่อยหรอสาวววว"

ชาแนลยังอยากแซวเพื่อนอยู่

''จิ๊''

กอดอุ่นควํ่าโทรศัพท์ลงแล้วยกแก้วขึ้นดื่มอย่างพยายามเก็บกดความเขินอาย

"ฮ่าๆๆๆ"

"หยุดเดี๋ยวนี้นะมาดาม หล่อนก็ใช่เลยนะยะ"

กอดอุ่นสวนกลับชาแนล

"อะไรๆ อย่ามาพาลนะ"

"ฟ้าครามก็เหมือนกัน ชอบหายเงียบไปบ่อยๆ ไม่ใช่ว่าแอบกินจุบจิบอยู่หรอ"

"อ้าววว นี่ไม่เคยแอบนะ "

"เชื่อได้รึเปล่าไม่รู้ สมัยเรียนใช่ย่อย คนคุยเต็มรังผึ้งล่ะแม่นางพญา~"

"ฮ่าๆๆๆๆ " อีกสามคนหัวเราจะชอบใจ

"จิ๊ เกาหลินก็ไม่เบา ตอนไปสืบคดีฆาตกรรมครั้งก่อนยังมีเวลามาเล่าว่า'ตอนนั้นเค้าเจอรุ่นพี่....อุบ'"

กอดอุ่นทำเสียงสองเสียงสามแซวเกาหลินคืน แต่ทว่าไม่ทันพูดจบก็โดนปิดปากเสียก่อน

"ตัวเงียบเลยนะ ไอ่ผู้หญิงBad girl"

"ใครBad girl พูดให้มันดีๆนะ"

"ตัวนั่นแหละ!!"

"โอ่ยยย ยัยสองคนนี้ พออออออ"

"ก็แม่เสือสาวทั้งคู่นั้นแหละ"

"ชาแนล!!!" กอดอุ่น+เกาหลิน

"โอ่ยยยย อยากได้อ่ะพ่อหนุ่มพูดเพราะ"

กอดอุ่นหน้านิ้วคิ้วขมวดทันที

"อุ๊บส์...ฮ่าๆๆๆๆ"

"ลืมพ่อหนุ่มลูกครึ่งให้ได้ก่อนสาว"ชาแนล

"อีมาดาม!"เจ้าเอย

"เลิกเรียกมาดามสักที! ไม่ชอบ!!!"

"ฮ่าๆๆๆๆๆ" ทุกคน

"อ้าวววว ก็หล่อนเริ่มก่อนอ่ะ"เจ้าเอย

"จิ๊ ผ่านมากี่ชาติแล้ว ล้ออยู่ได้ ตอนนี้กูเป็นมือฉมังเก็บกู้ระเบิดแล้ว"

ชาแนลเอ่ยขึ้นอย่างขัดใจ

"ฮ่าาาาๆๆๆๆ" ทุกคน หัวเราะ แบบท้องแข็ง

ชาแนลมีสีหน้าไม่พอใจเล็กน้อยที่ทุกคนต่างรุมกันหัวเราะเยาะหล่อนแบบนี้

หลังจากทำเรื่องย้ายเสร็จ ก่อนออกมาจากโรงพักเจ้าเอยก็ดันพบปะกับ เบนจามิน คู่กรณีสมัยอยู่หน่วยฝึก อีกคนทำหน้ายียวนหลังจากเห็นหล่อน ก็แหงล่ะคงจะกำลังเห่อตำแหน่งหัวหน้าอยู่ละสิ

แม้จะหมั่นไส้อยู่เต็มประดาเจ้าเอยก็ทำเพียงเดินผ่านไปอย่างไม่แยแส

"หวิ๊ดวิ้ว"

มิวายตัวปัญหายังผิวปากกวนบาทาอย่างอารมณ์ดี เส้นประสาทตรงขมับของอดีตผู้หมวดสาวแห่งหน่วยฟินิกซ์กระตุกอย่างแรง ภาพที่อดีตรองหัวหน้าหน่วยเดินออกไปอยู่ในสายตานายตำรวจทุกนาย หากแต่ไม่มีใครทำอะไรได้นอกจากอยู่เงียบๆในที่ของตนเอง เพราะมันอาจส่งผลกระทบมากมายมาสู่พวกเขาได้ หากว่าคิดริอาจเข้าไปยุ่ง

วันแรกที่ย้ายมายังหน่วยพยัคฆ์ เป็นอะไรที่หนักสำหรับเจ้าเอยมาก เหตุว่าหล่อนเจอเพื่อนร่วมงานที่อคติตั้งแง่ใส่ ซ้ำร้ายยังลับเล็บไว้รอ หมายจะขยํ้ากันทุกเมื่อ

เคราะห์ดีที่มีฟ้าครามคอยช่วยเหลือ ทว่าคงไม่ตลอดรอดฝั่ง ฉะนั้นหล่อนจึงต้องรีบปรับตัวให้ได้โดยเร็ว

อันเนื่องมาจากย้ายหน่วยวันแรกหล่อนก็เจอศึกหนัก คดีร้ายมาเยือนทันทีราวกับมาต้อนรับ จากผู้หมวดแห่งหน่วยกู้ระเบิดกลับต้องมาสู้กับเหล่าอาชญากรหัวหมอที่พร้อมก่อจลาจลทุกเมื่อ มันน่าหงุดหงิดกว่าการมานั่งถอดชิ้นส่วนระเบิดอีก

ก่อนหน้านี้ทั้งหน่วยพยัคฆ์และหน่วยฟินิกซ์ต่างทำงานร่วมกัน หากแต่หน้าที่ก็ต่างกันอย่างสิ้นเชิง หล่อนที่เคยแค่ตามหาวัตถุระเบิดและหยุดมันตามกลวิธีที่ร่ำเรียนมา ไม่เคยคิดว่าต้องมาถอดรหัสอะไรนี่เลยเพราะหน่วยพยัคฆ์ทำไว้แล้ว ตนแค่ตามหาและทำลาย

ความอัดอั้นตันใจมันบีบรัดอยู่ทั่วร่างกายและจิตใจ เจ้าเอยแปะคีย์การ์ดเข้าห้องอย่าคนหมดแรง วันนี้หล่อนสูญเสียพลังงานไปกับงานและเพื่อนร่วมงานมาก

ฉะนั้นหล่อนจึงตั้งใจว่าจะพักผ่อนให้ได้เลย หลังจากทอดรองเท้าหนาออกเสร็จ เจ้าเอยก็เดินทอดน่องมายังห้องนอนโยนกระเป๋าทิ้งอย่างไม่แยแสท่ามกลางความมืด สายตาที่ยังไม่โฟกัสกับความมืดนั้นไม่ได้เป็นปัญหาเลย เนื่องจากความเคยชิน เพราะฉะนั้นผู้หมวดสาวจึงรีบลอกคราบตัวเองจนเปลือยเปล่า ร่างกายที่อ่อนล้าทว่าก็ยังมีกะใจฮัมเพลง สนุกเขาแหละ

มือบางเปิดประตูห้องน้ำอย่างคุ้นเคยแม้มองไม่เห็น ไม่รับรู้ถึงสายตาเฉียบแหลมของอสรพิษร้ายที่ซ่อนตัวอยู่เลยแม้สักนิด แม้แต่ประตูห้องน้ำหล่อนก็ไม่มีกะใจจะปิดทั้งสิ้น ปล่อยให้มันอ้าไปตามธรรมชาติ

เจ้าเอยอาบน้ำทั้งยังฮัมเพลงอย่างชื่นอารมณ์ ร่างกายเริ่มผ่อนคลายลงแล้ว ทว่าความอึดอัดกลับเกิดขึ้นกับบางสิ่งในห้องนี้แทน กลางกายสิ่งมีชีวิตที่กำลังมองดูคนรู้จักที่กำลังจัดคอนเสิร์ตขนาดย่อมในห้องนํ้า ผงาดขึ้นอย่างร้ายการควบคุม สายตามลุ่มลึกแฝงไปด้วยแรงปรารถนา ราวกับชาละวันที่กำลังเฝ้ามองตะเภาทองก็ไม่ปาน

หลังจากอาบน้ำเสร็จเจ้าเอยก็คล้ายผ้าเช็ดตัวมาพันรอบกายอย่างลวกๆ มิได้สนใจเช็ดร่างกายที่มีหยดน้ำเกาะไปทั่วสันพางค์กายแต่อย่างใด ด้วยความเคยชิน มือบางเช็ดกับผ้ารอบกาย ก่อนยกขึ้นเปิดสวิตช์ไฟ แสงสว่างพลันมาเยือนพร้อมกับแขกมิได้รับเชิญถึงสองคน เอะ หรือสองตน สองสิ่ง? แต่ใดใดคือเรียกขวัญของคนตัวเล็กกว่าได้ทันที

สะดุ้งได้ไม่นานสุ่มเสียงแหบปนยียวนก็ดังขึ้นทักทายทันที

"เดี๋ยวนี้เขาอาบน้ำยั่วผัวเก่ากันแล้วหรอผู้หมวด"

ช่วยเก็บผ้าเช็ดหน้า(ผืนใหญ่)ให้ฉันหน่อยได้ไหม

 ราวกับมีเสียงระฆังในโบสถ์ ดังรอบตัวเจ้าเอย ดังเสียยิ่งกว่าระเบิดที่หล่อยเคยประสบพบเจอมา

นํ้าเสียงที่คุ้นเคยในวันวาน

ร่างกายของผู้หมวดจุฑารัตน์แข็งทื่อประดุจก้อนน้ำแข็ง ทั้งที่เพิ่งอาบน้ำอุ่นมา สมองไม่ทันประมวลผลใดใด ผู้ร้ายก็เข้ามาประชิดถึงตัวหล่อนเสียแล้ว ราวกับโจรที่มาในยามวิกาล

แต่สิ่งที่น่าตกใจมีมากกว่านั้น เมื่อนักโทษแหกคุกตรงหน้าได้ทำในสิ่งที่หล่อนคาดไม่ถึง

ริมฝีปากหนาและอุ่นประทับลงบนริมฝีปากบางนุ่มและเย็นเฉียบ ทว่าเพียงครู่เดียวกลับร้อนรุ่มขึ้นมา ด้วยฝีมือของคนตรงหน้า

"อื้อ!"

ดวงตาสวยเบิกกว้าง ริมฝีปากเม้มเข้าหากันแน่นพร้อมขัดขืนสุดใจ แต่มีหรือจะสู้แรงคนตรงหน้าได้

นางมณโฑไม่สามารถสู้แรงพญาลิงพาลีได้ฉันใด เจ้าเอยก็ไม่สามารถต้านทานแรงคลึงเคล้าของเลียมได้ฉันนั้น มือหนาซุกซนไม่อยู่สุข ลูบไล้ไปทั่วสรรพางค์กายบาง ฉับพลันปมของผ้าเช็ดหน้า"ผืนใหญ่"บนตัวเจ้าเอยก็หลุดลงตามแรงโน้มถ่วงของโลก

"!!!"

"ฮึ"

ในขณะที่คนตัวเล็กกว่าเลือดลมสูบฉีดขึ้นหน้าเพราะล้อนจ้อนอยู่ต่อหน้าต่อตาคนตัวสูง ทว่าตัวต้นเหตุกลับขำในลำคออย่างชอบใจ และนึกสนุก

"ให้เราเก็บให้เธอไหม...ผ้าเช็ดหน้าของเธออ่ะ"

ปริ๊ดดดดดดด

ราวกับฟางเส้นสุดท้ายได้ขาดสะบั้นลง เมื่อคนตรงหน้าใช้สายตาโลมเลียกัน พร้อมกับเอ่ยวาจาท้าท้ายบาทา เจ้าเอยผลักร่างยักษ์จนเซล้มลง ถอยตัวห่างออกมา ก่อนจะใช้ขาเรียวเกี่ยวผ้าเช็ดตัวขึ้นพร้อมกับเตะไปยังคนตัวสูง ด้วยแรงโทษะ

เจ้าเอยถีบขาขึ้นสูงพอสมควร ผ้าตัวปัญหาจึงโผบินไปคลุมยังหัวของคนร่างสูงอย่างพอดิบพอดี

"ซี๊ด เธอแม่ง...เซ็กซี่อะ"

แต่เจ้าเอยก็คงไม่ทันได้คิดถึงในตอนที่ยกขาขึ้นนั้น น้องกีกี้ไม่รักดีของหล่อนดันโผล่ทักทายพี่เลียมคนทะลึ่งซะได้ นอกจากจะไม่สะทกสะท้านอะไรแล้ว เลียมกลับรู้สึกตื่นเต้นและตื้นตันที่แม่สาวแมวดุตรงหน้าโชว์ศิลปะอันงดงามชวนกำหนัดให้เขาดู

กลายเป็นแม่แมวสาวยั่วสวาทไปซะได้

"ไอ่โรคจิตเอ้ย!"

สบถด่าออกไป พร้อมกับออกกำปั้นหมัดสู่ใบหน้าหล่อเหลาราวเทพปั้นทันทีที่เขาดึงผ้าออกจากหัว หากแต่เขากลับรับมันไว้ได้อย่างสวยงาม แล้วจับหล่อนหันหลังมาชนอกแกร่งของเขาแทน พลางแขนใหญ่หนาก็โอบกอดรอบกายบางราวกับอยากให้จมอกหนาไปซะเลย

"อึก"

แต่มีหรือที่ผู้หมวดสาวแห่งหน่วยพยัคฆ์จะยอม แขนเรียวโอบรอบคอของเลียมแน่น อีกคนถึงกับยิ้มมุมปาก ทว่าเพียงเสี้ยววินาทีเดียวเข่าของหล่อนก็ย่อลง แบกคนตัวโตไว้พร้อมทั้งทุ่มเขาลงข้างหน้าของหล่อนสุดแรงเกิด

"อั่ก!"

ความโกรธมักทำให้คนขาดสติ แต่เจ้าเอยช่างขาดสติได้น่ารักมากสำหรับเลียม เพราะเสือร้ายที่จับเขาทุ่มลงพื้นด้วยทักษะชั้นยอดนั้น ดูยังไงก็เป็นนางแมวยั่วสวาทดีดีนี่เอง เหตุว่าเขาถูกทุ่มลงตรงองศาของทุ่งหญ้าที่อุดมสมบูรณ์พอดิบพอดี

เขาว่ากันว่า ธรรมชาตินี่แหละที่สามารถบำบัดจิตใจมนุษย์เราได้ดีที่สุด และเลียมก็ไม่เถียงเลยสักนิดเขากลับเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง เพราะธรรมชาติของเจ้าเอยกำลังบำบัดจิตใจที่ห่อเหี่ยวมาเป็นเวลาหลายปีของเขาได้อย่างดีและมีประสิทธิภาพมาก

ดังนั้นถึงแม้ว่าจะถูกอีกคนทุ่มลงกับพื้นด้วยความรุนแรงเขาก็ยิ้มรับตาหยี่

ท่าทางหน้ามึนของคนบนพื้นสร้างความไม่พอใจให้กับเจ้าเอยเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะสายตาโลมเลียที่อีกคนมองกันขึ้นมา เจ้าเอยกัดริมฝีปากด้วยความโกรธและอับอาย สายตาสอดส่องหาผ้าเช็ดตัวผืนดีผืนเดิม รีบสาวเท้าหมายจะคว้ามาบดบังกาย ทว่าช้ากว่าคนผีทะเลไปหลายก้าว

"นี่แหน่ จับได้แล้ว"

"กรี๊ด! ปล่อยฉันนะ"

ภาพของร่างสองร่างที่ยื้อยุดฉุดกันไปกลางห้อง ดูดูก็คล้ายนักกีฬามวยปล้ำ เนื่องจากยืนยื้อกันไม่รู้เรื่องจึงนอนเกี่ยวกันแทน ร่างหนาที่มือซุกซนกับร่างบางเปลือยเปล่า ราวกับลูกกวางน้อยที่สู้กับหมาป่าดุร้ายจอมเจ้าเล่ห์

มีแต่เสียเปรียบกับเสียเปรียบ

"ถ้าเอยมองสถานการณ์ออก แฮก ก็น่าจะรู้นะว่าใครเสียเปรียบใคร"

เลียมเอ่ยขึ้นมาเสียงแหบเล็กน้อย เพิ่งรู้ว่าสู้กับลูกกวางน้อยจอมพยศไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

เหนื่อยใช่เล่นเลยล่ะ

"จิ๊ บุกรุกเข้าห้องคนอื่น แฮ่ก มีสิทธิ์อะไรมาพูดแบบนั้น"

"จุ๊ๆๆ เอยนั้นแหละจะรับไหวหรอถ้าเราแสดงสิทธิ"

เลียมยังคงต่อล้อต่อเถียงเล่นลิ้นกับคนในอ้อมกอด และนอกจากนี้เจ้าตัวยังตั้งปฏิญานกับตัวเองด้วยว่าคืนนี้ยังไงก็ต้องได้แลกลิ้นกับคนตัวขาวให้ได้

ไม่คิดเปล่า คนใจไม่บริสุทธิ์ก็โน้มตัวลงพร้อมทำตามปนิธาน ทันใดนั้นกลับได้รับฝ่าเท้าอรหันต์กลับมาแทน

"อุก!!!"

คราวนี้ไม่ทันได้ตื่นเต้นกับน้องกีกี้ แต่กลับได้นอนกุมเป้านับดาวนับล้านแทน ทั้งมึนทั้งจุก

"ซิ๊ด"

เลียมซี๊ดปากกุมน้องชาย ส่ายศีรษะไล่ความมึน ตั้งสติกับตัวเอง มองดูแม่กวางพยศ อดไม่ได้ที่จะเอาลิ้นดันกระพุ้งแก้มด้วยความหัวเสียเล็กน้อย

เขากลับมาได้ไม่ทันไร คนดื้อของเขาก็หยิบแจกันขึ้นมาหมายจะให้มันจุ๊บศรีษะของเขาเป็นแน่ ถุ้ย! นี่ถึงกับจะลงไม้ลงมือกันลงคอเลยหรอ ทั้งที่เขามีแต่จะมอบความรักเข้มข้นให้อย่างเต็มเปี่ยม

ใจร้าย

"ชิส์"

ท่าทีหงุดหงิดเปลี่ยนเป็นกระเง้ากระงอด เมื่อเจ้าเอยพุ่งเข้ามาพร้อมกับแจกันในมือ แต่เขารับไว้ได้

"เดี๋ยวนี้เธอชอบแบบรุนแรงแล้วหรือไง หื้ม?"

นํ้าเสียงแง่งอนทีจริงทีเล่นถูกเอ่ยออกมาจากปากยักษ์ร่างโต แต่กิริยาหนุบหนับราวกับนกจิปิลิ้ว~

"ปล่อยนะ!"

"ปล่อยแน่นอนเอยอดใจรอหน่อยเถอะ"

"นี่...อื้อ!"

และก็สมพรปากคนตัวโต เพราะตอนนี้เขากำลังแลกลิ้นกับคนตัวเล็กสมใจอยากเสียที

"อื๊อห์"

ตึกๆๆ

กำปั้นเท่ากับดวงใจดวงน้อยทุบลงตรงอกแกร่ง คล้ายจะหมดลมหายใจอยู่รอมร่อ เหตุว่าคนตัวโตไม่ยอมผละจูบออกเสียที และถึงแม้ว่าคนในอกจะต่อต้านเพียงใด เขาก็ไม่อยากหยุดช่วงเวลานี้ไว้เลยสักนิด ตั้งแต่ที่ได้เจอหน้ากันในวันนั้นเขาก็เอาแต่คิดถึงหาแต่เจ้าเอยของเขาอยู่ตลอดเวลา จนร่างกายไร้หัวใจได้พากายหยาบของเขามาถึงที่นี่ยังไงล่ะ

เพราะเขาเจอหัวขโมยหัวใจของเขาแล้วยังไงล่ะ

จ๊วบบบ จุ๊บ

"อืมมม"

เลียมยอมผละริมฝีปากร้ายออกในที่สุด ส่งผลให้มีของเหลวเหนียวยืดสีใสไหลออกมา ราวกับสะพานเชื่อมระหว่างทั้งสองคน เจ้าเอยรีบคว้าเอาออกซิเจนเข้าปอดอย่างน่าเวทนา ทว่าท่าทีดิ้นรนสุดชีวิตของคนในกำมือไม่อาจสะท้านจิตใจเลียมได้เท่า สายสัมพันธ์เหนียวยืดที่ได้ขาดสะบั้นลง เลียมไม่รอช้ารีบครอบครองริมฝีปากบางอีกครั้งอย่างหวงแหน ท่าทีก็อ่อนโยนไปหลายส่วนมาก

ทีท่าที่เปลี่ยนไปของเลียมคล้ายสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง เหมือนพระอาทิตย์ที่หลอมละลายน้ำแข็งจนเหลวแหลก เช่นเดียวกับดวงใจไม่รักดีของเจ้าเอยในตอนนี้

ชวนให้หวนคิดถึงวันวาน ในตอนที่ทั้งคู่ยังสนิทชิดเชื้อทั้งกายและใจ

เนินนานที่ปลายลิ้นทำหน้าที่แทนคำพูด เลียมจึงได้ถอนจูบออกอย่างอ้อยอิ่ง พลันร่างสูงก็ดึงร่างขาวบางเข้ามาในอ้อมกอดเต็มรัก เมื่อคนในโอบกอดไม่มีทีท่าต่อต้านเหมือนก่อนหน้า เลียมจึงวางใจและสูดดมกลิ่นหอมอ่อนจากเส้นผมสลวย ซึ่งเพิ่งผ่านการสระมาหมาดๆ

กลิ่นกายประจำตัวของคนรัก ทำให้หัวคิ้วที่ชนกันอยู่หลายปีคลายลงอย่างน่าอัศจรรย์ คล้ายกับได้รับอากาศบริสุทธิ์จากทุ่งหญ้า หลังจากถูกกักขังอยู่ในห้องใต้ดินที่ทั้งอับชื้นและมืดมิดมานานแสนนาน ทำได้เพียงเฝ้าจินตนาการถึงธรรมชาติภายนอกเพียงเท่านั้น

เลียมจึงอดยิ้มกว้างออกมาไม่ได้ ในใจลิ่งโลดราวกับจะทะลุออกมาจากร่างกายเสียให้ได้

"พอใจรึยัง?"

ทว่ารอยยิ้มงดงามที่เปรียบเสมือนแรร์ไอเทมในหมู่สาวๆ ก็หุบลงฉับพลันแทนที่ด้วยความงงงวย ด้วยฝีมือของคนเดียวกับที่ทำให้เขายิ้มได้นั่นเอง

"พอใจ?..."

"ใช่ กอด จูบ ลูบ คลำ จนอิ่มหนำรึยังล่ะ"

"..."

"พอใจแล้ว...ก็กลับไป!"

เจ้าเอยกลั้นใจพูดประโยคหลังออกไปด้วยหัวใจที่บีบรัด อดที่จะคิดน้อยใจไม่ได้ ทั้งที่อีกคนหายไปจากชีวิตหล่อนแบบไร้คำร่ำลา กลับมากไม่บอก ทำตัวราวกับโจร มันจุกไปหมดตรงอกข้างซ้าย

"เอย..."

"ไปสิ!"

เจ้าเอยยังคงไล่อีกคนด้วยน้ำเสียงราวกับไม่ใส่ใจ ก่อนจะละสายตาจากคนเห็นแก่ตัว แล้วเดินไปยังที่ที่ผ้าเช็ดตัวตกอยู่ มือบางพลางหยิบขึ้นมาพันรอบกาย พร้อมกับส่งสาสน์ไปยังคนข้างหลังว่า

"มาทางไหนกลับไปทางนั้น ครั้งนี้ฉันจะไม่เอาเรื่องนาย จะคิดซะว่าลมพัดเอาไอ่แมลงวันเผือกตัวใหญ่เข้ามารบกวนโดยอุบัติเหตุเท่านั้น แต่หลังจากนี้เราไม่รู้จักกันอีก"

"...ไม่รู้จักกัน? เอยจะบะ...."

"ลืมไปซะ!!! ลืมทุกอย่างที่ผ่านมาและลืมการมีอยู...ของฉัน"

ประโยคหลังเจ้าเอยเว้นช่วงจังหวะก่อนเอ่ยออกมาในที่สุด แม้จะเบาไปหน่อย แต่กลับดังชัดในโสตประสาทของคนฟัง ดังก้องกังวานอยู่ในหัวของเขา

เลียมไม่รู้ว่าจะเจ็บกับประโยคไหนก็่อนดี แต่ที่แน่ๆไม่มีประโยคไหนที่เขาไม่เจ็บ ทั้งเจ็บทั้งจุกจนหายใจแทบไม่ออก

"..."

"ให้หมด...ลืมให้หมด!!!"

"..."

"!!?"

"ไม่สิ..."

"...?"

"จะไปตายที่ไหนก็ไปเลยไป!!!"

ราวกับพายุฝนถล่มในวันที่แดดจ้าสดใส อยู่ดีดีนํ้าสีใสก็ไหลทะลักออกมาบ่อนํ้าตาของเลียม และจิตใจของเขาตอนนี้ก็ไม่ต่างจากปราสาททรายที่เด็กชายคนหนึ่งตั้งใจสร้างขึ้นมาด้วยความหวัง หวังว่าพี่สาวข้างบ้านจะชอบ ทว่าในตอนนี้

มันได้ราบเป็นหน้ากลองไปเสียแล้ว

ค.ศ.2008

"ท้องฟ้าาาาา"

เด็กชายจํ้ามํ่าวัย 7ขวบเศษ วิ่งกลับมาหาผู้เป็นแม่ด้วยท่าทีที่ตื่นเต้นกว่าทุกวัน ใบหน้าตุ้ยนุ้ยที่แบกรอยยิ้มกลับมา ทำเอาคนเป็นแม่อย่าง ท้องฟ้า อดที่จะใจละลายไม่ได้

"ยิ้มฟันหลอมาแต่ไกลเลยนะครับพี่วิช"

"พี่มีอะไรจะบอก"

"อะไรครับลูก?"

"วันนี้ในห้องพี่มีคนมาใหม่"

เด็กน้อยบอกผู้เป็นแม่ด้วยความตื่นเต้นอย่างออกนอกหน้า

"แล้วยังไงครับ? เขาอายุเท่าลูกหรอ หื้ม?"

ท้องฟ้าถามพร้อมกับหอมซุกไซร้แก้มลูกอย่างเต็มรัก

"ไม่ใช่ คิกคิก"

เด็กน้อยตอบกลับอย่างจั๊กจี้ก้อนแก้มกลม

"เขาอายุมากกว่าพี่หนึ่งปี"

"อ้าววว เจ้าน้องเล็กของห้อง แล้วพี่ตื่นเต้นอะไรครับ"

ท้องฟ้านึกฉงน ที่ต้องสงสัยเพราะลูกชายอายุน้อยที่สุดในชั้นเรียน เนื่องจากเข้าเรียนเร็วกว่าเด็กในวัยเดียวกัน หลายครั้งจึงถูกเพื่อนๆรังแก แต่ครั้งนี้เจ้าตัวกลับตื่นเต้นที่ได้เพื่อนใหม่ที่อายุมากกว่า ทั้งที่ท้องฟ้าคิดว่าเพื่อนใหม่คงอายุเท่ากันกับลูก ทวิชาติ จึงตื่นเต้น ทว่ากลับไม่ใช่

"เพราะว่าเอยใจดี เล่นกับพี่ด้วย"

"เอย?"

"ใช่ๆๆ"

"...?"

"เอยก็ชื่อของเพื่อนใหม่พี่ไงท้องฟ้า"

ทวิชาติเฉลยให้มารดาฟัง แล้วจึงเป็นที่เข้าใจกันว่าลูกชายของหล่อนได้เพื่อนใหม่แถมนิสัยดีด้วย เท่านี้ท้องฟ้าก็สบายใจ

แต่จะบอกว่าสบายใจก็ไม่ได้ทั้งหมด เพราะค่อนข้างจะออกไปทางหมั่นไส้เสียมากกว่า เพราะลูกชายหล่อนดูท่าจะชอบเพื่อนใหม่คนนี้ซะเหลือเกิน

หลังจากที่ได้เพื่อนใหม่ไม่นาน ทวิชาติมักจะกลับมาขอร้องให้ท้องฟ้าทำอาหารกลางวันเผื่อนเพื่อนใหม่ของตนด้วย ท้องฟ้านั้นเอ็นดูทั้งรู้สึกตลกเจ้าลูกชายตัวน้อย แต่ก็ทำให้ตามคำขอสำหรับแม่เลี้ยงเดี่ยวแล้วแค่เห็นลูกยิ้มแย้มมีความสุขไม่อมทุกข์เหมือนแต่ก่อนหล่อนก็ดีใจมากแล้ว

ภาพเด็กชายที่ยิ้มกว้างจนตาหยี่ ใครเห็นก็ต้องหลงรักในความน่ารักนี่เป็นแน่ แต่ท้องฟ้าสดใสใช่ว่าจะไม่มีเมฆ พายุและมรสุมที่ก่อตัวอย่างเอาแต่ใจ เหล่าเม็ดฝนนับล้านต่างพร้อมใจกันร่วงหล่นลงมาราวกับวันสิ้นโลก ไม่ต่างจากเด็กชายที่เคยยิ้มแย้มให้กับโลกใบนี้ ทว่ากลับร้องไห้แทบขาดใจแตกสลายสิ้นในชั่วพริบตา

ราวดับฝันร้ายถูกฉายซ้ำตรงหน้าทั้งที่ร่างกายตื่นเต็มตา ลําดับเหตุการณ์สะเทือนหัวใจไหลกลับมาเรื่อยๆราวภาพฟิล์ม ทุกความรู้ เสียง สภาพแวดล้อมในวันวาน เหมือนกำลังหลอกหลอนในใจเลียม

สายตามั่นคงเมื่อครั้งปกติกลับวูบไหวไร้ซึ่งการควบคุม ตรงอกอึดอัดคล้ายโดนจิกและบีบรัด เจ็บจนยากจะหายใจ ร่างกายที่ตอบสนองสิ่งเร้าโดยอัตโนมัติ ไม่มีใครเข้าใจนอกจากเจ้าของกายหยาบ

"เจ้าเอย"

นํ้าเสียงเอื้อนเอ่ยออกมาเบาหวิวคล้ายกับพึมพำกับตัวเองเสียมากกว่า ทว่าคนฟังกลับได้ยินชัด เจ้าเอยมองดูท่าทีก็คนตรงหน้า ให้รู้สึกประหลาดใจ มือแกร่งที่เคยโอบกอดกายาของหล่อนในอดีตมันสั่นเทา ไม่รู้เพราะแรงโกรธหรืออารมณ์ใด

แต่ไม่ว่าอย่างไรหล่อนก็ต้องไล่คนตัวโตออกไปจากห้องให้ได้ เพราะการมีอยู่ของอีกคนมีอิทธิพลต่อจิตใต้สำนึกของหล่อนอย่างน่ากลัว

สายตาที่คล้ายกับคนไร้ที่พึ่งแม้จะสงสัยแต่เจ้าเอยไม่อยากยืดเยื้อเวลาให้นานแม้แต่สักวินาทีเดียว

"ไม่ได้ยิน?"

หล่อคนถามยํ้ากลับไป คนถูกถามในตอนนี้ที่ตาแดงก่ำ ไม่รู้ว่าหล่อนตาฝาดหรืออะไร แต่เหมือนอีกคนจะไม่ได้ยินเพราะยังยืนเฉยไม่ขยับร่างกายไปไหนเสียที

"ถ้าได้ยินก็อัญเชิญพาร่างยักษ์ออกไปจากที่นี่ ที่นี่ไม่ใช่ที่ของนาย ไปซะสิ๊"

เลียมเหมือนโดนน้ำร้อนสาดใส่สลับกับนํ้าเย็นซํ้าๆ ทั้งนํ้าเสียง คำพูดที่ดูห่างเหิน ท่าทางภาษากายที่ไล่เขาแล้วไล่เขาอีก ทั้งที่เขาดิ้นรนตั้งมากเพื่อกลับมาอยู่ตรงหน้าเธอ แต่อีกคนจะไปรู้อะไร

"เฮ้อออ จิ๊"

เจ้าเอยมองบนถอนใจแรงอย่างเหลือจะทนจนหนทาง แขนเรียวสวยกอดอกเข้าหากัน สายตาจ้องมองกันอย่างไม่เป็นมิตร หมดสิ้นคำพูดจะไล่อีกคน การสื่อสารตากร่างกายของคนตัวเล็กแทนคำพูดมันชัดเจนจนน่ากลัว เเต่เลียมจะยอมแพ้ไปง่ายไปได้อย่างไรแม่จะเจ็บปวดเพียงใจ

"!!!?"

เจ้าเอยเป็นต้องสะดุ้งเมื่อคนตัวโตอยู่ไปก็จับมือของหล่อนอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย แขนเรียวรีบสะบัดออกแต่กลับไม่หลุด พยายามอย่างไรก็ไม่เป็นผล

"นี่นะ....!"

เสียงตะคอกขาดหายไปทันทีแทนที่ด้วยหยาดน้ำใสที่ไหลหลากลงมา ใช่ เลียมกำลังร้องไห้ หรอ

เจ้าเอยชะงักค้างทำตัวไม่ถูกไม่อยากสบตาคู่นั้นที่ตนเกลียด แต่กลับละสายตาไม่ได้ ร่างบางพลันกัดริมฝีปากอย่างลืมตัว สายตาเสมองไปทางอื่นในที่สุด ได้แต่ถกเถียงกับจิตใต้สำนึกอยู่คนเดียว

Devil : แค่นั้นเทียบไม่ได้กับน้ำตาที่หล่อนเสียไปหรอก

Angel : แต่ดูสายตาเขาสิ มันดูเจ็บปวดและแตกสลายมากนะ

Devil : แล้วยังไง หล่อนใช้เวลาไปเท่าไหร่กว่าจะกลับมาได้

Angel : บางทีเหตุผลอาจมี...

Devil : มันจะสำคัญอะไร คนที่จากไปอย่างโหดร้ายในช่วงเวลายากลำบากแบบนี้ โง่ดักดานเลยนะถ้าคิดจะกลับไป

Angel : ตะ....

Devil : อยากกินหญ้าแทนข้าวก็ไม่ขาดศรัทธา ถ้าหล่อนมั่นใจในไฟเบอร์มากกว่าคาร์โบไฮเดรต

"..."

เลียมมองท่าทีของคนตรงหน้าอย่างเจ็บปวด เขาไม่อาจยืนอยู่ไหวได้นาน ทว่าก็ไม่คิดจะออกไปตามคำไล่ แต่อีกคนไม่อยากแม้แต่จะมองหน้ากันเลยสักนิด เลียมจึงปล่อยมืออย่างร้อนรนในหัวใจแล้วรีบจับใบหน้าสวยด้วยมือทั้งสองข้างให้หันมาทั้งทึ่มันสั่นเทาจนน่ากลัว สายตาอ่อนแอในตอนนี้มองดูริมฝีปากอวบอิ่มถูกฟันสวยกัดก็ไม่ชอบใจ นิ้มโป้งแต่ตรงริมฝีปากล่างเพื่อหวังจะคลายมัน ทว่าคนตัวเล็กกลับตกใจและจัดขืนอัตโนมัติโดยกันกัดเข้าไปอย่างจัง

เลือดที่ซึมไม่ไหวติง แม้จะสะดุ้งเล็กน้อย แต่เลียมยังคงปล่อยให้คนตรงหน้าทำตามใจ อยากจะกัด หยิก จิก ตบ ตี ไม่ว่าอะไรเขาก็ไม่ไปไหน ไม่อยากไปแม้สักนิด

"นี่นายเป็นบ้าเสียสติไปแล้วหรือไง ห๊ะ!!!!"

เจ้าเอยใช้แรงทั้งหมดที่มีผลักคนร่างยักษ์ดื้อแพ่งออกไปไกลตัว นิ้วเรียวชี้หน้าคนตรงหน้าอย่างเหลืออด

"ออกไป อย่าให้ฉันต้องพูดมาก"

"..."

"แล้วอย่ากลับมาอีกเด็ดขาด ฉันไม่อยากเห็นหน้านาย มันเกะกะสายตาและน่าหงุดหงิดที่สุด ในเมื่ออยากไปแบบดื้อๆก็ไปแล้วไปเลย ไม่ต้องกลับมา ชาตินี้ชาติหน้าชาติไหนๆ ก็ไม่ต้องมาเจอกันอีก"

"...เอย"

"จะไปตายที่ไหนก็ไป!!!"

"!!!"

คำก็ไล่สองคำก็ไล่ เธอไม่อยากจะเห็นหน้าเขาขนาดนี้เลยหรอ จะเกลียดกันมากเกินไปแล้ว

"อ เอย ใจเย็นๆนะ..."

เลียมหลับตาลงตั้งสติก่อนจะลืมตาขึ้นพยายามเกลี่ยกล่อมคนตรงหน้า อย่าไรเขาก็ไม่อยากกลับไปทั้งที่เรายังผิดใจกันแบบนี้

"นี่ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องแล้วหรือยังไง..."

"เอยฟังเราก่อน ฟังก่อน ฟังก่อนนะ...นะ"

"ฟังอะไรอีก! ปล่อย!!!"

เจ้าเอยสะบัดมือหนาที่กอบกุมกันแน่น ก่อนจะเดินหนีอย่างสุดจะทน มือบางทึ่งผมที่เพิ่งสระไปหมาดๆอย่างหัวเสีย ในขณะที่เลียเท้าเอว เอาลิ้นดันกระพุ้งแก้มอย่างพยายามควบคุมอารมณ์

"จิ๊ คนที่หายไปกลับมาเป็นควายรึไงว่ะ พูดยากชิบหาย แม่ง!"

พรึ่บ!

"!!!!"

"เอยฟังเราก่อนนะ"

"เลียมมมม!"

เจ้าเอยตะคอกสุดเสียงหน้าดำหน้าแดง เมื่ออีกคนดื้อมากอดกันจากด้านหลัง ไม่ยอมไสหัวไปเสียที และหล่อนก็ไม่อยากวางมวยปล้ำกับอีกคนแล้วด้วย หล่อนเหนื่อย เหนื่อยเกินกว่าจะมาทะเลาะกับคนหัวแข็งนี่แล้ว

เมื่อความเครียดและความเหนื่อยมันสะสมกดทันกันมากจนจะรับไหว เจ้าเอยจึงป่วยที่จะพูดกับคนตรงหน้าให้มันเสียเวลาและเสียพลังงานอย่างสิ้นเปลืองไปโดยเปล่าประโยชน์ ร่างบางจึงลอยแพคนข้างหลัง ทนได้ก็ทนทนไม่ได้ก็กลับไป คนอะไรสันดานไม่เคยเปลี่ยนไม่รู้จักพัฒนาเลยรึไง

เจ้าเอยโกรธเกลียดอีกคนจนเหนื่อย แสนชังเหลือจะทนได้แต่ตั้งคำถามกับตัวเองว่าครั้งหนึ่งเคยคบคนหน้ามึนแบบนี้จริงเหรอ ไม่รู้ว่าหล่อนในเมื่อก่อนคิดอะไรอยู่ถึงได้หูเบาใจเบาอ่อนโอนให้คนผีทะเลนี่ หล่อนไม่เคยเห็นอภิมหาข้อเสียของหมอนี้เลยรึไง หรือว่าเลข '58' มันเยอะจนบดบังทัศนียภาพในการคิดวิเคราะห์และแยกแยะของหล่อนไปจนหมดสิ้น

"เอยหันมาคุยกับเราหน่อยได้ไหม?"

"..."

"อย่าเมินกันแบบนี้สิ เลียมใจไม่ดีเลยนะ"

"..."

"เอยยยย"

"..."

"ไม่เงียบได้ไหม"

"เอย"

 

 

เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!

novel PDF download
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!