...ตอนที่1...
ณ ใจกลางเมืองหลวงของประเทศนี้ผู้คนนับล้านต่างย้ายถิ่นฐานกันเข้ามาเพื่อหวังว่าตนจะมีอนาคตที่ดีขึ้น และแน่นอนว่ารวมถึงตัวเราเองด้วย จริงสิลืมแนะนำตัวไปเลย ผมชื่อวินหรือ นาย มาวิน ไตรวิชญ์สกุล หนุ่มวัยทำงานหน้าตาธรรมดาคนนึงที่อยากใช้ชีวิตที่เรียบง่ายไปวันๆในเมืองที่วุ่นวายแห่งนี้
แต่ความจริงนั้นโหดร้ายสุดๆ งานที่เจ้านายสั่งเหมือนเล่นขายของแล้วไหนจะลูกค้าที่เอาแต่ใจอีกชีวิตไม่เคยง่ายเลยสักนิด
"ติ้งงง เสียงข้อความจากเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของผม "
" ไอวิน
" ว่า
" มึงอยู่ไหน
" บ้านดิเหนื่อยจะต่ายห่าอยู่แล้ว
" พรุ่งนี้มึงหยุดใช่มั้ยวะ
" เออ มีอะไรอีก
" กูไปได้ยินมาว่าแถวที่ทำงานกูมีเจ้าแม่นางแมวท่านศักดิ์สิทธิ์มากเลยนะเว้ย ใครไปขอเรื่องแฟนก็ได้กันมาทุกคน
" ไร้สาระว่ะไอเต้ มึงจะให้กูไปขอความรักกับแมวเนี่ยนะ
ไอเต้ เพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของผมพวกเรารู้จักกันมาตั้งแต่สมัยมัธยมแล้ว มันมักจะหาอะไรทำนองนี้มาให้ผมอยู่เป็นประจำ
ด้วยความที่ผมไม่เคยมีแฟนมาก่อนและไม่คิดที่จะโหยหามันด้วย นั่นอาจทำให้เพื่อนรักคนนี้เกิดความกังวลว่าผมจะเหงาไปจนวันตายก็ได้
" เถอะน่า มึงลองดูหน่อยไม่เห็นจะเสียหายอะไร นี่กูหวังดีจริงๆนะ
" บอกไปกี่ครั้งแล้วว่ากูไม่สน เลิกหาอะไรพวกนี้มาให้กูสักที
" มึงไม่เหงาหรอวะ ทำงานมาหนื่อยๆกลับบ้านมาเจอใครสักคมันฮีลใจมาเลยนะ
" อยู่คนเดียวกูก็สบายใจดีไม่เห็นต้องการใคร
" ดื้อด้าน ตามใจมึงแล้วกันแต่อันนี้ของจริงกูบอกเลย
" ไม่สนอยู่แล้ว
คุยกับมันใช้พลังงานเยอะเหลือเกิน เจ้าแม่นางแมวงั้นหรอของแบบนั้นจะไปช่วยเรื่องคามรักได้ไง เห้อวันนี้เหนื่อยจริงๆไปอาบน้ำนอนดีกว่าเราพรุ่งนี้ก็หยุดแล้วจะนอนให้เต็มอิ่มเลย
"เช้าวันต่อมา
แดดร้อนเป็นบ้า นี่เรามาทำอะไรกันแน่นะถ้าไม่ใช่เพราะเราฝันแปลกๆ มีหรอเราจะมาสถานที่แบบนี้
เมื่อคืนเพลียมากหลังจากอาบน้ำก็จำได้แค่ว่านอนเล่นมือถืออีกแป๊บนึง ที่แย่ก็คือดันฝันอะไรเพี้ยนๆนี่แหละ
เราฝันว่ามีแมวตัวใหญ่มากมานอนทับที่อกหายใจแทบไม่ออก นึกแล้วยังทรมานอยู่เลย
คนเยอะเหมือนกันนี่หว่าเชื่อแล้วว่าคนไทยชอบสายมู เอไงดีนะเข้าไปขอเลยดีมั้ย
หลังจากยืนคิดอยู่นานมาวินก็ตัดสินใจเดินเข้าไปขอพรจากเจ้าแม่นางแมวทั้งที่ตัวเองไม่เชื่อเรื่องอะไรแบบนี้เลย ที่ทำไปทั้งหมดก็เพราะฝันไม่เท่านั้น
"นี่ครับกนะเป๋า
"ขอบคุณนะคะ
"ไม่เป็นไรครับก็ผมเดินชนคุณหนิ
"เราเดินไม่ดูทางเองแหละค่ะ เราออมนะคะ
"ครับ! อะเอ่อ ผมมาวินหรือจะเรียกวินก็ได้
"ยินดีที่ได้รู้จักค่ะคุณมาวิน
ให้ตายสิหรือมันจะศักดิ์สิทธิ์อย่างที่ไอเต้พูดจริงๆ พึ่งขอไปเองแท้ๆก็เจอสาวน่ารักเรียบร้อยมาคุยด้วยแล้ว ตากลม ผิวขาวผมยาว นี่มันตรงสเปคเราเลยนี่หว่า
"ครับเช่นกัน
"คุณมาวินก็มาขอเรื่องความรักหรอคะ
"ครับ พอดีบังเอิญเดินผ่านเห็นคนเยอะๆเลยเข้ามาดูนิดนึง
"หรอคะ ยังไงก็ขอให้เจอความรักที่ตามหานะคะ
"ครับ คุณออมด้วย
นี่เรามีความกล้าไปขอไลน์สาวตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ได้มาจริงด้วยสินะไลน์คุณออม เอาไงดีจะทักไปตอนนี้ลยดีมั้ย มันจะดูรุกมากไปหรือเปล่า
มาวินที่ตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเริ่มบทสนทนากับออมยังไง เนื่องจากตัวเองไม่เคยจีบผู้หญิงมาก่อน
"ไว้ก่อนแล้วกัน ดิดได้แล้วค่อยทักไปดีกว่า
โอ๊ยอีกแล้วหรอวะอีข้างห้องมันซ้อมกีตาร์เสียงดังได้ทุกวัน รู้สึกว่าจะเป็นมือกีตาร์อยู่ในวงชื่อดังอะไรสักอย่าง
แต่แล้วยังไงอะมันก็ควรมีความเกรงใจต่อเพื่อนบ้านบ้างหรือเปล่า ไม่ไหวแล้วโว๊ยคงต้องไปคุยกันหน่อย
ก๊อกๆ\~
มาวินตัดสินใจเคาะประตูห้องของนักดนตีสาวเพราะตัวเองได้ทนกับเสียงรบกวนมานานแล้ว
"มีอะไร
"นี่คุณมีความเกรงใจกันบ้างสิ
"นายพูดถึงอะไร
"นี่ไม่รู้หรือแกล้งโง่ เสียงกีต้าร์มันดังมากช่วยเบาๆหน่อยได้มั้ย
"หรอ
"หรองั้นหรอ ตอบอค่นี้อะนะ
"อือจะให้เราตอบอะไร
"ก็บอกให้เบาไง คุณก็เบาหน่อยสิครับ
"คงจะไม่ได้วันเสาร์เรามีแสดงต้องซ้อมก่อนวันจริง
"ก็ไปห้องซ้อมสิคุณแบบนี้มันเดือดร้อนคนอื่นเขา
"เราไม่สะดวก
"คือจะบอกให้ผมทนฟังไปแบบนี้หรอ
"ก็ตามนั่นแหละ หรือถ้าทนไม่ได้ก็ย้ายไปอยู่ที่อื่น แค่นี้นะเสียเวลา
หงุดหงิดต้องเป็นคนแบบไหนกันถึงได้นิสัยเห็นแก่ตัวขยาดนี้ นี่ถ้าเจ้าแม่นางแมวส่งผู้หญิงคนนี้มาเป็นคู่ยอมตายสะยังดีกว่า แต่ยังไงก็น่าจะเป็นคุณออม
เห้อน่ารำคาญจริงๆเสียงดังขนาดนี้จะทนไหวยังไง แบบนี้คืนนี้ไม่ได้นอนแน่
"ไอเต้ คืนนี้ไปนอนด้วยดิ
"อีกแล้วหรอมึงมานอนห้องกูบ่อยไปมั้ยวะ
"เออขอหน่อยคิดว่ากูอยากไปนอนห้องมึงมากมั้ง
"ข้างห้องเสียงดังอีกแล้วหรอวะ
"เออน่าเบื่อฉิบหาย
"มึงไม่ไปบ่นหน่อยวะ
"หึ กูไปมาแล้วรู้นางมาไง
"เดี๋ยวเบาให้งี้ปะ
"ใช่ก็ดีดิ นางบอกให้กูย้ายไปอยู่ที่อื่น
"ห้ะ ถามจริงแบบนี้ก็ได้หรอวะ
หลังจากที่เต้เข้าใจเหตุผลของมาวินแล้วก็ยอมให้เพื่อนรักมานอนด้วยอย่างเต็มใจ ถึงจะไม่ได้ว่าอะไรอยู่แล้วก็เถอะ
"ตกลลมึงได้ไปตามที่กูบอกมั้ย
"ไปห่าอะไร บอกแล้วว่าไม่ไป
"หรอวะน่าเสียดาย เนี่ยล่าสุดน้องที่ทำงานกูได้แฟนมาคนนึง
"แล้วไงวะไม่เห็นจะเกี่ยวกัน
"ก็ปกติน้องมันไม่มีแฟนไงแต่หลังจากไปขอเจ้าแม่นางแมวก็มีเลย
"มึงเชื่อจริงหรอว่ามันเป็นเพราะเจ้าแม่แมวอะไรนั่น
"ก็เออสิวะ ของแบบนี้ไม่เชื่ออย่าลบหลู่นะเว้ย
" เออมึงจะเชื่อก็เชื่อไปเหอะ อย่าเอามาใส่สมองกูก็พอ
เราที่ปัดตกคำพูดไอเต้มันไป ก็ได้มานอนเล่นมือถือเปิดดูหน้าโปรไฟล์ของคุณออมอีกครั้ง นี่ถ้าไอเต้มันรู้ว่าเราไปขอเจ้าแม่นางแมวมาจริงๆคงจะดีใจมากไม่น้อย
แต่แล้วเหมือนเจ้าแม่นางแมวรู้ว่าเราคิดอะไรหรือไม่ก็อาจจะหงุดหงิดกับการไม่ยอมทำอะไรสักทีของเรา จริงช่วยเร่งความสัมพันธ์นี้ให้เกิดขึ้น
" เอ่อคุณมาวินคะ อยู่หรือเปล่า
"คุณออม! ตกใจหมดเลยนะครับเนี่ยที่คุณทักมา
"ขอโทษค่ะที่ทักมาดึก ออมกวนคุณหรือเปล่า
"ไม่เลยครับ ว่าแต่มีอะไรครับ
"คือว่าพรุ่งนี้ร้านคาเฟ่เปิดใหม่เขาจัดโปรลดพิเศษถ้ามากันสองคน แต่พอดีเพื่อนออมไม่มีใครว่างเลย เลยคิดว่าถ้าคุณมาวินว่าง พอจะไปด้วยกันหน่อยได้มั้ยคะ
สวยล่ะแบบนี้คือมีใจให้สินะ มันต้องเป็นแบบนั้นแน่ๆ ไอเราก็ไม่ค่อยมีประสบการณ์ด้วยสิ แต่มีหรอจะพลาดแบบนี้ต้องตอบตกลงเท่านั้น
"ว่างครับ! ผมไปได้
" จริงหรอคะ ดีใจจัง งั้นเราเจอกันพรุ่งนี้เที่ยงนะคะ เดี๋ยวออมค่อยส่งโลเคชั่นให้
"ได้ครับคุณออม
เต้ที่เห็นอาการเราแปลกๆไปจริงได้เอ่ยถามขึ้นมา
"มึงเป็นห่าไรวะวิน นอนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่ได้ทำตัวเหมือนพวกมีแฟน
"แฟนเฟรินเหี้ยไรล่ะ กูแค่อ่านนิยายมันน่ารักดี
"แปลกๆนะมึง
มาวินที่เลิกสนคำพูดของเพื่อนรักแล้วปิดมือถือเพื่อที่ตนจะได้นอนให้ถึงพรุ่งนี้ไวๆ
วันต่อ\~
"คุณออมผมถึงแล้วครับ
"ขอโทษค่ะคุณมาวินรถมันติดมากเลยออมคงไปถึงช้าประมาณ15นาที
"ไม่เป็นไรครับผมรอได้
"คุณมาวินคะออมถึงแล้ว คุณอยู่ตรงไหน
"คุณมาวินคะ ตอบออมหน่อย
ออมที่หามาวินไม่เจอแชทไปก็เงียบหายจนทำให้เจ้าตัวรู้สึกกังวลว่า ตัวเองนั้นโดนเทนัดไปแล้วหรือเปล่า
"สวัสดีค่ะ
"พิมเหี้ยไรของมึงวะวิน อินบทกระเทยหรอ
"ขอโทษนะคะ เราชื่อออมค่ะไม่ใช่คุณมาวิน
"อะไรกันครับผมงง
"พอดีออมนัดเจอกับคุณมาวินที่คาเฟ่ แต่เกิดเรื่องสะก่อนหน่ะค่ะ
"เดี๋ยวนี้นัดสาวด้วยวุ้ยไอวิน
"คุณเป็นเพื่อนสนิทคุณมาวินใช่มั้ยคะ
"ครับใช่
"งั้นตั้งใจอ่านที่ออมจะบอกนะคะ ตอนนี้คุณมาวินอยู่โรงพยาบาลค่ะ
"ห้ะ เกิดอะไรขึ้นไอวินมันเป็นอะไร
"คุณมาวินถูกรถชนค่ะ
ปวดหัวจังเกิดอะไรขึ้นกับเรา อ่อจำได้แล้วเรานัดคุณออมไว้ที่คาเฟ่หนิ แต่เดี๋ยวนะนี่มันอะไรสายน้ำเกลือไม่ใช่หรอ โรงพยาบาลหรอวะนี่เรามาทำบ้าอะไร โอ๊ยปวดหัวแต่เริ่มจำได้แล้วเราเห็นคนแก่จะข้ามถนน เลยอาสาพาข้ามแต่อยู่ๆก็มีรถกระบะสีดำวิ่งมาเร็วมากจนชนเราที่ช่วยคุณยายเอาไว้ได้
ยังไม่ตายสินะโล่งอกไปที มือถือล่ะต้องรีบบอกคุณออม นานแค่ไหนแล้วก็ไม้รู้ หาไม่เจอสงสัยตกอยู่ที่เกิดเหตุแน่ คงต้องถามพยาบาลเขาอาจเก็บไว้ให้
เมื่อกี้พยายบาลเข้ามาบอกว่าะมีญาติมาเยี่ยมคงจะเป็นไอเต้สินะ คงจะตกใจน่าดู
ก๊อกๆ เสียงเคาะประตูดังขึ้นก่อนที่จะเผยร่างผู้เยี่ยมขึ้นมา
เดี๋ยวสิทำไมถึงเป็นผู้หญิงข้างห้องเรา
" เจน! เธอฟื้นแล้วเมหรอมาตลอดเลยนะ
จะตกใจอะไรก่อนดีระหว่างเรื่องที่สาวข้างห้องพูดถึงชื่อใครก็ไม่รู้ต่อหน้าเรากับเรื่องที่เธอเข้ามากอดแน่นอยู่ตอนนี้
"เดี๋ยวๆนี่เธอทำบ้าอะไร
"พูดอะไรอ่ะ ก็เมดีใจที่เจนฟื้นไง
" เจน? เธอพูดถึงใคร
"เจนเป็นอะไรอ่ะ อย่าบอกนะว่าเสียความทรงจำ
"เธอนั่นแหละพูดบ้าอะไร เจนๆอยู่ได้ ก็เราไม่ใช่.....
ไอเหี้ยอะไรกันวะเนี่ยหางตาที่เรามองเงาสะท้อนใรtvเมื่อกี้มันผู้หญิงไม่ใช่หรอวะ
"เจนเป็นะไรคะ
"ขอเข้าห้องน้ำแป๊บนึง
"ได้เจนไปเองได้ใช่มั้ย
"ดะ..ได้
... นี่มันบ้าอะไรกันผู้หญิงคนนี้เป็นใครวะเนี่ย เดี๋ยวนะไม่ได้ฝันนี้มันตัวเรานี่หว่า ตั้งสะติมาวิน ตั้งสะติ ขอดูอีกที
เราจริงๆนี่ ทำไมเราเป็นผู้กญิงวะวอทเกิดอะไรขึ้น ถึงว่าทำไมนิ้วมือถึงดูเรียวแปลกๆเรามาอยู่ในร่างใครวะ
เสียงเคาะประตูดังขึ้น\~
"เจนเป็นอะไรหรือเปล่าทำไมถึงเข้าไปนานจัง
"มะ..ไม่มี
"งั้นเมเข้าไปนะ
"แล้งจ้องอะไรขนาดนั้นอะ
"เจน เมไม่ไหวแล้ว
"อะไรไม่ไหวปวดขี้หรองั้นเอาดิ
ไมรอช้าริมฝีปากของเมก็ประทับลงมาโดยไม่ให้โอกาสอีกฝ่ายได้ตั้งตัว ดวงตาของเธอเบิกกว้าง หัวใจเต้นโครมครามเหมือนจะหลุดออกจากอก ลมหายใจสะดุดไปชั่วขณะ ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วเกินไป ราวกับสายฟ้าฟาดกลางพายุฝน
สัมผัสนั้นร้อนผ่าว ตัดกับอากาศเย็นรอบตัว เธอไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร สมองสั่งให้ผลักเขาออก แต่ร่างกายกลับแข็งค้างไปหมด ความเงียบปกคลุมอยู่ชั่ววินาทีที่ดูเหมือนจะยาวนานเกินจริง
เมื่อเมผละออกช้า ๆ ดวงตาทั้งสองสบกันมีทั้งความตกใจ ความรู้สึกบางอย่างที่อธิบายไม่ได้ และหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะอีกต่อไป...
...แค่นี้ก่อนนะยังพึ่งฝึกเขียนผิดตรงไหนขออภัยด้วยค้าบ ❤️❤️...
...ตอนที่2...
มาวินยังคงยืนอยู่อย่างงุนงง สมองพยายามประมวลผลสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น แต่ร่างกายกลับตอบสนองก่อน ดวงหน้าแดงซ่าน ความร้อนวิ่งแล่นขึ้นมาจนรู้สึกเหมือนจะระเบิดออกมาให้ได้
"นี่... เธอ..." เสียงของเขาสั่นไหวอย่างควบคุมไม่ได้ ราวกับยังไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นั้นเป็นเรื่องจริงหรือเพียงความฝัน
อีกฝ่ายมองมา ดวงตาฉายแววบางอย่างที่อ่านไม่ออก ก่อนที่รอยยิ้มจะปรากฏขึ้นบนริมฝีปาก
"หืม? ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ?
"เธอ... เธอจูบเรา!" เสียงที่เอ่ยออกมามีทั้งความตกใจและความไม่เชื่อปะปนกัน
"ก็ใช่น่ะสิ" น้ำเสียงราบเรียบ แต่กลับแฝงไปด้วยความพึงพอใจอย่างปิดไม่มิด
"เจนเป็นอะไร หรือยังไม่พอ"
มาวินในตอนนี้อ้าปากจะเถียง แต่กลับพูดไม่ออก สมองยังวุ่นวาย หัวใจยังเต้นแรงจนเจ็บแปลบไปหมด มือเผลอยกขึ้นแตะริมฝีปากของตัวเองเบา ๆ ราวกับต้องการยืนยันว่าความรู้สึกเมื่อครู่เป็นของจริง
อีกฝ่ายหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะโน้มใบหน้าเข้าไปใกล้ "หรือว่า... จะให้เมทำอีกครั้งดีคะ?
หัวใจของเขากระตุกวูบ ดวงตาเบิกกว้างขึ้น รีบถอยหลังไปก้าวหนึ่ง แต่แรงโน้มถ่วงหรือโชคชะตากลับไม่เข้าข้าง เมื่อเท้าสะดุดอะไรบางอย่างจนเสียหลัก
และก่อนที่เขาจะล้มลงไป อ้อมแขนอีกฝ่ายก็คว้าตัวเขาไว้แน่น ใกล้เสียจนได้ยินเสียงลมหายใจของกันและกัน
"ระวังหน่อยสิ"
เขาเงยหน้าขึ้นมอง อีกฝ่ายยังคงอยู่ใกล้เหลือเกิน... ใกล้จนแทบจะรู้สึกถึงจูบที่ยังหลงเหลืออยู่บนริมฝีปากของตัวเอง ลมหายใจสะดุด ร่างกายแข็งค้างในอ้อมแขนนั้น ทุกอย่างเงียบงันไปชั่วขณะ มีเพียงจังหวะหัวใจที่เต้นโครมครามในอก
" จะ..จะถอยไปได้หรือยัง
คนตรงหน้าเมื่อได้ยินแบบนั้นแทนที่จะยอมปล่อยแต่กลับยิ้มมุมปาก ราวกับกำลังสนุกกับปฏิกิริยาของเขา
"ทำไมล่ะ? หน้าแดงเชียว" หรือว่าดีใจที่ตื่นมาแล้วได้จูบเมเป็นคนแรก
" ดะ..ดีใจบ้าอะไร เขาตอบสวนกลับไปทันที แต่ถึงจะพูดอย่างนั้น เขาก็รู้ดีว่าใบหน้าตัวเองร้อนแทบไหม้
อีกฝ่ายหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะค่อย ๆ คลายอ้อมแขนออก แล้วปล่อยให้เขาเป็นอิสระ แต่ไม่ทันได้ตั้งตัวดี มือของอีกฝ่ายกลับเลื่อนขึ้นมาแตะปลายคางของเขาอย่างแผ่วเบา
"รู้อะไรมั้ย ตอนเธอทำหน้าแบบนี้มันโครตน่ารักเลย
มาวินกัดริมฝีปากแน่น หัวใจยังเต้นแรงจนแทบควบคุมไม่อยู่ แต่แทนที่จะตอบโต้ เขากลับตัดสินใจเดินหนีออกมาแทน
"เดี๋ยวสิเจน" เสียงของอีกฝ่ายดังไล่ตามหลังมา
เอาไงดีวะมาวินจะหนีไปจากสถานะการนี้ยังไงดี ควรบอกไปหรือเปล่าว่าเราไม่ใช่คนชื่อเจนอะไรนั่น ไม่สิแต่ถึงจะบอกไปแล้วใครมันจะเชื่อก่อนเรื่องแบบนี้เป็นไปแทบไม่ได้เลยนะ
"นี่เมเราปวดหัวอ่ะ อยากนอนพักหน่อย
เอาวะมีแต่วิธีนี้แหละที่จะเอาตัวรอดไปได้ถึงจะแค่ชั่วคราวก็เถอะ
"เป็นอะไรมากหรือเปล่าให้เมไปตามพยาบาลมั้ย
"ไม่! ไม่เป็นอะไรหรอกแค่นอนพักเดี๋ยวก็หาย ขอบคุณนะ
" งั้นเมกลับก่อนดีกว่าเจนจะได้พักผ่อน พรุ่งนี้เมมาใหม่นะคะ
เห้อไปได้สักที เอาไงต่อดีวะร่างผู้หญิงคนนี้เป็นใคร ทำไมเราถึงมาอยู่ในร่างเธอ ต้องหาวิธีกลับร่างตัวเองให้เร็วที่สุดแต่ก่อนอื่นหนีจากที่นี่ก่อนดีกว่า
ประตูห้องพยาบาลถูกผลักออกช้าๆ เสียงบานพับเสียดสีกันแผ่วเบา ร่างที่เดินออกมาหยุดยืนชั่วครู่ สายตาล่องลอยทอดมองไปข้างหน้า ลมหายใจหนักหน่วงก่อนจะผ่อนออกช้าๆ ราวกับต้องการปลดปล่อยบางอย่างที่ค้างคาอยู่ในอก
ฝีเท้าแรกที่ก้าวออกไปเต็มไปด้วยความลังเล แต่แล้วก็เร่งจังหวะขึ้นเรื่อยๆ ไม่หันกลับไปมองเบื้องหลังอีก ทางเดินที่เงียบสงัด มีเพียงเสียงรองเท้าที่กระทบกับพื้นเย็นเฉียบสะท้อนก้องไปทั่ว ความอึดอัดบางอย่างติดค้างอยู่ในอกไม่ใช่เพราะบาดแผล แต่เป็นเพราะสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นในห้องนั้น
เมื่อพ้นจากเขตห้องพยาบาล ลมเย็นจากภายนอกพัดต้องใบหน้า ทว่าในใจกลับร้อนรุ่มยิ่งกว่าเดิม แต่ไม่มีเหตุผลที่จะหยุด ไม่มีเหตุผลให้หันกลับไปอีกแล้วต้องเอาชีวิตของเรากลับมาให้ได้
จริงสิเราหยิบมือถือของยัยนี่มาด้วยหนิขอดูช่องทางติดต่อคนอื่นหน่อยแล้วกัน ปลายนิ้วแตะลงบนหน้าจอมือถือที่เย็นเฉียบ ราวกับอุณหภูมิของมันตัดกับไออุ่นจากฝ่ามือ หน้าจอสว่างวาบขึ้น สะท้อนแสงจางๆ บนใบหน้า แววตาฉายแววลังเลเพียงเสี้ยววินาทีก่อนจะเลื่อนปลายนิ้วไปแตะที่ไอคอนแชท
อะไรกันเนี่ยยัยเจนคนนี้ไม่มีเพื่อนคนอื่นเลยหรอทำไมมีแต่คนชื่อเมที่คุยด้วย ต้องเป็นพวกเก็บตัวหรือไม่ก็มีปัญหากับการเข้าสังคมแน่ๆแม้แต่รูปตัวเองก็ยังไม่มีเลยนี่หว่า
สายลมยามเย็นพัดผ่านเบาๆ แสงไฟริมถนนทอดเงาลงบนพื้นซีเมนต์ เสียงเครื่องยนต์ของรถที่แล่นผ่านดังเป็นระยะ แต่ท่ามกลางเสียงเหล่านั้น จิตใจกลับว่างเปล่า สายตากวาดมองไปตามถนน ฝั่งตรงข้ามมีรถเมล์คันหนึ่งกำลังแล่นมาอย่างเชื่องช้า ไฟหน้าส่องสว่างท่ามกลางความมืด รถคันนี้มีปลายทางอยู่ที่ไหนไม่รู้ แต่ในจังหวะนั้น มันเหมือนเป็นทางเลือกเดียวที่มี
นี่เราจะไปไหนดีกลับห้องตัวเองหรอด้วยสภาพแบบนี้เนี่ยนะถ้าบังเอิยไปเจอยัยเมจะตอบว่าไงคงแปลกน่าดู หรือต่อให้กลับบ้านเจ้าของร่างก้ไม่รู้อยู่ที่ไหนอีกซวยจริงๆเลย
เสียงเครื่องยนต์ของรถเมล์ดังครืดคราดเป็นจังหวะ แสงไฟถนนลอดผ่านกระจกเป็นเงาสลัวๆ ผู้โดยสารบางตา มีเพียงเสียงลมหายใจเบาๆ และเสียงยางบดกับถนนที่เติมเต็มบรรยากาศเงียบงัน แต่จู่ๆ เสียงทุ้มแหบพร่าก็ดังขึ้นจากที่นั่งข้างๆ
"กลับบ้านหรอสาวน้อย?
ชายคนนั้นเอนตัวเข้ามาใกล้ตัว กลิ่นบุหรี่จางๆ ปะปนมากับกลิ่นเหงื่ออับชื้น แขนเสื้อของเขาขยับเล็กน้อยก่อนที่เสียงนั้นจะดังขึ้นอีกครั้ง
"ว่าไงทำไมไม่ตอบล่ะ?
สายตาตวัดมองอีกฝ่ายด้วยความหงุดหงิด กรามกัดแน่นข่มอารมณ์ที่เริ่มเดือด มือที่กำโทรศัพท์ไว้แน่นเริ่มเกร็งขึ้น เขาพยายามข่มอารมณ์ไว้ให้มากที่สุด
" แล้วยุ่งอะไรด้วยนี่ลุงออกๆไปไกลๆดิ๊
พูดไปก็เหมือนอีกฝ่ายไม่ได้รับการเตือนอะไรเลยสักนิด กลับกันยงส่งยิ้มแปลกๆกลับมาอีก
"แหม่คุณหนูไม่เห็นต้องพุดจาแรงๆใส่กันเลย แค่อยากคุยด้วยเฉยๆเอง
อารมณ์ขุ่นมัวปะทุขึ้นอย่างรวดเร็วจนแทบจะคุมตัวเองไม่อยู่
"พูดฟังไม่รู้เรื่องหรือไงวะ บอกให้ไปไกลๆ
เสียงกระแทกชัดเจนจนคนอื่นบนรถเริ่มหันมามอง บางคนทำเป็นไม่สนใจ แต่บางสายตาก็เริ่มจับจ้องมาที่ตรงนี้จนอีกฝ่ายชะงักไปนิดหนึ่ง ก่อนจะหัวเราะเบาๆ แบบน่าขนลุก
"โมโหง่ายจังเลยนะคนสวย
เพื่อตัดปัญหาเขาจึงตัดสินใจลุกขึ้นทันที พยายามเปลี่ยนที่นั่ง หรือถ้าไม่ได้ ก็เตรียมกดกริ่งลงจากรถเมล์ทันทีขณะกำลังจะลุกขึ้นทันใดนั้นก็รู้สึกถึงแรงฉุดรั้งที่ข้อมือ
"เดี๋ยวจะรีบไปไหน
เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นเบาๆ แต่ชัดเจนพอให้ฉันชะงัก รู้ตัวอีกที มือแข็งแรงของเขาก็จับข้อมือไว้แน่นพอให้หยุด แต่ไม่แรงจนเจ็บ สัมผัสนั้นร้อนกว่าที่คิด ตัดกับอากาศเย็นจากแอร์บนรถเมล์จนรู้สึกแปลกๆ นี่ถ้าเป็นร่างกายของเราจริงๆไอลุงเวรนี่ได้ลงไปนอนกับพื้นแล้ว
"ปล่อย
"นั่งด้วยกันก่อนสิคนสวย
ยังไม่ทันที่จะออกแรงเพิ่มเพื่อสะบัดหนี จู่ๆ ก็มีเสียงทุ้มดังขึ้นจากด้านหลัง
"มีปัญหาอะไรหรือเปล่าครับ
เสียงนั้นนิ่งแต่ทรงพลัง เพียงได้ยินเท่านั้น ไอ้โรคจิตที่นั่งอยู่ ก็ชะงัก แล้วหันไปมองคนที่เข้ามาแทรกอย่างหงุดหงิด แต่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ชายรูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้าคมคาย ดวงตาเข้มที่จ้องมองมาด้วยสายตาเรียบนิ่งแต่กดดัน บรรยากาศรอบตัวเขาเงียบขรึมจนรู้สึกถึงพลังบางอย่างที่ทำให้คนตรงหน้าชะงักไป
"ผมถามว่ามีปัญหาอะไร" เขาย้ำอีกครั้ง คราวนี้น้ำเสียงต่ำกว่าเดิม
โรคจิตถึงกับหัวเราะแห้งและเบือนหน้าหนีทันที
"ไม่มีอะไรหรอกก็แค่คุยเล่นกันเฉยๆ" มันพึมพำก่อนจะค่อยๆ ปล่อยมือที่จับ แล้วลุกเดินไปนั่งที่อื่นในที่สุด
เราถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ความรู้สึกหนักอึ้งในอกค่อยๆ คลายลง พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นชายหนุ่มคนนั้นยังคงยืนอยู่ สายตาของเขามองเราอย่างสำรวจเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงปกติ
"เธอโอเคใช่มั้ย
เราได้แต่พยักหน้าเบาๆเป็นการสื่อสารออกไป
"งั้นก็ดีแล้วครับ
"ขอบคุณครับ
"ครับ?
เวรแล้วไอวินลืมตัวไปเลยว่าเราตอนนี้อยุ่ในร่างผู้หญิง
"เอ่อพอดีว่าจะพูดว่าขอบคุณนะคะ แปลกจังเลยนะพูดอะไรออกไป เราได้แต่หัวเราะออกมาเพื่อกลบเกลื่อนความผิดที่พูดไป
" ไม่หรอกครับผู้หญิงพูดครับมีเยอะแยะไป ผมเข้าใจ
"อ่อค่ะดีจังเลย
ชายหนุ่มพยักหน้ากลับเล็กน้อยก่อนจะขยับตัวถอยเหมือนจะกลับไปนั่งที่ของตัวเอง แต่แล้วก็หยุดกลางคันแล้วหันกลับมาถามเสียงนิ่งๆอีกครั้ง
"จะลงป้ายไหน
ฉันขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่เข้าใจว่าเขาถามทำไม แต่ก็ตอบไปก่อนเพราะเราก็ไม่รู้จะลงที่ไหนเหมือนกัน
" อีกสองป้ายค่ะ
ชายหนุ่มพยักหน้าอีกครั้ง ก่อนจะพูดสั้นๆ
"ฉันชื่อคิริน เดี๋ยวอยู่เป็นเพื่อนจนลง"
คำพูดเรียบง่าย แต่กลับทำให้ความรู้สึกกดดันในอกเบาลงอย่างน่าประหลาด…
เสียงเบรกของรถเมล์ดังขึ้นเบาๆ ก่อนที่มันจะชะลอจอดที่ป้าย ฉันลุกขึ้นจากที่นั่ง หยิบกระเป๋ามาสะพายแล้วก้าวไปที่ประตูด้านหน้า คิรินลุกตามมาห่างๆ โดยไม่พูดอะไร
ก้าวแรกที่เหยียบลงบนฟุตบาท ฉันสูดลมหายใจลึกๆ ราวกับเพิ่งหลุดพ้นจากบรรยากาศกดดันเมื่อครู่ แต่ยังไม่ทันเดินไปไหน ก็รู้สึกถึงแรงสะกิดเบาๆ ที่ต้นแขน พอหันกลับไปนั้นก้เห็นคิรินยืนอยู่ตรงนั้น
"บ้านอยู่แถวนี้หรอ
ฉันพยักหน้าเล็กน้อย
"อ่า..อีกนิดก้ถึงแล้ว
คิรินมองไปรอบๆ ถนนยังมีรถผ่านไปมาแต่คนเดินกลับบางตา เขาขมวดคิ้วนิดๆ ก่อนพูดขึ้นเสียงเรียบ
"ให้ไปส่งไหม
ไม่รู้เพราะอะไรดลใจให้เราตอบไปแบบนั้นบางทีมันอาจจะเป็นจิตสำนึกของผู้หญิงคนนี้ก็ได้
"อืม แค่ถึงหน้าซอยก็พอ" ฉันตอบกลับเบาๆ
คิรินไม่ได้พูดอะไร แค่พยักหน้า แล้วเดินไปข้างๆฉัน จังหวะการก้าวเท้าของเขาสม่ำเสมอ ไม่ใกล้ไม่ไกลเกินไป แต่มั่นคงพอให้รู้ว่าเขายังอยู่ตรงนี้…
ระหว่างเดินก็มีเสียงข้อความดังขึ้นมาจากมือถือในกระเป่า ติีง
—"เม"
"เป็นห่วงจัง คิดถึงด้วยเจนทำอะไรอยุ่
ข้อความสั้นๆ แต่ทำให้ฉันหยุดเดินไปชั่วขณะ หัวใจเต้นแผ่วเบาอย่างไม่รู้ตัว ความอบอุ่นแปลกๆ แทรกซึมเข้ามาท่ามกลางอากาศเย็นยามค่ำคืน
"เป็นอะไร เสียงของคิรินเอ่ยถามขึ้น
ฉันเงยหน้ามองเขา ดวงตาคมสบมาอย่างสงสัยเล็กน้อย ไม่ได้กดดันแต่เหมือนแค่ต้องการรู้ว่าฉันโอเคไหม
ฉันส่ายหน้าเบาๆ พลางเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋า "เปล่า…ไม่มีอะไร"
เดินมาจนถึงหน้าซอย ฉันชะลอฝีเท้าก่อนจะหยุดตรงป้ายไฟข้างถนน หันไปมองคิรินที่ยังเดินมาส่งเงียบๆ ตั้งแต่ลงจากรถเมล์
"ส่งแค่นี้ก็ได้ ใกล้ถึงบ้านแล้ว" ถึงก็บ้าแล้วไอวินที่ไหนก็ไม่รู้เนี่ย
"โอเค งั้นไปละ " เขาเอ่ยเรียบๆ พลางเหลือบตามองฉันนิดหนึ่ง
"อือ งั้นกลับดีๆนะ" ฉันตอบกลับไปแบบไม่คิดอะไร แต่พอพูดจบ กลับรู้สึกแปลกๆ ขึ้นมาเอง
คิรินพยักหน้า ก่อนที่จะหันหลังเดินออกไป
ฉันยืนมองแผ่นหลังนั้นอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเบือนสายตากลับมา สูดลมหายใจเข้าลึกๆ คืนนี้วุ่นวายกว่าที่คิด…แต่ก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้นแล้วจะเอาไงต่อดีวะอยู่ที่ไหนวะเนี่ยบ้านก็กลับไม่ได้อีก
จริงด้วยไอเต้เพื่อนรักถ้าเเป็นมึงต้องเข้าใจแน่
...ตอนที่3...
ก๊อกๆ
เรายืนอยู่หน้าประตูบ้านของเต้ สูดลมหายใจลึกอยู่หลายครั้งก่อนจะตัดสินใจเคาะประตูเบาๆไม่นานก็ได้ยินเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามา ตามมาด้วยเสียงลูกบิดหมุนออก ประตูเปิดกว้างเผยให้เห็นใบหน้าของเต้เพื่อนรักของเรา
แต่สิงแรกที่มันทำคือการมองมาที่เราแล้วทำหน้าด้วยความงุนงง
" เอ่อใครอ่ะ?
ฉันชะงักไป ดวงตาเบิกกว้างเล็กน้อย ไม่ทันได้เตรียมใจเจอปฏิกิริยาแบบนี้
"ไอเต้ นี่กูเอง! ฉันรีบพูด แต่น้ำเสียงแฝงไปด้วยความร้อนรน
ยิ่งพูดไปแบบนี้เต้มันยิ่งทำหน้างงกว่าเดิมอีก
"กูไหน คุณเป็นใครครับแล้วรู้ชื่อผมได้ไง
หัวใจเรากระตุกวูบ ตอนนี้ถึงตระหนักได้ ว่า…ร่างที่เราอยู่ตอนนี้ ไม่ใช่ของเรา
เราได้แต่ยืนนิ่ง ตัวเย็นเฉียบไปหมด ไม่ใช่เพราะอากาศ แต่เป็นเพราะความจริงที่เพิ่งตระหนักได้เราไม่ได้อยู่ในร่างของตัวเองเราเริ่มกัดริมฝีปากแน่น ก่อนจะสูดหายใจเข้าแล้วพยายามควบคุมสติว่า ต้องทำอะไรสักอย่าง ต้องอธิบายให้เต้เข้าใจให้ได้
" ไอเต้ มึงฟังกูนะ เราพยายามที่จะพูดช้าๆให้อีกฝ่าย แต่เสียงของเราในตอนนี้มันชั่งแตกต่างจากเมื่อก่อนจริงๆ
"เดี๋ยวๆ หยุดก่อน" เต้ยกมือขึ้นราวกับจะบอกให้ฉันเงียบ ก่อนก้าวถอยหลังไป แล้วมองเราด้วยสายตาระแวง
"นี่มันเรื่องอะไรกัน เธอเป็นใครกันแน่มาหาผมทำไม เราไม่ได้รู้จักกันนะ
เรากลืนน้ำลายลงคอ พยายามหาคำตอบที่ฟังดูเป็นเหตุเป็นผล แต่มันมีที่ไหนกัน…เหตุผลสำหรับเรื่องเหนือธรรมชาติแบบนี้ใครมันจะไปเชื่อได้ง่ายๆ
"ไอเต้นี่กูเอง มาวินไงเพื่อนของมึง
"ว่าไงนะ เต้ได้แต่กระพิบตากับคำพูดของเรา
"กูไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พอกูตื่นมาแล้วก็อยู่ในร่างคนอื่น ไม่รู้ด้วยซ้ำว่านี่ใคร แต่กูคือมาวินจริงๆ"
เต้จ้องหน้าเราแล้วนิ่งไปหลายวินาที สายตาเต็มไปด้วยความสับสน ขณะที่เราเองก็แทบจะหยุดหายใจ รอให้มันตอบอะไรสักอย่าง
"มุกใหม่หรอวะ คนสมัยนี้หากินกันง่ายเนอะ เลิกล้อเล่นได้แล้วก่อนที่ผมจะไล่คุณไป
"ไม่ใช่เต้!" เราเผลอขึ้นเสียงออกไป ตกใจกับความสิ้นหวังในใจตัวเองมากกว่าปฏิกิริยาของมัน
"กูพูดจริง! มึงต้องเชื่อกู!" เราสูดหายใจลึก พยายามเรียบเรียงความคิดให้ดีที่สุด ก่อนจะมองเต้ตรงๆ แล้วพูดออกมา
"โอเค ถ้ามึงไม่เชื่อ เดี๋ยวกูจะพิสูจน์ให้มึงเข้าใจเอง"
"ยังไง เต้ได้แต่ยืนกอดอกทำหน้าไม่พอใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น
เราเม้มปากเล็กน้อย แต่ไม่นานก็นึกอะไรขึ้นมาได้ว่า จะต้องเล่าแต่เรื่องที่มีแค่เรากับเต้ที่รู้ ดีล่ะงั้นเอาเป็นเรื่องนี้ดีกว่า
"ครั้งแรกที่เรารู้จักกัน คือตอน ม.ต้น มึงเผลอเตะบอลไปโดนหัวอาจารย์พละ แล้วกูก็เป็นคนช่วยพามึงวิ่งออกไป จำได้ไหม?"
เต้ชะงักไปเล็กน้อย ในตาฉายแววลังเล แต่ยังไม่ตอบอะไร
เรารีบพูดต่อ "แล้วตอนปีใหม่ปีที่แล้ว มึงแอบเอาเหล้าไปซ่อนแฟนมึงไว้หลังตู้เย็นห้องกูเพราะกลัวว่าแฟนมึงจะด่า แต่สุดท้ายแฟนมึงก็จับได้"
"แล้ววันก่อนมึงยังบอกให้กูไปขอพรกับเจ้าแม่นางแมวอยู่เลย
"เดี๋ยวนะ....เรื่องนี้...มัน เต้เริ่มขมวดคิ้ว เหมือนกำลังคิดหนัก
เรามองไปที่เต้อย่างคาดหวัง "มึงจำได้แล้วใช่มั้ย เรื่องพวกนี้มีแค่เราสองคนที่รู้
ต้เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ เอามือกุมขมับ "นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันวะ เป็นไปได้ยังไง"
"ไม่รู้ดิพอกูตื่นมาก็อยู่ในร่างนี้แล้ว เราตอบกลับไปเบาๆ
เต้ยืนอึ้งไปอีกพัก ก่อนจะพึมพำกับตัวเอง "เรื่องแบบนี้มันมีจริงๆ เหรอวะ…" แล้วมันก็มองเราใหม่อีกครั้ง แต่สีหน้าต่างออกไปจากเดิมเล็กน้อย
"คือถ้ามึงคือ มาวินจริงๆอะ มึงต้องรีบหาทางกลับไปเป็นเหมือนเดิมให้เร็วที่สุด
"นี่มึงยอมเชื่อกูแล้วหรอวะ
เต้ถอนหายใจอีกครั้ง ก่อนจะพยักหน้า "เออ…แบบไม่อยากเชื่อแต่ก็ต้องเชื่อแล้วล่ะ"
หลายนาทีต่อมา
เต้เดินวนไปมารอบห้อง มือกอดอกแน่นเหมือนกำลังพยายามคิดหาทางออก ส่วนเราก็ได้แต่นั่งนิ่ง มองมันด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก
"ไอเต้ มึงช่วยหยุดเดินไปเดินมาก่อนได้มั้ยวะ เวียนหัวจะตายห่าแล้ว
สุดท้ายเขาหยุดเดินแล้วหันมาหาฉัน "โอเค ก่อนอื่นเลย เราต้องหาว่าร่างที่มึงอยู่ตอนนี้เป็นใคร แล้วจะออกไปได้ไง"
"กูรู้แค่ว่าผู้หญิงคนนี้ชื่อเจนและเหมือนจะมีความสัมพันธ์บางอย่างกับผู้หญิงที่อยู่ห้องข้างๆกู
"ไอคนที่ซ้อมกีต้าร์เสียงดังจนมึงต้องมานอนห้องกุอะนะ เต้ถามออกมาด้วยความสงสัย
" เออคนนั้นแหละ
เรายังคงจมอยู่กับความกังวลว่าจะกลับร่างตัวเองได้ยังไง แต่จู่ๆ ก็รู้สึกได้ถึงสายตาของเต้จ้องมาอย่างนิ่งๆ
"อะไร? เราขมวดคิ้วเล็กน้อย
เต้กระพริบตาปริบๆ เหมือนเพิ่งรู้ตัวว่าจ้องอยู่นานไปหน่อย มันยกมือขึ้นเกาหัว ทำหน้าเหมือนอยากพูดอะไรแต่ก็ลังเลสุดท้ายมันก็พึมพำออกมาเบาๆ
"กูแค่...จะบอกว่า..ร่างนี้ดูโอเคเลยนะ
"หา..มึงพูดเหี้ยอะไรของมึง
เต้ทำเหมือนพูดไปงั้นๆ แต่สายตากับกวาดมองเราอีกรอบ "หมายถึง…ถ้ามึงต้องมาติดอยู่ในร่างใครสักคน อย่างน้อยก็โชคดีที่เป็นร่างนี้ ดูดีเลยนะเว้ย"
เราก้มลงมองตัวเอง นี่เป็นครั้งที่สอง ที่เราสังเกตร่างใหม่ดีๆ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา ใบหน้าที่สะท้อนในกระจกข้างโต๊ะไม่ใช่ของเราจริงๆ มันเป็นของใครบางคนที่เราไม่รู้จักผิวเนียน ผมยาวสลวย ดวงตากลมโตแบบที่ฉันไม่เคยมีมาก่อน
เรารีบเงยหน้าขึ้น "เดี๋ยวนะ! นี่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญไหม!? มองเหี้ยอะไรหยุดยิ้มเลย"
เต้หัวเราะเบาๆ ยกมือขึ้นเป็นเชิงยอมแพ้ "โอเคๆ กูยอมก็ได้"
"เออนี่ไอเต้ กูมีเรื่องจะขอ
"อะไรวะ เต้มองมาด้วยสีหน้าที่สงสัย
เราหันไปมองเต้ที่ยังยืนทำหน้าเครียดอยู่ ก่อนจะพูดออกไปตรงๆ
"คืนนี้กูนอนกับมึงด้วยนะ"
เต้สะดุ้ง หันขวับมามองเราทันที "หา!? เดี๋ยวๆๆ พูดใหม่ดิ กูได้ยินผิดหรือเปล่า!?"
"ไม่ผิด กูบอกว่าคืนนี้ขอนอนด้วย
เต้ทำหน้าเหมือนจะเป็นลม "เฮ้ย! นี่มันร่างผู้หญิงนะเว้ย! กูจะให้นอนห้องเดียวกันได้ไง!?"
ฉันกรอกตา ถอนหายใจแรง "กูคือกูเว้ย ถึงร่างจะเป็นผู้หญิงแต่ข้างในกูก็ยังเป็นกู"
เต้ยังทำหน้าลังเล "แต่แบบนี้มันไม่แปลกหรอวะ!?"
ฉันยกมือขึ้นกุมขมับ "เต้ กูไม่รู้จักใครในร่างนี้เลย ห้องกุก้กลับไม่ได้ กลับไปก็ไม่รู้ต้องเจอกับอะไร มึงจะปล่อยให้กูนอนไปแบบไม่รู้ชะตากรรมเหรอ?"
เต้อ้าปากเหมือนจะเถียง แต่ก็พูดไม่ออก สุดท้ายก็แค่นั่งลงบนเตียงแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ "โอ๊ย! ให้ตายเหอะ ทำไมกูต้องมาเจอเรื่องแบบนี้วะเนี่ย"
เรารีบยิ้มแห้งๆ แล้วเดินไปหยิบหมอนจากเตียงมาวางที่พื้น "เอางี้ กูนอนพื้นก็ได้ มึงสบายใจได้"
เต้มองแบบปลงๆ ก่อนจะโบกมือ "เออๆ ตามใจเหอะ กูไม่อยากคิดอะไรแล้ว"
เช้าวันต่อมา...
เราค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา รู้สึกปวดเมื่อยไปทั้งตัวเพราะนอนบนพื้นทั้งคืน กำลังจะบิดขี้เกียจอยู่ดีๆ ก็รู้สึกถึงอะไรหนักๆ ทับอยู่บนตัว
"เฮ้ย!"
ฉันสะดุ้งตื่นเต็มตาแล้วพบว่าไอ้เต้กลิ้งลงมาจากเตียงมาทับฉัน!
"ไอ้เต้! ลุกออกไปนะโว๊ย
เต้สะดุ้งตื่น หรี่ตาเบาๆ ก่อนจะทำหน้ามึน "อะไรวะ…ยังเช้าอยู่เลย…"
"เช้าพ่อง! มึงกลิ้งลงมาทับกู!"
เต้กระพริบตาปริบๆ มองสภาพตัวเองที่เกยอยู่บนตัวมาวิน ก่อนจะรีบถอยออกไปนั่งกุมหัว เหี้ยลืมไปว่ามึงอยู่ในร่างผู้หญิง"
"ไอสัส ตัวไม่ใช่เบาๆ ช้ำไปหมดแล้วมั้งเนี่ย
"เออๆ..โทษทีหว่ะกูลืมตัว" เต้ตอบมาด้วยสีหน้าที่รู้สึกผิด
เรากรอกตา "ช่างเรื่องร่างกูก่อนเถอะ มึงไปล้างหน้าล้างตาก่อนไป!"
เต้พยักหน้าอย่างง่วงๆ ก่อนจะเดินเซๆ เข้าไปในห้องน้ำ เราถอนหายใจเฮือกใหญ่ มองไปรอบห้อง รู้สึกเหมือนสมองยังไม่ตื่นเต็มที่
เสียงแจ้งเตือนโทรศัพท์ดังขึ้น ฉันหยิบขึ้นมาดูแล้วพบว่าเป็นข้อความจาก เม
"ตื่นรึยังคะคนเก่งของเม? วันนี้เมจะไปรับออกจากโรงพยาบาลนะ "
เราชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะนึกขึ้นได้… เมยังคิดว่าฉันอยู่ที่โรงพยาบาล!
เราจึงรีบพิมพ์กลับไปทันที
"ไม่ต้องหรอกเม...เดี๋ยวเรากลับเองได้
ไม่นานนัก เมก็พิมพ์ตอบกลับมาเร็วมาก
"ได้ยังไงคะ จะปล่อยให้เจนกลับคนเดียวได้ไงไม่ต้องตอบแล้วเดี๋ยวเมจะรีบไป รอเมอยู่เฉยๆก็พอค่ะ
เรากลืนน้ำลายเล็กน้อย สถานการณ์มันเริ่มยุ่งเหยิงขึ้นเรื่อยๆ แล้ว
เราเงยหน้ามองเต้ที่เพิ่งเดินออกจากห้องน้ำมา เช็ดหน้าตัวเองแบบง่วงๆ พอเห็นสีหน้ากังวลของเราก็ขมวดคิ้ว "มีอะไร?"
"เมจะมารับกูออกจากโรงพยาบาล แต่ปัญหาคือ…กูไม่ได้อยู่ที่นั่นแล้ว"
เต้อึ้งไปสองวิ ก่อนจะถอนหายใจ "เออ จริงด้วย แล้วมึงจะเอาไงต่อ?"
เรากัดฟันแน่น ก่อนจะตัดสินใจลุกพรวดขึ้นทันที
"ไม่ได้แล้ว กูต้องกลับไปโรงพยาบาลก่อนที่เมจะไปถึง!"
เต้ทำหน้าเหวอ "หา!? แล้วมึงจะกลับไปทำไมวะ!?"
"กูไม่อยากมีปัญหาแล้วอีกอย่างกูต้องสืบตัวตนของผู้หญิงคนนี้ด้วย เผื่อจะมีวิธีกลบไปร่างเดิม
เต้ขมวดคิ้วล็กน้อยเหมือนอยากเถียง แต่สุดท้ายก็พ่นลมหายใจออกมาแรงๆ "เออๆ ก็ได้ๆ เดี๋ยวกูไปกับมึง"
"เห้ยไม่ต้องกูไปเองดีกว่า มึงไปส่งกูขึ้นแท็กซี่ก้พอ"
ระหว่างที่รถแล่นไปโรงพยาบาล เราหยิบมือถือขึ้นมาดูแชทของเมอีกครั้ง โชคดีที่เธอยังไม่ถามอะไรมาอีก แต่เรารู้ดีว่าเธอต้องมุ่งหน้าไปที่โรงพยาบาลแล้วแน่ๆ
ขอให้ไปถึงทันก่อนที่เรื่องมันจะแย่กว่านี้ทีเถอะ…
ไม่นานนัก รถแท็กซี่ก็มาจอดที่หน้าโรงพยาบาล เราจ่ายเงินแล้วรีบลงจากรถ สูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเดินเข้าไปอย่างเป็นธรรมชาติที่สุด เดินไปได้ไม่นานหัวใจก็แทบจะหยุดเต้น
" ซวยแล้วเมอยู่ตรงนั้น ทำไมถึงไวขนาดนี้นะ " เราได้ที่แต่บ่นเบาๆออกไปกลัวอีกฝ่ายจะได้ยิน
เธอยืนคุยกับพยาบาล สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวลและสงสัย เรารีบถอยหลังไปหลบหลังเสา พยายามตั้งสติให้เร็วที่สุด
"พยาบาลต้องบอกแล้วแน่ว่าเราไม่ได้อยู่ที่ห้อง"
เราถอยหลังไปอีกนิด คิดหาทางว่าจะแก้สถานการณ์ยังไงดี สุดท้ายก็สูดหายใจลึกๆ ตัดสินใจหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพิมพ์หาเมก่อน
"เมมาถึงหรือยังคะ"
เราแอบมองเมจากตรงนี้ เห็นเธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเช็ก แล้วสีหน้าก็เปลี่ยนไป
"เจนอยู่ไหน!? เราอยู่หน้าห้องพักเจน แต่พยาบาลบอกว่าเธอหายไป!"
เราเม้มปากแน้น คิดสิมาวินจะเอาไงต่อดีวะ สุดท้ายก็ตัดสินใจเดินออกจากมุมที่หลบอยู่ ทำท่าทางให้ดูเหมือนไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น แล้วเดินตรงไปหาเม
"เม มาถึงแล้วหรอ " เราตอบออกไปแบบเนียนๆทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เมหันมาในทันที สีหน้าก็เต็มไปด้วยความสงสัย "นี่มันอะไรกันเจน เธอหายไปไหนมา"
เราพยายามทำหน้าตกใจ "หายไป? เราไม่ได้หายไปไหนนะ เราแค่…ออกไปเดินเล่นข้างล่างเฉยๆ" จะเชื่อมั้ยวะ เหตผลพอจะฟังขึ้นหรือเปล่า
เมขมวดคิ้ว "เดินเล่น? แต่พยาบาลบอกว่าห้องเจนว่างเปล่ามาตั้งแต่เช้า แล้วก็ไม่ได้บอกใครเลย! เจนไปไหนมากันแน่"
เรากลืนน้ำลายอึกใหญ่"เอ่อ...พอดีว่าอากาศมันดีมากเจนเลยเดินเพลินไปหน่อย..ขอโทษนะที่ทำให้เป็นห่วง"
เมยังจ้องฉันด้วยสายตาสงสัย แต่สุดท้ายเธอก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่
"เธอนี่มันจริงๆ เลยนะ! รู้ไหมว่าเราห่วงแค่ไหน!"
เราพยักหน้ารัวๆ "ขอโทษจริงๆ เม เราไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้"
เมส่ายหน้า ก่อนจะดึงข้อมือฉันเบาๆ "กลับเข้าห้องก่อนเลย เดี๋ยวเราต้องคุยกัน"
เมลากเรากลับเข้าห้องแล้วปิดประตูดัง ปัง!
เราตกใจเล็กน้อยแต่เมื่อมองไปยังคนตรงหน้า กับเห็นสีหน้าที่จริงจังไม่บอกก็รู้ว่าอีกฝ่ายหงุดหงิดแค่ไหน
"เธอนี่มันจริงๆเลยนะเจน ออกไปไหนไม่บอกใครได้ยังไง!?"
"ก็...เราขอโทษนะ...แต่เราไม่ได้เป็นอะไรจริงๆนะ
เธอถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะพูดด้วยเสียงเย็นชา "งั้นเธอต้องโดนลงโทษ"
เราเบิกตากว้าง "หา!? ลงโทษอะไรเนี่ยล้อเล่นใช่มั้ย!?"
"เมดูเหมือนล้อเล่นเหรอ?"
เรากลืนน้ำลาย ฝืนหัวเราะแห้งๆ "เดี๋ยวนะเม… ลงโทษที่ว่าเนี่ยมันแบบไหนหรอ"
ไม่ทันขาดคำ เมก้าวเข้ามาประชิดตัว เรารีบถอยหลังหนี แต่ลืมไปว่าห้องมันเล็กแค่ไหน แผ่นหลังก็ชนเข้ากับกำแพงหัวใจเต้นแทบจะทะลุออกมา "มะ...เมใจเย็นก่อนสิ"
เมยกมือขึ้นมาเท้าไว้ข้างตัวเรา ดวงตาของเธอฉายแววเจ้าเล่ห์ "เธอทำให้ฉันเป็นห่วงมากเลยนะเจน… แบบนี้คงต้องโดนลงโทษหนักหน่อย"
เราได้แต่กำมือแน่น พยายามหาคำพูดมาห้าม แต่ไม่ทันแล้ว… เมโน้มตัวลงมาใกล้จนได้ยินเสียงลมหายใจ ริมฝีปากของเธอแนบลงมาบนริมฝีปากเราอย่างแผ่วเบา ก่อนจะกดหนักขึ้นเล็กน้อย
เราเบิกตากว้าง สมองหยุดประมวลผลไปชั่วขณะ หัวใจเต้นโครมครามจนแทบหลุดออกมา
"นี่มันเรื่องบ้าอะไรเนี่ย!!"
เมผละออกไปเล็กน้อย มองเราด้วยสายตาพอใจ ก่อนจะยิ้มมุมปาก "จำไว้ ถ้าเจนทำให้เมเป็นห่วงอีก คราวหน้าจะหนักกว่านี้แน่"
เราทำได้แต่ยืนอึ้งเพราะตอนนี้ทำอะไรไม่ถูกแล้วเลยเอ่ยปากพูดไปแบบเสียงสั่น "เม..."
แต่เมแค่หัวเราะเบาๆ ก่อนจะเดินถอยออกไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นปล่อยให้เรายืนตัวแข็งอยู่ตรงนั้น ในขณะที่หัวใจเต้นแรงเหมือนจะระเบิดออกมา…
เป็นบ้าอะไรของมึงวะมาวิน มึงกำลังหวั่นไหวงั้นหรอ สติหน่อยดินี่ไม่ใช่ร่างกายของแกนะ นี่คือสิ่งที่ตีอยุ่ในหัวเราอยู่ตอนนี้....
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!