เมื่อฟางเหนียง สตรีผู้มีกลิ่นกายดั่งบุปผา เธอถูกชายผู้สวมหน้ากากจับตัวไปเพื่อเป็น สิ่งของบรรณาการให้กับองค์ฮ่องเต้วัยชรา แต่ทว่ายังไม่ทันพี่นางจะถึงพระราชวัง องค์ฮ่องเต้ก็ทรงสวรรคตเสียก่อนแล้ว แต่ถึงอย่างไรฟางเหนียงก็ต้องถวายตัวให้กับฮ่องเต้องค์ใหม่อยู่ดี ในคืนวันถวายตัวนั้น ฟางเหนียง จึงได้รู้ความจริงว่าฮ่องเต้องค์ใหม่นั่นก็คือชายผู้สวมหน้ากากคนที่น่ากลัวผู้นั้นนั่นเอง แต่ในระหว่างทางด้วยความใกล้ชิดทำให้ทั้งสองแอบมีใจให้กัน นางจึงเต็มใจที่จะยอมเป็นพระสนมของฮ่องเต้ผู้มีใบหน้าอัปลักษณ์ และสวมหน้ากาก แต่ทว่าในวันหนึ่ง ฮ่องเต้ได้ถอดหน้ากากให้นางได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของพระองค์ ฟางเหนียงจึงได้รู้ว่า ฮ่องเต้นั้นมิได้อัปลักษณ์อย่างที่นางคิดเลยแม้แต่น้อย เขากลับมีรูปโฉมที่งดงามราวกับเทพเซียนลงมาจุติ ทั้งสองคลองรักกันจนกระทั่ง วันหนึ่ง เมื่อพระมเหสียุยงประชาชนและเหล่าข้าราชบริพารให้เกลียดและกลัว ฟางเหนียง ที่มีกลิ่นกายหอมดังดอกไม้ ด้วยความแปลกประหลาดนี้ ทำให้ผู้คนต่างหวาดกลัว ว่านางนั้นเป็นปีศาจจำแรงแปลงกายมายั่วยวน องค์ฮ่องเต้ และในขณะนั้นเอง ฟางเหนียงที่กำลังตั้งครรภ์อยู่ เทพผู้ให้กำเนิด ฟางเหนียง เกิดความสงสาร จึงลงมาให้ความกระจ่างแก่ประชาชน ว่านางนั้นมิใช่ปีศาจแต่เป็น ธิดาแห่งเทพ ฟางเหนียงจึงกลายเป็น ที่รัก เคารพและบูชาสำหรับประชาชน เมื่อพระสนมได้ให้กำเนิด องค์ชายตัวน้อยมีพระนามว่าฟางจิน องค์ชายน้อยนั้นได้โลหิตมาจากพระมารดา ทั้งดวง หน้าแววตา ผิวกาย และกลิ่นกายที่หอมดุจอัปสร ผู้ใดได้อยู่ใกล้ต่างหลงใหล ทั้งสตรี และบุรุษ องค์ชายน้อยได้ถูกเลี้ยงดูมาคู่กับองครักษ์ ตงหยาง มาตั้งแต่ยังเยาว์วัย ตงหยาง นั้นเป็นบุตรชายขององครักษ์ฝีมือดีของฮ่องเต้บิดาขององค์ชายฟางจิน ที่มีนามว่าซุนเต๋อ เขาได้ฝึกฝนให้องค์ชายมีฝีมือทั้งบุ๋นและบู๊ไปพร้อมกันกับบุตรชายของเขา องค์ชายฟางจิน สนิทกับตงหยางมาก ทั้งสองไม่เคยห่างกันเลยแม้สักวันจนกระทั่งเติบใหญ่ องค์ชายฟางจินได้รับการสถาปนาเป็นองค์รัชทายาทในเวลาต่อมา และพระสนมฟางเหนียง ได้ให้กำเนิด องค์ชายรองอีกหนึ่งพระองค์ มีพระนามว่า องค์ชายหลิงเฉา แต่องค์ชายหลิงเฉานั้น กลับมีรูปโฉมเหมือนกับพระบิดาที่มีหน้าตาหล่อเหลาร่างกายกำยำและแข็งแรง แต่องค์ชายหลิงเฉานั้น กลับมิได้ชอบการสู้รบ เขารักความสงบสุข ชอบอยู่อย่างสันโดษ และแอบเที่ยวเล่นภายในวังอยู่คนเดียว ชอบอ่านหนังสือและการเรียนรู้ ถึงแม้ว่าองค์รัชทายาทจะมีใบหน้าดังสตรี แต่ทว่าพระองค์มีความสามารถไม่แพ้บุรุษคนใด มีฝีมือการต่อสู้ที่ได้รับการฝึกฝนมาจากซุนเต๋อ ความสนิทและความใกล้ชิดพี่องค์รัชทายาทมีให้กับ ตงหยาง นั้นมันเริ่มก่อตัวขึ้นมาในตอนไหนพระองค์มิอาจรู้ได้ องค์รัชทายาทเก็บงำความรู้สึกนี้ไว้ภายในพระหฤทัยแต่เพียงพระองค์เดียว ไม่กล้าเปิดเผย และไม่คิดจะเปิดเผยเพราะ พระองค์เกรงว่า ความรู้สึกที่ตงหยาง มีให้กับพระองค์จะแปรเปลี่ยนไป ถ้าหากว่า ตงหยางทราบว่า พระองค์มีใจให้กับเขา ตงหยางอาจจะรังเกียจ พระองค์ก็เป็นได้ ความรักที่ก่อเกิดจากเพศเดียวกันมันเป็นเรื่องที่ร้ายแรงหากมีผู้ใดได้ล่วงรู้พระองค์จะไม่ปลอดภัยและอาจจะต้องถูกกดจากตำแหน่งและถูกเนรเทศ บุตรผู้เคร่งขรึมเขามีนิสัยและบุคลิกที่เหมือนกับบิดาไม่มีผิดเพี้ยน มารดาของเขาชื่อซิ่ว ให้กำเนิดตงหยาง และน้องชายชื่อ ติงลี่ และน้องสาวคนสุดท้องชื่อ หลงเอ๋อ ทั้งสาม คนเป็นองครักษ์ขององค์รัชทายาททั้งหมด หลิงเอ๋อสตรีที่มีมาดเคร่งขรึมไม่ต่างจากพี่ชายเลย ส่วนตัวติงลี่แสนซนและขี้เล่น มีมุกตลกพูดให้ผู้คนที่อยู่รอบตัวได้สนุกสนาน สามทหารเสือคือสหายขององค์รัชทายาทคู่มือกลิ่นกายหอมหวานดุจอัปสร เหล่าบรรดานางในต่างฝันเฟื่อง และปรารถนาที่จะได้รับใช้ องค์รัชทายาท
“ผู้ใดกันนะจะได้เป็นนางในดวงพระหฤทัยของพระองค์ ขอให้เป็นข้าด้วยเถิดหากวันใดข้าได้เข้าเฝ้าองค์รัชทายาท ข้าจะปรนนิบัติให้พระองค์ได้พอใจและถึงใจ ถ้าจะต้องเป็นนางในดวงพระหฤทัยให้จงได้”
“ฝันเฟื่อง เจ้ายังไม่รู้สินะว่าท่านเสนาบดีหรี่ได้มั่นหมายบุตรสาวของเขากับองค์รัชทายาทแล้ว และอีกไม่นานเมื่อองค์รัชทายาทอายุครบสิบแปดชันษาพระองค์จะต้องเข้าพิธีอภิเษกสมรสกับนาง”
“ข้าและนางสนมทุกคนมีสิทธิ์ที่จะใฝ่ฝันถึงพระองค์ ถึงพระองค์จะอภิเษกก็ใช่ว่าพวกนางในอย่างพวกเราจะไม่มีสิทธิ์นี่นา”
“เจ้ายังไม่รู้อีกอย่างน่ะสิ ฝ่าบาทไม่เคยเรียกใช้นางใน พระองค์มีเพียงพระมเหสี และพระสนมฟางเหนียง เท่านั้น พระมเหสีนั้นฝ่าบาททำไปด้วยหน้าที่ ส่วนพระสนมคือหญิงอันเป็นที่รักของพระองค์ จนบัดนี้หญิงนางเดียวที่ครอบครองพระหฤทัยของพระองค์ได้มีเพียงพระสนมฟางเหนียงเท่านั้น และข้าก็คิดว่าองค์รัชทายาทคงเป็นเช่นเดียวกันกับเสด็จพ่อของพระองค์แน่ ๆ”
สายลมหนาวพัดผ่านเข้ามาทำให้องค์รัชทายาทฟางจิน รู้สึกหนาวเรือนกายจนสั่นสะท้าน เยว่หลิง บุตรสาวของท่านเสนาบดีหลี่ มากไปด้วยอิทธิพลและอำนาจที่กุมอยู่ในมือของเขา ทำให้องค์รัชทายาทไม่สามารถจะปฏิเสธได้พระองค์ต้องแต่งงาน ด้วยหน้าที่ทางการเมือง เพื่อมิให้บัลลังก์ ต้องสั่นคลอน แต่พระองค์ทรงอึดอัดพระทัยยิ่งนัก เสียงถอนหายใจยาวอยู่หลายครั้ง แววตาหม่นหมองและแฝงด้วยความวิตกกังวล อย่างหนักหน่วง ความลับที่มีเพียงเขาคนเดียวที่รู้ว่า ตัวตนที่แท้จริงของเขานั้นเป็นอะไร หากแม้จะต้องเข้าห้องหอ เขาจะฝืนทนมีความสัมพันธ์กับเยว่หลิง ได้หรือเปล่า
“ฝ่าบาทพระองค์ไม่ทรงพอพระทัยเรื่องอันใดบอก กระหม่อมได้นะพะยะค่ะ”
“ถ้าไม่อยากอภิเษก มิใช่ว่านาง มิได้งดงามแต่ประการใด แต่ข้ามิได้มีใจให้กับนาง ถ้ามีใครบางคนอยู่ภายในใจแล้ว”
“สตรีนางนั้นคือผู้ใดหรือพะยะค่ะ ? กระหม่อมรู้จักหรือไม่ พระองค์ก็อภิเษกยกย่อง แทนเยว่หลิง ให้เป็นฮูหยินใหญ่ ส่วนนางในดวงพระหฤทัยของพระองค์ก็เป็น ฮูหยินรอง เหมือนกับพระบิดาของพระองค์ก็ได้นี่พะยะค่ะ”
“ ข้าคงทำเช่นนั้นไม่ได้ เพราะข้าไม่รู้ว่า เขามีใจให้กับข้าบ้างหรือเปล่า?”
“ในใต้หล้านี้ไม่มีสตรีนางใดมิหลงรักองค์รัชทายาทที่มีพระสิริโฉมงดงามดั่งเทพเซียนหรอกนะพะยะค่ะ หากว่าพระองค์ต้องการให้กระหม่อมช่วยอันใดพระองค์ทรงตรัสบอกกระหม่อมได้เลยนะพะยะค่ะ”
“ขอบน้ำใจของเจ้ามาก ตงหยาง ข้ามีเพียงเจ้า…….”
องค์รัชทายาทหยุดชะงักไม่กล้าที่จะพูดอะไรต่อไปเขาอยากจะบอกว่า มีเพียงคนเดียวที่อยู่ภายในหัวใจของเขานั่นก็คือ บุรุษที่เขากำลังพูดคุยอยู่ด้วยในขณะนี้ แต่เขาก็ไม่สามารถที่จะเอ่ยออกมาได้
“ถ้ามีเพียงเจ้าผู้เดียวที่เข้าใจข้า ตงหยาง”
แววตาคู่นั้นมีความหมายลึกซึ้ง พี่กำลังจับจ้องใบหน้าคมหล่อเหลาขององครักษ์หนุ่ม ตงหยางยื่นมือไปหาองค์รัชทายาทพร้อมกับส่งยิ้มให้จากหัวใจที่ปรารถนาดี และมีความจงรักภักดีต่อผู้เป็นนายชีวิตของเขา องค์รัชทายาทยื่นมือมาจับมือของตงหยางไว้ อย่างแนบแน่นความอบอุ่นจากฝ่ามือใหญ่ขององครักษ์ตงหยาง ส่งผ่านไปถึงหัวใจจนทำให้เรือนกายร้อนวาบไหว
“กระหม่อมจะอยู่เคียงข้างพระองค์เสมอ”
แสงอาทิตย์ยามเช้าสาดส่องเข้ามาในตำหนักแต่งกายขององค์รัชทายาทฟางจิน ประจกบานใหญ่ที่พึ่งได้มาเป็นของขวัญสำหรับงานอภิเษกสมรสขององค์รัชทายาทจากแผนอื่น องค์รัชทายาทยืนมองเรือนกาย ต้นเองที่กำลังแต่งโอโซนเรื่องเพื่อเข้าพิธีในอีกไม่กี่ชั่วยามนี้ ขันทีคนสนิทขององค์รัชทายาทยังคงทำหน้าที่ของเขาอยู่เช่นเดิม
“บุตรสาวของท่านเสนาบดี ไม่ถูกพระทัยของพระองค์หรือพะยะค่ะ ? ทำไมพระองค์ทรงแสดงสีพระพักตร์ เช่นนั้นเล่า พะยะค่ะ”
“ข้ายังไม่อยากแต่งงาน ข้ารู้สึกว่าข้ายังเด็กเกินไป ที่จะมีคู่ครอง”
“ไม่เด็กแล้วนะพะยะค่ะ พระองค์มีพระชนมายุสิบแปดชันษาแล้ว เป็นหนุ่มพอที่จะออกเรือนได้แล้วนะพะยะค่ะ ต้องตำหนิเจ้าองครักษ์ ตงหยาง ที่มัวแต่พาพระองค์เที่ยวเล่นจนพระองค์ทรงคิดว่าพระวรกายและพระหฤทัยยังเป็นเด็กอยู่”
กระจกบานใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางห้องแต่งกายประจำตัวของพระองค์ราชทายาท มันได้สะท้อนความเศร้าหมองบนใบหน้าของเขาอย่างเห็นได้ชัด สายตาที่ว่างเปล่าดั่งคนหมดอาลัยกับทุกสิ่งทุกอย่าง ความวิตกกังวลหลายอย่าง ทั้งการเข้าห้องหอ ซึ่งเป็นงานใหญ่สำหรับองค์รัชทายาทเลยทีเดียว เขารู้สึกว่า ให้เขาออกรบต่อสู้กับข้าศึกนับพันเพียงคนเดียวเสียยังจะดีกว่า
“พระองค์ทรงพระสิริโฉมเหมือนพระสนมเลยนะพะยะค่ะ แต่ได้ความสูงสง่าและความแข็งแกร่งมาจากองค์ฮ่องเต้ สมบูรณ์แบบโดยแท้จริง แต่ถ้าจะให้สมบูรณ์ยิ่งกว่านี้พระองค์ต้องแสดงสีพระพักตร์ให้มันสดชื่นแจ่มใสกว่านี้นะพะยะค่ะ เพลานี้ พระองค์ต้องทรงทำหน้าที่ขององค์รัชทายาทให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น คือการอภิเษก บัลลังก์จะได้ไม่สั่นคลอนเพื่อกระหม่อมนะพะยะค่ะ”
องค์รัชทายาทฟางจิน ยกยิ้มอย่างฝืนๆ เพราะเขารู้ว่าปัญหาหลังจากการอภิเษก กำลังจะตามมา แต่เขาก็ไม่สามารถบอกความจริงเกี่ยวกับสิ่งที่เขาเป็นอยู่ให้กับผู้ใดล่วงรู้ได้ ตระกูล หลี่คือตระกูลที่มีอำนาจมากที่สุดอยู่ในขณะนี้ ท่านเสนาบดีควบคุมกองกำลังทหารภายในตำหนักและนอกตำหนักทั้งหมด ฮ่องเต้จึงยอมเมื่อท่านเสนาบดีจะให้บุตรสาวของ ท่านเสนาบดี ขอให้บุตรสาวของเขาได้อภิเษก ท่านเสนาบดีเป็นคนคตในข้องอในกระดูก และองค์ฮ่องเต้ก็ไม่สามารถจะทำอะไรเขาได้ แต่องค์ฮ่องเต้ก็มิได้นิ่งนอนใจเขาหาทางเอาผิดและโค่นล้มอำนาจของท่านเสนาบดีหลี่อยู่ตลอดเวลาแต่ทว่ายังไม่มีโอกาสนั้น เสนอให้เยว่หลิง เข้ามาเป็นพระชายาขององค์รัชทายาท ห้องเป้ก็ยิ่งคิดหนัก เมื่อ เยว่หลิง เพราะเมื่อเยว่หลิง ได้เป็นพระชายาก็เท่ากับว่าเพิ่มอำนาจและบารมีให้กับเสนาบดีเพิ่มมากขึ้นไปอีก ดั่งนกน้อยที่อยู่ในกรงทอง องค์รัชทายาทมีความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะออกไปโบยบินอยู่ภายนอก และใช้ชีวิตกับชายคนที่เขาแอบรักอย่างมีความสุขอยู่ที่สงบ ในที่ใดที่หนึ่ง เมื่อถึงเวลาที่องค์รัชทายาทต้องไปเข้าพิธี หลังจากแต่งองค์เสร็จแล้วประตูตำหนักก็เปิดออก หน้าตำหนักมีเหล่าข้าราชบริพารมารอรับเสด็จ และหนึ่งในนั้นก็คือ ตงหยาง องครักษ์หนุ่มรูปร่างสูงสง่ายืนมององค์รัชทายาท ที่กำลังเดินตรงมาหาเขาด้วยแววตาที่ปวดร้าว องค์รัชทายาทเข้ามาใกล้จนประชิดกับองครักษ์ ตงหยาง พร้อมกับกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำและสั่นเครือว่า
“ข้าไม่อยากแต่งงาน” ไม่มีคำพูดตอบรับจากองครักษ์คนสนิท ตงหยาง มีเพียงมือใหญ่ที่อบอุ่นยื่นมาจากมือที่เล็กกว่าขององค์รัชทายาท พร้อมกับรูปเบาๆเพื่อเป็นการปลอบใจ และพยักหน้าให้องค์รัชทายาทรับรู้ว่า พระองค์ไม่มีทางทำตามใจปรารถนาได้และต้องออกไปทำหน้าที่ ขององค์รัชทายาทให้สมบูรณ์ ด้วยความปรารถนาดีจากทาสผู้ซื่อสัตย์อย่างเขา แววตาที่สบประสานกันนั้นมีความหมายที่ลึกซึ้ง ก่อนที่จะเคลื่อนขบวนออกจากตำหนักตรงไปยังลานพิธีกว้างของพระราชวัง เมื่อถึงจุดหมายที่ต้องเจอกับ เยว่หลิง แล้วทั้งคู่ต้องจับมือกันเดินไปตามทางที่ปูพรมสีแดง ขึ้นไปทำความเคารพองค์ฮ่องเต้และพระมเหสี ที่มีพระสนมฟางเหนียง อยู่ทางด้านซ้ายขององค์ฮ่องเต้ ซึ่งเป็นพระมารดาขององค์รัชทายาท
“เยว่หลิง เจ้าช่างงดงามยิ่งนัก”
“ขอบพระทัยเพคะพระสนม”
“เจ้าสาวงดงามจนพูดไม่ออกเลยเหรอ เจ้าคงอายใช่หรือไม่?”
เอ่อ…พะยะ ค่ะ”
เมื่อเยว่หลิง ได้เจอตัวจริงขององค์รัชทายาท อย่างใกล้ชิด นางก็ได้ตกหลุมรักพระองค์โดยทันที กลิ่นกายของเขาทำให้หัวใจและความรู้สึก ธรรมชาติของหญิงสาวได้ตื่นตัว อยากตัดตอนพิธีทั้งหมดให้ไปถึงเวลาเข้าห้องหอซะประเดี๋ยวนี้เลย เยว่หลิง แอบมองเรือนร่างและใบหน้า ที่งดงามขององค์รัชทายาท ฟางจิง อยู่ตลอดเวลา หัวใจของนางเต้นแรง พอๆกับเสียงดนตรีที่อยู่รอบๆบนลานพิธี เหล่าข้าราชบริพารและประชาชน มาเข้าร่วมแสดงความยินดีกับคนทั้งสองอย่างคับคั่ง เสียงดนตรีบรรเลงต้องกังวาลไปทั่วพระราชวัง เสียงหัวเราะและเสียงพูดคุยกันดังเซ็งแซ่ พิธีอภิเษกสมรสขององค์รัชทายาท กับบุตรสาวของท่านเสนาบดี ดำเนินไปเรื่อย ๆอย่างยิ่งใหญ่ พระองค์สวมชุดพิธีสีแดงเข้ม โดดเด่น ยืนเคียงข้างเจ้าสาวที่งดงามราวกับดอกบัวแรกแย้ม แต่ดวงตาขององค์รัชทายาทกลับจ้องมองไปยังมุมหนึ่งที่กำลังยืนมองพระองค์อยู่เช่นกัน พลางคิดถามเขาคนนั้นในใจว่า
“ เจ้าจะเสียใจกับข้า หรือว่าจะมีดีกับข้ากันนะ”
องค์รัชทายาทฟางจิง มองหา ตงหยาง หลายครั้งแต่ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของเขาจนพิธีได้เสร็จสิ้นลง ของช่วงค่ำในวันนั้น เยว่หลิง ตื่นเต้นจนแทบจะควบคุมตัวเองไม่ได้ เมื่อถึงเวลาที่นางรอคอย ภายในห้องหอที่มีเพียง เยว่หลิง และองค์รัชทายาท ฟางจิง กับบรรยากาศโดยรอบ ที่เหล่านางในและขันที ตกแต่งให้ดูน่าอภิรมย์ เพื่อช่วยสร้างบรรยากาศ ให้องค์รัชทายาท และพระชายาได้มีความสุขกัน
“หม่อมฉันจะปรนนิบัติพระองค์เองนะเพคะ”
เยว่หลิง รู้สึกว่านางรอให้องค์รัชทายาทเริ่มก่อนไม่ไหวแล้ว เมื่อนางสังเกตเห็นว่าองค์รัชทายาทนั้นดูเงอะงะ คงเพราะเขาไร้เดียงสาเกินไป เยว่หลิง จึงจำเป็นต้องเป็นฝ่ายรุกก่อน มือเล็กผิวขาว ผ่องปลดชุดคลุมสีแดงขององค์รัชทายาทออกไปจนพ้นกาย และนางก็เริ่มปลดชุดสีขาว ที่อยู่ชั้นไหนขององค์รัชทายาท ฟางจิง ออกไปอีกชั้น จนเห็นผิวกายที่นิ่มละเอียดดั่งผิวพรรณของสตรี แต่กล้ามเนื้องดงามที่อยู่บนเรือนกายขององค์รัชทายาท ฟางจิง นั้นทำให้เยว่หลิง รู้สึกถึงความพลุ่งพล่าน ภายในเรือนกายสาวที่สั่นสะท้าน ด้วยแรงกำหนัด ที่นางมีต่อเขา องค์รัชทายาท ฟางจิง รู้สึกอึดอัดคนแทบจะอาเจียนออกมา แต่เขาต้องอดกลั้นความรู้สึกเช่นนั้นเอาไว้ และนั่งนิ่งมอง เยว่หลิงปลดอาภรณ์ของตนเองออกไปจนหมดพ้นเรือนกาย เห็นทุกส่วนบนร่างกายที่งดงามตรงหน้า ซาลาเปาลูกใหญ่สองลูกที่นุ่มนิ่มอุ่นมือ มีจุกสีชมพูเด่นอยู่ตรงกลาง หากว่าชายใดได้ยลโฉมคงไม่รีรอ ป่านฉะนี้คงกระโจนใส่ ไม่รอให้เวลามันผ่านไปอย่างไร้ประโยชน์เช่นนี้ แต่ธรรมชาติของบุรุษเพศที่มีต่อสตรี มิได้มีอยู่ในจิตสำนึกขององค์รัชทายาทเลยแม้แต่น้อย เขาไม่ได้รู้สึกเหมือนที่ เยว่หลิง รู้สึกกับเขา มีแต่ความอึดอัด จนอยากจะวิ่งหนีออกไป เยว่หลิง ขยับกายเข้ามาใกล้ องค์รัชทายาทพร้อมกับบดเบียดร่างกายช่วงหน้าอกให้สัมผัสกับแผ่นอกกว้างของเขา และประกบปากทาบทับลงไปที่ริมฝีปากอุ่นร้อน ขององค์รัชทายาท มีเพียงเยว่หลิง ที่พยายาม ตวัดเรียวลิ้น ดูดจูบอีกฝ่ายด้วยอารมณ์ที่พวยพุ่ง มือเล็กลูบไล้ไปทั่วร่างกายกำยำ ขอองค์รัชทายาท และปรารถนาอย่างยิ่งที่จะสัมผัสตัวตน เพื่อปลุกให้มันตื่นจากการหลับไหล มือเล็กสัมผัสตัวตนสีหวาน ขององค์รัชทายาท ผู้เลอโฉม อย่างกระสัน แต่สิ่งนั้นของเขา ก็ยังคงแน่นิ่ง และนุ่มนิ่ม ไม่คิดที่จะตื่นตัวและแข็งชันขึ้นมาเลย เยว่หลิง รู้สึกขัดใจ นางเปลี่ยนจากจุมพิษและไต่ลงมาที่ตัวตนที่ยังคงนอนนิ่งสงบอยู่ ริมฝีปากโอ้โลม ให้สิ่งนั้นตื่นตัวขึ้นมาให้จงได้ แต่ทว่า
“พอเถอะ…ข้าขอโทษที่ทำให้เจ้าผิดหวังครั้งนี้พอแค่นี้แหละข้าอาจจะเหนื่อยจนไม่รู้สึกมีอารมณ์”
องค์รัชทายาทสวมอาภรเสื้อผ้าและเอนกายลง ปล่อยให้พระชายามีอารมณ์ค้างคาอยู่เช่นนั้น นางจำเป็นต้องหยุดเพียงเท่านี้ แล้วนอนข้างกายผู้ชายที่นอนหันหลังให้นาง เยว่หลิง ยังคงมีความหวังนางเบียดร่างบางที่มีความอวบเฉพาะจุด กับแผ่นหลังกว้างและกอดเขาให้แนบแน่น
“เจ้าสวมอาภรณ์เสียเถิด อย่าได้พยายามอีกต่อไปเลย”
“พระองค์ตรัสเช่นนั้นต้องการจะบอกกระไรหม่อมฉันหรือเพคะ? หรือว่าพระองค์เป็นโรคเสื่อมกำหนัด”
“ออ ..เอ่อ…ใช่..ใช่ ข้าเป็นเช่นนั้นแต่ข้าก็ไม่สามารถจะพูดหรือบอกใครให้รู้เรื่องนี้ได้เพราะมันจะทำให้ พระราชบัลลังก์ขององค์ฮ่องเต้กันคลอนได้ เจ้าคงไม่แพร่งพรายเรื่องนี้ออกไปใช่หรือไม่?”
“เพคะหม่อมฉันจะไม่พูดเรื่องนี้เป็นอันขาด”
องค์รัชทายาทนั้นรู้ดีว่าเพราะเหตุใดเขาถึงไม่มีอารมณ์รักใคร่กับสตรีที่งดงามอยู่ตรงหน้านี้ เขาจึงสวมรอยตามความที่ พระชายาของเขาเข้าใจว่าเขาเป็นโรคเสื่อมสมรรถภาพทางอารมณ์เพศ
“หม่อมฉันจะช่วยพระองค์เองเพคะ จะพยายามหาหมอที่เก่งมารักษาพระองค์ ให้ได้ เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญมาก พระองค์จะต้องมีรัชทายาท หากแม้นว่าเราทั้งสองทองคู่กันนานหลายปีแต่ยังไม่มีทายาท พระองค์จะถูกถอดถอนได้เมื่อองค์ชายรองได้อภิเษกและมีทายาทก่อนพระองค์ พระองค์จะท่องถูกตรวจสอบ ความสามารถ ในการให้กำเนิด “
ค่ำคืนที่ทรมานใจนั้นกว่าจะผ่านไปมันช่างยาวนานเหลือเกิน องค์รัชทายาท ฟางจิง ถึงแม้จะนอนหลับตา แต่เขาก็ไม่สามารถข่มตาให้หลับลงได้ เพราะตลอดเวลาทั้งวันของวันนี้และในช่วงกลางคืนทั้งคืน องครักษ์ ตงหยาง หายตัวไป เขายังไม่ได้เจออีกเลย ตงหยาง หายไปไหน องค์รัชทายาทยังคงสงสัย เยว่หลิงลืมตาขึ้นมาแล้วเพ่งพิศมอง ใบหน้าหวานขององค์รัชทายาท ฟางจิง อย่างรักใคร่และหลงใหล ขนตาที่งอนยาวเป็นแพในเวลาที่เขากำลังหลับไหลอยู่นั้นดูสวยงามเยี่ยงสตรี แต่ทว่าร่างกายนั้นดูใหญ่และกำยำจนน่าสัมผัส
“ น่าเสียดายยิ่งนัก หากแม้ว่าพระองค์ไม่ได้มีโรคภัยเช่นนี้ หม่อมฉันคงได้สุขสมอารมณ์รักกับพระองค์ไปแล้ว แต่ไม่เป็นไรเพคะ หม่อมฉันจะรอให้พระองค์หายดี ก่อนก็ได้ เมื่อถึงเวลานั้น หม่อมฉันจะปรนนิบัติให้พระองค์มีความสุขจนแทบสำลัก เลยดีไหมเพคะ?”
เยว่หลิง โน้มหน้าลงไปแอบจูบปากขององค์รัชทายาทเบาๆ แล้วลุกขึ้นออกจากห้องบรรทมของพระองค์ไป ตรงไปยังตำหนักของตนเอง องค์รัชทายาทตื่นขึ้นมาหลังจากที่ เยว่หลิง ได้ปลูกเขาด้วยการจูบ แต่ว่าเขาแกล้งหลับต่อเพราะไม่อยากพูดคุยกับนางอีก จนกระทั่งนางออกไป เขาจึงรีบลุกขึ้นเพื่อตามหา ตงหยาง ที่หายไป ตั้งแต่เมื่อวานนี้ ลานฝึกการต่อสู้คือที่เดียว ที่ตงหยาง ชอบไปอยู่ที่นั่น องค์รัชทายาท ฟางจิง ยืนมองบุรุษที่ไม่ได้สวมอาภรณ์ช่วงบน และกำลังฝึกดาบฟาดฟันหุ่นฝึกอย่างเอาเป็นเอาตาย จนเหงื่อไหลหยดย้อยเต็มกาย จนผิวสีแทนของเขาดูมันเงา หัวใจสั่นไหวเต้นแรงทุกครั้ง ที่เห็นภาพของตงหยาง เปลือยกาย แต่องค์รัชทายาท ฟางจิง ต้องเก็บอาการเอาไว้
“ เมื่อวานเจ้าหายหน้าไปไหน เจ้าบอกเองว่าจะอยู่เคียงข้างข้า”
“ ฝ่าบาทหามิได้พะยะค่ะ พระองค์ต้องอยู่ตามลำพังกับพระชายา กระหม่อมจะอยู่ ข้างกายพระองค์มิได้เช่นแต่ก่อนแล้ว ว่าแต่ว่าเมื่อคืน พระองค์ทรงมีพระเกษมสำราญดีหรือไม่พะยะค่ะ?”
“ไม่ ข้าไม่สามารถทำหน้าที่องค์รัชทายาทได้สมบูรณ์ข้าทำไม่ได้ เพราะข้าไม่ได้รักนาง”
แววตาหม่นหมอง และเจ็บปวดเมื่อมองหน้าขององครักษ์หนุ่ม ตงหยาง ความรู้สึกที่อยากจะพูด อยากจะสารภาพแต่ก็ไม่สามารถพูดมันออกมาได้ องค์รัชทายาทเดินตรงเข้ามากอดร่างใหญ่อบอุ่นนั้นด้วยความรักใคร่ ความรู้สึกที่เก็บซ่อนมันไว้ลึกจนสุขใจไม่อาจเปิดเผย และเขาจะเก็บงำไว้เช่นนั้นตลอดไป จะไม่ยอมปริปากให้ ตงหยาง ได้รู้ เพราะไม่อยากเสียเขาไป เพียงแค่ไม่ได้เห็นหน้าเขาแค่หนึ่งวันพระองค์ก็รู้สึกทรมานใจแทบจะขาดใจตายเสียให้ได้
“เจ้าอย่าทิ้งข้าไปไหน อย่าหายหน้าไปอีก”
กระหม่อมก็ไม่ได้หายไปไหนสักหน่อยแค่อยู่ในพิธีแล้วอึดอัดเพราะเสียงดัง จึงออกมาข้างนอกเท่านั้นเอง”
แววตาเป็นประกายของตงหยาง มองดวงหน้าหวานขององค์รัชทายาท พร้อมกับรอยยิ้ม เมื่อเห็น รอยยิ้มของชายหนุ่มที่พระองค์แอบรัก ก็ทำให้โลกทั้งโลกดูสดชื่นแจ่มใส องค์รัชทายาท ฟางจิง ยิ้มให้ตงหยาง อย่างเบิกบาน แล้วแอบสารภาพความรู้สึก ไม่ให้อีกฝ่ายได้รู้
“ข้ารักเจ้า ตงหยาง”
เพียงแค่สารภาพรักในใจไม่ให้อีกฝ่ายได้ยินเท่านี้ ก็ทำให้เขารู้สึกมีความสุขภายในหัวใจ และความรักก็จะยังคงเป็นความลับตลอดไป พระชายาเยว่หลิง มาขอเข้าเฝ้าองค์รัชทายาท เพื่อต้องการที่จะรักษาโรคเสื่อมกำหนัด ให้กับเขา องค์รัชทายาทจำเป็นต้องตามใจพระชายา เพื่อไม่ให้นางรู้สึกถึงความผิดปกติ เขาจึงยอมทำทุกอย่างไม่ว่านางจะพาหมอมาตรวจร่างกายอย่างไร ร่างกายของคนหรือทายาทก็ยังคงดูปกติดีทุกอย่าง
“ท่านหมอ ผลการตรวจพระวรกายของคาถาญาติเป็นเยี่ยงไรบ้างหรือ?”
“ก็ปกติดีทุกอย่างพะยะค่ะ ไม่ได้มีอาการของโรคที่ว่านั่นเลยสักนิด เหนื่อย จากการฝึกฝนและออกรบ อยู่บ่อยๆในช่วงหลังๆมานี้ รับชมมายุเพียงแค่สิบแปดชันษา ไม่น่าจะเป็นโรคเสื่อมกำหนดได้นะพะยะค่ะกระหม่อมจะจัดยาบำรุงพระวรกายและยาบำรุงให้นะพะยะค่ะ”
ความรักเป็นสิ่งที่สวยงาม เมื่อรักนั้นอยู่ถูกที่ถูกทาง และถูกจังหวะของมัน แต่ทว่า ไม่มีสิ่งนี้ที่เอ่ยมา กับความรักขององค์รัชทายาท ความรักที่ต้องเก็บงำมันไว้ เรือนกายที่กำลังขยับไปมา ฟาดฟันหุ่นฝึกนั้นช่างน่ากอดและสัมผัส ความคิดที่อยู่ภายในจิต สั่งการ ทำให้ตัวตนความเป็นชาย ตึงชันขึ้นเมื่อเห็นองครักษ์ ตงหยาง ปลดอาภรชั้นนอกออก เพื่อความคล่องตัวในการฝึกการต่อสู้ มวลกล้ามเนื้อหน้าท้องสีแทนมันเงา และมีเม็ดอยู่เต็มกายนั้น ทำให้องค์รัชทายาทคิดอะไรไปไกลมากมาย เมื่อตงหยาง หันมาเห็น องค์รัชทายาทฟางจิง จ้องมองมาตาไม่กระพริบ เขาก็หยุดซ้อมแล้วเดินตรงเข้ามาหา ด้วยท่าที่สง่า พาให้ผู้แอบมองยิ่งหลงไหล หัวใจนี้เต้นแรงเลือดในกายและหัวใจสูบฉีดส่งผลให้ตัวตนทางกายเริ่มเรียกร้องความปรารถนา
“ พระองค์ต้องกระหม่อมเช่นนั้นกระหม่อมทำกระไรผิดพลาดไปหรือพะยะค่ะ?”
“ปะ…ปล่าว ข้าเพียงแต่ชื่นชมฝีมือของเจ้าที่เก่งขึ้นทุกวันทุกวันจนข้ารู้สึกทึ่งมาก”
“กระหม่อมต้องการเก่งกว่านี้ อยากเก่งเท่าท่านพ่อเพื่อปกป้องพระองค์พระยะค่ะ”
“เจ้ากับหนูของเจ้าทั้งสองฝีมือก็เก่งได้อยู่แล้วไม่เห็นจะต้องพยายามให้เหน็ดเหนื่อยเยี่ยงนี้เลยพ่อเป็นห่วงเจ้า อย่าหักโหมจนเกินไป”
“ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงเป็นห่วงกระหม่อม”
“ ท่านพี่ตงหยาง ซ้อมดาบและมวยทุกวันกระหม่อมรู้สึกเหนื่อยแทนพะยะค่ะ เอาเวลาซ้อมไปนอนหลับพักผ่อนดีกว่าเก็บแรงไว้ใช้กำลังจริงตอนออกรถน่าจะดีกว่านะจริงไหมหลิงเอ๋อ”
องครักษ์สาวที่มีมาดดั่งบุรุษนางพยักหน้าอย่างช้าๆ ด้วยสีหน้าและแววตาราบเรียบ
“เพราะว่าเจ้าย่ามใจเยี่ยงนี้อย่างไรล่ะ ม้าหายแล้วค่อยล้อมรั้ว”
“ม้าที่ใดหาย….ม้าประจำพระองค์หรือพะยะค่ะ?”
“โป๊ก…!...กะล่อนท่านพ่อสั่งให้ข้าคอยอบรมความเกียจคร้านของเจ้าที่ละทิ้งการฝึกซ้อมเตรียมร่างกายให้พร้อมอยู่เสมอแต่เพราะเจ้ามัวแต่เที่ยวเล่นร่างกายขาดการได้ออกพละกำลังกาย ความสามารถในการต่อสู้จะลดถอยลง หลิงเอ๋อเป็นสตรีแท้ๆ ยังออกมาฝึกกับข้าทุกวัน แต่เจ้าข้าไม่เคยได้เห็นหน้าเห็นหาง”
“ท่านพี่ ข้าไม่มีหางสักหน่อย”
“โป๊ก…!...เจ้าคนเจ้าเล่ห์พูดไม่เคยฟัง แถไปข้างๆคูๆ นอกเรื่องไปเรื่อยถ้าเจ้าไม่ทำให้ร่างกายของเจ้าแข็งแรงอยู่เสมอถ้าจะไปมีความสามารถสู้ใครได้ เมื่อต้องออกรบแล้วโชคร้ายไปเจอผู้ที่แข็งแกร่งกว่าเจ้า เจ้ามีหน้าที่คอยอารักขา องค์รัชทายาท ไม่ใช่เป็นตัวถ่วงให้พระองค์ต้องมาคอยช่วยเหลือเมื่ออยู่ในสนามรบและสิ่งที่สำคัญที่สุดหากแม้ว่าเจ้าถูกข้าศึกจับตัวเจ้าไปได้เพื่อเป็นตัวประกันนั่นหมายถึง องค์รัชยาท ทายาทจะต้องมีภัยอันตราย เพราะข้าศึกจะต้องนำตัวเจ้ามาเพื่อเป็นการต่อรองกับฝ่าบาทอย่างแน่นอน”
“เมื่อถึงเวลานั้นถ้าจะไม่มีวันให้มันได้ทำเช่นนั้นกับองค์รัชทายาทได้”
“พอเถอะอย่าถกเถียงกันเลย ถ้าจะไม่มีวันทิ้งให้เจ้าทั้งสองต้องตาย ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิตของข้า พวกเจ้าทั้งสองคือสหายรัก และเราทั้งสี่จะไม่มีวันทิ้งกัน มีสุขร่วมเสพมีทุกข์ร่วมต้าน”
“กระหม่อมรับพระองค์จังเลยพะยะค่ะ”
ติงลี่น้องชายจอมกะล่อนของตงหยาง กอดแขนพะเน้าพะนอองค์รัชทายาททำตัวเทียบเสมอจน ตงหยาง ต้องปรามด้วยการเขกกะโหลก ไปอีกหนึ่งครั้ง
“โป๊ก โอ๊ย สามครั้งแล้วนะท่านพี่ข้าเจ็บนะ องค์ชายดูท่านพี่สิรังแกข้าตั้งแต่เด็กจนโตเขาอิจฉาข้าตลอด คงเห็นว่าพระองค์รักกระหม่อมมากกว่าเขาแน่ ๆ ใช่ไหมพะยะค่ะ?”
“ฮึ ๆ ๆ ข้ารักหลิงเอ๋อมากกว่าผู้ใดต่างหาก โต๊ะหน้าเหมือนกับก้อนหินที่เดินได้ ไม่มีความรู้สึก ไม่พูดจาและถกเถียงกับผู้ใด ตั้งแต่เล็กจนโต ข้าชอบนางยิ่งนัก เอาอย่างนี้ ข้ามีอะไรบางอย่างให้เจ้าเล่น ถ้าหากว่าเจ้าสามารถทำให้นางหัวเราะได้ ถ้าจะให้รางวัลแก่เจ้า”
“ไม่พะยะค่ะ ให้หมูออกลูกเป็นวัวแก่ยังจะง่ายกว่า แต่ว่าพระองค์จะให้กระไรเป็นรางวัลหรือพะยะค่ะ?”
“ให้ออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกได้ สามวันโดยไม่ต้องกลับมาซ้อม”
“ถ้าเยี่ยงนั้น มามะ ให้พี่จับเสียดีๆน้องสาว พี่จะทำให้เจ้าหัวเราะให้จงได้ ท่านพี่ช่วยข้าจับนางหน่อยสิ ถ้าจะจี้เอวมาเพื่อให้นางหัวเราะ แค่อยากได้รางวัล ที่ฝ่าบาทเสนอให้ข้า”
“เจ้าทำไปคนเดียวเถอะ หลิงเอ๋อ มีฝีมือในการใช้ดาบและอาวุธของนางไม่มีผู้ใดเทียบเทียมได้ ข้ามิขอเสี่ยงภัยกับเจ้า”
“ แต่ว่าองค์ชายอยากได้ยินนางหัวเราะนะขอรับเราต้องทำตามความประสงค์ขององค์รัชทายาทสิท่านพี่”
“ เพียงแค่คิดเจ้าก็ขี้โกงแล้ว องชายอยากให้เจ้า พูดหรือแสดงอะไรก็ได้เพื่อให้นางหัวเราะด้วยความขบขัน มิใช่บังคับโดยการจี้ในจุด ที่นางรู้สึกจั๊กจี้จนหัวเราะออกมามันคือการบังคับมิใช่ความสามารถ”
“ไม่มีทางเป็นไปได้หรอกนะท่านพี่”
เสียงหัวเราะที่ดังแว่วมาจากสนามฝึกทำให้พระชายาที่กำลังเดินตามหาองค์รัชทายาทได้ยิน พระนางเดินตามเสียงหัวเราะนั้นมาจนถึงสนามฝึก
“ องครักษ์ทั้งสามนั่นคงมีความสำคัญมากกว่าหม่อมฉัน หรือเยี่ยงไรพวกนั้นถึงได้มีความสามารถทำให้พระองค์ทรงพระสรวลได้ หรือว่าสตรีที่พระองค์พอพระทัยคือนักรบหญิงคนนั้น คนที่พระองค์กอดคอนางอยู่นั่น แต่นางก็ไม่ได้มีความงดงามอันใดเทียบเท่ากับหม่อมฉันได้เลย ร่างกายก็ใหญ่เท่ากับบุรุษ”
พระชายาจ้องเขม็งไปที่หลิงเอ๋อ ที่มีเพียงรอยยิ้มบางๆในขณะที่บุรุษทั้งสามกำลังหัวเราะจนท้องแข็ง องค์รัชทายาทกอดคอหลิงเอ๋อ นั่นทำให้พระชายาเข้าใจว่า องค์รัชทายาท ฟางจิง ทรงมีพระทัยชอบพอหลิงเอ๋อ เป็นแน่ เวลาผ่านไปนานหลายเดือนแล้ว หลังจากที่องค์รัชทายาทและพระชายา เยว่หลิง เข้าพิธีอภิเษก ผู้ที่โหยหาในอำนาจอย่างเสนาบดีหลี่ ได้แต่เฝ้ารอวันที่จะเห็นบุตรสาวของตนเองตั้งครรภ์ แต่ก็ไม่มีวี่แววจนกระทั่ง องค์รัชทายาทฟางจิง ออกไปรบกับเหล่าทหารรวมถึงองครักษ์สามทหารเสือคู่กายของเขา เสนาบดีรู้สึกไม่พอใจยิ่งนัก ที่จะป่านนี้ข่าวดีจากพระชายายังไม่มีสักที เขาจึงต้องกดดันและบังคับพระชายา
“ท่านพ่อ จะให้ทำอย่างไรได้เจ้าค่ะในเมื่อข้าไม่อาจตั้งครรภ์ได้”
“แล้วพระนางทรงร่วมเตียงกับพระองค์กี่ครั้งแล้วพะยะค่ะ?”
“ท่านพ่อ…!...ข้าไม่ใช่แม่พันธุ์นะเจ้าคะถึงได้คอยคาดคั้นแต่เรื่องนอนกับพระองค์อยู่ได้ทุกวัน”
“มิใช่เช่นนั้น หากว่าพระชายายังมิทรงตั้งครรภ์ เมื่อเรามาถึงจุดนี้แล้วแต่ยังไม่สามารถทำหน้าที่ได้สมบูรณ์ จะเป็นที่ครหา และข้ออ้าง เพื่อจะได้หานางสนมมาให้องค์รัชทายาท อีกหลายคนเป็นแน่ เมื่อมันจะเป็นพระนางที่จะต้องทรงพระทัย และสุดท้ายแล้วอำนาจจะตกไปอยู่ในมือของนางสนมคนใดคนหนึ่งที่สามารถให้กำเนิดองค์ชายได้”
พระชายา เยว่หลิง นิ่งงันไปชั่วขณะเมื่อได้คิดไตร่ตรองตามคำอธิบายของท่านเสนาบดีผู้เป็นบิดา ภาพของหลิงเอ๋อก็ปรากฏขึ้นมาจากความคิดในทันที ที่นางเห็นนั้น คือความสนิทสนมระหว่างหลิงเอ๋อและองค์รัชทายาท แววตาพลัน ลุกวาวแข็งกร้าวขึ้นมาในทันที ดังเปลวไฟจะลุกออกมาทางดวงตาของนาง เมื่อคิดได้ว่า หลิงเอ๋อคือศัตรูหัวใจของนาง
“ข้าจะไม่ปล่อยให้เป็นเช่นนั้น ท่านพ่อทำเยี่ยงไรก็ได้ที่ไม่ต้องให้องค์รัชทายาทออกไปรบอีก ทหารก็มีตั้งมากมายฝีมือดีทั้งนั้น ไม่จำเป็นต้องให้พระองค์ออกหน้าก็ได้”
“เรื่องนั้น อาจจะเป็นไปไม่ได้หากไม่มีผู้นำออกหน้า องค์รัชทายาทจะต้องออกไปรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับเราทหาร จะได้ไม่มีคนดูแคลนพระองค์ว่าขลาดเขลารักตัวกลัวตายส่งทหารไปตายแทนพระองค์”
“ก็ได้ข้าจะหาวิธีที่จะร่วมเตียงกับพระองค์ บ่อยๆ”
ท่านเสนาบดีออกไปหลังจากพูดธุระเสร็จแล้วแต่พระชายายังคงคิดหาทางออกเรื่องนี้อยู่ ดวงตาร้อนดั่งไฟเมื่อคิดถึง ว่าป่านนี้องค์รัชทายาท ฟางจิง ที่ออกรบ เคียงคู่กับหลิงเอ๋อ จะมีความสุข กันมากเพียงใด ภาพในจินตนาการขององค์รัชทายาท กับหลิงเอ๋อ ที่กำลังเล่นบทรักเร่าร้อน ระหว่างพักอยู่ที่ค่ายของทหารในสนามรบ จิตคิดปรุงแต่งขึ้นมาเองของสตรีถ้วนทั่วไปที่เป็นภรรยา ต่างระแวงผู้เป็นสวามี
“ป่านนี้แม่นางผู้นั้น ไปถึงไหนต่อไหนกับพระองค์แล้ว เมื่อถึงเวลากับข้าพระองค์ไม่มีอารมณ์ แต่กับนาง….พระองค์มีความสุขทุกครั้งที่อยู่ข้าง ๆ นาง หม่อมฉันจะไม่ปล่อยนางไว้แน่”
ที่สนามรบ
ชนเผ่าจะต่างแดนที่เข้ามาบุกรุกดินแดนของฮ่องเต้ กำลังวิ่งบุกเข้ามาในมือของแต่ละคนมีอาวุธครบครัน และด้วยฝีมือในการรบที่แข็งแกร่งนั้น ทำให้ทหารฝ่ายขององค์รัชทายาท ฟางจิง ที่จะต่อกรและควบคุมสถานการณ์ ทหารฝ่ายตรงข้ามล้มตายกันไปมาก องค์รัชทายาท ฟางจิง ยังคงถือดาบฟาดฟันศัตรูจนโลหิตท่วมท้นอยู่บนเรือนกายที่สวมชุดเกราะเหล็กป้องกัน สามทหารองครักษ์ยืนเคียงบ่าเคียงไหล่ไม่ห่างพระองค์เลยแม้แต่ก้าวเดียว
“หน้าที่ของพวกเจ้ามีเพียงอย่างเดียวคือทำอย่างไรก็ได้เพื่อปกป้ององค์รัชทายาท”
นี่คือคำสั่งของหัวหน้าองครักษ์ซุนเต๋อ ผู้เป็นบิดาขององครักษ์ทั้งสาม การสู้รบดำเนินไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งฝ่ายศัตรูพ่ายแพ้ไปเหลือเพียงหัวหน้าเผ่าที่กำลังจะ สังหารตัวเองให้ตาย ตามลูกน้องไป ด้วยความละอายใจและรู้สึกอัปยศเป็นอย่างมาก แต่ทว่า องค์รัชทายาทได้ห้ามและหยุดการกระทำนั้นของเขาเสียก่อน
“เจ้า มีสิ่งใดอยากจะบอกกับองค์รัชทายาท หรือไม่?...เพราะเท่าที่ข้าได้รู้มาว่า ชนเผ่าของพวกเจ้ารักความสงบ ไม่ชอบสงครามและการต่อสู้ แต่เพราะเหตุใด พวกเจ้าถึงได้บุกมากระทำสิ่งร้ายแรงเช่นนี้”
“พวกเจ้า น่าจะรู้อยู่แล้ว ว่าพราะเหตุใด ข้าเคยส่งฎีกา ของลดหย่อน เครื่องบรรณาการที่พวกเจ้าร้องขอเพิ่มขึ้น ทุกปี ๆ จนกระทั่งพวกข้า ไม่สามารถหามาให้ได้ เมื่อไม่ได้ตามที่ต้องการ พวกเจ้า ก็มาทำร้ายพวกข้า หากถูกใจสตรีนางใดก็ฉุดคร่าข่มขืน บุตรสาวเพียงคนเดียวของข้า ต้องมีสติฟั่นเฟือนเพราะพวกเจ้าข่มเหงนาง ข้ามิอาจทนได้อีกต่อไปแล้ว เมื่อข้าพ่ายแพ้ต่อพวกเจ้า ข้าก็มิอาจกลับไปมองหน้าชาวบ้านในชนเผ่าของข้าอีกต่อไป”
“ช่วยพาพวกข้าไปที่ชนเผ่าของท่านได้หรือไม่?...ข้าสัญญาว่าจะไม่ทำร้ายคนของท่าน แต่ ข้าจะขอสืบเรื่องราวความชั่วร้ายของเจ้าเมืองชั่วนั่นด้วยตัวของข้าเอง แล้วถ้าข้าได้หลักฐานเพียงพอแล้วข้าจะแก้แค้นให้ท่านเอง เจ้าเมืองชั่วนั่นหนีข้าศึกหัวหดไปอยู่ในวัง ข้านึกแคลงใจไว้ได้สักพักแล้ว ว่าต้องมีอะไรบางอย่าง มันก็เป็นจริงดังที่คาดการณ์ไว้เช่นนั้น”
“ข้าจะเชื่อพวกเจ้าได้เยี่ยงไร?...พวกเจ้าแค่หลอกล่อหวังเพื่อจะบุกไปสังหารคนในชนเผ่าของข้า ไม่มีทาง”
“สมุดบันทึกของเจ้าเมืองนั่นอยู่กับท่านใช่หรือไม่?มันจะเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญว่าเจ้าเมืองนั่นทำชั่วอะไรไว้บ้าง”
“ท่านหัวหน้าเผ่า เชื่อเถอะบุรุษที่กำลังพูดคุยอยู่กับท่านนั้นคือ องค์รัชทายาท ฟางจิง แห่งแคว้นฉู่”
หัวหน้าเผ่าตกใจรีบหมอบลงกราบ องค์รัชทายาท ฟางจิง โดยเร็ว และเชื่อสนิทใจว่าพระองค์จะสามารถแก้แค้นให้เขาได้และคืนความยุติธรรมให้กับชนเผ่าของ เขา
“กระหม่อมสมควรตายพะยะค่ะแต่ความโกรธมันบังตาจนไม่รู้ว่าพระองค์จะเสด็จมาเอง หากพระองค์รับปากว่าเมื่อได้สมุดบันทึกนั่น จากกระหม่อมแล้วพระองค์จะช่วยแก้แค้น ให้กับพวกเรา กระหม่อมจะยอมพาพระองค์ไปยังชนเผ่าของกระหม่อมด้วยกันพะยะค่ะ”
ทหารที่เหลือทั้งกองทัพได้ล่วงหน้าเดินทางกลับไปยังพระราชวังและเพื่อรายงานกับองค์ฮ่องเต้ถึงเรื่องชัยชนะในการรบครั้งนี้ มีเพียงองครักษ์ทั้งสามและองค์รัชทายาทเท่านั้นที่เดินทางตามหัวหน้าเผ่าไปยังหมู่บ้านของเขาที่ตั้งอยู่บนยอดภูเขาสูงชัน การเดินทางแสนจะลำบากยากเข็ญทุรกันดาร ใช้เวลาเดินทางหลายวันจนกระทั่ง
“ถึงแล้วพะยะค่ะ พวกท่านนำหน้าไปก่อนข้าจะเก็บดอกไม้พวกนี้ไปให้บุตรสาวของข้า”
บนยอดภูเขาสูงชัน มีพื้นที่ว่างเปล่าที่กว้างใหญ่สายลมที่เย็นเนื้อเยื่อพัดผ่านปะทะกับ เรือนกายทำให้รู้สึกหนาวสะท้าน ชาวบ้านที่เหลืออยู่ภายในหมู่บ้าน ที่มีเพียงเด็กและสตรี เห็นทหารของทางการมา ก็รู้ได้ทันทีว่า ญาติพี่น้องที่ออกไปรบคงตายกันหมดแล้ว ทั้งหมดหยิบจับอาวุธคนละอย่างที่พอจะหาได้ทั้งไม้จอบเสียมและมีดที่ทำครัว เข้ามาล้อมองครักษ์ ทั้งสามและองค์รัชทายาทไว้
“ฆ่ามัน อย่าให้มันรอดไปได้…!...”
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!