NovelToon NovelToon

Seven Days : Sakata Gintoki​

day 1

“ชาไต้หวันสอง ชากุหลาบหนึ่งนะครับ ทั้งหมดห้าร้อยสามสิบเยนครับ”

มือหนากดคำนวนเงินลงบนเครื่องคิดเงินอย่างชำนาญราวกับว่าเคยใช้มันมาก่อน

“นั่งรอสักครู่นะครับเดี๋ยวจะเอาไปเสริฟให้ ชินปาจิออเดอร์!”

ซากาตะ กินโทกิหันไปจัดการชงเครื่องดื่มตามออเดอร์ลูกค้าด้วยความชำนาญ

เสียงกริ่งประตูดังขึ้นเรื่อยๆ จนชิมูระ ชินปาจิต้องออกมาช่วยรับลูกค้าแทน วันนี้ร้านคาเฟ่ feratila ยุ่งเหยิงเป็นพิเศษแถมพนักงานของร้านต่างก็พากันลาหยุดพร้อมกันจนผู้จัดการร้านต้องจ้างสมาชิกร้านสารพัดรับจ้างมาช่วยงาน

ตอนแรกก็วุ่นวายเพราะต้องสอนทำขนมกับเครื่องดื่ม เรียกได้ว่าวุ่นจนปวดหัวเลยก็ว่าได้ โชคดีที่กินโทกิกับชินปาจิเรียนรู้เร็วเลยไม่ยุ่งยากแต่กับคางุระเนี่ยสิ กว่าจะสอนได้เกือบตาย

การทำงานยังคงดำเนินต่อไปอย่างเรื่อยๆ แม้จะมีลูกค้าเยอะแต่ก็ไม่ได้ทำให้วุ่นวายขนาดทำกันไม่ทัน

“สั่งออเดอร์หน่อยครับ อ่าว ลูกพี่นี่”

เสียงคุ้นเคยให้ทั้งชินปาจิกับกินโทกิต้องหันไปมอง “อ่าว โอคิตะคุงนี่ เอาอะไรล่ะ สนใจเหมาไปให้ชินเซ็นกุมิมั้ย”

“น่าสนนะลูพี่ งั้นเอาอย่างละยี่สิบชุดส่งบิลเก็บเงินที่ฮิจิคาตะ โทชิโร่นะครับ”

“ได้เลย ไปนั่งรอก่อนไป เสร็จแล้วเดี๋ยวเรียก”

“คร้าบ”

กินโทกิส่งออเดอร์ต่อให้ชินปาจิก่อนจะเริ่มทำเครื่องดื่มตามที่โอคิตะสั่ง ด้วยความที่จำนวนมันเยอะมากจึงต้องให้ผู้จัดการร้านมาช่วย

“นี่ลื้อมาทำไมน่อ” คางุระที่พึ่งเอาขนมมาเสริฟลูกค้าเอ่ยถามโอคิตะที่นั่งเล่นมือถือรอ

“แล้วทำไมฉันจะมาไม่ได้ล่ะ ฉันก็ลูกค้าคนหนึ่งมั้ย”

“ก็ไม่อยากจะพูกแบบนั้นน่อ แต่เห็นหน้าลื้อแล้วมังเหม็นขี้หน้าน่อ”

“แหม ทำเหมือนฉันไม่เหม็นขี้หน้าหล่อนตายล่ะ ยัยหมวยสาหร่ายดอง”

“ว่าไงนะ!! ไอ้ซาดิสหน้าตี๋!!!!”

พูดไม่ทันจบประโยคคางุระก็ทำท่าง้างจะใส่กับคู่กรณีอย่างโอคิตะทันที และแน่นอนว่าคนอย่างโอคิตะ โซโกะก็ไม่ยอมเช่นกันเขาทำท่าจะง้างแต่ทั้งคู่ก็ต้องหยุดด้วยฝีมือผู้อาวุโสที่สุดในร้าน

“เฮ้ยๆ ที่นี่มันในร้าน ถ้าจะตีก็ไปตีกันข้างนอก”

เด็กทั้งสองยังคงก่นด่าแม้จะถูกดึงให้แยกออกจากกันจนทำให้กินโทกิถึงกับถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่าย

เมื่อไหร่ไอ้สองคนนี้จะหยุดตีกันเสียทีเนี่ย เขาชักจะรำคาญแล้วนะ

“คุณกินแย่แล้วครับ! แป้งหมด”

“บอกผู้จัดการสิ มาบอกฉันแล้วได้อะไร”

“คุณนิชิโนะออกไปทำธุระครับ กลับมาอีกทีตอนปิดร้านเลย”

กินโทกิได้ยินแบบนั้นก็ได้ถอนหายใจออกมา “เป็นผู้จัดการภาษาอะไรเนี่ย มาปล่อยให้ลูกน้องทำงานกันเองได้ไงเนี่ย เดี๋ยวก็ปล้นเงินร้านซะหรอก”

พูดจบกินโทกิก็หยิบกระดาษมาจดรายการของที่หมดก่อนจะยื่นเงินและกระดาษให้คางุระ

“ไปซื้อสิ ด่วนๆ เลยนะ”

“ได้เลยน่อ”

“แค่ยื่นกระดาษให้ร้านพอนะ ไม่ต้องไปหยิบเอง”

“ได้เลยน่อ” คางุระรับกระดาษกับเงินแล้วก็วิ่งปรู๊ดออกนอกร้านไปในทันที ก่อนตัวเองจะกลับไปทำงานในหน้าที่ของตัวเองต่อ

“เออนี่ลูกพี่ จะว่าไปช่วงนี้เจอพวกคนชุดดำแปลกบ้างมั้ย” โอคิตะเดินมานั่งที่เคาน์เตอร์ก่อนจะเอ่ยถามคนที่ยังคงวุ่นกับออเดอร์ไม่หยุด

“เห็นนะ เนี่ยก็คนนึง” พูดพร้อมกับหันมาชี้โอคิตะที่นั่งอยู่หน้าเคาน์เตอร์ “อย่าเหมารวมผมสิ มีแค่คุณฮิจิคาตะคนเดียวนั่นแหละที่แปลก”

“หรอเนี่ย”

“แล้วสรุปลูกพี่เห้นบ้างมั้ย”

“ไม่นะ ถามทำไม โจรหรอ”

“ก็ไม่เชิงครับ เอาเป็นว่าพวกมันเป็นพวกที่อันตรายมากๆ มีพลังเวทย์แปรธาตุ กำลังตามาล่าใครบางคนอยู่”

“อ๋อหรอ ดูน่ากลัวเนาะ” กินโทกิเอ่ยพร้อมกับใส่ท่าทางให้มันดูเว่อร์แต่ความจริงเขาไม่ได้สนใจมันเลยสักนิด

ก็ไม่ได้เกี่ยวกับเขาหนิ สนใจทำไม

“เอาเป็นว่าถ้าลูกพี่เจอก็ช่วยบอกหน่อยล่ะกัน”

“ได้นะแต่มีค่าบอก”

“เรียกเก็บกับคุณฮิจิคาตะเลยครับ”

ทำออเดอร์กันอยู่ชั่วโมงกว่าในที่สุดก็เสร็จเสียที สามสมาชิกสารพัดรับจ้างยกออเดอร์ขึ้นรถของคาเฟ่โดยที่ไม่ลืมหันไปบออกับผู้จัดการร้านที่พึ่งจะกลับมาจากธุระข้างนอก

“งั้นพวกเราไปก่อนนะครับ”

“โชคดีๆ อ้อ เรื่องเงินค่าจ้างฉันโอนให้แล้วนะ อย่าลืมเช็คด้วย”

“ขอบคุณมากครับ งั้นพวกเราขอตัวไปส่งออเดอร์ก่อนนะครับ”

รถกระบะขับเคลื่อนไปตามท้องถนนของเอโดะพร้อมกับเปิดเพลงสากลในรถไปพลางๆ ชินปาจิคอยดูคอนเช็คของที่อยู่หลังรถส่วนกินโทกิก็มีหน้าที่ขับรถไป

เพียง 15 นาทีก็ถึงชินเซ็นกุมิ กินโทกิถอยจอดถอยอย่างชำนาญแล้วเทียบจอดที่ด้านหน้า

“สวัสดีครับลูกพี่ มาส่งออเดอร์หรอครับ” ยามาซากิ ซางารุสายลับประจำหน่วยชินเซ็นกุมิเอ่ยทักทันทีที่สมาชิกสารพัดรับจ้างลงจากรถ

“เออ ไหนๆ ก็มาแล้วช่วยยกหน่อยสิ”

“ได้ครับลูกพี่ นี่พวกนาย!! มาช่วยกันของอาหารไปไว้ที่โรงอาหารที!” ขณะที่พวกชินเซ็นกุมิกำลังทยอยหยิบอาหารลงจากรถกินโทกิก็กวาดสายตามองหาใครบางคน

“นี่ หัวหน้าพวกนายไปไหน”

“หมายถึงคุณฮิจิคาตะกับคุณคอนโดใช่มั้ยครับ ออกลาดตระเวนน่ะครับ เดี๋ยวอีกสักพักก็กลับแล้ว”

เสียงรถยนต์จากทางด้านหน้าประตูให้กินโทกิรวมถึงคนอื่นๆ ต้องหันไปมอง รถตำรวจสายตรวจที่คุ้นหน้าคุ้นตาขับเข้ามาพร้อมกับลดกระจกลงมา

“พวกนายมาทำอะไรที่นี่เนี่ย”

ฮิจิคาตะชะเง้อหน้าออกมาถามพร้อมกับมองถุงอาหารนับที่กำลังทยอยยกเข้าใหม่จนตอนนี้เกือบจะหมดหลังรถแล้ว

“แล้วนั่นอะไรน่ะ”

“ออเดอร์ไง เอ้อ ไหนๆ ท่านรองหัวหน้าปีศาจก็มาแล้วเดี๋ยวช่วยจ่ายค่าอาหารด้วย”

ฮิจิคาตะรับบิลมาแต่พอไล่อ่านตัวเลขก็ถึงกับตกใจกระโดดลงจากรถทันที

“นี่มันบ้าอะไร!!! ทำไมฉันต้องจ่ายด้วยฟร่ะ!!!”  ไม่พูดเปล่าฮิจิตาตะยังขว้างบิลลงพื้นด้วยความโมโห “ยังไงฉันก็ไม่จ่าย! ฉันไม่ได้เป็นคนสั่งสักหน่อยทำไมต้องจ่ายด้วยฟร่ะ!!!”

“อะไรกันๆ นี่โองูชิคุงจะเบี้ยวค่าอาหารงั้นหรอเนี่ย ไม่มีความรับผิดชอบเลยนะ สงสัยคงต้องแจ้งตำรวจซะแล้วล่ะ”

“ฉันนี่แหละตำรวจ!!!”

“อ่าวๆ เสียงดังอะไรกันเนี่ย อ่าว พวกร้านสารพัดรับจ้างนี่”

คอนโด อิซาโอะเอ่ยพร้อมกับเดินลงมาจากรถอีกคันตรงมาหาพวกเขา กินโทกิก้มหยิบบิลออเดอร์ส่งให้คอนโด “เนี่ย ลูกน้องนายสั่งเครื่องดื่มแต่ไม่ยอมจ่ายเนี่ย ตั้งเยอะเลยนะเว้ย ถ้าพวกแกไม่จ่ายพวกฉันแย่นะเว้ย”

“งั้นหรอเนี่ย เดี๋ยวฉันจ่ายเอง-”

“ไม่ได้นะคุณคอนโด!” ยังไม่ทันที่คอนโดจะควักเงินก็ถูกฮิจิคาตะห้ามเอาไว้ “เราไม่ได้เป็นคนสั่งนะ ทำไมต้องจ่ายด้วย”

“นี่โองูชิคุง ไม่มีความรับผิดชอบก็อยู่เฉยๆ ไปเถอะ” พูดพลางใช้นิ้วก้อยแคะขี้มูกไปพลางก่อนจะดีดใส่คนที่กำลังโมโหตรงหน้าจนเขาพุ่งมากระชากคอเสื้อ

“นี่แก! มาไถตังค์กันไม่พอยังมีหน้ามาดีดขี้มูกใส่อีก อีแบบนี้จับเข้าคุกซะเลยดีมั้ยห๊ะ!”

“หา? แล้วจะจับฉันเรื่องอะไรล่ะห๊ะ? เรื่องทวงค่าเครื่องดื่มน่ะหรอ จะบอกอะไรให้นะท่านรองหัวหน้าปีศาจ เรามีหลักฐานที่ลูกน้องไปสั่งออเดอร์แล้วก็ลงชื่อเอาไว้อย่างแน่นหนาแถมยังมีพยานยืนยันอีกตั้งสามชีวิต คิดดูสิ ว่าใครกันแน่ที่จะโดน”

กินโทกิยกยิ้มพร้อมกับมองอีกคนอย่างสะใจในชัยชนะจนฮิจิคาตะเถียงไม่ออกก่อนจะจัดการเขวี้ยงกินโทกิตกบ่อน้ำจนชินปาจิต้องวิ่งตามไปช่วย

“คุณกิน!!!”

ยกมือจัดเสื้อพร้อมกับยกยิ้มมุมปาก “หึ แกนั่นแหละสิโดน สำเหนียกตัวเองหน่อยนะท่านชิโรยาฉะคิดจะเล่นกับรองหัวหน้าแห่งชินเซ็นกุมิระวังจะเจ็บตัวไม่ใช่น้อย”

มีหรือที่กินโทกิจะไม่เอาคืน ยันตัวลุกจากบ่อน้ำหันซ้ายหันขวาหาบางอย่างก่อนจะควักใบบัวมาขว้างใส่คนที่กำลังยืนเก็กอย่างไม่รู้ตัว

“เหอะ!! แล้วไงฟร่ะ!! ถ้าแน่จริงก็มาจับสิเฟ้ย! ไอ้มายองเนสเน่า!!”

“ว่าไงนะไอ้หัวหงอก!! อย่ามาดูถูกมายองเนสแสนล้ำค่านะเว้ย!! ทำอย่างกับถั่วแดงของแกมันดีนัก!”

“ก็ดีไง! ดีมากด้วย รู้จักมั้ยอาหารชั้นสูงของคุณกิน อาหารหมาของแกมันเทียบไม่ได้หรอกเว้ย!!!”

“ว่าไงนะให้หัวหงอก!!!”

“พอสักทีเถอะครับ!!! เลิกทะเลาะกันสักที!!!”

ชินปาจิพยายามจะห้ามแต่ก็ไม่เป็นผล เป็นแบบนี้ทุกครั้งเจอกันทีไรก็คอยหาเรื่องใส่กันทุกที

“เอาน่าๆ อย่าทะเลาะกันเลย อายุก็ปูนนี้แล้วรักๆ กันมั่งเถอะ”

“นั่นสิครับ ว่าแต่…คุณคอนโดคุณก็แก้ผ้าทำไมเนี่ยครับ!!!!”

คอนโดเท้าเอวยืดอกตอบอย่างภาคภูมิใจ “มันคือการแสดงความเป็นชาติชายต่างหากล่ะ”

“แสดงบ้าแสดงบออะไรล่ะ!!! มีแต่***นั่นแหละที่แสดงออกมา!!!” ไม่พูดเปล่าเตะเสยคางไปหนึ่งที

“นี่อากิงปาจิ ชาไข่มุกนี่อะไรมากเลยน่อ กิงด้วยกันมั้ย” คางุระที่โผล่ออกมาจากไหนก็ไม่รู้เอ่ยถามพร้อมกับยื่นแก้วชานมที่คาดว่าน่าจะเอามาจากออเดอร์นั้นแหละมาให้ชินปาจิดู

“นั่นมันไม่ใช่ของเรานะคางุระจัง!!! โอ๊ย~ จะบ้าตายเว้ย!!!!!”

เสียงถอนหายใจของชินปาจิดังจนคนข้างๆ อย่างคางุระต้องเอ่ยทัก “เป็นอาไรอาชินปาจิ ปวกขี้หรอ”

“ป่าวสักหน่อย แค่ในที่สุดก็จบเรื่องสักที”

จบเรื่องคือเรื่องงานที่ในที่สุดก็เสร็จงานทั้งหมดเสียที ที่นี้พวกเขาจะได้กลับบ้านไปนอนอย่างสมใจอย่าง

มือหนาเอื้อมมือเปิดเพลงคลอขณะขับรถกลับร้านพร้อมกับฮัมเพลงไปพลาง

คางุระเหลือบมองกินโทกิที่กำลังเพลิดเพลินกับการฮัมเพลงก่อนจะเอ่ยถาม

“นี่อากิงจัง ปีนี้ลื้ออายุเท่าไหร่น่อ”

“หือ? ถามทำไม จะเอาอายุฉันไปซื้อหวยรึไง”

“แค่ถามเฉยๆ น่อ”

“ยี่สิบเก้า พอใจยัง” กินโทกิตอบขณะที่ยังคงจดจ่อไปที่ถนน

“แก่ป่างนี้แล้วเมื่อไหร่จะหาแฟนสักทีน่อ” คำถามของคางุระทำเอากินโทกิถึงกับหันไปมองพร้อมกับถอนหายใจใส่ก่อนจะเขกกะโหลกไปที

“แก่บ้าแก่บออะไร เขาเรียกยังแซ่บเว้ย”

“โอ๊ย!”

“จะว่าไปคุณกินก็มีผู้หญิงมาชอบตั้งเยอะนี่ครับ ไม่ลองดูสักคนหน่อยหรอครับ” ชินปาจิพูดเสริม

“อะไรของพวกนายเนี่ย ถ้ามันจะมีเดี๋ยวก็โผล่มาเองแหละ” กินโทกิพุดจบก่อนจะหันกลับไปโฟกัสทางข้างหน้าต่อ

ครั้งที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ที่มีคนมาพูดเรื่องแบบนี้ ให้หาแฟนมั่ง ให้ไปดูตัวมั่ง บอกตามตรงว่าน่ารำคาญมาก กินโทกิไม่ได้ชอบหรือสนใจใครเป็นพิเศษไม่ใช่ว่าไม่เจอใครตรงสเปคนะ แต่มันไม่สนใจก็คือไม่สนใจอ่ะ ก็ปล่อยเลยตามเลย

มาถึงร้านกินโทกิจอดเทียบรถเข้าที่เดิมยืนรอชินปาจิที่เข้าไปส่งเงินและรับเงินค่าจ้างอยู่ด้านนอก

“เสร็จแล้วครับ” รอไม่นานชินปาจิก็ออกมาพร้อมกับเงินค่าจ้างปึกหนึ่ง “งั้นผมไปเอาเงินเข้าธนาคารก่อนนะครับ”

“เอาเข้าทีหลังก็ได้น่อ”

“ไม่ได้สิ เดี๋ยวก็แอบเอาไปใช้กันจนหมด งั้นผมไปก่อนล่ะกันคุณกินกับคางุระจังก็กลับได้เลยครับ”

“นี่นายเป็นหัวหน้าฉันตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย” ยกมือสับหัวคนที่เด็กว่าอย่างหมั่นไส้ “ช่างเถอะ ถ้าไม่มีไรแล้วฉันกลับก่อนล่ะ ต้องไปหาซีคิดส์เล่มลิมิเต็ดอีก ไปล่ะ”

พูดจบกินโทกิก็เดินจากไปโดยที่มีสายตาของคางุระกับชินปาจิมองตามแผ่นหลังจนเริ่มออกไปไกลๆ “นี่อาชินปาจิ”

“หือ?”

“ลื้อว่าอากินจังจะหาแฟนได้มั้ยน่อ”

“ไม่รู้สิ คงไม่ได้…ล่ะมั้ง”

“งั้นหรอ นี่อากินจังจะต้องขึ้นคานแล้วเนี่ย น่าสงสารจัง”

“ผมว่าสงสารตัวเองเถอะ ทุกวันนี้เราก็ยังหาแฟนไม่ได้เลย”

“ไม่มีใครเอาลื้อต่างหากล่ะน่อ”

“ว่าไงนะ!!! คางุระจังเองก็ไม่มีใครเอาเหมือนกันนั่นแหละ”

“ว่าไงนะ!!” เดินตีกันไปมาโดยพวกเขาไม่รู้เลยว่าอีกไม่นานหัวหน้าของพวกเขาจะเผชิญโชคใหญ่ที่มิอาจจะหลีกเลี่ยงได้

สองเท้าเดินไปเรื่อยๆ ตามถนนหนทางไม่ลืมที่จะเข้าไปตามร้านที่ขายหนังสือทุกร้านเท่าที่จะหาได้แต่ไม่ว่าจะที่ไหนก็ไม่มีซีคิดส์เล่มลิมิเต็ดสักเล่มเดียว

ถอนหายใจรอบที่ร้อยเหนื่อยก็เหนื่อยร้อนก็ร้อนจะพ่นไฟแล้วนะเหวย แค่ซีคิดส์เล่มเดียวทำไมมันถึงหายากหาเย็นได้ขนาดนี้เนี่ย

“โว้ย~ ซีคิดส์จ๋า อยู่ที่ไหนเนี่ยได้โปรดออกมาเถอะ”

“ยังเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยนะกินโทกิ” เสียงอันคุ้นเคยให้กินโทกิต้องหันไปมองพบว่าเป็นคาซึระ โคทาโรอดีตเพื่อนร่วมรบสมัยสงครามขับไล่ต่างแดน

“อะไรของนายซึระ แล้วชุดนั่นอะไร เล่นแต่งคอสเพลย์หรอ”

“ไม่ใช่ซึระ คาซึระโกะจังต่างหาก” กินโทกิไล่มองชุดคลอสเพลย์โดยไม่สนใจคนโวยวายเพราะชื่อผิดแต่อย่างใด เพื่อนชายที่มัดผมเปียดด้านหน้ากับชุดนักเรียนที่ขัดกับมัดกล้ามแน่นเสียเหลือเกิน

“ไหนๆ ก็เจอนายแล้วอ่ะนี่” คาซึระหยิบบางอย่างในตระกร้ายัดใส่มือเขา “อะไร”

พลิกดูพบว่ามันคือก้อนสบู่ที่มีโน๊ตเล็กๆ น่ารักๆ แปะเอาไว้

‘มาร่วมสนุกกับพวกเราชาวคลับ ROSERIAN กันเถอะ’

“เห็นว่านายยังโสดฉันอยากช่วยเพื่อนสานต่อ-อุ๊ก!” ยังไม่ทันจะพูดจบก็ถูกอีกคนเอาสบู่นั่นยัดใส่ปากก่อนจะล้มลงไปกับพื้นทันทีก่อนจะเดินจากไปโดยไม่สนใจใยดีเพื่อนชายที่นอนกองกับพื้น

สองเท้าเดินไปเรื่อยๆ แรงเริ่มตกจากความเหนื่อย ทำไมนะทำไมมันถึงได้หายากหาเย็นขนาดนี้เนี่ย โอ๊ย~

“พ่อหนุ่ม” เสียงยานคางเรียกให้กินโทกิต้องหันไปมองพบว่าเป็นใครคุณยายคนหนึ่งในชุดเดรสขาดรุ่ย

“เรียกฉันหรอยาย” ชี้เข้าหาตัวเองเป็นเชิงถาม คุณยายค่อยๆ เดินมาหาก่อนจะยกมือสั่นๆ จับปลายเสื้อของเขา “ร้านโมจิไปทางไหนหรอ”

“อ่า…เดี๋ยวพาไปล่ะกัน”

กินโทกิย่อตัวให้คุณยายปีนขึ้นหลังก่อนจะพาเดินไป เดินๆ วนๆ ตามหาร้านโมจิ ถามคนนั้นทีคนนี้ทีแต่ละคนก็บอกไม่ตรงกันสักอย่างจนกินโทกิเริ่มจะท้อแล้ว

“นี่ยาย สรุปจำไม่ร้านไม่ได้เลยหรอเนี่ย”

“อืม…อ๋อ จำได้แล้ว อยู่ตรงนู้นน่ะ”

“ตรงไหนยาย”

“นั่นน่ะตรงนั้นน่ะ” คุณยายยกมือสั่นๆ ชี้ไปที่ฝั่งตึกสูงๆ ที่อยู่อีกฟากของคาบูกิโจ กินโทกิที่เห็นก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่พร้อมกับสบถในใจ “พายายไปหน่อยนะหนุ่มนะ”

“ครับๆ เดี๋ยวพาไปก็ได้ครับ”

สองขาออกแรงเดินทีละก้าวด้วยความหนักและเหนื่อยล้าจนในที่สุดก็มาถึง ทันทีที่ปล่อยคุณยายลงพื้นกินโทกิก็ทรุดลงนั่งกับพื้นทันที ย่านที่กินโทกิพายายมาถึงคือย่านคากุระซากะ ย่านที่เหล่าคนรวยอาศัยกัน

“ขอบใจมากนะพ่อหนุ่ม เรานี่เป็นคนดีสียจริง” กินโทกิสูดหายใจเข้าลึกเพื่อให้ใจที่เต้นรัวจากความเหนื่อย “จะว่าไปพ่อหนุ่ม เราก็หน้าตาดีนะเนี่ย อายุเท่าไหร่ล่ะ”

“ยี่สิบเก้าครับ”

“หืม? ยังเด็กนะเนี่ย”

“ยายคิดว่าผมยังเด็กอยู่หรอ” กินโทกิถึงกับเลิกคิ้วหันไปหาคุณยายอย่างแปลกใจ “ยายเป็นคนแรกเลยนะเนี่ยที่บอกว่าผมเป็นเด็ก”

ก็ที่ผ่านมามีแต่คนบอกว่าเขาแก่ทั้งนั้น มาได้ยินแบบนี้เขาก็ตกใจสิ

“ยายมีแฟนป่ะ”

“ฮ่าๆๆๆ เคยมี แต่ตอนนี้ตายไปแล้ว” คุณยายหัวเราะร่าต่างกับกินโทกิที่ได้แต่หัวเราะแห้ง

“ยาย ไม่เหงาหรอ ผัวตายทั้งคนเลยนะ”

“ตอนแรกก็เหงาแหละ ตอนนี้ชินล่ะ คุยกับเพื่อนข้างบ้านก็ได้ อีกอย่างเดี๋ยวนี้ก็มีอินเตอร์เน็ตนี่ ถ้าเหงายายก็เล่นเน็ตไปเรื่อย ฮ่าๆๆ” กินโทกิมองคุณยายที่เล่าอย่างสนุกสนานแต่เขาก็เห็นนะ ว่าสายตาของคุณยายมันไม่ได้โกหก มันกำลังบอกว่ายายกำลังเหงาและโดดเดี่ยวอยู่

“ยายไม่ลองหาแฟนใหม่ล่ะ”

“โอ๊ย ยายก็อายุปูนนี้แล้ว จะตายวันตายพรุ่งก็ไม่รู้ อยู่ดูเด็กๆ เล่นกันก่อนตายแค่นี้ก็พอแล้ว”

“ยายนี่ ไม่เครีนดเลยเนาะ”

“เครียดทำไมเล่า เครียดมากก็เท่านั้นตายไปก็เอาอะไรไม่ได้”

“แล้ว…แฟนยายตายเพราะอะไร”

“ก็ไปรบสงครามขับไล่ต่างแดนนี่แหละ ถูกฆ่าตายคาสนามรบ” กินโทกินั่งฟังยายเล่าอยู่เงียบๆ โดยที่ไม่ได้โต้แย้งอะไร “แต่ยายก็ภูมิใจนะ เขาทำเพื่อประเทศนี่ แค่นี้ยายก็มีความสุขแล้ว”

“แฟนยายเขาก็คงดีใจกับยายเหมือนกันแหละ ว่าแฟนเขาสามารถมีความสุขได้ขนาดนี้แม้ว่าสังขารยายมันจะพร้อมไปทุกเมื่อก็ตาม”

“ฮ่าๆๆ อย่างงั้นเรอะ พ่อหนุ่มนี่พูดจาเฉียบเหมือนกันนะเนี่ย” คุณยายยันตัวลุกจากเก้าอี้พร้อมกับขยับร่างกายที่ยึดเส้นก่อนจะยื่นบางอย่างมาให้เขา

“อะไรอ่ะยาย”

“เครื่องรางเเรื่องความรักไง” กินโทกิรับมาดูมันคือกำไลหินสีขาวหยกชิ้นเล็กๆ “ถ้าใส่กำไลนี่นะ เดี๋ยวท่านจะส่งเนื้อคู่จากฟ้ามาให้”

“จากฟ้าเนี่ยนะยาย จะส่งมายังไงถีบลงมาหรอ”

“เดี๋ยวก็รู้เองพ่อหนุ่ม ยายไปล่ะ” คุณยายตบบ่ากินโทกิสองทีก่อนจะเดินจากไปปล่อยทิ้งกินโทกิไว้ให้อยู่กับความงง “เอ้ายาย ยายจะมาทิ้งผมแบบนี้ไม่ได้นะยาย”

ถอนหายใจกับความมึนของยายก่อนจะเก็บกำไลเข้ายูกะตะอย่างช่วยไม่ได้ ช่างเถอะ มันคงไม่มีเนื้อคู่ที่ไหนจะหล่นมาจากฟ้าหรอกน่า

เดินต่อไปในซอกซอยของย่านคากุระซากะเพื่อตามหาซีคิดส์แต่ไม่ว่าจะไปตามที่ไหนก็ไม่เจอสักที่เลย กินโทกิถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยล้าเต็มทนก่อนจะตะโกนออกมา

“ไม่ไหวแล้วนะเหวย ซีคิดส์แกอยู่ไหนเนี่ย ออกมาสักที!! อั่ก!!”

แหกปากได้ไม่ทันขาดคำจู่ๆ ก็มีอะไรบางอย่างร่วงหล่นทับจนกินโทกิฟุบลงไปกับพื้นทันที

“อะไรวะเนี่ย” กินโทกิเอี้ยวหันมองสิ่งที่อยู่บนตัวเขาแต่ก็ตกใจช็อคเพราะสิ่งที่หล่นมาจากฟ้ามันคือร่างของผู้หญิงคนหนึ่งที่สภาพตอนนี้สลบเหมือดพร้อมกับเลือดที่ไหลออกจากหัว

“แว๊กกกกกก!!! อะไรวะเนี่ย!!! ทำไมถึงมีศพหล่นมาจากฟ้าได้ฟร่ะ!!” จู่ๆ ประโยคของคุณยายเมื่อกี้ก็ผุดขึ้นมาในหัว พอนึกถึงประโยคนั้นผนวกกับสภาพของร่างหญิงสาวตรงหน้า

“ดะ-เดี๋ยวก่อนนะ รึว่า จะบ้าเรอะ!! จะเป็นไปได้ไง!! ศพคนเนี่ยนะเนื้อคู่ของฉัน บ้าไปแล้ว! ไม่ตลกนะเฮ้ย ใครโยนศพนี่ลงมาออกมารับผิดชอบเดี๋ยวนี้นะเห้ย!!!”

จังหวะเดียวกันที่กินโทกิกำลังตะโกนแหกปากหาต้นตอที่โยนศพลงมาจู่ๆ ก็มีกลุ่มคนใส่สูทเดินมาล้อมเขา “อะไรเนี่ย พวกแกใช่มั้ยที่โยนศพนี่ลงมา เอาคืนไปเลยนะเว้ย! รู้มั้ยว่ามันเจ็บแค่ไหน ไม่รู้กระดูกฉันยังอยู่ดีรึเปล่าจ่ายเงินค่าชดใช้มาเลยนะเว้ย”

“ส่งผู้หญิงคนนั้นมาให้เราเดี๋ยวนี้” กินโทกิขมวดคิ้วจนเป็นปมส่วนหนึ่งก็คงเพราะคนพวกนี้ดันพูดภาษาอังกฤษแต่เขาก็เข้าใจ แต่อีกส่วนหนึ่งคือศพที่อยู่บนหลังเขา กินโทกิรู้สัมผัสได้ถึงบรรยากาศแปลกที่ออกมาจากคนพวกนี้

“เฮ้ ฉันไม่อยากจะยุ่งกับเรื่องนี้หรอกนะ ถ้าอยากได้มากก็มาเอาเอง ฉันขยับไม่ได้เว้ย”

กินโทกิสปีค English ใส่กลับเขาคิดว่าทุกอย่างน่าจะจบแต่กลับไม่ใช่แบบนั้นเพราะหนึ่งในนั้นเดินมาหาเขากางมือตรงหน้าพร้อมกับวงเวทย์ที่ค่อยๆ ปรากฏขึ้น

ในชั่วขณะนั้นเขาคิดไว้แล้วว่าโดนแน่ๆ แต่จู่ๆ ก็มีเรียวที่เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดค่อยๆ เลื่อนจากทางด้านหลังมาปิดตาเขาจนสนิทก่อนจะมีเสียงสะเบิดตามาเป็นระยะ

เสียงตูมตามกับเสียงกรีดร้องที่ดังระงมจนหูแทบอื้อนั่นไม่ได้ทำให้กินโทกิกลัวเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่ตอนนี้เขาแค่อยากจะออกจากตรงนี้ อยากจะเอามือนี่ออกจากตาเขาเท่านั้น

“นี่คุณ จะตีกันอะไรฉันไม่ว่าหรอกนะแต่ช่วยเอามือออกไปจากตาฉันได้มั้ยมันมองไม่เห็น”

กินโทกิพยายามจะแงะมือเรียวเล็กออกจากตาในที่สุดเขาก็สามารถหลุดออกจากพันธนาการนั่นได้สักที แต่ก็เป็นจังหวะเดียวกันที่ศพที่อยู่บนตัวตอนแรกลุกออกไป

ศพลุกออกไป?

คิดได้แบบนั้นกินโทกิรีบหันขวับศพหญิงสาวในตอนแรกลุกเดินเซออกไปเห้นแต่เพียงด้านหลัง ผมยาวสลวยสีดำไฮไลท์อินเนอร์สีขาวกำลังเดินเซออกไปไกลๆ แต่พอหันกลับเขาก็ต้องช็อครอบที่สองเพราะสภาพตรงหน้ามันเละจนนึกว่าสนามรบ

กลุ่มคนชุดสูทในตอนแรกตอนนี้ต่างสภาพเละเทะจนดูแทบไม่ได้ บางคนโดนแท่งอะไรสักอย่างเสียบเข้ากลางตัว บางคนโดนดาบเสียบ บางคนโดนเสียบปักคากำแพง หนักสุดบางคนก็หัวระเบิด

เสียงหวอตำรวจมาหยุดตรงตรอกที่กินโทกิยืนอยู่พร้อมกับเหล่าตำรวจของชินเซ็นกุมิที่นำโดยโอคิตะ โซโกะก่อนจะพุ่งเข้ามาจับตัวกินโทกิโดยที่ไม่ได้บอกอะไร

“อ่าวเฮ้ย! มาจับฉันเรื่องอะไรเนี่ยฉันไม่ได้ทำนะเว้ย!!!”

“ลูกพี่ เลือดเต็มตัวขนาดนี้คงจะปล่อยไปไม่ได้หรอกครับ อีกอย่างตรงนี้ก็มีก็แค่ลูกพี่ด้วยเพราะฉะนั้นยอมแพ้แล้วมอบตัวเถอะครับ ผมจะได้ไปกินราเม็ง”

“เรื่องของแกสิ นี่โซโกะคุง ฉันไม่ได้ทำจริงๆ นะเห้ย มันมียัยผู้หญิงคนนึงที่ตกมาจากฟ้าคนนั้นน่ะ ฝีมือยัยนั่นแน่ๆ”

“หรอครับ ไม่ยักกะเห็นเลยครับ เอาเป็นว่าค่อยเล่าทีหลังละกันครับ”

“ไม่ได้สิเห้ย ฉันไม่ผิดนะเว้ย!! พวกแกจะมาจับฉันแบบนี้ไม่ได้!! เห้ย!! ฟังกันบ้างสิเว้ย!” โอคิตะปิดประตูโดยไม่สนใจคนหัวเงินที่โวยวายแหกปากอยู่ในรถก่อนจะขับออกไป

“หัวหน้าโอคิตะ แล้วเราจะจัดการคนพวกนี้ยังไงดีครับ”

โอคิตะกวาดสายตามองก่อนจะยกมือถือส่งหาใครบางคน “ให้ฝั่งนั้นเขาจัดการล่ะกัน”

เสียงโวยวายดังไม่หยุดของคนหัวเงินตั้งแต่บนรถจนถึงที่ห้องสอบปากคำดังลั่นจนคนในหน่วยชินเซ็นกุมิพากันมองเป็นสายตาเดียว

“ฉันไม่ได้นะเว้ย พวกนายจะมาจับแบบนี้ไม่ได้!! จะไปจับก็ไปจับยัยนั่นสิเว้ย!”

“ไงสารพัดรับจ้าง” คอนโดเอ่ยทักก่อนจะเดินมาหย่อนตัวลงที่เก้าอี้ฝ่ายตรงข้ามของอีกคน

“ไงบ้าอะไร จับฉันมาทำไมเนี่ย ฉันไม่ได้ทำอะไรผิดนะเว้ย”

“ฉันปล่อยนายแน่ แต่มีข้อแลกเปลี่ยนนะ” กินโทกิได้ยินก็ถึงกับหัวเสีย “แลกเปลี่ยนอะไรอีก แค่นี้ก็เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว แถมยังจะโดนฆ่าอีก พวกแกบ้าป่ะเนี่ยไม่เอาด้วยหรอก!!”

โน็ตบุ๊คเครื่องหนึ่งวางลงตรงหน้าเขาพร้อมกับฮิจิคาตะก่อนจะหันหน้าจอโน๊ตบุ๊คที่มีข้อมูลอะไรก็ไม่รู้ที่เป็นภาษาอักฤษมาหาเขา

“อะไร ให้ดูอะไรเนี่ย”

“คนที่แกเจอคือกลุ่มอีลิธ เดิมทีพวกมันมีรกรากอยู่ที่ดีทรอยต์ สหรัฐอเมริกา ตอนแรกพวกมันก็เป็นแค่กลุ่มเล็กๆ นี่แหละ คอยฆ่าคอยขโมยศพของพวกที่เป็นผู้ใช้เวทย์แร่แปรธาตุไปขายในตลาดมืดก่อนที่พวกมันจะเริ่มขยายอนาเขตไปทั่วโลกรวมถึงญี่ปุ่นด้วย”

“ผู้ใช้ อะไรนะ”

“ผู้ใช้เวทย์แร่แปรธาตุ พวกที่ใช้พลังเวทย์แปรธาตุต่างให้เป็นสิ่งของหรืออาวุธไง”

“เดี๋ยวนะโองูชิคุง นายจะบอกว่าไอพวกอีลิธนั่นมันล่านักเล่นแร่แปรธาตุเพื่อเอาพลังไปขายในตลาดมืดหรอ”

“ใช่”

“ถามจริง! นี่ฉันอยู่ในยุคผู้ใช้เวทย์แร่แปรธาตุเกลื่อนเอโดะแล้วหรอเนี่ย โทษทีนะนี่เรื่องแขนกลคนแปรธาตุป่ะ ต้องไปลากพี่น้องเอ็ดเวิร์ดมาปราบมั้ย”

“เลิกพล่ามได้แล้วเฟร้ย! เอาเป็นว่าตอนนี้นายต้องช่วยพวกฉันจับพวกอิลิธ”

กินโทกิได้ยินก็ถึงกับทุบโต๊ะปึง “จะบ้าเรอะ!! ใครมันจะโง่เอาชีวิตไปเสี่ยงเพราะเรื่องพรรค์นั้นกันฟร่ะ!! แค่ทำงานเอามาจ่ายค่าเช่าทุกวันนี้ก็เหนื่อยเต็มทนแล้ว แล้วยังต้องเอาชีวิตไปเสี่ยงกับอะไรก็ไม่รู้เนี่ยนะ! แกก็เห็นนี่ว่าไอ้พวกนั้นมันโกงกันขนาดไหน จะให้ดาบไม้ธรรมดาไปงัดกับพลังเวทย์ที่สามารถฆ่าคนได้แค่เพียงวิเดียวเนี่ยนะ!! ใครทำก็โง่แล้ว!!”

“ห้าล้าน เอามั้ย” คอนโดยื่นเสนอเงินค่าจ้างแต่ด้วยจำนวนเงินที่ไม่คุ้มเอาเสียเลยทำให้กินโทกิเลือกที่จะปฏิเสธ “ห้าล้านแลกกับชีวิตฉันเนี่ยนะ ไม่เอาหรอก”

“ห้าล้านดอลลาร์”

สกุลเงินที่จากเยนเป็นดอลลาร์ทำให้กินโทกิถึงกับหยุดชะงักก่อนจะครุ่นคริดไปอยู่ครู่  ยกมือขึ้นมานับเลข 5 ล้านดอลลาร์เท่ากับ 761,424,990 เยน พอเห็นตัวเลขที่คำนวนออกมาแล้ว

“เหอะ คิดว่าเงินแค่นี้จะเอามาหลอกล่อคนคุณกินได้อย่างงั้นเรอะ หึ เอาสิฟร่ะ!! เงินตั้งขนาดนี้ไม่เอาก็โง่แล้ว”

“ก็ดี อ่ะนี่สัญญ นายต้องเซ็นด้วย”

คอนโดยื่นเอกสารบางอย่างมาตรงหน้า พอหยิบขึ้นมาอ่านมันเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด แต่ไม่ใช่ว่าเขาจะอ่านไม่ออกนะ ก็พออ่านได้

สัญญาสำคัญสำหรับการว่าจ้าง

สำนักงานตำรวจเวทย์มนต์ดีทรอยต์, สหรัฐอเมริกา และหน่วยตำรวจชินเซ็นกุมิ

ข้าพเจ้า ซากาตะ กินโทกิ ยินยอมการทำสัญญาว่าจ้างร่วมกับสำนักงานตำรวจเวทย์มนต์ดีทรอยต์, สหรัฐอเมริกา และหน่วยตำรวจชินเซ็นกุมิ ในการตามล่าและจับกุมกลุ่มอีลิธ โดยมีค่าจ้างเป็นจำนวน 5,000,000 ดอลลาร์

ระยะเวลาสัญญาจ้างเป็นจำนวนหนึ่งเดือน หากในกรณีที่สามารถทำตามข้อตกตลงในสัญญาได้ตามครบที่ตกลงสามารถรับเงินเต็มจำนวนได้ในทันที แต่หากไม่ทำตามสัญญา สัญญาจะสิ้นสุดลงทันทีและจะไม่ทำการจ่ายเงินค่าจ้าง

หากในกรณีที่ผู้ทำสัญญาเกิดบาดเจ็บหรือเสียชีวิตจนไม่สามารถทำงานต่อให้ จะมีเงินค่าชดเชยให้ทางครอบครัว

กรณีบาดเจ็บ เงินชดเชยจำนวน 1,000,000 ดอลลาร์

กรณีเสียชีวิต เงินชดเชยเดือยละจำนวน 20,000 ดอลลาร์ เป็นเวลา 40 ปี

เซ็นต์ยินยอม

ไล่อ่านจนครบทุกบรรทัดจะว่าไประยะเวลาก็ไม่นานเงินชดเชยก็คุ้มค่าแต่ถ้าเขารอดเขาก็จะได้เงินค่าจ้างตั้ง 5,000,000 ดอลลาร์

หยิบปากกาเซ็นต์ลงไปก่อนจะส่งคืน

“พอใจยัง”

“ดี อ่ะนี่” คอนโดยื่นรูปใบหนึ่งมาให้

เป็นรูปของผู้หญิงคนหนึ่งที่มีใบหน้าคมคายผมสีดำไฮไลท์อินเนอร์สีขาวนัยต์ตาสีเทา เรียกได้ว่าสวยจนเหมือนไม่มีอยู่จริงเลย

“ผู้หญิงคนนี้ชื่อซายะ ริเชล กำลังถูกพวกอิลิธตามล่าอยู่ เพราะเธอมีพลังที่มหาศาลทั้งเวทย์อาวุธศาสตราทั้งเวทย์แร่แปรธาตุ โดยส่วนใหญ่คนที่ใช้เวทย์นี้จะมีแค่เวทย์ใดเวทย์หนึ่ง เวทย์อาวุธศาสตรามากสุดจะมีแค่คนละไม่เกินสองชิ้น ส่วนเวทย์แร่แปรธาตุก็มีได้แค่คนละหนึ่งอย่าง แต่ซายะน่ะ เธอไม่เหมือนคนอื่น เธอสามารถใช้เวทย์อาวุธศาสตรากับส่วนเวทย์แร่แปรธาตุได้ไม่จำกัด”

กินโทกิได้ยินถึงกับขมวดคิ้วเป็นปม นี่มันอะไรวะเนี่ย นี่เขาอยู่ในโลกแฟนตาซีแฟรี่เทลหรอ

“อย่างงี้ยัยนั่นก็แข็งแกร่งอ่ะดิ แล้วให้ฉันไปช่วยทำไม”

“ซายะทำงานคนเดียวมาตลอด ถ้ามีคนคอยช่วยจัดการมันจะไวแล้วก็ง่ายขึ้นไง”

“แล้วตำรวจอย่างพวกนายไม่ไปช่วยยัยนั่นไง”

“พวกเราไม่สามารถช่วยตรงๆ ได้ อย่างที่รู้อีกฝ่ายเป็นถึงจอมเวทย์ถ้าให้พวกไปสู้ตรงมีหวังได้ตายกันหมดแน่ๆ”

“แล้วฉันล่ะ ฉันก็มนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งนะเหวย อีกอย่างฉันมีคนเดียวนะ ฉันไปสู้กับพวกนั้นก็ซี้สิ”

“ใครบอกว่าจะให้นายไปสู้ล่ะ” ฮิจิคาตะปล่อยควันออกจากปอดก่อนจะยกยิ้มอย่างผู้ชนะ “คนอย่างแกน่ะ ตัวล่อ คงเหมาะสมที่สุด”

“ว่าไงนะ!!!!!”

day 2

เสียงร้องของนกพิราบมันชวนให้น่าหงุดหงิด แต่การต้องมาตื่นเช้าเพื่อมาทำงานมันน่าหงุดหงิดมากกว่า แต่ก็เลือกไม่ได้ต้องหาเงินมาเลี้ยงชีพนี่เนาะ อีกอย่างอีกไม่กี่อาทิตย์เขาต้องจ่ายค่าเช่าบ้านที่ต้างมา 3 เดือนแล้ว ถ้าได้ก้อนนี้มานี่สบายเลย

ขับรถมอเตอร์ไซค์สกู๊ตเตอร์คู่ใจไปตามถนนหนทางจนมาถึงย่านคากุระซากะเพื่อตามหาเป้าหมายก่อนจะลงจากรถเข็นเข้าไปในย่าน

ย่านคากุระซากะเป็นย่านที่อยู่ไม่ไกลจากคาบูกิโจ เป็นย่านที่มีแต่เหล่าคนรวยอย่างพวกเศรษฐีหรือพวกคนมีกะตังค์อาศัย เพราะคากุระซากะอยู่ใกล้กับวังของโชกุนทำให้พื้นบริเวณโดยรอบรวมถึงคากุระซากะมีค่าที่ดินที่แพงมาก แถมแถวนี้ก็มีร้านค้ามากมายด้วย เรียกได้ว่านอจากบ้านคนรวยยังเแนแหล้งท่องเที่ยวอีกด้วย

กินโทกิเข็นสกู๊ตเตอร์ไปตามทางพลางกวาดสายตามองหาเป้าหมายขณะที่เดินไปก็คอยถามคนแถวนั้นด้วย

“อ้อ ผู้หญิงนี้น่ะหรอ”

“ใช่ลุง พอจะเห็นบ้างมั้ยลุง”

“เห็นๆ เมื่อเช้าเธอยังมาซื้อไทยากิร้านลุงอยู่เลย เห็นว่าจะไปคาเฟ่แมวตรงนู่นน่ะ” ลุงพูดพร้อมกับชี้มือไปร้านคาเฟ่แมวที่ห่างออกไปประมาณเกือบ 100 เมตร

“อ๋อ ขอบคุณมากครับ”

“ว่าแต่แฟนเหรอคุณกิน”

“อ่า…นิดหน่อยน่ะครับ พอดีเธอขโมยพาเฟ่ต์ผมไปเลยต้องมาตามตัวน่ะครับ งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ” กินโทกิรีบผละตัวออกมา ถ้าอยู่ต่อมีหวังโดนถามเยอะแน่ๆ

เดินมาถึงคาเฟ่แมวกินโทกิจอดรถเทียบที่ด้านหน้าก่อนจะเดินตรงเข้าไปในร้านพลางกวาดสสยตามองหาเป้าหมาย

“เมี๊ยว~”

“เหวอ!” แมวสี่ถึงสี่ห้าตัวพากันเดินมาออเซาะที่ขาของเขา “อะไรของพวกแกนี่ฮะ”

“ยินดีต้อนรับครับคุณกิน ไม่ทราบว่าจะรับอะไรครับ” พนักงานต้อนรับเอ่ยทักทายกินโทกิสำรวจป้ายเมนูก่อนจะหันไปสั่ง “เอาพาเฟ่ต์ที่นึง”

“ได้ครับ งั้นรอสักครู่นะครับ”

ระหว่างรออาหารกินโทกิก็กวาดสายตามองหาเป้าหมายแต่เจ้าฝูงแมวในร้านก็เอาแต่มาออเซาะที่ขาอยู่นั่น

“อะไรของพวกแกเนี่ยฉันทำงานอยู่นะเหวย อย่ามากวนกันได้มั้ย เห้ย!! ไอ้แมวส้มอย่าตะกุยชุดฉันนะ!!! ไอ้เทาหยุดตะกุยรองเท้าฉันเดี๋ยวนี้!!!”

ยิ่งบ่นฝูงแมวยิ่งรุมเขา พยายามจับพยายามเดินหนีก็ไม่ได้มันยิ่งเดินตามแล้วแบบนี้เขาจะทำงานสงบๆ ได้มั้ยเนี่ย

ไม่นานพาเฟ่ต์ที่สั่งก็ได้ กินโทกินั่งลงที่เก้าโต๊ะริมกำแพงพอนั่งลงได้ 1 วิ ฝูงแมวนับสิบก็กรูกันเข้ามาที่โต๊ะเขาพร้อมกับนั่งจ้องราวกับกดดัน

“มามองอะไรเนี่ย จะไปไหนก็ไปเลยไปคนเขาจะทำงาน” ไล่ยังไงก็ไปแต่พวกมันยิ่งเดินมาหาเขา “เฮ้ยๆๆๆ ก็บอกแล้วไงว่าคนจะทำงานน่ะ เฮ้ย! นี่ะาเฟ่ต์ฉันนะแมวกินไม่ได้นะเหวย!!”

ทั้งจับออกทั้งไล่แต่ไม่ว่าจะทำอะไรพวกแมวก็ไม่ยอมไปสักที พาเฟ่ต์ก็มาโดนแมวเลีย งานก็ต้องทำอีกเขายังหาเป้าหมายไม่เจอเลยนะเหวย มันจะมาจบเอาตอนนี้ไม่ได้!!

“เมี๊ยวๆๆ มานี่ๆ” เสียงใสร้องเรียกแมวก่อนแมวนับสิบที่กำลังรุมกินโทกิจะหันไปหาคนใหม่

กินโทกิเงยหน้ามองคนมาใหม่ หญิงสาวใบหน้าคมผมสีดำไฮไลท์อินเนอร์สีขาวยาวสลวย รีบหยิบภาพขึ้นมาเทียบมองสลับไปมา

ชัดเลย!!! คนนี้แหละ ในที่สุดก็เจอสักที!

ว่าแต่ ไอ้เสียงเรียกเมื่อกี้มันอะไร เรียกแมวหรอ แล้วไอ้ที่ฆ่าพวกอีลิธเมื่อวานมันคืออะไร ผู้หญิงพลังแกร่งสายโหดที่ฆ่าศัตรูนับสิบกับไอ้คนที่มานั่งเล่นกับแมวแง๊วๆ วันนี้นี่มันคนเดียวกันใช่มั้ย

“หืม?” ดูเหมือนหญิงสาวจะรู้ว่ากำลังถูกจ้อง เธอเงยหน้ามองทำให้กินโทกิสะดุ้งเฮือกยิ่งทำให้เขาลนลานก่อนจะเบือนสายตาหนีเพราะโดนจับได้ว่ากำลังจ้องเธออยู่

“ไม่ชอบแมวหรอ”

“หือ?” กินโทกิกลับมาหันมองตรงๆ พลางเลิกคิ้ว “คุณน่ะ ไม่ชอบแมวหรอ”

อ่อ ถามเขานี่เอง “เปล่าหรอก ก็แค่ไม่ชอบที่มันมาแย่งพาเฟ่ต์ฉันกิน”

“แมวน่ะ จริงๆ มันกินของหวานไม่ได้หรอก แต่ที่มันไปแย่งคุณกินก็เพราะมันเห็นว่าคุณกินได้ มันก็เลยอยากจะกินมั่ง”

กินโทกิเท้าคางมองอีกคนด้วยความสนใจ “เธอนี่ดูรู้เรื่องแมวเยอะดีนะ”

“เคย แต่ตายไปแล้ว” จู่ๆ บรรยากาศก็เปลี่ยน อะไรเนี่ย ที่เขาไปสะกิดต่อมอะไรเธอรึเปล่าเนี่ย

“ฮ่าๆๆๆ ทำไมทำหน้าแบบนั้นเล่า อดีตก็คืออดีต ตอนนี้น้องไปสบายแล้ว ตอนนี้ฉัยก็แค่โฟกัสกับปัจจุบันแค่นั้น”

แม้ใบหน้าของเธอจะยิ้มแต่เขาเห็นนะ ว่าสายตาของเธอมันดูเศร้าและโดดเดี่ยวมาก

“ลืมถามเลย จะว่าไปที่คุณมานี่มาตามฉันเหรอ”

คำถามของซายะทำเอากินโทกิถึงกับสะดุ้งเฮือก ลืมไปเลยว่าเขามาตามดูเธอ มัวแต่คุยจนลืมหน้าที่ตัวเองแล้วนะเนี่ย

“ว่าไง สรุปคุณมาดูฉัน-”

โครม!!!!!!

“กรี๊ดดดด!!! / เมี๊ยวววว!!!!”

เสียงกรี๊ดปนกับเสียงร้องของแมวดังระงมเหตุเกิดมาจากรถยนต์คันหนึ่งที่มาจากไหนก็ไม่รู้พุ่งใส่เข้าร้านคาเฟ่แมวจนทุกคนรวมทั้งแมวแตกกระเจิง

“นี่มันบ้าอะไรเนี่ย” กินโทกิสบถพร้อมกับค่อยๆ เดินเข้าไปเพื่อจะไปดู สังเกตเห็นควันลอยออกมาจากตัวรถแต่พอสังเกตดูดีๆ มันไม่ใช่สีดำแต่มันกลับเป็นสีม่วงก่อนจะสัญชาตญานภายในตัวมันจะบอกว่าให้ถอย

“ชิบล่ะ”

ตู้ม!!!!

ไม่ทันจะได้ถอยรถคันนั้นก็ระเบิดตู้มพร้อมกับควันสีม่วงขโมง ซายะที่เห็นก็รีบเข้าขวางก่อนจะกางมือดูดควันสีม่วงเข้าในวงแหวนเวทย์

“แค่กๆๆ เธอนี่สุดยอดแฮะ อย่างกับซุปเปอร์ฮีโร่เลย แค่กๆๆๆ”

จู่ๆ ร่างกายปวดแสบปวดร้อนก้อนเนื้อในอกเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมาจากอก เรี่ยวแรงที่เคยมีค่อยๆ หายไปก่อนจะทรุดลงกับพื้น

ไม่ไหวแฮะ ที่เขากำลังจะตายหรอเนี่ย

“จับมัน!!!”

ร่างกายที่ไร้เรี่ยวแรงถูกแบกด้วยใครบางคน พื้นสะเทือนจนแทบเวียนหัวสงสัยกำลังวิ่งอยู่ เสียงโวยวายของกลุ่มคนปนกับเสียงระเบิดตูมตามจนหูแทบอื้อ

ร่างของเขาถูกวางลงกับพื้นหญ้าของที่ไหนสักแห่ง กินโทกิหรี่ตาพยายามมองเหตุการณ์ตรงหน้าแต่ความปวดแสบปวดร้อนภายในร่างกายมันก็ถาถมไม่หยุด

“แค่กๆๆๆ”

แสงวูบวาบที่คาดว่าน่าจะเป็นดาบถูกเสกออกมาจากมือของหญิงสาวก่อนที่คนเหล่านั้นจะพุ่งใส่เธอหมายจะฆ่า

“ซา…ยะ”

นุ่ม

ทำไมมันนุ่มขนาดนี้นะ

ใครมันเอาอะไรมาทาบปากเขาเนี่ย ชินปาจิหรอ หรือคางุระ เอ๊ะ หรือว่าซาดาฮารุ

แต่เดี๋ยวก่อน…เขาตายแล้วหรอ ตายแล้วใช่มั้ย แต่ทำไมความรู้สึกมันเหมือนจริงเลยนะ

พยายามลืมตาภาพตรงหน้าค่อยๆ ชัด ใครบางคนที่พึ่งเคลื่อนหน้าออกมันดูคุ้นตาเหมือนพึ่งเคยเห็นเมื่อไม่นานมานี้

“นี่ ตายยัง”

เสียงหวานอันคุ้นเคยก่อนจะค่อยๆ นึกออกจนทำให้เขาสะดุ้งเฮือกลุกขึ้นมานั่ง

“โอ๊ะ ยังไม่ตายแฮะ”

กินโทกิสำรวจตัวเองพลางยกมือจับหน้าอกฟังหัวใจตัวเอง ก็เต้นปกติหนิ งั้นแปลว่าเขายังไม่ตายนี่หว่า

“ฉันยังไม่ตายใช่มั้ย” หันไปถามอีกคนเพื่อเป็นการยืนยัน ซายะจับมือของเขาดันไปอังตรงใต้จมูกของเขา

โอเค เขายังไม่ตาย

“เอ๊ะเดี๋ยวก่อน แล้วเมื่อกี้ฉันเป็นอะไร ทำไมถึง…”

“คุณสูดควันพิษเข้าไป ฉันก็เลยดูดออกให้”

“ห๊ะ! ดูดออก? ดูดยังไง”

“ปากไง”

“ปาก?” ซายะพพยักหน้าตอบ

จู่ๆ ความรู้สึกบางอย่างก็แล่นเข้ามาในหัว ความรู้สึกนุ่มนิ่มที่ปากกับความรู้สึกวูบวาบที่ค่อยๆ ไหลทะลักออกจากปากของเขา หรือว่า…

กินโทกิหันมองหญิงสาวที่กำลังนั่งมองเขาด้วยสีหน้าที่นิ่งเรียบ อย่าบอกนะ ว่าเขาเสียจูบแรกไปแล้ว!!!! ไม่ใช่ว่ากินโทกิไม่เคยเรื่องแบบนี้ สมัยก่อนเขาก็เคย ไม่ว่าจูบหรืออะไรเขาก็ผ่านมาหมดแล้ว แต่ว่านี่…

“ใครสั่งใครสอนให้ดูดพิษทางปากกัน!!! แถมยังใช้ปากดูดอีก!!! เป็นสาวเป็นแส้ดูดทางอื่นสิ ใช้วิธีอื่นสิ นี่มันไม่ต่างอะไรกับการจูบเลยนะเหวย!!!!”

“ไม่รู้อ่ะ พี่สอนมาแบบนี้”

“โว้ยยยย!!!! ไม่ต้องฟังพี่มากก็ได้มั้ย เป็นเด็กรึไงห๊ะ!”

“ก็เด็กนะ ยี่สิบสี่เอง”

“โอ๊ย!!!!!!”

ตูม!!!!!

อาวุธปริศนานับสิบพุ่งตรงมาหาพวกเขาทำให้ซายะต้องใช้เวทย์ลมกางเพื่อป้องกันตนเอง ไม่ต้องเดายากคนที่โจมตีก็ไม่ใช่ใครนอกจากกลุ่มอีลิธ

“หนีกันเก่งจริง แค่ยอมให้จับง่ายๆ ก็จบ-”

ไม่ปล่อยให้ฝ่ายศัตรูได้เอื้อนเอ่ยซายะจกทะลวงท้องของอีกฝ่ายก่อนชายผู้นั้นจะร่วงลงสู่พื้น

กินโทกิที่เห็นภาพทุกอย่าง ภาพมือที่มีวงแหวนเวทย์ปรากฏก่อนมือนั่นจะทะลวงท้องของศัตรูไม่พอยังหมุนเกลียวกะว่าให้อีกฝ่ายตาย ยัยเด็กนี่มันจะน่ากลัวเกินไปแล้วนะเหวย!!

“จะจับก็มา อย่าช้าฉันต้องไปซื้อเนื้อย่างอีก”

พูดจบพวกอีลิธก็พากันกรูพุ่งตรงมาหาพวกเขา ซายะหันไปจับมือกินโทกิก่อนจะใส่กำไลบางอย่างให้เขา

“อะไรเนี่ย”

ยังไม่ทันจะได้คำตอบต่างคนก็ต้องกระโดดหลบสารพัดอาวุธที่สาดใส่โจมตีพวกเขา

“อั่ก!!” ดินที่ถูกแปรสภาพให้เป็นอาวุธกระแทกเข้าลำตัวกลางกินโทกิจนกระเด็นไปไกล “shit! เจ็บนะเหวย”

“เอาเลือดป้ายกำไล!!”  ซายะหันไปตะโกนบอกขณะที่ตัวเองก็กำลังสู้อยู่

“ห๊ะ!? อะไรนะ!!!!”

“บอกให้เอาเลือดป้ายกำไล!!”

“ป้ายทำไม!!!”

“บอกให้ป้ายก็ป้าย!!” เป็นจังหวะที่ซายะวิ่งหลบมาใกล้พอดีเธอเอื้อมไปป้ายเลือดที่แก้มเขาก่อนจะเอามาป้ายที่กำไล

จู่ๆ บรรยากาศรอบๆ ตัวก็เปลี่ยนไป เหมือนมีกระแสไฟฟ้าจำนวนมหาศาลแล่นเข้าร่างกาย มีอักขระเวทย์ค่อยๆ ปรากฏตามแขนขวา

“เรียกเวทย์ออกมาเลย!!”

“แล้วมันเรียกยังไง!!”

“ตั้งจิตเรียกพลังออกมา!!-อั่ก!!” ซายะโดนดินที่แปรสภาพดึงยึดกับพื้นก่อนที่พวกอีลิธจะทำการร่ายเวทย์หมายจะเอาชีวิต

กินโทกิตั้งสมาธิรวบรวมจิตเรียกพลัง ไฟฟ้าในร่างให้รวมที่ดาบไม้ยึดถือดาบให้มั่นและพุ่งตัวโจมตีใส่พวกอีลิธทันที

ตูม!!!!

“อ๊ากกกก!!!!” พวกอีลิธกระเด็นกระดอนไปกันคนละทิศคนละทางบ้างก็โดนช็อตจนน็อคไป

กินโทกิมองดาบในมือที่ยังมีกระแสไฟฟ้าปรากฏให้เห็นอยู่กลายๆ ให้ตายเถอะ นี่เขากลายเป็นคนมีพลังแล้วหรอเนี่ย นี่มันยังเป็นกินทามะอยู่ใช่มั้ย

เสียงร้องโอดโอยที่ดูจะขาดใจกับชายคนหนึ่งที่กำลังคลานมาจับเท้า “แกจะต้องเสียใจ ที่ไปช่วยยัยนั่น”

กินโทกิมองชายตรงหน้าก่อนจะนึกอะไรบางอย่าง ไหนๆ ไอ้กำไลนี่ก็ทำให้เขามีพลังแล้วลองอันใหม่สิ ตั้งจิตนึกถึงสิ่งที่อยากให้ออกมา เปลี่ยนดาบไม้ให้เป็นค้อนอันโต

“วู้ว~เจ๋งว่ะ”

“นี่แก”

“อยากรู้ใช่มั้ยว่าทำไมฉันถึงช่วยยัยนั่น” กินโทกิยกยิ้มแสยะง้างค้อนขึ้นสุดเหนือหัวก่อนจะฟาดลงชายผู้นั้น “เพราะของเล่นมันสนุกไงล่ะ”

หย่อนตัวลงกับพื้นนั่งเอนหลังหลังพิงกับต้นไม้พลางยกมือขึ้นมาดู มือสั่นแรงจนน่าประหลาดใจไหนจะอาการเหนื่อยหอบที่มากจนแทบจะทำให้เขาพร้อมหลับได้ทุกวิ

“ไหวมั้ย” ซายะย่อตัวมาดูอาการกินโทกิ สภาพเขาตอนนี้ดูแย่มาก หอบเหนื่อยแถมยังมือสั่นอีกด้วย “สภาพนี้คิดว่ายังโอเคอีกมั้ยล่ะ”

“อ่า…คงไม่ไหวสินะ”

เสียงหวอที่มาพร้อมกับรถตำรวจชินเซ็นกุมิให้ทั้งสองคนหันไปมอง

“โห ใช้ได้เลยนี่”

“ฝากจัดการที่เหลือด้วยนะ” ซายะหันไปบอกกับพวกชินเซ็นกุมิก่อนจะหันหลังเตรียมจะเดินจากไป

“เดี๋ยวก่อนสิคุณผู้หญิง ทำคนอื่นหมดแรงขนาดนี้ต้องรับผิดชอบสิจะมาหนีกันได้ไง” สองขาหยุดกึกหันมองคนหน้าตายที่กำลังเลิกคิ้วอย่างกวนบาทา

“ช่วยไม่ได้หนิ มือใหม่ก็แบบนี้แหละ ทนๆ ไปเถอะ”

“หา? แล้วเรื่องอะไรที่ฉันต้องทนล่ะ เธอเป็นคนมายัดให้ฉันเองนะ”

“ที่ให้ก็เพราะจะได้ช่วยตัวเองได้ไง ยังจะมาบ่นอีก”

“เดี๋ยวๆๆๆๆ ทั้งสองคนพูดเรื่องอะไรกันเนี่ย ช่วยตัวอะไร ยัดอะไรกัน” ดูเหมือนคอนโดจะเข้าใจประโยคพูดของทั้งสองคนผิดไปดันไปเข้าใจว่าทั้งสองคนทำเรื่องบัดสีบัดเถลิงซะงั้น

“ใจเย็นครับคุณคอนโด เขาคุยเรื่องกำไลที่พี่สาวให้ลูกพี่ต่างหาก”

“อ่าว อย่างงั้นหรอ” ดีนะที่โอคิตะคอยช่วยแก้ไม่งั้นได้เข้าใจผิดกันยาวแน่ๆ

“นี่ ไอ้พวกที่มาโจมตีมันมีแค่นี้ใช่มั้ย” ฮิจิคาตะเดินมาสมทบพร้อมกับหันมาถามพวกกินโทกิ

“ใช่ทำไม”

“เหมือนจะมีคนหลบหนีไปคนนึงนะ”

“ว่าไงนะ” ซายะเดินไปดูตามฮิจิคาตะบอก มันมีรอยเลือดหยดเป็นทางเข้าไปทางป่าที่อยู่ใกล้ๆ

“ดูเหมือนจะเป็นตัวหัวหน้าด้วยนะครับเนี่ย”

“พวกนาย ตามมันไป-”

“ไม่ต้อง” ยังไม่ทันที่คอนโดจะพูดจบซายะก็แทรกขึ้นมาก่อน

“เดี๋ยวสิ ถ้าไม่ตามไปเดี๋ยวมันก็หนีไปได้หรอก”

“ตามแล้วสู้กับมันได้หรอ ไม่ได้จะดูถูกนะ แต่อย่าลืมว่ามันมีพลังมากกว่าพวกคุณ มันไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา เพราะฉะนั้นเดี๋ยวฉันจัดการเอง”

ซายะเดินตามรอยเลือดเข้าป่าไปทิ้งคนที่หลือได้แต่ยืนมอง

“ลูกพี่ไม่ตามไปหรอครับ” โอคิตะหันไปถามกินโทกิที่เอาแต่นั่งเงียบ

“นายว่าฉันควรตามไปมั้ย”

“ก็ควรนะครับ เพราะในตอนนี้นอกจากคุณพี่สาวก็มีแค่ลูกพี่นี่แหละครับที่ใช้พลังได้”

กินโทกินั่งครุ่นคริดอยู่ครู่ก่อนยันตัวลุกเดินตามซายะไป “ฝากตรงนี้ด้วยล่ะกัน เดี๋ยวยัยนั่นฉันพากลับเอง”

“ฝากคุณพี่สาวด้วยนะครับลูกพี่”

ภายในป่าที่ทึบหนาสองขาเรียวเดินรอยเลือดมาเรื่อยๆ จนมาถึงลานกว้างกลางป่า พลางกวาดสายตามองหาเป้าหมายรอบๆ ก่อนจะไปหยุดที่หลังหินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่ง

ซายะเดินตรงไปยังหินก้อนนั้นแต่จู่ๆ เซ้นท์มันดันบอกว่ามีบางอย่างอยู่ด้านหลังห้อนหินนั่นแน่ หยุดเดินและยืนครุ่นคิดก่อนจะจะร่ายเวทย์ทำลายก้อนหินเพื่อให้เผยสิ่งที่อยู่ด้านหลัง

“อ๊ากกกกกก!!!!”

เสียงกรีดร้องกับร่างที่ปรากฏออกมาโชคดีที่เธอเอะใจทันไม่งั้นคนที่จะเละคงจะเป็นเธอแทน

ซายะเดินตรงไปหาศัตรูพลางใช้ตีนเขี่ยก่อนจะมีแท่งบางอย่างพุ่งแสกหน้าแต่ก็หลบได้ทัน

“คิดเรอะว่าฉันจะยอมให้จับง่ายๆ น่ะ เหอะ! ฝันไปเหอะ”

“โอย~ ยอมสักทีเถอะ ขี้เกียจแล้วนะ”

“ไม่มีทาง!!!”

ชายคนนั้นแปรสภาพพื้นดินให้กลายเเป็นหอกแหลมพุ่งมาทางเธอ ซายะทำการเรียกดาบใหญ่ออกมาก่อนจะทำการตวัดดาบทำลายแท่งดินจนหมด แต่จังหวะนั้นเองก็มีแท่งดินอีกแท่งพุ่งมาทางเธอก่อนที่จู่ๆ จะมีดาบไม้ปริศนาตวัดลงมาทำลายแท่งดินนั่น

“ดูให้ละเอียดหน่อยสิ เห็นมั้ยเนี่ยว่ามันยังไม่หมด”

กินโทกิที่มาจากก็ไม่รู้บ่นพลางใช้เวทย์จากกำไลสแตนเลสเรียกสายฟ้าออกมาฟาดใส่คืนชายจากกลุ่มอีลิธไป

“ตามมาทำไมเนี่ย” ซายะเอ่ยถามพลางปั้นหน้าคิ้วขมวดใส่

“ก็ไม่อยากจะตามมาหรอกนะ แต่ดันไปเซ็นต์สัญญาแล้วก็ต้องทำหน้าที่ให้ถึงที่สุด”

ซายะมองคนตรงหน้าอย่างพิจารณาก่อนจะถอนหายใจแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดยิกๆ “ขอเลขบัญชีหน่อย”

“หือ? เอาไปทำไม”

“บอกมา”

“ทำไม จะโอนเงินให้แล้วไล่ฉันกลับรึไง” ท่าทางแบบนี้เขารู้

“โอนให้แล้วไง มันได้จะจบสักหน่อย ฉันก้าวขาเข้ามาเกี่ยวข้องจนเต็มตัวแล้วนี่ออกไปก็โดนล่าอยู่ดีมั้ย”

คิดตามแล้วมันก็จริง จะออกตอนนี้กินโทกิก็คงจะโดนหมายหัวไปแล้วจะหนีก็คงไม่ทันแล้ว

สายเหลือบเห็นอะไรบางอย่างที่พุ่งมาจากด้านหลังของกินโทกิ ซายะเอื้อมคว้าผมของกินโทกิก่อนจะลากดึงตัวเขาหลบแล้วยกมือหอกดินจนมือทะลุก่อนจะปามันคืนไปจนแทงทะลุตัวของชายคนนั้นจนล้มลงไป

“เฮ้อ จบสักที”

“นี่เธอ!! จบแล้วก็ช่วยปล่อยผมฉันด้วย! จับนานๆ เดี๋ยวผมฉันหลุดหมด ช่วงนี่ผมยิ่งร่วงง่ายอยู่” ปล่อยมือผมดันเผลอกำนานไปหน่อย

“โทษที”

มือหนายกมือลูบผม เกือบหลุดแล้วนี่ถ้ากำนานอีกหน่อยผมได้หลุดมือติดยัยนั่นไปแน่ๆ

ซายะเดินตรงเข้าไปหาร่างของหัวหน้ากลุ่มอีลิธก่อนจะทำการร่ายเวทย์มัดตัวเขาเอาไว้เพื่อไม่ให้หลุดหนีไปอีก

“นี่พวกนาย!!! ยังอยู่ดีกันใช่มั้ย!!” เสียงของคอนโดตะโกนดังมาแต่ไกลพอหันไปก็พบว่าเป็นพวกชินเซ็นกุมิที่วิ่งตามมา

“ก็เห็นอยู่นี่ว่ายังไม่ตาย” กินโทกิพูดสวนกลับอน่างกวนประสาท

“คนอย่างแกน่ะน่าจะตายๆ ไปซะดี”

“นี่ๆ ท่านรองหัวหน้าปีศาจพูดแบบนี้ได้ไงห๊ะ ถ้าเกิดฉันตายไปพวกนายจะไม่มีคนช่วยนาเหวย อย่าลืมสิว่านอกจากยัยนั่นฉันก็ใช้พลังได้เหมือนกันนา”

“งั้นหรอ งั้นตัดมือนั่นเลยดีมั้ยแกจะได้กลายเป็นคนธรรมดา”

ฮิจิคาตะเอื้อมมือไปจับแขนคนหัวเงินพร้อมกับง้างดาบฟันจริงๆ จนกินโทกิต้องยกมือห้าม

“เฮ้ยๆๆๆ!! เดี๋ยวก่อนสิ!! ถ้าแกตัดมือฉันแกจะต้องโทษทำร้ายประชาชนจนอันเป็นเหตุให้พิการนะเหวย!!!”

“อดีตนักรบขับไล่ต่างแดนอย่างแกไม่มีใครเขามาสนใจหรอก!!”

“ก็บอกแล้วไงว่าตอนนี้คุณกินใสบริสุทธิ์แล้ว!!! นั่นมันเรื่องในอดีตจบแล้วก็แล้วกันไปสิ!!”

“นี่”

“หา? ฉันก็อยากจะจบอยู่หรอก แต่แกอย่าลืมว่าแกเป็นถึงชิโรยาฉะผู้เลื่องชื่อ ต่อให้สงครามมันจบไปแล้วแต่เรื่องตามจับนักรบขับไล่ต่างแดนมันไม่เคยจบหรอกเว้ย!!”

“เฮ้ย!!!!!!!” เสียงสาวเข้มตะโกนเรียกให้ชายทั้งสองคนที่กำลังเถียงกันถึงกับสะดุ้งเฮือกแล้วกันไปมอง พบว่าเป็นซายะที่ตอนนี้กำลังปั้นหน้านิ่งมองพวกเขาอยู่

“มีอะไรหรอ”

“ไอ้หัวหน้ามันกลายเป็นผงไปล่ะ”

“ห๊ะ?!!!” ทั้งสองหนุ่มเดินแหวกมาดูพบว่ามันกลายเป็นผงอย่างที่ว่าจริงๆ

“แล้วทำไมเธอปล่อยให้เป็นแบบนี้ล่ะห๊ะ แบบนี้มันก็หลุดรอดไปได้อ่ะดิ” กินโทกิหันมาถามพลางใช้เท้าเขี่ยเศษผงที่อยู่บนพื้น

“มันไม่ได้หลุดรอด มันตายต่างหาก”

“มันก็เหมือนๆ กันนั่นแหละ”

“แล้วจะให้ฉันทำไงล่ะ ห้ามให้มันตายงี้หรอ ต่อให้ฉันแกร่งแค่ไหนก็ห้ามคนไม่ให้ตายไม่ได้นะ”

นึกคิดตาม เออ นั่นสิเนาะ

“นี่คุณพี่สาว ไอ้เจ้านี่มันคืออะไรหรอครับ” โอคิตะหยิบของบางอย่างจากขี้เถ้าบนพื้นส่งให้ซายะดู

มันคือก้อนอะไรบางอย่างขนาดเท่าเหรียญ มีลักษณะก้อนสีแดงใสรูปร่างเหมือนหอยเม่น

“หินพลัง?”

“หือ? อะไรคือหินพลัง” กินโทกิชะเง้อหน้าจากด้านหลังของซายะเข้ามาดูก้อนในมือของโอคิตะจนซายะปั้นหน้าคิ้วขมวดหันไปมอง

“คิดว่าน่าจะนะครับ”

ซายะหยิบขึ้นมาพิจารณาดูแต่จู่ๆ ก้อนหินนั้นก็ระเบิดจนวงเกือบแตก โชคดีที่ระเบิดแค่เล็กๆ ไม่งั้นได้เจ็บหนักกันแน่

ณ ที่กรมตำรวจแห่งชาติภายในห้องประชุมที่กำลังประชุมกันอย่างเคร่งเครียด คงเป็นเพราะวันนี้ถึงจะจับพวกอีลิธที่ทำการบุกมาได้จำนวนหนึ่งแต่กลับไม่ได้ข้อมูลอะไรที่เกี่ยวกับพวกมันเลย ทำให้ทุกคนในที่นี่ต่างปวดหัสกันทั้งนั้น

“นี่” กินโทกิเอ่ยขึ้นมาท่ามกลางความเงียบทำให้ทุกคนใรห้องต่างพากันหันไปมองยกเว้นซายะที่เอาแต่ยืนเหม่อมองวิวที่ด้านนอกหน้าต่าง

“ไม่มีอะไรแล้วฉันกลับเลยได้มั้ย”

“ไม่ได้ เรายังประชุมกันไม่เสร็จ” ฮิจิคาตะเอ่ยพร้อมกับพ่นควันออกจากปอด

“แล้วไม่ประชุมสักทีล่ะฟร่ะ เอาแต่นั่งเงียบกันอยู่นั่นแหละ คนเขามีการมีงานนะเฟร้ย”

“คนอย่างแกเนี่ยนะมีการมีงาน วันๆ เห็นไปร้านปาจิงโกะไม่ก็นั่งหาวอ่านซีคิดส์ไปวันๆ”

“โถ่~โองูชิคุง นายไม่ได้ตัวติดกับฉันสักหน่อยจะไปรู้ได้ไงว่าวันๆ นึงฉันต้องทำงานหนักขนาดไหน”

“นี่ซายะจะไปไหนน่ะ” คอนโดเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าซายะกำลังจะเดินออกจากห้องประชุม

“ไปนอน ง่วง”

“แต่เรายังประชุมไม่สร็จกันเลยนะ ท่านผบ.ยังไม่มาเลย”

“ไม่เป็นไรๆ งานวันนี้จบแล้ว” ประตูห้องเปิดออกพร้อมกับผบ.ตร.มัตสึไดระที่เดินเข้าห้องมาพอดี

“ท่านผบ.เรายังไม่สรุปผลกันเลยนะครับ”

“หรอ งั้นก็สรุปเลยก็แล้วกัน ผลงานของพวกนายวันนี้ทำได้ดีมาก ส่วนข้อมูลก็ช่างมัน หาต่อไป เอาล่ะ กลับกันได้แล้วไป”

พูดจบมัตสึไดระก็เดินออกจากห้องประชุมไปทิ้งไว้ให้คนอื่นนั่งงง

“งั้นฉันไปก่อนนะ” ไม่รอช้าซายะก็เดินตามออกไปอีกคน “งั้นฉันไปด้วยดีกว่า ไปล่ะนะไอ้พวกตำรวจกิ๊กก๊อก”

“ไอ้…” ฮิจิคาตะที่ทำท่าจะพุ่งไปใส่เดี่ยวกับกินโทกิก็ถูกคอนโดห้ามเอาไว้ “ช่างมันเถอะ เราก็ไปมั่งดีกว่า”

ภายในลิฟต์อันเงียบสนิทกินโทกิและซายะต่างคนต่างยืนกันคนละมุมลิฟต์โดยที่ไม่ได้พูดคุยกัน

คนหัวเงินเหลือบมองอีกคนผ่านกำแพงลิฟต์ก่อนที่จู่ๆ ตัวลิฟต์จะเกิดเสียงดังตึงขึ้นมา

“เฮ้ยๆ~อย่าบอกนะว่าลิฟต์ค้างน่ะ ไม่เอานะฉันต้องไปซื้อคิดส์นะเหวย”

กินโทกิบ่นไปกดปุ่มลิฟต์ไปแต่ก็ไม่มีวี่แววจะขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย

“เอาไงคุณผู้หญิง ดูท่าเราจะติดลิฟต์ซะแล้วล่ะ”

ซายะมองคนหัวเงินด้วยสีหน้านิ่งเดินไปแปะมือที่แผงวงจรก่อนจะเกิดประกายไฟแปล๊บๆ ขึ้น

“ทำอะไร-”

ยังไม่ทันได้พูดจบจู่ๆ ลิฟต์ก็ขยับก่อนจะร่วงสู่ชั้นล่างสุด ทั้งกินโทกิและซายะต่างต้องนอนหมอบราบกับพื้นเพื่อหาที่ยึดก่อนซายะจะร่ายเวทย์ลมประคองลิฟต์ให้ค่อยๆ ลงสู่ชั้นที่ 1 อย่างปลอดภัย

“ซายะทำบ้าอะไรเนี่ย!!!! จะฆ่าตัวตายรึยังไงกันห๊ะ!!!!!! อ้วก!!!”

“โทษที ลืมไปว่าไม่ได้อยู่คนเดียว”

“ยัยเด็กนี่ ใครสั่งใครสอนให้ทำแบบนั้นกันห๊ะ” กินโทกิเอ่ยเสียงแหบนอนหมดแรงกับพื้นลิฟต์

“รับผิดชอบเลยนะ ไม่งั้นฉันจะฆ่าเธอ”

ซายะเดินไปดึงกินโทกิให้ลุกขึ้นก่อนจะดันตัวเขาให้ขึ้นหลัง “นี่เธอจะทำอะไรเนี่ย อย่าบอกนะว่าจะแบกฉันขึ้นหลังแล้วพากลับบ้านน่ะ”

“ก็คุณบอกให้รับผิดชอบนี่”

ซายะทำจริง คือการแบกกินโทกิิขึ้นหลังแล้วพากลับบ้าน แต่ด้วยน้ำหนักที่ห่างกันเกินไปทำให้ในการเดินทีละก้าวมันช่างทุลักทุเลยิ่งนัก

ผ่านมากว่า 20 นาทีทั้งสองคนพึ่งจะออกมาจากกรมตำรวจมาได้แค่ 2 กิโล กินโทกิที่อยู่บนหลังของซายะที่ตอนนี้อาการดีขึ้นแล้วเหลือบมองคนตัวเล็กที่พยายามจะแบกเขาให้ถึงบ้าน

“ไหวมั้ยเนี่ย ไม่ไหวก็ปล่อยฉันได้นะ”

“ไม่ เป็น ไร” เป็นชัดๆ

ซายะยังคงพยายามจะเดินต่อแต่เพียงไม่นานเธอก็ล้มหน้าทิ่มลงกับพื้น กินโทกิยันตัวขึ้นโดยที่ไม่ลืมที่จะดึงเธอขึ้นมาด้วย “จุกเลยล่ะสิ”

ซายะปั้นหน้าเบ้ทำปากเบะอย่างไม่ชอบใจ “จุก”

“เห็นมั้ยล่ะ บอกแล้วก็ยังดื้อจะแบกอีก”

“ก็คุณบอกให้รัลผิดชอบนี่”

“แล้วรับผิดชอบอย่างอื่นไม่ได้รึยังไง”

“คิดไม่ทัน”

ได้แต่ถอนหายใจและส่ายหัวเนือยๆ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าหญิงแกร่งขนาดเทียบเท่าอุซึโระแต่กลับคิดไม่ทันกับอีเรื่องแค่นี้ได้

ช่างเด็กน้อยเสียจริง

กินโทกิจับตัวเธอแบกขึ้นหลังพลางกระชับให้พอดี “บ้านอยู่ไหน เดี๋ยวไปส่ง”

“เดี๋ยวเดินเอง”

“สภาพแบบนี้เดี๋ยวก็เดินตกท่อหรอก บอกมาว่าพักอยู่ที่ไหน”

“โรงแรมตรงนู่น” ซายะชี้ไปที่ตึกที่ตั้งอยู่ในย่านคากุระซากะ

“ไกลใช่เล่นเลยนะเนี่ย”

“กลับเองก็ได้นะ”

“เฮ้อ! ไปก็ไปวะ!”

เดินกันไปตามถนนระหว่างทางทั้งคู่ก็คึยกีนไปตีกันไปตลอดจนตกเป็นเป้าสายตาของที่คนที่ผ่านไปมา เดินกันมาจนถึงคากุระซากะเดินตรงต่อไปจนมาถึงโรงแรมที่ซายะบอก

พอมาถึงซายะก็กระโดดออกจากหลังของกินโทกิก่อนจะหันมาบอกลา

“ขอบคุณที่มาส่งนะ”

“นี่เธอ อยู่ในโรงแรมหรูขนาดนี้เลยหรอ”

กินโทกิแหงนหน้ามองตึกสูงตระหง่านตรงหน้า เป็นโรงแรมที่มีการตกแต่งสไตล์ตะวันตกโทนสีออกขาวทอง ดูก็รู้ราคาห้องพักน่าจะต้องแพงมากแน่ๆ

“ก็ลุงแกบอกให้พักที่นี่”

ลุงที่ว่าก็คือมัตสึไดระ เขาแนะนำให้เธอมาพักที่นี่ ภายในโรงแรมจะมีคนของชินเซ็นกุมิคอยเฝ้าตรวจตราแล้วเธอก็วางเวทย์ไว้อีกชั้นเพื่อป้องกันไม่พวกอีลิธตามเจอ

“เอาเป็นว่าขอบคุณอีกครั้งนะ” ซายะหยิบเงินในกระเป๋ายัดใส่มือของกินโทกิก่

“ไม่เอาเฟ้ย เอาคืนไปเลย ถึงฉันจะจนแต่ฉันก็มีศักดิ์ศรีนะ” กินโทกิส่งเงินคืนแต่ก็ถูกเด็กสาวที่อายุอ่อนกว่าดันมือกลับมา

“ศักดิ์ศรีมันกินไม่ได้หรอก มนุษย์เราถ้าจะให้อิ่มมันต้องกินข้าวมากกว่า” ดันมือเสร็จซายะก็หันหลังเดินตรงดิ่งเข้าโรงแรมไปโดยไม่สนเสียงคัดค้านของเขา

“ซายะ! ซายะ! นี่!”

จริงๆ เลย กินโทกิก้มมองปึกเงินจำนวนหนึ่งพอนับดูแล้วนี่มันตั้งห้าแสนเยนเลยนะ จะว่าไปดูจากการแต่งตัวรวมถึงแอคเซสเซอรี่ต่างๆ บนตัวก็ดูท่าจะเป็นของแบนด์เนมทั้งหมดด้วยยัยนี่มันรวยขนาดนี้เลยหรอเนี่ย

แต่ช่างเถอะ ในเมื่อให้มาแล้วก็ถือว่าเป็นของเขาจะมาเอาคืนทีหลังเขาไม่ให้นะ

day 3

ช่วงเช้ามืดของเอโดะภายในโซนหนึ่งของตึกร้างมีเสียงร้องโอดโอยดังก้องไปทั่วทั้งตึก ก่อนจะเงียบลง หญิงสาวที่นั่งพักอยู่บนแท่งปูนแท่งหนึ่งสูดหายใจเข้าปอดลึกเพื่อให้คลายความเหนื่อยล้าจากการต่อสู้

พอนั่งพักได้หายความเหนื่อยก็พึ่งจะสังเกตได้ว่าเนื้อตัวรวมถึงเสื้อผ้าของเธอเลอะเปรอะเปื้นทั้งเลือดแล้วก็ฝุ่น มือเรียวยกปัดแต่ปัดยังไงก็ปัดไม่ออกสงสัยคงจะต้องทิ้งเสื้อตัวนี้แล้วล่ะ

“จัดการเกลี้ยงเหมือนเดิมเลยนะ“ เสียงของคนมาใหม่ให้ซายะหันไปมองพบว่าหน่วยชินเซ็นกุมิที่เธอเรียกมาถึงแล้ว

“ฝากที่เหลือต่อด้วยนะ จะกลับไปนอน” พูดพลางยื่นหลักฐานต่างๆ ใหกับโอคิตะก่อนจะเดินจากไปทิ้งให้พวกชินเซ็นกุมิมองตาม

“คุณคอนโดครับ คุณพี่สาวเขาก็ออกจะเก่งทำไมไม่ให้เธอจัดการพวกนั้นเองล่ะครับ จะให้พวกเรามาจัดการทำไมพวกเราก็ใช่ว่าจะสู้เจ้าพวกนั้นได้สักหน่อย”

“ก็เพราะมันหาไม่เจอยังไงล่ะ อีกอย่างหน้าที่การจัดการพวกผู้ร้ายไม่ว่าจะมาจากไหน ภายในเขตปกครองญี่ปุ่นหน้าที่จับพวกนั้นส่งมันก็ต้องเป็นหน้าที่ของพวกเราอยู่แล้ว อีกอย่างนึง ให้ซายะจัดการคนเดียวไม่ได้หรอก ต่อให้แข็งแกร่งขนาดไหนถ้าสู้คนเดียวมันโดดเดี่ยวและน่ากลัวกว่ามีคนคอยช่วยเสียอีก”

บนถนนเส้นหลักในตัวเมืองเอโดะหญิงสาวนามซายะเดินเท้าด้วยอาการหมดแรง เธอตื่นตั้งแต่ตี 3 เพื่อออกมาจัดการกับพวกอีลิธ ตอนแรกก็คิดว่าสักชั่วโมงเดียวก็คงเสร็จแต่กลายเป็นว่ามันกลับยืดเยื้อจนถึง 2 ชั่วโมง เรียกได้ว่าทั้งเหนื่อยทั้งล้าไปทั้งตัว

ขณะที่เดินไปตามถนนสายตาก็เหลือบเห็นใครบางคนที่ดูคุ้นหน้าคุ้นตานอนแอ้งแม้งอยู่บนกองถังขยะ

ซายะเดินเข้าไปดูพลางใช้เท้าเขี่ยคนหัวเงินที่นอนแอ้งแม้งพึ่งสังเกตเห็นว่าหน้าของเขาแดงก่ำด้วย สงสัยคงจะเมามาแน่ๆ ทำการเสกเวทย์ลมพัดกินโทกิให้ขึ้นจับตัวเขาให้กระชับก่อนจะเริ่มเดินกลับโรงแรม

จากจุดที่เจอกินโทกิถึงโรงแรมรวมๆ กินก็ 5 กิโลกว่า แถมด้วยน้ำหนักที่ต่างกันเกินทำให้กว่าจะก้าวเดินทีละก้าวก็ทุลักทุเลจะล้มแหล่ไม่ล้มแหล่แล้ว

ในที่สุดก็แบกมาจนถึงโรงแรม กว่าจะมาถึงได้ก็ใช้เวลาปาไปเกือบ 2 ชั่วโมงกว่าๆ ซายะสาวเท้าเดินเข้าประตูโรงแรมพอเข้ามาพนักงานและลูกค้าคนอื่นๆ ต่างก็พากันมองเธออย่างสงสัย

“ให้ผมช่วยมั้ยครับ” หนึ่งในพนักงานวิ่งมาหาเพื่อที่จะช่วย “ไม่  เป็น ไร ค่ะ”

ซายะเดินต่อเธอไม่ต้องการให้ใครมายุ่งเรื่องส่วนตัวสักเท่าไหร่แม้ว่าตอนนี้จะลำบากก็ตาม เพราะช่วงนี้เธอโดนตามล่าอยู่แม้ว่าโรงแรมนี้มัตสึไดระจะส่งชินเซ็นกุมิมาคอยดูก็ตาม

ขึ้นลิฟต์ขนมาถึงชั้นที่ตัวเองพักอยู่เดินจนมาถึงห้อง ทันทีที่เข้าห้องซายะก็ปล่อยกินโทกิลงกับเตียงทันทีก่อนจะฟุบล้มลงไปข้างๆ กัน

ด้วยความเหนื่อยและเมื่อยล้าจากการต่อสู้ขยับหัวหนุนหมอนก็หลับทันที ส่วนกินโทกิก็ปล่อยให้นอนแบบนั้นไป ตอนนี้ไม่ไหวแล้วเธอขอนอนก่อนล่ะกัน

ร่างหนาขยับตัวพลางยกมือจับหน้าขยี้ตาเพื่อให้คลายแฮงค์ ค่อยๆ เปิดเปลือกมองเพดานห้องก่อนจะปั้นคิ้วขมวด

“ที่ไหนเนี่ย ไม่ใช่ว่าล่าสุดฉันนอนตรงกองขยะหรอ”

ค่อยๆ ยันตัวลุกพลางสำรวจรอบๆ ห้องนอนที่ตกแต่งสไตล์ตะวันตกหรูหรา วิวทิวทัศน์ที่ตื่นนอนมาก็เห็นวิวเอโดะได้ทั้งเมือง และหญิงสาวที่นอนอยู่ข้างกาย

หญิงสาวงั้นเรอะ!!!

กินโทกิหันควับมองพิจารณาอีกรอบปรากฏว่าคนที่นอนหันหลังที่ข้างกายคือผู้หญิงจริงๆ จู่ๆ ก็เหงื่อตกใจเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมาจากอก นี่หรือว่าเมื่อตอนที่เขาเมาเขาจะเผลอไปลากผู้หญิงที่ไหนมานอนด้วยแน่ๆ เลย

เวรเอ้ย แย่แน่ๆ

เสียงขยับตัวของคนข้างๆ ทำให้เขาสะดุ้งเฮือกก่อนหญิงคนนั้นจะค่อยๆ หันมาจนเห็นใบหน้าได้อย่างชัดเจน

“ซายะ?” นึกว่าผู้ที่ไหนที่แท้ก็ซายะนี่เอง แต่เดี๋ยวก่อนนะ นี่เมื่อคืนเขาลากซายะมาหรอ

พยายามเค้นนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนแต่ไม่ว่าจะนึกยังไงก็นึกไม่ออก แต่พอนึกคิดดีๆ ดูจากนิสัยของซายะก็ไม่น่าจะยอมให้เขาพามาได้หรอก แต่ถ้ามันเกิดเป็นจริงล่ะ แล้วถ้าเกิดคนที่พามาที่นี่เป็นซายะล่ะ

ภาพในหัวที่ซายะในท่าทางเย้ายวนใจกำลังหลอกล่อกินโทกิโผล่เข้ามา ไม่ๆๆๆๆ สะบัดหัวเอาความคิดแย่ๆ ออกจากหัว ไม่มีทางหรอกยัยเด็กนี่เนี่ยนะ

จู่ๆ ซายะก็เด้งตัวจากที่นอนทำให้กินโทกิสะดุ้งเฮือกอีกครั้ง “เย้ย!!!”

ซายะหรี่ตาหันมามองก่อนจะเอ่ยทักทายด้วยน้ำเสียงที่ดูง่วงจัด “good morning”

“g-good morning เฮ้ย! มอนิ่งอะไรล่ะ นี่เธอ ทำไมฉันถึงมาอยู่ที่นี่ได้เนี่ย เท่าที่จำได้เมื่อคืนเราไม่ได้เจอกันนะ หรือว่าเธอฉุดฉันระหว่างทาง”

ซายะเอื้อมมือมาแตะแขนเป็นเชิงบอกว่าให้เขาใจเย็นๆ ก่อนจะตอบด้วยเสียงเนือยๆ “เราเจอกันเมื่อเช้า”

“ห๊ะ เมื่อเช้าหรอ” ซายะพยักหน้าตอบ “ฉันเห็นคุณนอนเมาแอ๋อยู่ตรงกองขยะ เห็นแล้วสงสารก็เลยแบกกลับมาด้วยน่ะ”

ที่แท้เรื่องก็เป็นแบบนี้นี่เอง นี่เขาคิดเตลิดไปไกลขนาดนั้นเลยหรอเนี่ย “อ๋อ อย่างนี้นี่เอง ขอบใจนะ”

“ขอไปอาบน้ำแป๊บนะ”

ซายะยันตัวลุกจากเตียงตรงเข้าไปยังห้องน้ำเพื่อจัดการตัวเองแต่ระหว่างนั้นกินโทกิก็เหลือบเห็นรอยบางอย่างที่แผ่นหลังของเธอแต่ก็ไม่ได้เอ่ยทักอะไร

ด้วยความว่างและไม่มีอะไรทำระหว่างรอกินโทกิก็เดินสำรวจภายในห้องไปพลาง ระหว่างสำรวจก็พึ่งจะสังเกตว่าห้องที่ซายะพักอยู่มีห้องแยกอย่างเช่นห้องรับแขกเอยหรือห้องทานข้าวเอย ไม่รู้ว่าราคาเท่าไหร่แต่คิดว่าน่าจะหลักล้านแน่ๆ

ก๊อกๆ

“ขออนุญาตเสริฟอาหารครับ”

กินโทกิเปิดประตูให้พนักงานเข้ามาทำการจัดโต๊ะ อาหารหลากหลายถูกวางเรียงอย่างสวยงาม มือหนาเอื้อมไปหยิบบิลที่แนบไปด้วยก่อนคิ้วจะค่อยๆ ขมวดปม

‘1,250,000 เยน’

“บ้าเหอะ! ราคาอาหารอะไรวะเนี่ยทำไมมันแพงได้ขนาดนี้ฟระเนี่ย!”

“ก็ตามนี่มันโรงแรมหรูระดับห้าดาวนะ ราคาอาหารมันก็ต้องแพงอยู่แล้วมั้ย”

เสียงของอีกคนทำให้กินโทกิหันไปมอง ซายะในสภาพที่ใส่เพียงผ้าขนหนูผืนเดียวกับผมเปียกๆ

“ไปใส่เสื้อผ้าให้มันดีๆ ก่อนมั้ย เธอเป็นผู้หญิงนะเหวย”

“ผมเปียก ยังใส่ไม่ได้”

”ก็ไปเป่าผมให้แห้งสิ”

“หาไดร์ไม่เจอ” ถอนหายใจเฮือกใหญ่พร้อมกับส่ายหัวเบาๆ ก่อนจะเดินไปดึงซายะให้ตามมาในห้องรับแขกแล้วดันตัวเธอให้นั่งลงกับโซฟา

“ทำไรอ่ะ” ซายะเอ่ยถามด้วยความสงสัย “เป่าผมไง หันหลังสิ”

กินโทกิเอื้อมหยิบไดร์เป่าผมที่วางอยู่ใต้โต๊ะกระจกกดเปิดใช้มือสางผมที่ยาวสลวยแล้วค่อยๆ ทำการเป่าอย่างชำนาญ

“เคยเป่าให้สาวที่ไหนมาหรอ ชำนาญเชียว”

“เด็กที่บ้านน่ะ” ซายะหันมองอีกคนด้วยความสงสัย “ลูกหรอ”

“จะบ้าหรอ ลูกน้องต่างหาก ยัยเด็กนั่นเป็นชาวสวรรค์แล้วมาขออาศัยที่บ้านน่ะ”

“อ๋อ”

เป่าผมต่อไปขณะทีกำลังสางผมมือหนาก็ต้องชะงักเมื่อดันสางจนเผยให้เห็นแผลสดกลางหลังเหมือนพึ่งโดนมาหมาดๆ

“นี่เธอไปฟัดกับพวกนั้นอีกแล้วหรอเนี่ย” เอ่ยถามพลางใช้นิ้วเรียวค่อยๆ ลูบใต้แผลอย่างเบามือ

“อือ”

“แล้วทำไมไม่ไปโรงพยาบาลทำแผลล่ะ”

“ไปก็โดนพวกนั้นดักจับเอาสิ” ลืมไปว่าซายะโดนตามตัวอยู่ “ไปแต่งตัวไป ส่วนเสื้อยังไม่ต้อง” พูดพลางม้วนสายเก็บไดร์วางลงบนโต๊ะ”

“ทำไมอ่ะ”

“ถามได้ ทำแผลไง” ไม่รอให้อีกคนได้ถามต่อเขาก็เดินตรงดิ่งออกจากห้องปล่อยให้ซายะได้แต่มองตาม “อะไรของเขาวะ”

“ขอบคุณมากค่ะ” รับถุงยาพลางเปิดเช็คก่อนจะเดินออกมาจากร้านแต่ก็หยุดชะงักเมื่อเห็นเพื่อนเก่าแก่อย่างคาซึระมายืนดักอยู่ตรงเสาไฟ

“แกมายืนหลบอะไรตรงเสาไฟเนี่ยห๊ะซึระ เล่นเป็นตำรวจดักจับมอไซค์รึไง”

“ไม่ใช่ซึระ คาซึระต่างหาก แล้วก็ไม่ได้เล่นเป็นตำรวจยืนดักจับมอไซค์ด้วย แต่มารอนายต่างหาก”

“มารอฉันทำไม งานการแกไม่มีทำรึไง”

“มายืนรอนายนั่นแหละคืองานของฉัน ฉันเห็นนะ ว่านายร่วมมือกับพวกชินเซ็นกุมิเพื่อจับพวกอีลิธน่ะ”

“แล้วยังไง“

“ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าอดีตนักรบต่างแดนอย่างชิโรยาะฉะจะเข้าร่วมกับชินเซ็นกุมิ กินโทกินายลืมไปแล้วหรอว่าพวกนั้นเป็นพวกนั้นเป็นพวหเดียวกับรัฐบาลน่ะ”

“รู้ แต่ฉันต้องกินต้องใช่มั้ยล่ะ แล้วอีกอย่างนะซึระ”

“ไม่ใช่ซึระ คาซึระต่างหาก”

“ฉันออกไม่ได้หรอก ฉันก้าวขาเข้าไปก้าวหนึ่งแล้ว ออกก็โดนล่าทำต่อก็โดนล่า ในเมื่อมันมาขนาดนี้แล้วถ้าทำต่อแล้วรอดฉันก็ได้ตังค์ แต่ถ้าไม่รอดก็แค่ตายแค่นั้นเอง”

“หรือเป็นเพราะผู้หญิงคนนั้น” ขาที่กำลังก้าวเดินหยุดชะงักก่อนจะหันมามองเพื่อนชาย “ฉันเห็นนะ ว่าถุงยานั่นนายซื้อให้ไปเธอ”

“แล้วไง”

“ปกตินายไม่เคยเป็นแบบนี้ เรื่องซื้อยาให้นายอาจจะเคยทำ แต่เรื่องไปนั่งเป่าผมให้เนี่ยมันแปลกมากเลยนะ ” คำพูดของคาซึระทำเอากินโทกิถึงกับขมวดคิ้ว

“นี่เห็นด้วยหรอเนี่ย”

“ฉันแอบอยู่ตรงระเบียงห้องน่ะ” คำตอบของคาซึระทำเอากินโทกิถึงกับกรอกตา “กินโทกิ สรุปแล้วนายน่ะ เป็นอะไรกับผู้หญิงคนนั้นกันแน่!”

“แล้วแกจะมายุ่งอะไรล่ะ มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับแกสักหน่อย”

“มันเป็นงานของฉัน”

“ยัยนินจามันจ้างแกมาใช่มั้ย” ยัยนินจาที่ว่าก็คือซารุโทบิ อายาเมะ นินจาสาวที่เป็นสโตรกเกอร์ของกินโทกิน ได้ข่าวมาว่าล่าสุดเธอไปทำงานแล้วเกิดบาดเจ็บหนักทำให้ขยับตัวไปไหนไม่ได้ เลยคิดว่าน่าจะจ้างคาซึระให้มาสืบดู

“ใช่ ฉันตอบคำถามของฉันแล้วนายก็คงรตอบมาด้วย”

“ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ”

“แล้วทำไมผู้หญิงคนนั้นถึงได้นุ่งผ้าขนหนูได้ล่ะ หรือว่า นายกับผู้-อ่อก!” ยังพูดไม่ทันจบคาซึระก็โดนกินโทกิน็อคกลางอากาศจนร่วงไปกับพื้นเสียก่อน ก่อนที่เขาจะเดินกลับโรงแรมไป

พอกลับมาถึงห้องก็พบว่าซายะฟุบไปกับโซฟาไป กินโทกิเดินตรงไปหาเธอปัดผมที่ปรกหน้าออกดูเหมือนจะหลับปุ๋ยไปแล้วแฮะ

หย่อนตัวลงที่ด้านหลังของเธอหยิบยาสำหรับทำแผลขึ้นก่อนจะเริ่มลงมือทำแผลที่หลังอย่างเบามือ

มันน่าแปลกนะ ไม่ใช่ว่ากินโทกิไม่คยทำแผลให้คนอื่น ทั้งคางุระเองก็ดีหรือชินปาจิหรือจะโอโทเสะเขาก็เคยทำแผลให้ทั้งนั้น แต่เพราะพวกเขาเป็นครอบครัวเลยไม่ได้คิดอะไร

แต่ซายะเนี่ยสิ พึ่งจะรู้จักกันได้แค่ 3 วันแต่เขาทั้งเป่าผมให้ทั้งทำแผลให้ไหนจะให้ขึ้นหลังเดินแบกมาส่งที่โรงแรมอีก ค่าจ้างก็ไม่ได้แต่ไอ้ที่ให้นั่นไม่นับนะ เรียกว่ายอมทำให้ฟรีทั้งที่ตัวเองก็เหนื่อยแทบจะขาดใจ แต่ไม่รู้ทำไมถึงคิดว่าปล่อยไว้ไม่ได้กันนะ

ใจเย็นอย่าพึ่งคิดไกลเขาไม่ได้จะบอกว่าชอบซายะนะ แค่บอกว่าไม่เข้าใจการกระทำของตัวเองเฉยๆ เขาก็เคยผ่านผู้หญิงมามาก แต่ไม่ว่าจะสนิทกันขนาดไหนก็ไม่เคยทำให้ถึงขนาดนี้เลยด้วยซ้ำ ซายะนี่คนแรกที่เขายอมทำให้มันเลยรู้สึกแปลกๆ

“อืม…ทำไร” ซายะที่พึ่งตื่นหันมางัวเงียถามคนที่กำลังทำแผล

“ทำแผลไง”

“อ่อ เบาๆ นะเจ็บ”

“เบาสุดแล้วเนี่ย นอนไปเลยไป” พลางเอามือดันหัวคนอายุน้อยกว่าให้กลับไปนอนต่อ

“นี่คุณกิน” ซายะเอ่ยเสียงเบาแต่ก็ยังคงได้ยินอยู่

“ว่า?” ครั้งแรกเลยนะที่เธอเรียกชื่อเขาเพราะปกติเรียกแต่คุณ

“ขอบคุณนะ”

“เออ แล้วกับข้าวบนโต๊ะสั่งมาทำไมเนี่ย หลับแล้วก็ไม่กิน”

“สั่งมาให้”

“เยอะไป เอากลับบ้านได้มั้ยเนี่ย”

“แล้วแต่เลย บอกพนักงานเอา”

“ขอบใจ”

ไม่รู้ว่าหลับไปนานเท่าไหร่ตื่นมาอีกทีฟ้าก็เปลี่ยนเป็นสีส้มแล้ว ซายะขยับตัวแต่ก็สังเกตุเห็นว่ามีผ้าห่มคลุมตัวเธอเอาไว้ แถมพอมองไปยังบนโต๊ะกินข้าวก็ยังมีบัตรบางอย่างทิ้งเอาไว้

‘Kamakko Club’

ไม่รู้ว่ามันคืออะไรแต่คิดว่าน่าจะเป็นคลับที่ไหนสักแห่ง ว่าแต่ใครเป็นคนทิ้งไว้กันแน่

พยายามนึกดูดีๆ หรือว่าคนที่ทิ้งเอาไว้จะเป็นกินโทกิ แล้วเขาจะทิ้งไว้ทำไมล่ะ หรือจะชวนเธอไป

คิดแล้วคิดอีกรู้ตัวอีกทีก็แต่งตัวเดินออกจากโรงแรมมาแล้ว ซายะเดินไปเรื่อยๆ โดยที่ก่อนออกมาไม่ลืมถามสถานที่ตั้งของคลับ

เดินมาถึงสถานที่ที่คาดว่าน่าจะเป็นคลับตามชื่อที่อยู่ในบัตร ซายะยืนมองอยู่ครู่ก่อนจะมีพนักงานสองคนออกมาต้อนรับ

“สวัสดีค่า ยิงดีต้อนรับสู่บาร์กระเทยค่า”

“คุณลูกค้ามาท่านเดียวนะฮ๊า”

“เอ่อ…ค่ะ”

“งั้นเชิญทางนี้เลยฮ๊า”

ซายะตอบไม่ถูกแต่ก็ตอบตกลงไป เดินตามสาวออกจีนผมส้มกับสาว?แว่นมายังด้านในพลางกวาดสายตาสำรวจ ด้านในตกแต่งเป็นบาร์สไตล์ญี่ปุ่นมีแสงไฟสีชมพูสลัวส่องและเวทีสำหรับการแสดง

ลูกค้าในร้านส่วนใหญ่เป็นผู้ชายแก่ๆ แต่ละคนก็เมาแอ๋ปากหมาแล้วก็โดนเด็กนั่งดริ้งค์ในร้านฟาดปากไปตามระเบียบ

ซายะที่เห็นก็แอบตกใจอยู่ไม่น้อย ไม่คิดว่าบาร์นี้เด็กนั่งดริ้งค์จะเถื่อนขนาดนี้

“ถึงแล้วฮ๊า”

ประตูบานเลื่อนเปิดออกเผยให้เห็นห้องข้างใน ซายะเดินเข้ามาในห้องพลางกวาดสายตามองสำรวจ ที่นี่คือห้องรับรองสำหรับแขก VIP ถูกตกแต่งแบบเรียบๆ แต่หรูหราสไตล์ญี่ปุ่นทั่วไป

“ยินดีต้อนรับฮ๊า” เสียงทุ้มใหญ่ที่ถูกบีบให้เล็กเอ่ยขึ้นทำให้ซายะต้องหันไปมองพบว่าเป็นหญิง? ผมเงินมัดแกะใส่ชุดกิโมโน

“คุณกิน?”

“คุณกินอะไรล่ะ ฉันพาโกะต่างหาก” เสียงเข้มกลับมาพูดปกติ

ก็คือคุณกินนั่นแหละ แต่เป็นคุณกินใส่วิกกับชุดกิโมโน

“มานั่งสิจะยืนเอ๋ออยู่ทำไม” ซายะเดินไปนั่งตรงเบาะที่ว่างข้างๆ กินโทกิจัดการเทสาเกลงจอกจนพอดีก่อนจะยื่นให้

“อะไรอ่ะ”

“สาเกไง” ซายะรับมาดื่มก่อนจะทำหน้าแปลก “อร่อย”

“ใช่มั้ย” เมื่อเห็นทีท่าว่าเธอจะชอบกินโทกิเลยเติมให้อีกจอก “อย่ากินมากนักล่ะ เมาแล้วฉันไม่พากลับนะจะบอกให้” ซายะพยักหน้าตอบก่อนจะกินสาเกและอาหารอื่นๆ ต่อ

ไม่มีบทสนทนาระหว่างที่นั่งกินมีแต่เพียงเสียงลมพัดและเสียงกระชมของถ้วยชามเท่านั้น กินโทกิเหลือบมองคนตรงหน้าซายะที่ตอนนี้หน้าเริ่มแดงก่ำจากฤทธิ์แอลกอฮอล์แล้ว

“ไหวมั้ยเนี่ย”

ซายะเงยหน้าแต่ด้วยอาการเมาที่ทำให้เธอแทบจะทรงตัวไม่อยู่พอเงยหน้าทีก็แทบจะหงายหลังจนกินโทกิต้องเอื้อมไปดึงไม่ให้เธอหงายหลัง

“เฮ้อ~ ไม่น่าให้กินเลย” ใครจะคิดว่าเธอจะคออ่อนขนาดนี้ รู้งี้ให้กินน้ำอัดลมแทนซะดีกว่า

กินโทกิจับเธอให้นั่งพิงกับเบาะเก้าอี้แต่ซายะก็ปวกเปียกเสียเหลือเกินทำให้เขาตั้งนั่งลงที่ว่างข้างตัวแล้วคอยจับเธอไม่ให้หัวทิ่ม

“นี่” มือเรียวคว้าจับหมับเข้าที่แขนหนาพลางช้อนสายตาที่ดูย้วนยวนแปลกๆ มอง “คุณกินเคยเศร้าจนอยากตายมั้ย”

คำถามของซายะทำเอากินโทกิต้งหันหน้าไปมองเธอ เมาแหละ ดูทรงน่าจะเมามากด้วย “เธอเมามากแล้วนะ พอๆ กลับบ้านได้แล้วไป”

“ตอบก่อนดิ” ไม่พูดเปล่าซายะยังเขย่าแขนเขาอย่างกับสั่นกระดิ่งที่ศาลเจ้าตอนปีใหม่เลยจนสุดท้ายก็ต้องยอมตอบไปให้จบๆ “ไม่เคย พอใจแล้วใช่มั้ย ไป กลับบ้านได้แล้ว”

“แต่ฉันเคยนะ” มือที่ทำจะจับอุ้มก็ชะงักพลางเงยหน้ามองเป็นจังหวะเดียวกันที่ซายะมองกลับมาพอดีเลยสบตากันจนเห็นนัยต์ตาสีเท่าอ่อนได้อย่างชัดเจน แต่ดวงตาคู่นั้นแม้มันจะหยาดเยิ้มจากความเมาแต่ก็สังเกตได้ว่าสิ่งที่เธอพ่นออกมาคือความจริงจัง

“ฉันน่ะ เคยฆ่าตัวตายมาสามรอบ แต่ไม่เคยสำเร็จสักรอบเลย” มุมปากสวยยกยิ้มราวกับกำลังสมเพชตัวเอง “ครั้งที่หนึ่ง ยิงตัวตาย แต่เวทย์ในตัวมันป้องกันอัตโนมัติเลยรอด…”

หัวข้อที่เธอเล่าดึงดูดกินโทกิให้เปลี่ยนไปนั่งลงตามเดิมพลางมองหญิงสาวที่เล่าเรื่องความตายด้วยท่าทีที่ดูสนุกสนานขัดกับแววตาอันเศร้าสร้อยของเธอ

“ครั้งที่สอง ตอนสู้กับศัตรู อันนั้นเซฟกับราเชลมาช่วยทัน ส่วนครั้งที่สาม…กระโดดตึกยี่สอบชั้น แต่พวกด็อกเตอร์ก็มาช่วยทัน”

“เธอทำแบบนั้นทำไม” ด้วยความอยากรู้เลยโพล่งถามออกไป ซายะเอนพิงกับเบาะเก้าอี้พลางยกยิ้มมุมปากน้อยๆ ก่อนน้ำตาจะเริ่มไหลออกมา

“ยายฉันโดนฆ่า เพราะคนพวกนั้นจะเอาพลังไปขาย แม่ฉันก็โดนฆ่าเพราะปกป้องฉันเอาไว้ พ่อฉันก็โดนฆ่า ตอนที่มาช่วยญี่ปุ่นตอนสงครามขับไล่ต่างแดน ตากับยายที่อยู่ข้างบ้านก็โดนฆ่า ฮึก! เพื่อนคนแรกก็โดนลูกหลงจากการบูลลี่จนตาย ฮือ!!”

ความเศร้าทุกอย่างถูกปล่อยอกมาจนหมด เสียงร้องไห้โฮดังกึกก้องไปทั่วห้องจนคางุระกับชินปาจิที่แอบฟังอยู่ด้านนอกได้ยินอย่างชัดเจน

“ทุกคนถูกฆ่าหมด ฮือ!! เพราะฉันคนเดียว ถ้าฉันไม่มีพลังบ้านี่ทุกคนก็ไม่ต้องตาย ฮือออ!!!”

นิ้วเรียวจิกเล็บไปที่ใบหน้าก่อนจะฟาดตัวเองจนกินโทกิต้องเข้ามาห้าม “ฉันอยากตาย!!! ฉันอยากตาย!!! ฮือออ!!!”

“พอแล้วซายะ พอๆๆๆ” กินโทกิต้องดึงเข้ามากอดพลางลูบปลอบให้อีกคนสงบสติ อาการแบบนี้เขารู้จักดี มันคืออาการของคนเป็นโรคซึมเศร้าและคิดว่าซายะก็น่าจะกำลังเป็นอยู่ กินโทกิพยายามแกะมือของเธอที่กำแน่นจนเริ่มเห็นเลือดซึบก่อนจะแทรกมือเข้าไปบังไม่ให้เธอจิกมือของตัวเอง

“ฉันก็สูญเสียเหมือนกัน ทั้งอาจารย์ทั้งเพื่อนทั้งครอบครัว ถึงแม้จะไม่มีความรู้สึกเหมือนเธอ แต่ก็เข้าใจว่ามันทรมานขนาดไหน”

“ฮืออออ!!!”

“แต่ตอนนี้เธอไม่ได้อยู่คนเดียวแล้วนะ แบ่งความเศร้ามาให้บ้างก็ได้”

ซายะยังคงร้องไห้ไม่หยุดและดูท่าจะไม่หยุดง่ายๆ ด้วย เหมือนจะคิดอะไรดีๆ ออก กินโทกิจับตัวซายะให้หันมาก่อนจะเอื้อมไปจับมือทั้งสองข้างพลางนวดเบาๆ ให้เธอผ่อนคลาย

“มาเล่นเกมกัน”

“ฮึก! เกมอะไร”

“เอาน่า ฉันถามเธอต้องตอบนะเข้าใจมั้ย” ไม่รู้เกมอะไรแต่ซายะก็พยักหน้าตกลง

“พาโกะเอ๋ยพาโกะ ฉันถามเธอตอบ เธอชื่ออะไร”

“ฮึก! ซายะ ริเชล”

“เธอมาจากไหน”

“ดีทรอยต์ อเมริกา”

“เธออายุเท่าไหร่”

“ยี่สิบสี่” เด็กกว่าเขาอีก

“ตอนนี้เธอรู้สึกอย่างไร”

“อยากตาย”

“แบ่งความทุกข์มาได้มั้ย” ประโยคคำถามของเกมส์ทำเอาซายะถึงกับเม้มปากแน่นด้วยความรู้สึกที่อยากจะร้องไห้อีกครั้งก่อนจะพยักหน้าตอบรัวๆ

“ฉันจะเป่าคาถาให้เธอเเอง Jabula Jabula เจ้าหญิงของฉัน ความทุกข์จงหายไป ความสุขจงกลับมา” เป่าคาถาเพี้ยงลงที่หน้าผากหนึ่งทีก่อนซายะจะค่อยๆ หยุดร้องเหลือเพียงแต่สะอื้น

“เป็นไง เกมฉันได้ผลด้วย” แต่หยุดได้ประเดี๋ยวเดียวก่อนซายะจะเบะปากแล้วร้องมาอีกรอบ “เอ้า ไม่ได้ผลหรอเนี่ย”

ซายะโถมตัวเข้าใส่กินโทกิจนทั้งคู่ล้มลงไปกองกับพื้น “ขอบคุณนะ คุณพาโกะ”

ซายะยิ้มออกมาน้อยๆ แม้ใบหน้าจะมีคราบน้ำตาอยู่ คาถาของกินโทกิมันได้ผล ความทุกข์ความอัดอั้นที่สะสมมาค่อยๆ เลือนหายไปจนเหมือนยกภูเขาออกจากอกแม้ว่าจะไม่ทั้งหมดก็ตามที

กินโทกิที่เห็นดังนั้นก็ยกยิ้มมุมปากก่อนจะยกมือลูบศรีษะของเธอเกร็งๆ “นี่ฉันหนักนะ โถมมาได้เดี๋ยวก็กระดูกแตกกันพอดี”

“เดี๋ยวรักษาให้”

“เธอไม่ใช่หมอนะเธอเป็นผู้ใช้เวทย์ อย่าลืมสิ” แม้ปากจะเถียงกันปาวๆ แต่ทั้งคู่ต่างก็พากันยิ้มและหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข

“ดูท่าคุณซายะจะดีขึ้นแล้วนะครับ เบาใจไปหน่อยตอนแรกคิดว่าจะแย่ซะอีก” ชินปาจิที่ยืนแอบดูอยู่ด้านนอก

“นี่อาชินปาจิ ลื้อว่าหลังจบงานนี้อากินจังกับอาซายะจะได้คบกันมั้ยน่อ” คางุระเอ่ยถามขณะที่สายตายังคงจดจ่อกับคนในห้องอย่างไม่ลดละ

“มันก็พูดยากนะ แต่ก็มีโอกาสค่อนข้างเยอะอยู่ เพราะว่าปกติคุณกินเคยปลอบใครที่ไหน ขนาดพวกเรายังไม่เคยเลย”

“ใช่มะ งั้นแสดงว่าอากินจังจะมีแฟนแล้วใช่มั้ยน่อ”

“ก็คงแบบนั้นมั้งครับ” คารุงะหันมายิ้มอย่างดีใจก่อนจะวิ่งแจ้นออกไป “งั้นอั๊วไปบอกทุกคนให้เตรียมจัดงานฉลองดีกว่า”

“เดี๋ยวก่อนสิคางุระจัง เราต้องทำงานกันต่อนะ!!”

“แง่มๆ”

เสียงจากคนข้างๆ ดังขึ้นเป็นระยะทุกระหว่างทางที่เดินกลับ ตอนแรกเห็นซายะดีขึ้นก็กะจะให้เธอกลับเลยแต่ยัยตัวดีดันดื้ออยากกินต่อเห็นบอกว่าของแพงเสียดายก่อนจะซัดทุกอย่างจนหมดรวมถึงสาเกด้วย

แน่นอนว่าซัดไปขนาดนั้นมีหรือที่เธอจะไม่เมา เละเทะเลยล่ะ เมาแอ๋นอนแผ่กลางห้องจนต้องเรียกคางุระกับชินปาจิให้มาช่วยเก็บซาก

“ถึงแล้วครับ” เสียงของลุงแท็กซี่ดึงออกจากความคิดก่อนจะหันไปจ่ายเงินแล้วพาซายะลง

ค่อยๆ พยุงซายะลงจากรถอย่างทุลักทุเลจนเรียบร้อย แต่พอจะเดินเข้าโรงแรมก็ต้องชะงักเมื่อเห็นอดีตเพื่อนอย่างคาซึระมายืนดักรอที่หน้าโรงแรม

“นี่แกอีกแล้วหรอเนี่ยซึระ ยังไม่เลิกทำงานให้ยัยนินจานั่นอีกเรอะ”

“ไม่ใช่ซึระ คาซึระต่างหาก อีกอย่างฉันยังทำงานไม่เสร็จจะมาเลิกทำกลางคันไม่ได้”

“งั้นก็เรื่องของแกก็แล้วกัน”

กินโทกิเลิกสนใจเพื่อนชายก่อนจะเตรียมยกซายะขึ้นมาอุ้มแต่ก็ต้องชะงักเมื่อเพื่อนเอ่ยทัก “สรุปเรื่องจริงสินะ”

“อะไร”

“ผู้หญิงคนนั้นน่ะ นายชอบเธอจริงๆ ใช่มั้ย”

“อะไรมันทำให้แกคิดได้แบบนั้นกันฟร่ะ”

“การกระทำของนายไงล่ะ ปกตินายเคยปลอบใครซะที่ไหน เอาแต่นั่งเฉยๆ ฟังเขาร้องไห้ แต่นี่-เฮ้ย เดี๋ยวก่อนกินโทกิ ฉันยังพูดไม่จบเลยนะ!!”

กินโทกิอุ้มซายะในท่าเจ้าสาวก่อนจะเดินตรงเข้าโรงแรมทันทีโดยไม่สนใจคำประโยคพูดหรือคำโวยวายของคาซึระแม้แต่นิดเดียว

“ฝากกันหมอนั่นออกที”

“ครับ”

เสียงโวยวายของคาซึระจากนอกโรงแรมโดยมีพวกชินเซ็นกุมิที่คอยเฝ้าที่นี่คอยกันให้ เพื่อนกันก็จริงแต่ก็รำคาญ ปล่อยให้เข้าใจไปแบบนั้นแหละดีแล้ว อธิบายไปก็เท่านั้นคนอย่างไอ้หมอนี่มันฟังซะที่ไหน

ขึ้นมานังห้องพักเขาทำการวางซายะลงบนเตียงอย่างเบามือก่อนจะทำการดึงวิกที่ทำเอาคันหัวตลอดทางทิ้ง

“แม่ง คันจังวะ”

เกาหัวไปพลางเข้าวิสาสะเข้าไปอาบน้ำเพื่อทำการเปลี่ยนชุด จะให้กลับไปทั้งสภาพแบบนี้มันก็อายอยู่ ขออาบน้ำเปลี่ยนชุดก่อนก็แล้วกัน

จัดการตัวเองเสร็จเดินออกมาเพื่อจะเตรียมตัวกลับบ้านแต่ก็ต้องชะงักเมื่อยัยตัวดีไม่อยู่ที่เตียงแล้ว

“ซายะ อยู่ไหนวะเนี่ย” กินโทกิเดินหายัยตัวดีทั่วแต่จนรอดแล้วจนรอดก็ไม่เจอ

“ซายะ!! ซายะ!!” เดินออกตามหาจนมาเจอที่โซฟาห้องรับแขก หญิงสาวนอนแผ่หราบนโซฟาครางเสียงงึมงัมออกมาเป็นระยะ

“ให้ตายสิ อย่าเดินออกมาตามอำเภอใจแบบนี้ได้มั้ยเนี่ย นึกว่าไอ้พวกนั้นจับตัวไปซะแล้ว”

ถอนหายใจไปทีก่อนจะเดินไปเพื่อจะอุ้มเข้านอนแต่ก็ถูกอีกคนดึงลงจนไปหัวจุ่มกับบางอย่างบนตัวเธอ

มือหนาบีบลูกลมๆ มันนิ่มและล้นมือนิดๆ กินโทกิค่อยๆ เงยเพื่อพิจารณาตรงหน้า คิ้วเริ่มขมวดเป็นปมมองมือของตัวเองที่กำลังจับอยู่

“ชิบล่ะ!”

พอเห็นว่าตัวเองกำลังจับหน้าอกของซายะเขาก็รีบดึงมือออกทันที

“เวรล่ะ จับอะไรไม่จับไอ้บ้าเอ้ย”

ใบหน้าเกิดเห่อร้อนแม้เขาจะเป็นคนหน้าด้านขนาดไหนแต่เรื่องแบบนี้มันก็ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆ จนทำให้เขาชินได้นะ

“อืม~” เสียงขยับตัวของคนตรงหน้าให้เขาหันไปมอง ไม่พอเธอยังเอามือมากอดตัวเขาเอาไว้อีก

จู่ๆ ความรู้สึกแปลกๆ ก็เกิดขึ้นมาในใจพลางนึกถึงคำพูดที่คาซึระกับพวกชินปาจิพูดกับเขา

‘การกระทำของนายไงล่ะ ปกตินายเคยปลอบใครซะที่ไหน’

‘อากินจัง อั๊วเห็นน้า ลื้อกอดปลอบอาซายะด้วย ชอบเธอแล้วใช่มั้ยน่อ อากินจังจะมีแฟนแล้วใช้มั้ย’

‘พวกเราก็แค่สงสัยน่ะครับ เพราะปกติคุณกินไม่เคยปลอบใครแบบนี้มาก่อน มาสุดก็แค่นั่งอยู่เป็นเพื่อนเฉยๆ’

ส่านหัวสะบัดความคิดออกจากหัว เขาก็แค่ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ก็เท่านั้นเอง เห็นเธอดูเหมือนจะเป็นโรคซึมเศร้าแถมจะทำร้ายตัวเองอีกเป็นใครก็ต้องปลอยมั้ย

อีกอย่างเขาถูกจ้างให้มาคอยดูคอยช่วยซายะห่างๆ ด้วย ถ้าไม่ดูแลเธอจะให้ไปดูแลใครล่ะ จริงมั้ย

“อืม~ คุณกิน”

“หือ? ว่า”

“ขอบคุณนะ” มือหนาวางลงบนกลุ่มผมก่อนจะลูบมันเบาๆ “อืม”

มันแปลก แต่ก็รู้สึกดีจริงๆ

เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!

novel PDF download
NovelToon
เปิดประตูต่างภพ
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!