ฮวาหลินหลิง สถานที่ที่เหล่าบุปผาแลพฤกษาถือกำเนิดและเติบโตขึ้น ในวันนี้ ณ ที่แห่งนี้ พวกเขาต่างมารวมตัวกันครั้งแรกในรอบหลายหมื่นปีเพื่อจัดงานเฉลิมฉลอง เพราะเป็นวันครบรอบ20,000ปีที่ประมุขน้อยทั้ง3ได้ถือกำเนิดขึ้นมา นับตั้งแต่เทพบุปผาดับสิ้นลง สรวงสวรรค์ก็ไร้สีสันมายาวนานถึง30,000ปี
"ดูนี่สิ เฟิงฉี ปักษาสวรรค์กว่า1,000ตัวมารวมตัวกันเช่นนี้ดูท่าอนาคตคงมีเรื่องน่ายินดีเสียกระมัง" เทพวารีกล่าวขึ้นขณะชื่นชมภาพตรงหน้า หลายหมื่นปีมาแล้วนับตั้งแต่นางถือกำเนิดขึ้นมา นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นปักษาสวรรค์มารวมตัวกันมากมายเช่นนี้
"ข้าเห็นแล้ว ลู่เฟย เป็นเรื่องน่ายินดียิ่ง นับตั้งแต่พี่บุญธรรมดับขันธ์ไป" เฟิงฉีหลุบตาต่ำลงขณะคิดถึงอดีตในวันวานที่เทพทั้ง4นั้นยังคงปรองดองกันอยู่
"หากพูดถึงเรื่องน่ายินดีที่สุดคงไม่พ้นประมุขน้อยคนที่3เสียกระมัง" เสียงหนึ่งดังขึ้นด้านหลังของพวกเขา เทพชุดขาวโบกพัดในมืออย่างเชื่องช้าขณะเดินมาหาทั้งคู่
"หรงหยาง" ลู่เฟยเรียกชื่อคนผู้นั้น เขาหยุดฝีเท้าเมื่อเดินมาถึงทั้งสองพร้อมชมทิวทัศน์ที่แสนงดงามนี้
"นางมีชื่อว่าอะไรนะ"
"ฮวาหลัน"
"ใช่ ๆ ฮวาหลัน ดูจากดอกหลันอวี้บนหน้าผากของนางนั้นคงไม่พ้นเป็นประมุขสูงสุดแทนเจ้า"
"เป็นประมุขแทนข้าแล้วอย่างไร ตำแหน่งนี้ข้าเพียงรับดูแลชั่วคราวเพื่อรอเวลาที่เหมาะสมแล้วส่งต่อให้พวกเขาเท่านั้น" เขาถอนหายใจเล็กน้อยยามมองสหายตน ทั้งที่คออ่อนถึงเพียงนี้กลับชอบดื่มสุรามากกว่าเขาเสียอีก
"เจ้าเมามากแล้วหรงหยาง เดี๋ยวข้าจะให้คนเตรียมตำหนักรับรองไว้ให้ เจ้าไปพักเสีย"
"เดี๋ยวข้าดูแลหรงหยางเอง เจ้าไปร่วมงานของประมุขน้อยเถอะ" ลู่เฟยพูดขณะที่พยายามพยุงไม่ให้สหายตนล้มพับไป เฟิงฉีจึงทำได้เพียงถอนหายใจด้วยความหน่ายเท่านั้น
"รบกวนเจ้าแล้ว" ว่าจบ จึงเดินกลับไปยังสถานที่จัดงานดังเดิม
"คารวะเทพปฐพี" เมื่อเหล่าเซียนน้อยใหญ่เห็นประมุขของฮวาหลินหลิงย่างเท้าเข้ามายังสถานที่งัดงานเลี้ยงจึงทำความเคารพ
"ลุกขึ้นเถอะ" เฟิงฉีขยับมือเล็กน้อยเป็นการบอกให้ทำตัวตามสบายได้แล้วเดินไปหาทั้งสามคนที่นั่งอยู่ก่อนจะวางบางสิ่งไว้ตรงหน้าทั้งสามคน
"ท่านเทพ สิ่งนี้คือ..." เซียนชุดครามปักลายบงกชเหมันตกาลเอ่ยขึ้น ใบหน้าหวานขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อพิจารณาสิ่งที่วางอยู่หน้าตน
"แก่นเซียน20,000ปี ข้ายกให้พวกเจ้าทั้งสาม ฮวาเหลียน ฮวาหูเตี๋ย ฮวาหลัน"
"แก่นเซียน20,000ปีงั้นเหรอ ถูกใจข้ายิ่งนัก" เซียนชุดเหลืองที่นั่งข้างกันหยิบกล่องไม้ขึ้นมาเปิดแล้วยิ้มออกมา
"ถูกใจเจ้าก็ดีแล้ว จะว่าไปฮวาหลันไปไหน" เฟิงฉียิ้มออกมาด้วยความยินดี ทว่าเมื่อหันมามองอีกทางหนึ่ง เซียนน้อยเกศาขาวอาภรณ์แดงที่ควรนั่งอยู่ตรงนี้กลับหายไปเสียแล้ว
"นางออกไปตั้งแต่ท่านเทพวางกล่องไม้แล้วล่ะ"
"รู้รึไม่ว่านางไปไหน"
"เอ่อ..."
ทั้งสองกระอักกระอ่วนใจยากจะตอบ มองหน้ากันครู่หนึ่งฮวาหูเตี๋ยจึงยอมพูดออกมา
"จะที่ไหนอีกเล่า ก็ต้องโลกมนุษย์แน่นอนอยู่แล้วสิท่านเทพ" เมื่อได้ยินดังนั้นพัดในมือของเฟิงฉีก็ถูกหักออกเป็นสองท่อนก่อนจะแหลกสลายกลายเป็นผุยผง
อีกด้านหนึ่งนั้น ณ สถานที่ ๆ ห่างไกลจากแดนเทพ เซียนน้อยที่หนีพวกเขามานั้นกำลังเดินเล่นอยู่ในดินแดนแห่งนี้ นางเปิดกล่องที่เทพเฟิงฉีให้มาแล้วพิจารณาดู ก่อนจะตัดสินใจรวมเข้ากับแก่นเซียนตนทำให้พลังเซียนกล้าแกร่งขึ้น
"สมแล้วที่เป็นแก่นเซียนจากท่านเทพ" นางกล่าวอย่างอารมณ์ดี เดินไปไม่นานก็พบกับหมู่บ้านหนึ่ง นางจึงลดพลังเซียนลงเหลือไว้เทียบเท่ามนุษย์ ทว่าอาภรณ์สีเพลิงและเกศาสีขาวสะดุดตาของนางนั้นผิดแปลกไปจากชาวบ้าน ทำให้นางถูกจับตามองจากพวกเขา ยามที่นางย่างเท้าชาวบ้านต่างพากันถอยหนี ทว่านางหาได้สนใจไม่ เพราะตอนนี้นางให้ความสนใจกับสิ่งของแปลกตาที่อยู่ตรงหน้านางเท่านั้น
"สถานที่แห่งนี้ช่างแปลกตายิ่งนัก แม้จะไม่งดงามเท่าฮวาหลินหลิงแต่กลับน่าสนใจยิ่งกว่า" เซียนน้อยยิ้มออกมาเล็กน้อย ในตอนนั้นเองนางได้สังเกตเห็นความผิดปกติบางอย่าง เหตุใดชาวบ้านจึงหลบซ่อนตัวอยู่อย่างนั้น หรือมีสิ่งใดทำให้เกรงกลัวกัน
"เหตุใดพวกเจ้าจึงเอาแต่หลบซ่อนกัน หรือมีสิ่งใดทำให้เกรงกลัว" เมื่อชาวบ้านได้ยินนางเอ่ยถาม พวกเขาทุกคนต่างตัวสั่นงันงก จนกระทั่งมีผู้กล้าคนหนึ่งเอาชนะความกลัวนั้นแล้วตแบกลับมา
"เพราะเจ้า" ชายวัยกลางคนเอ่ยพร้อมชี้มาทางนาง
"ข้าเหรอ" นางได้แต่เอียงคอเล็กน้อยด้วยความไม่เข้าใจ นางมีสิ่งใดให้ต้องเกรงกลัว พลังเซียนตัวนางก็ลดจนถึงระดับมนุษย์แล้ว อาภรณ์ที่เคยสวมใส่ยามเป็นประมุขน้อยก็ผลัดเปลี่ยนเป็นสีเพลิงธรรมดาเท่านั้น เหลือแค่เพียงปานดอกหลันอวี้และเกศาสีขาวที่นางไม่อาจทำอะไรได้
"นี่เจ้าไม่รู้จริงหรือ เจ้าคิดว่าผู้ใดมีสีผมสีขาวเช่นเจ้ากัน เท่าที่ข้ารู้นั้นมีเพียงปีศาจเท่านั้นแล" หญิงสาวชาวบ้านคนหนึ่งพูดขึ้นมา ฉับพลันนั้นได้มีเศษผักลอยมาใส่นางจนเปรอะเปื้อน
"ปีศาจ"
"ปีศาจ"
"ดะ เดี๋ยวสิ"
"ปีศาจ"
"ปีศาจ"
"ข้าไม่ใช่ปีศาจนะ" ชาวบ้านต่างพร้อมใจกันปาเศษผักใส่นาง หากนางกลับสู่ร่างเซียนโจมตีพวกเขาก็ย่อมได้ ทว่านั่นจะเป็นการทำลายชะตาชีวิตของพวกเขา สุดท้ายเป็นนางที่จะถูกสวรรค์ลงทัณฑ์เสียเอง
"เดี๋ยวสิ ฟังข้าก่อน" คำก่นด่านางดังทั่วบริเวณ แม้นางจะโต้แย้งอย่างไรก็ไม่เป็นผล
"โอ๊ย" ในตอนที่เริ่มมีหินปะปนมากับเศษผักนั้นเองก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งมาช่วยบังไว้ให้
"นี่พวกเจ้าทำอะไรแม่นางผู้นี้กัน" ฉับพลันชาวบ้านที่ขว้างปาเศษผักใส่ฮวาหลันนั้นก็หยุดมือ
"เสี่ยวชาง เจ้ามาขวางทำไม ไม่เห็นหรือว่าพวกข้ากำลังขับไล่นางปีศาจตนนั้นอยู่" สาวน้อยใบหน้างดงามนางหนึ่งพูดขึ้น หากนับแค่คนในหมู่บ้านนี้คงไม่มีผู้ใดงามเท่านางอีกแล้ว แต่นั่นกลับเทียบไม่ได้กับเซียนน้อยบนสวรรค์อย่างฮวาหลัน หากเปรียบเทียบกับมนุษย์เช่นนางนั้นคงเรียกได้ว่างามล่มเมือง
"อาอวี๋ แม้นางจะมีผมสีขาวแล้วอย่างไร สภาพนางที่อ่อนแอเช่นนี้เจ้าคิดจริงหรือว่านางจะเป็นปีศาจดังเช่นเจ้าว่า"
"แต่..."
"แม่นางลุกเถิด ข้าจะพาเจ้าไปทำแผล" เสี่ยวชางไม่ฟังคำโต้แย้งพร้อมยิ้มให้ฮวาหลัน ทันใดนั้นความรู้สึกแปลก ๆ ก็ปรากฏขึ้นในใจนาง
"อะ อืม" ฮวาหลันแตะมือที่เสี่ยวชางส่งมาให้อย่างแผ่วเบา จู่ ๆ ใบหน้าของนางก็แดงกร่ำโดยไม่รู้ตัว ในขณะนั้นเองได้มีบุคคลทั้งสองเฝ้ามองนางอยู่ในสถานที่แสนห่างไกลจากที่นี่มากนัก
"ท่านเทพ ฮวาหลันช่างไร้เดียงสานัก ปล่อยไปเช่นนี้ดีแล้วหรือ" ฮวาเหลียนเอ่ยขึ้นมาด้วยความเป็นห่วง แม้จะถือกำเนิดมาแล้ว20,000ปี แต่เพราะถูกเลี้ยงดูอย่างประคบประหงมทำให้ฮวาหลันนั้นไม่ทันคน
"เป็นเช่นนี้ดีแล้ว บางสิ่งบางอย่างนั้นควรให้นางตัดสินใจด้วยตนเอง ในเมื่อนางเลือกจะมาเที่ยวเล่นแทนที่จะตั้งใจเรียนเช่นนี้ก็ให้สิ่งนี้เป็นบทเรียนแก่นาง"
"จิตใจมนุษย์ยากแท้หยั่งถึงนักข้าเกรงว่าจิตใจนางจะบอบช้ำเกินกว่าจะรับไหว"
"ตอนนี้นางโตแล้วฮวาเหลียน สิ่งที่เราทำได้มีเพียงอยู่เคียงคงข้างและสนับสนุนนางเท่านั้น นางควรรับผิดชอบการกระทำตนเองเสียบ้างมิใช่ก่อปัญหาแล้วปล่อยให้พวกเจ้าจัดการ" เมื่อฮวาเหลียนได้ยินดังนั้นสีหน้าจึงคลายกังวลลงเล็กน้อย เป็นเรื่องจริงที่ฮวาหลันนั้นโตแล้ว แม้ว่าพวกนางจะมีอายุเท่ากันแต่ฮวาหลันกลับเอาแต่ใจยิ่งกว่าฮวาหูเตี๋ยเสียอีก ทำให้นางเปรียบเสมือนพี่ใหญ่ต้องคอยดูแลน้องชายและน้องสาวทั้งสองคน
กาลเวลาผันผ่านฤดูกาลแปรเปลี่ยน วัสสานะฤดูเวียนมาบรรจบอีกรอบหนึ่ง แม้ที่โลกมนุษย์นี้จะผ่านมานานนับปีแล้ว แต่สำหรับเหล่าเทพเซียนบนสวรรค์นั้นกลับเป็นเวลาเพียงชั่วข้ามคืนเท่านั่น มนุษย์หนุ่มและเซียนสาวอาศัยอยู่ใต้ชายคาเดียวกันนานนับปี ไม่แปลกที่จะสนิทสนมกลมเกลียวดังคู่รักคู่หนึ่ง แม้ไม่เป็นอย่างนั้นความรู้สึกเหล่านี้ยิ่งก่อตัวพอกพูนขึ้น นับว่าเป็นสิ่งแปลกใหม่สำหรับเซียนสาวไร้เดียงสาอย่างฮวาหลันยิ่งนัก
"ฮวาหลัน นกน้อยตัวนี้งดงามหรือไม่" เสี่ยวชางนำนกเสี่ยวฮัวที่ถูกขังไว้ในกรงไม้มาให้ฮวาหลันดู ภาพนกน้อยในกรงขังนั้นบาดใจนางยิ่ง
"งดงามยิ่ง"
"งดงามไม่เท่าเจ้า"
"เช่นนั้นปล่อยนกน้อยได้หรือไม่"
"ได้แน่นอน" ทั้งคู่หยอกล้อกันหวานซึ้ง คำหวานที่ออกมาจากปากชายหนุ่มนั้นนับวันยิ่งทำให้เซียนน้อยอิ่มเอิบใจ ความรู้สึกถลำลึกไปไกลเกินกว่าจะรู้ตัว
"นี่ เสี่ยวชาง เจ้าเคยมีความรู้สึกเช่นนี้หรือไม่" ฮวาหลันเอ่ยออกมาขณะมองนภาครึ้มฝน
"ความรู้สึกใดกัน"
"ทุก ๆ วันข้าคนึงถึงแต่เจ้า จะยามตื่นหรือยามหลับก็เห็นเพียงใบหน้าเจ้า ข้าพึ่งเคยสัมผัสความรู้สึกนี้เป็นครั้งแรกจึงไม่อาจเข้าใจ" เมื่อเสี่ยวชางได้ยินดังนั้นก็ยิ้มอ่อนกลางผสานมือของเขากับฮวาหลันเข้าด้วยกัน มืออีกข้างลูบปอยผมที่หลุดออกมาตามกรอบหน้าด้วยความเอ็นดู
"ความรู้สึกนี้คือความรักยังไงล่ะฮวาหลัน"
"ความรักงั้นเหรอ"
"ใช่ ความรัก"
"เช่นนั้นหมายความว่าข้ารักเจ้าใช่หรือไม่เสี่ยวชาง" เซียนน้อยยิ้มออกมายามพูดถึงความรัก ดุจดั่งบุปผาแย้มแรกผลิบานยามวสันต์ ผีเสื้อนับร้อยรวมตัวกันโผบินอย่างเริงร่า
"ใช่แล้ว เจ้ารักข้า"
"เช่นนั้นเจ้ารักข้ารึไม่เสี่ยวชาง" เสี่ยวชางที่ได้ยินคำถามนั้นจึงชะงักเล็กน้อย ทว่าฮวาหลันที่กำลังยินดีกับความรักครั้งนี้อยู่นั้นไม่ได้สังเกตแม้แต่น้อย
"แน่นอน ข้ารักเจ้า" เสี่ยวชางจุมพิตที่ปานดอกหลันอวี้อย่างแผ่วเบา นั่นยิ่งทำให้ความรู้สึกของฮวาหลันพองโต
"เจ้ารักข้า และข้าก็รักเจ้า เราสองคนต่างเป็นคู่ที่เหมาะสมจริงแท้" เวลาล่วงเลยหลายวัน ในที่สุดเทพพิรุณก็หยุดพิโรธใส่เทพวารี ยามเทพทั้งสองทะเลาะกันทีไรมีเหตุให้เกิดพายุฝนอยู่ร่ำไป ทว่าทุกคราที่ทั้งคู่ทะเลาะกันนั้นความสัมพันธ์ของทั้งสองยิ่งแนบแน่นขึ้น เป็นคู่รักหวานซึ้งดุจนกยวนยางที่ซื่อสัตย์ต่อคนรักของตน
"เจ้ามาอยู่ที่นี่นานแล้วใช่หรือไม่แม่นางฮวา" ยายแก่คนหนึ่งเข้ามาทักขณะฮวาหลันเลือกของอยู่ นางเป็นคนเดียวที่ไม่ผลักไสไล่ส่งนางในเหตุการณ์ครั้งนั้น ทั้งยังคอยช่วยเหลือนางอย่างซื่อตรงสมกับใช้ชีวิตอยู่มานาน
"ยายโจว สวัสดีจ้ะ ไม่ได้พบกันหลายวันร่างกายเป็นอย่างไรบ้าง"
"ข้าสบายดี นี่ผ่านมาแล้วหนึ่งปีเจ้ายังอาศัยใต้ชายคาเดียวกับเสี่ยวชางอยู่อีกรึ"
"ใช่จ้ะ มีอะไรหรือเปล่าจ้ะ" ยายโจวเงียบไปครู่นึงจึงพูดออกมา
"ข้าเพียงอยากเตือนเจ้าเท่านั้นแม่นางฮวา หนุ่มสาววัยแรกรุ่นใต้ชายคาเดียวกันคงไม่พ้นคำครหา อีกทั้งเสี่ยวชางนั้นก็ไม่ได้ดีไปกว่าชายหนุ่มในหมู่บ้านนี้เลย" ฮวาหลันได้แต่มึนงง ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเสี่ยวชางดีกับตนมาตลอด อีกทั้งสองคนยังรักกัน เหตุใดยายโจวจึงกล่าวเช่นนั้น
"ข้าเข้าใจแล้วจ้ะ เช่นนั้นข้าขอตัวเดี๋ยวจะมืดค่ำเสียก่อน" ฮวาหลันกลับมาถึงบ้านกลางป่าตอนพลบค่ำ เมื่อมาถึงแสงไฟจากตะเกียงก็ถูกจุดไว้เรียบร้อยแล้ว กลิ่นอาหารที่โชยออกมานั้นได้สลัดความขุ่นมัวในจิตใจสลายหายไปในบัดดล เพียงพริบตาหยาดฝนก็ตกลงมาโดยไม่ทันตั้งตัว
"ข้ากลับมาแล้วเสี่ยวชาง" ฮวาหลันกลับมาในสภาพตัวเปียกเล็กน้อย เสี่ยวชางเห็นดังนั้นจึงหยิบผ้ามาเช็ดผมให้
"กลับมาแล้วหรือฮวาหลัน" ราวกับมีฟ้าผ่ากลางใจ เสียงหญิงสาวที่สวมใส่อาภรณ์ตนอยู่นั้นทำให้ใจฮวาหลันตกลงไปยังตาตุ่ม เมื่อพินิจพิจมองดูกลับพบว่าเป็นคนที่ตนรู้จักเป็นอย่างดี
"เจ้าก็มาด้วยหรือ อาอวี๋"
"อาอวี๋นำของมาส่งให้ข้าก่อนเจ้ามาถึงครู่นึง ไม่คาดคิดว่าชั่วประเดี๋ยวฝนก็กระหน่ำลงมา" อาอวี๋เป็นบุตรสาวของหมอหยาง ไม่ใช่เรื่องแปลกนักหากนางจะนำของมาส่ง กระนั้นความคลางแคลงนี้ก็ไม่ได้หายไปแม้แต่น้อย
"เป็นเช่นนั้นหรือ"
"ใช่ เจ้าเปลี่ยนชุดก่อน เดี๋ยวจะล้มป่วย" ได้ยินคำเป็นห่วงนั้น ความแคลงใจที่มีอยู่ก่อนหน้าก็หายเป็นปลิดทิ้ง อย่างไรเสียเสี่ยวชางก็รักและห่วงหานางถึงเพียงนี้ เหตุใดต้องระแวงเขาด้วย ฮวาหลันทำตามอย่างว่าง่าย เปลี่ยนอาภรณ์ชั่วประเดี๋ยวก็กลับมาร่วมโต๊ะอาหารดังเดิม
"ดูท่าคืนนี้ฝนคงไม่หยุดตก เช่นนั้นอาอวี๋ เจ้าพักที่นี่ดีหรือไม่" เมื่อฮวาหลันได้ยินเช่นนั้นก็ชะงักเล็กน้อย ทว่าอาอวี๋กลับสังเกตเห็น
"เกรงว่าแม่นางฮวาคงไม่ยินดี"
"เจ้าคิดเห็นอย่างไร ฮวาหลัน"
"นี่เป็นบ้านของเจ้า จะถามข้าได้อย่างไร อีกทั้งค่ำมืดเช่นนี้อันตรายนัก เช่นนั้นให้แม่นางอวี๋นอนที่นี่ดีแล้ว" เมื่อได้ยินดังนั้นอาอวี๋ก็แสดงสีหน้ายินดีอย่างเห็นได้ชัด ทว่าราตรีนี้ยังอีกยาวไกลนัก เป็นเพราะให้อาอวี๋ยืมใช้อีกห้องหนึ่ง ทำให้คืนนี้ชายหนุ่มและเซียนสาวต้องใช้ห้องร่วมกัน แสงสว่างจากตะเกียงนั้นมากพอจะให้เห็นใบหน้านวลอยู่ลาง ๆ
"เจ้ารักข้าหรือไม่ฮวาหลัน" เสียงกระซิบข้างกายฮวาหลันชวนจักจี้หู ไม่รู้เพราะบรรยากาศเป็นใจหรือไม่ แม้ภายนอกจะหนาวเย็นทว่าภายห้องนี้กลับร้อนยิ่งนัก กลิ่นกำยานที่หอมฟุ้งทั่วห้องนั้นยิ่งทำให้บรรยากาศน่าหลงใหลยิ่งขึ้น เสี่ยวชางเอนกายมาจุมพิตฮวาหลันอย่างแผ่วเบาพร้อมปลดผ้าที่ผูกเรือนผมสีขาวของฮวาหลันออกช้า ๆ แผ่สยายเต็มเตียงนอนของทั้งคู่
"แน่นอนว่าข้ารักเจ้า" อาจเพราะความหลงใหลหรืออย่างไร ฮวาหลันเอี้ยวตัวเข้าหา เสี่ยวชางเห็นดังนั้นจึงจุมพิตริมฝีปากสีกุหลาบของนางอย่างแผ่วเบา เมื่อเห็นว่าฮวาหลันไม่ผลักไสเขาจึงลุกล้ำเข้าไปชิมน้ำหวาน ตัวฮวาหลันกระตุกเล็กน้อยอย่างไม่คุ้นเคย จุมพิตร้อนแรงเช่นนี้นางไม่เคยสัมผัสมาก่อน ร่างกายไร้ซึ่งเรี่ยวแรงนอนราบกับเตียงทันที ไม่ทันทั้งตัวผ้าที่ผูกอาภรณ์ก็ถูกปลดออกเสียแล้ว อาภรณ์ที่เคยสวมใส่ค่อย ๆ ร่นลงตามแรงโน้มถ่วงโลก เหลือเพียงผ้าขาวบางปกคลุมกายที่เผยให้เห็นเนินอกอวบอิ่มที่เคยถูกปกปิดไว้เพียงเท่านั้น เมื่อเห็นใบหน้าหวานของนางเริ่มเปลี่ยนสีแดงระเรื่อ เสี่ยวชางจึงหยุดให้นางได้พักหายใจชั่วครู่ เสียงหอบหายใจของทั้งสองห้องทั่วห้องผสานเข้ากับสายฝน เสี่ยวชางจึงถอดอาภรณ์ตนเผยให้เห็นแผ่นอกกว้าง ร่างกายเขาเต็มไปด้วยบาดแผลสมกับเป็นนายพราน แล้วจัดการลุกล้ำเข้าไปสัมผัสสะโพกขาวใต้ชายผ้าของฮวาหลัน เมื่อนางสัมผัสได้ถึงนิ้วเย็นนั้นก็สะดุ้งทันที
"นี่เจ้าจะทำสิ่งใด" ฮวาหลันที่ได้สติผลักเสี่ยวชางที่กำลังคร่อมบนกายตนออก ไม่รู้เหตุใดเมื่อครู่นี้ตนจึงหลงเคลิ้มไปกับเสี่ยวชางได้ อีกทั้งร่างกายที่ร้อนระอุดุจไฟเผานี้นางยิ่งไม่คุ้นชิน ราวกับกำลังมึนเมาบางสิ่งอยู่อย่างนั้น
"ชายหญิงอยู่ในห้องเดียวกันเจ้าไม่รู้งั้นหรือ คนรักกันย่อมต้องสานสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้น ไม่ใช่ว่าตัวเจ้าเองก็รักข้าหรอกหรือ" เสี่ยวชางที่ถูกผลักไสเอนกายเข้าไกลฮวาหลันอีกครั้ง พร้อมลูบไล้ต้นขาอ่อนจนนางสะดุ้งอีกหน
"ไม่ได้ อย่างไรก็ไม่ได้"
"เหตุใดจึงไม่ได้"
"เพราะเจ้าและข้า เราสองคนยังไม่ได้แต่งงานกัน" เมื่อเสี่ยวชางได้ยินดังนั้นก็แสดงสีหน้าหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด แล้วหันมาใส่อาภรณ์ตนดังเดิม
"แต่งงานสินะ เช่นนั้นคืนนี้ข้าจะออกไปนอนข้างนอก เจ้าอย่าได้เป็นกังวล" เขาสบถออกมาเล็กน้อยแล้วเปลี่ยนท่าทีเป็นเช่นแต่ก่อน เมื่อจัดอาภรณ์เรียบร้อยจึงหยิบหมอนหนุนใบหนึ่งออกไปนอกห้องปล่อยนางทิ้งไว้อย่างนั้นทั้งคืน เมื่อรุ่งเช้ามาถึงเสี่ยวชางและอาอวี๋ก็ไม่อยู่แล้ว
"เสี่ยวชาง..." นางเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบา เป็นเพราะปฏิเสธเขาอย่างนั้นหรือ เป็นเพราะทำให้เขาหงุดหงิดใจอย่างนั้นหรือ เหตุใดเขาจึงจากไปโดยไม่ทักทายกันเช่นนี้ ความกระอักกระอ่วนใจเป็นเช่นนี้อยู่หลายวันจนกระทั่งเสี่ยวชางยอมเอ่ยปากพูดกับนางก่อน
"ฮวาหลัน ข้าต้องการขมิ้นชัน เจ้าไปซื้อให้ข้าได้หรือไม่ เช่นนั้นซื้อเนื้อสัตว์นิดมาสักนิดก็ดี จะได้ตากแห้งไว้กินนาน ๆ"
"ได้สิ รอสักเดี๋ยวข้าจะรีบกลับมา" ฮวาหลันได้ยินดังนั้นก็ตอบรับอย่างยินดีพร้อมเตรียมตัวลงเขา ดูท่าเสี่ยวชางจะหายโกรธนางแล้วช่างน่ายินดียิ่ง เพราะเตรียมตัวด้วยความรีบร้อนทำให้นางไม่ทันสังเกตเห็นพายุฝนลูกใหญ่ที่มืดครึ้มมาแต่ไกล เป็นเวลาเดียวกันที่อาอวี๋ขึ้นเขามาทำให้ทั้งสองคลาดกัน
"เสี่ยวชางข้ามาแล้ว" เสียงหวานเอื้อนเอ่ยหาคนในบ้าน เมื่อเสี่ยวชางได้ยินเสียงคุ้นเคยจึงเปิดประตูต้อนรับทันทีพร้อมดึงนางเข้าในอ้อมแขน
"แม่นางฮวาไม่อยู่เหรอ"
"นางลงไปซื้อของให้ข้า อย่างไรเสียคงติดพายุฝน วันนี้ไม่อาจกลับได้"
"งั้นเหรอ เช่นนั้นวันนี้คงไม่มีผู้ใดมาขัดขวางเราใช่หรือไม่"
"ใช่" ประตูยังไม่ทันปิดสนิทดี เสี่ยวชางก็คร่อมอาอวี๋ลงบนพื้น มือข้างหนึ่งปลดอาภรณ์เผยให้เห็นยอดอกสีอ่อน มืออีกข้างลุกล้ำเข้าไปสัมผัสกลีบกุหลาบใต้ชายผ้า นางร้องออกมาเล็กน้อย แล้วโน้มกายเสี่ยวชางลงมาจุมพิตอย่างดูดดื่ม
"รีบร้อนเสียจริง รึว่ากำยานที่ข้าให้ยังไม่หมดฤทธิ์อีกเหรอ" อาอวี๋เอ่ยพลางปลดอาภรณ์คนตรงหน้าจนหมดสิ้น เผยให้เห็นความเป็นชายสุขภาพดีที่ถูกซ่อนไว้ นางสัมผัสสิ่งนั้นอย่างแผ่วเบา เสียงหอบหายใจของทั้งสองสอดประสานใบหน้าเริ่มเปลี่ยนสี หยาดน้ำตาเริ่มไหลรินเมื่อสิ่งนั้นลุกล้ำเข้ามาในตัวนาง เสี่ยวชางที่หงุดหงิดกับผ้าผืนบางจึงฉีกกระชากอาภรณ์นางทิ้งเสีย
"เป็นเจ้าที่ยั่วยวนข้า" เอ่ยจบ ทั้งสองจึงบรรเลงเพลงรักทั้งอย่างนั้น แม้ฟ้าครึ้มฝนมาแต่ไกลทว่าพวกเขาหาได้สนใจไม่ สิ่งเหล่านี้ไม่อาจขัดขวางพวกเขาในยามนี้ได้ ใครเล่าจะกล้า
ทางด้านฮวาหลันไม่ทันลงถึงหมู่บ้านฝนก็กระหน่ำลงมาทำให้ร่างกายเปียกปอน เมื่อไปถึงตลาดก็ถูกเก็บจนหมดสิ้นนับว่าโชคดีนักที่หมอหยางผ่านมาเห็นจึงพานางเข้ามาพักในร้าน
"แม่นางฮวา เหตุใดจึงเดินตากฝนเช่นนี้ ไม่เห็นหรือว่าเมฆครึ้มฝนมาแต่ไกล" หมอหยางยื่นผ้าสะอาดให้นางผืนหนึ่ง แล้วเดินไปหยิบสมุนไพรที่นางสั่งไว้
"ไม่เห็นจ้ะ"
"จะว่าไปเหตุใดเสี่ยวชางถึงให้เจ้ามาซื้อขมิ้นชันอีกรอบกัน" หมอหยางเอ่ยขณะหยิบขมิ้นชันใส่ห่อผ้า ฮวาหลันที่ได้ยินดังนั้นจึงมองพื้นด้านล่างตนด้วยแววตาสั่นไหว
"หมายความว่าอย่างไร"
"ไม่กี่ชั่วยามก่อนหน้าเจ้าจะมาถึง อาอวี๋นางเพิ่งนำของที่เสี่ยวชางสั่งไว้ไปส่ง ในนั้นมีขมิ้นชันอยู่ด้วยหรือของจะไม่พอกัน" ราวกับฟ้าผ่ากลางใจ ยามนี้หยาดพิรุณสาดซัดรุนแรงนัก เสียงฟ้าร้องดังก้องผืนนภา เฉกเช่นเดียวกับสภาพจิตใจของนางในยามนี้ หมอหยางยังไม่ทันได้ว่าต่อฮวาหลันก็วิ่งออกไปทันที ทิ้งตะกร้าใส่ของและขมิ้นชันไว้อย่างนั้นโดยไม่ฟังคำเตือนของหมอหยางที่ไล่หลังมา
"แม่นางฮวา เจ้าจะไปไหน ยามนี้ขึ้นเขาไม่ได้นะ!!!" นางขึ้นเขาด้วยความทุลักทุเล เศษดินโคลนเปรอะเปื้อนอาภรณ์และใบหน้า รอยขีดข่วนที่เกิดจากกิ่งหนามตามเส้นทางนั้นทำให้นางแทบไม่เหลือเค้าลางเซียนสาวผู้สง่างามดังเช่นแต่ก่อน
"ข้าขอร้อง เสี่ยวชาง อย่าได้เป็นอย่างที่ข้าคิด โอ้ย" นางสะดุดล้มอีกรอบหนึ่ง หัวเข่าและข้อเท้านางทั้งสองข้างยามนี้เต็มไปด้วยบาดแผล หยาดน้ำตาไหลออกมาจากดวงเนตรทั้งสองข้างผสมกับฝนที่กระหน่ำลงมาไม่ขาดสาย นางลุกขึ้นอีกครั้งแล้วค่อย ๆ เดินขึ้นเขาไปตามทาง เวลาเนิ่นนานในที่สุดก็ถึงจุดหมาย นางแทบทรุดลงกับพื้นทันทีเมื่อเห็นภาพบาดตา คราบสีขาวและเศษผ้าหญิงสาวที่ถูกฉีกขาดทำให้นางแทบใจสลาย ราวกับคอยย้ำเตือนความจริงนี้ เสียงกระเส่าเอ่ยคำหวานเรียกชื่อคู่นอนตนทำเอาฮวาหลันใจแทบฉีก
"อร๊างงง เสี่ยวชางข้า...ข้าจะเสร็จแล้ว"
"แฮ็ก แฮ็ก ข้าก็เช่นกันอาอวี๋"
"เจ้ารักข้าหรือไม่เสี่ยวชาง"
"แน่นอน ข้ารักเจ้า"
"แม่นางฮวาเล่า"
"ข้าเพียงหลงใหลใบรูปลักษณ์นางชั่วครู่หนึ่งเท่านั้น หญิงโง่ที่แค่เอ่ยคำหวานเพียงเล็กน้อยก็หลงเชื่อเช่นนั้นข้าไม่อยากได้มาครองคู่ ที่นี่ตอนนี้ในใจข้ามีเพียงเจ้าเท่านั้นอาอวี๋" สิ้นคำนั้นฮวาหลันทรุดลงกับพื้นทันที ไร้ซึ่งเสียงร่ำไห้ หยดน้ำตาที่เคยรินไหลกลับแห้งเหือด ลุกขึ้นอีกคราหนึ่งเรียกคืนพลังเซียนผลัดเปลี่ยนอาภรณ์กลับไปเป็นประมุขน้อยแห่งฮวาหลินหลิง
"ใช่แล้ว แม้ว่าจะมีข้าเข้ามาแทรกแซง สุดท้ายแล้วพวกเจ้าทั้งสองก็ได้ครองคู่กัน ผิดที่ข้าเองที่ไปขวางเส้นทางรักของพวกเจ้า ข้าไม่มีสิทธิ์ไปตำหนิพวกเจ้าแม้แต่น้อย" แม้จะเอ่ยออกมาเช่นนั้นทว่าความจริงในใจที่ถูกคนรักหักหลังไปมีสัมพันธ์กับสหายตนช่างเจ็บแสบยิ่ง นางวางสุราลืมเลือนขวดหนึ่งแสดงความยินดีให้คู่รักคู่นี้ หวังว่าสุรานี้จะทำให้พวกเขาลืมสิ้นเรื่องของตน
"สุรามงคลนี้ข้ามอบให้เป็นของขวัญแต่งงานของพวกเจ้า ข้าขอลา" ฮวาหลันหวนคืนสู่แดนเทพอีกครา ทว่า1ปีของมนุษย์หากเทียบกับแดนเทพพึ่งผ่านไปเพียง1วันเท่านั้น เมื่อกลับไปถึงงานเลี้ยงครบรอบที่ตนถือกำเนิดก็ผ่านพ้นไปเรียบร้อยแล้ว
"ท่านประมุขน้อย ท่านไปที่ใดมาจึงไม่เข้าร่วมงามเฉลิมฉลองของท่าน" องุ่นน้อยนางหนึ่งที่อยู่แถวนั้นถามขึ้นมาขณะที่เห็นฮวาหลันเดินผ่านตน
"ข้าเพียงไปเที่ยวเล่นเหมือนยามปกติเท่านั้น" นางลูบผมภูติองุ่นน้อยเบา ๆ สภาพร่างกายนางตอนนี้ไม่สู้ดีนัก เพียงลมพัดผ่านร่างกายนางก็ทรุดลงกับพื้นทันที
"ท่านประมุขน้อย ท่านประมุขน้อย" เสียงภูติองุ่นดังก้องไปไกล ชั่วพริบตารอบข้างนางก็เต็มไปด้วยภูติพฤกษาที่อยู่แถวนั้น เทพเฟิงฉีที่ได้ยินข่าวเรื่องการล้มป่วยของฮวาหลันจึงรีบมาเยี่ยมทันที
"ท่านหมอเฉิงเจียงอาการป่วยของหลานสาวข้าเป็นอย่างไรบ้าง" เฟิงฉีเอ่ยถามอาการผู้เปรียบเสมือนหลานสาวตน สีหน้าออกอาการเป็นห่วงอย่างเห็นได้ชัดเมื่อผ่านมา3วันแล้วฮวาหลันยังไม่ฟื้น
"เลวร้ายยิ่งท่านเทพ ไม่เพียงล้มป่วยจากฝนที่มีฤทธิ์เย็นซึ่งขัดกับธาตุไฟของประมุขน้อยเท่านั้น ไม่รู้เพราะเหตุใดพลังเซียนนางถึงหายไปหลายส่วน ในวันนั้นประมุขน้อยไปที่ไหนมากันแน่" เมื่อเทพเฟิงฉีและประมุขน้อยฮวาเหลียนได้ยินดังนั้นก็นึกสาเหตุออกทันที เป็นเพราะพวกเขาปล่อยให้นางยุ่งเกี่ยวกับชะตากรรมมนุษย์จึงทำให้นางสูญเสียพลังเช่นนี้ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความผิดของพวกเขา
"เฟิงฉีซ่างเสิน ฮวาเหลียนเจี่ยเจีย ดูเหมือนท่านทั้งสองจะรู้สาเหตุที่อาหลันล้มป่วยเช่นนี้ ข้าขอรบกวนท่านทั้ง2ช่วยอธิบายให้ข้าเข้าใจแล้วล่ะ" หมอเฉิงเจียงเห็นท่าไม่ดีจึงรีบออกจากที่แห่งนี้ทันที ด้านเทพเฟิงฉีและฮวาเหลียนไม่คิดปิดบังจึงเล่าให้ฟังว่าแต่เดิมตนต้องการให้ฮวาหลันเรียนรู้ถึงผลของการที่แอบหนีมาเที่ยวเล่นเท่านั้น ไม่คาดคิดว่านางจะหลงรักมนุษย์จนเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับชะตากรรมของพวกเขาจนสูญเสียพลังเซียนเช่นนี้ ฮวาหูเตี๋ยได้แต่ถอนหายใจกับการตัดสินใจของทั้งสองคน แต่นี่ก็เป็นบทเรียนสำคัญของฮวาหลันเช่นกันเขาจึงไม่อาจบ่นได้
"กว่าพลังเซียนนางจะฟื้นคืนกลับมาคงใช้เวลาหลายปี"
กาลเวลาล่วงเลยฤดูกาลผันแปร วสันต์ฤดูเวียนบรรจบกว่า300รอบ ในที่สุดฮวาหลันก็ฟื้นคืนสติอีกครั้ง ยามนี้ฮวาหลินหลิงเปลี่ยนแปลงไปมากนัก ฮวาเหลียนเผชิญด่านเคราะห์เมฆาอัสนีเลื่อนขั้นเป็นเทพ ผูกสัมพันธ์รักลึกซึ้งกับเทพเฟิงฉีได้หมั้นหมายใกล้แต่งงานกัน ด้านฮวาหูเตี๋ยได้พบคู่ครองตนหมายอยากใกล้ชิดสนิทสนมจึงไม่ค่อยอยู่ที่วังเฟิงเป่าตามติดนางอยู่อย่างนั้น ฮวาหลันยินดียิ่งนักยามได้ข่าวมงคลเช่นนี้ จึงหมายอยากมอบสุราผกาหยาดน้ำค้างแข็งที่ใช้เวลาหมักกว่า700ปีแสดงความยินดี สุราผกาหยาดน้ำค้างแข็งนี้หากเทียบกับสุราจากผกากาลสีชาดหอมหมื่นลี้ในวังของนางนับว่าไม่แรงมากนัก เหมาะสำหรับฮวาเหลียนเจี่ยเจียที่ดื่มสุราไม่เก่ง
"ข้าแสดงความแสดงความยินดีกับท่านเทพเฟิงฉี ท่านพี่หญิงฮวาเหลียน สุราผกาหยาดน้ำค้างแข็งนี้ข้ายกให้ท่านทั้งสอง" ฮวาหลันรินให้คู่บ่าวสาวจอกหนึ่ง ให้ตนจอกหนึ่ง แล้วยกดื่ม สุรานี้กลิ่นหอมสดชื่นยิ่ง เอกลักษณ์เฉพาะตัวเช่นนี้สามารถบ่งบอกได้ทันทีว่าผู้ใดเป็นคนหมักขึ้นมา
"รสชาติละมุนลิ้นยิ่งนัก สิ่งนี้เจ้าหมักขึ้นเองใช่หรือไม่"
"ใช่" เมื่อเห็นว่าพี่สาวนางพึ่งพอใจกับของขวัญจากตนเองเช่นนี้ ลอยยิ้มเล็ก ๆ ได้ปรากฏขึ้นบนใบหน้างามของฮวาหลัน สุราจอกแล้วจอกเล่าถูกยกขึ้นดื่มอย่างรื่นภิรมย์ ทั่ว8ปฐพี4สมุทรล้วนแสดงความยินดีกับงานมงคลในครานี้ คู่บ่าวสาวนั้นงดงามเหมาะสมดังนกยวนยางไม่อาจพลัดพราก หลังจากส่งคู่บ่าวสาวเข้าเรือนหอหลายชั่วยามงานเฉลิมฉลองนี้ก็ถูกจัดต่ออีก7วัน7คืน
"พี่หญิงของเรางดงามยิ่งนัก เจ้าเห็นด้วยหรือไม่อาหลัน"
"เป็นเรื่องจริงท่านพี่หูเตี๋ย 4สมุทร8ปฐพีนี้ ไม่มีผู้ใดเทียบเคียงกับพี่หญิงของเราได้ แม้จะเป็นเผ่ามัจฉาที่ว่าเลอโฉมที่สุดในแดนเทพก็ตาม" ฮวาหลันเอ่ยขึ้นอย่างปรีดา เป็นเรื่องจริงที่เซียนสตรีมากมายในใต้หล้านี้เผ่ามัจฉานับว่างดงามไม่มีผู้ใดเทียบเคียงได้ แต่นั่นเทียบกับฮวาเหลียนเจี่ยเจียที่ทั้งเลอโฉมและอ่อนโยนไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
"คาดว่าท่านเทพเฟิงฉีคงเป็นบุรุษที่น่าริษยาที่สุดเสียแล้ว" เมื่อได้ยินพี่ชายตนกล่าวเช่นนั้น นางจึงพยักหน้าเห็นด้วย ใต้หล้านี้มีบุรุษมากมายหมายปองพี่หญิงของนางถึงขั้นต่อสู้แย่งชิงหวังได้รับความรัก ใครจะคาดคิดว่าผู้ที่พี่สาวนางหลงรักจะเป็นเทพที่รักสงบและอยู่ใกล้ชิดที่สุดถึงเพียงนี้
"ช่างน่าสงสารท่านเทพที่หลงรักพี่หญิงของเราจริง ๆ"
"พูดเรื่องพี่หญิงแล้วต่อไปถึงคราวเจ้า ตอนนี้อายุเจ้าถึงยามออกเรือนได้แล้ว มีเทพเซียนท่านใดต้องตาเจ้าหรือไม่" เมื่อได้ยินดังนั้นสีหน้าของฮวาหลันแย่ลงอย่างเห็นได้ชัด ตัวนางในตอนนี้นั้นยังไม่อยากมองชายใดมาเป็นคู่ครอง ฮวาหูเตี๋ยเห็นดังนั้นจึงลูบหัวนางเบา ๆ
"เอาล่ะ ถือว่าข้าไม่เคยพูดเรื่องนี้ เรื่องคู่ครองนั้นเผ่าบุปผาเช่นพวกเราหาได้สนใจไม่ ต่อให้จากนี้อีกหมื่นแสนปีเจ้าจะยังไร้คู่ครองในฮวาหลินหลิงแห่งนี้ก็ไม่มีผู้ใดว่าร้ายเจ้าอยู่ดี ชีวิตตนตนเป็นผู้กำหนดเองเข้าใจหรือไม่"
"ข้าเข้าใจ" ใครจะคิด บุปผาน้อยที่เคยร่าเริงสดใส ก่อปัญหาให้เหล่าเทพเซียนน้อยใหญ่ในฮวาหลินหลิงเช่นนางจะเศร้าซึมเช่นนี้ เหตุการณ์ครั้งไปเที่ยวเล่นที่โลกมนุษย์ครานั้นคงส่งผลกระทบต่อนางไม่น้อย
"เช่นนั้นฮวาหลัน สหายข้าในเผ่าสวรรค์พึ่งส่งข่าวมาว่าน้องชายของเขาคลอดแล้ว เจ้าเป็นตัวแทนจากฮวาหลินหลิงไปแสดงความยินดี ดีหรือไม่" ฮวาหูเตี๋ยหยิบจดหมายฉบับหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ เดิมทีสิ่งนี้เป็นจดหมายเชิญที่ถูกส่งมาให้เขา แต่เมื่อเห็นน้องสาวตนไม่ร่าเริงดังแต่เก่าจึงหมายให้นางได้พักผ่อนสักระยะหนึ่ง
"สหายท่านพี่ หมายถึงรัชทายาทเผ่าสวรรค์ใช่หรือไม่"
"ถูกต้อง" ท่านพี่ฮวาหูเตี๋ยรู้จักกับรัชทายาทเผ่าสวรรค์เมื่อ5,000ปีก่อน เพราะเป็นศิษย์สำนักเดียวกันจึงทำให้เป็นสหายกันตั้งแต่นั้นมา ที่กลับมาร่วมงานมงคลของท่านพี่ฮวาเหลียนได้เช่นนี้เป็นเพราะอาจารย์ของเขาถูกเชิญไปยังงานเฉลิมฉลองประสูติองค์ชายรองที่จัดต่อเนื่องยาวนานถึง3เดือนเท่านั้น ฮวาหลันรับจดหมายมาเปิดดู ตราประทับนี้เป็นของตำหนักสวรรค์แน่นอน
"ตกลง งานเลี้ยงครานี้ข้าเป็นตัวแทนจากเผ่าบุปผาเอง" ใช้เวลาเตรียมตัว3วัน และเวลาเดินทางจากฮวาหลินหลิงไปยังตำหนักสวรรค์อีก7วัน ในที่สุดฮวาหลันก็มาถึงที่หมาย เมื่อนางลงมาจากเกี้ยวเหลียวมองไปทางซ้ายก็พบบุรุษผู้หนึ่งยืนอยู่ อาภรณ์สีม่วงเข้มและใบหน้าดุดันเฉกเช่นนักรบเช่นนี้ตรงกับรูปลักษณ์ที่พี่ชายนางว่าไว้
"คารวะรัชทายาท"
"ยืนขึ้นเถอะ ไม่จำเป็นต้องมากพิธี" ฮวาหลันทำความเคารพบุคคลที่อยู่ตรงหน้า นิสัยหยาบกระด้างไม่เหลียวแลเซียนสตรีเช่นนี้ก็ตรงกับที่พี่ชายนางว่าไว้เช่นกัน
"ในครั้งนี้พี่ชายเจ้าฝากเจ้าไว้ให้ข้าช่วยดูแล เช่นนั้นเจ้าพักที่ตำหนักไป๋เหมยที่วังของข้าจัดเตรียมไว้ให้ ให้คนของเจ้านำของไปเก็บไว้ที่นั่น ตอนนี้งานเริ่มขึ้นแล้วเจ้ารีบตามข้ามา" ว่าจบรัชทายาทเผ่าสวรรค์ย่างเท้านำไปอย่างรวดเร็ว ฮวาหลันจึงรีบเดินตามโดยไม่ลืมสั่งให้คนของตนนำของไปเก็บไว้ ตำหนักสวรรค์นั้นช่างใหญ่โตนัก ทุกสิ่งล้วนประดับด้วยสีขาวและทองคำไร้ซึ่งสีสันหากเทียบกับฮวาหลินหลิง นางหมายจะเพิ่มมวลบุปผาตามสองข้างทางทว่าในตอนนี้พวกเขาได้มาถึงท้องพระโรงที่ใช้จัดงานแล้ว ฮวาหลันนำจดหมายเชิญให้ผู้เฝ้าประตู ทันทีที่รับจดหมายเชิญนั้นคำประกาศการมาถึงของตนและรัชทายาทเผ่าสวรรค์ก็ดังก้องไปทั่วบริเวณ
"องค์ไท่จื่อเสวี่ยหานและฮวาหลันซ่างเซียนประมุขแห่งฮวาหลินหลิงมาถึงแล้ว"
ฮวาหลันเดินไปยังตำแหน่งโต๊ะของตนเมื่อสิ้นคำประกาศนั้น เสียงกระซิบจากเทพเซียนทั่วทั้งท้องพระโรงตามไล่หลังทุกครั้งที่นางเยื้องย่าง อย่างไรเสียนางในตอนนี้คือตัวแทนจากฮวาหลินหลิง ทุกการกระทำของนางล้วนส่งผลต่อเผ่าบุปผาทำให้นางไม่อาจเสียมารยาทแสดงท่าทีหงุดหงิดใจต่อเสียงเหล่านี้ได้
"ประมุขน้อยจากฮวาหลินหลิงงั้นหรือ"
"ได้ข่าวว่าเทพปฐพีหวงแหน จนไม่ยอมให้ออกไปนอกฮวาหลินหลิงมิใช่เหรอ"
"งดงามสมกับคำล่ำลือจริง ๆ"
"แม้แต่ธิดาเผ่ามัจฉาก็เทียบไม่ติดแม้แต่น้อย" ฮวาหลันเลิกสนใจเสียงอื้ออึงนั้น เมื่อพบที่ของตนที่อยู่ถัดจากที่อยู่ถัดจากเทพท่านหนึ่งจึงทำความเคารพ
"คารวะเทพวารี คารวะเทพปักษา"
"ลุกขึ้นเถอะ" เมื่อได้ยินดังนั้นฮวาหลันจึงเงยหน้าขึ้นแล้วเดินไปนั่งยังที่ของตน
"เจ้าเป็นตัวแทนจากฮวาหลินหลิงใช่หรือไม่"
"ใช่ เพราะท่านเทพติดภารกิจสำคัญไม่อาจมาได้จึงส่งข้ามาแทน" ขณะที่ฮวาหลันตอบคำถามของเทพวารี เสียงเจื้อยแจ้วของเหล่าเทพเซียนทั้งหลายยังคงดังเข้าสู่โสตประสาท ทำให้ฮวาหลันรำคาญมากยิ่งขึ้น ตอนนี้นางหมายจะเดินออกจากที่แห่งนี้เสียให้พ้น
"เงียบ" น้ำเสียงเย็นเยียบไร้อารมณ์ดังขึ้นทั่วทั้งท้องพระโรงส่งผลให้เสียงเซ็งแซ่ที่เคยดังเงียบลงทันตาเห็น บุรุษผู้สวมอาภรณ์ดำเกศาขาวนี้เป็นใครไปไม่ได้นอกจาก มหาเทพเทียนซี ผู้อยู่จุดสูงสุดของเหล่าเทพเซียนในใต้หล้านี้
"คารวะมหาเทพ" เหล่าเทพเซียนน้อยใหญ่ต่างทำความเคารพบุคคลที่นั่งอยู่เบื้องหน้า นานมากแล้วที่มหาเทพไม่ได้ปรากฏตัวให้เห็นเช่นนี้ ตั้งแต่เมื่อ30,000ปีก่อนที่เกิดความขัดแย้งกับสหายของตน มหาเทพมองภาพเหล่าเทพเซียนด้วยสีหน้าไร้อารมณ์อยู่ครู่หนึ่งจึงสั่งให้ลุกกลับไปนั่งที่ของตนดังเดิม
เมื่อนั่งลงฮวาหลันก็ไม่ได้สนใจสิ่งใดอีกนอกจากสุราที่อยู่ตรงหน้า เมื่อลองลิ้มรสสุราจอกหนึ่งจึงรับรู้ว่าหากเทียบกับสุราที่วังเหลินตงของฮวาเหลียนที่ว่าอ่อนแล้ว สุราของเผ่าสวรรค์นั้นก็เทียบได้น้ำเปล่า
"หากเทียบกับสุราที่วังของเจ้าแล้ว สุราของเผ่าสวรรค์นี้ไม่ได้เรื่องเลยใช่หรือไม่ เอิ๊ก" ผู้ที่เอ่ยขึ้นมานั้นนั่งถัดจากเทพวารีเล็กน้อย เขาพูดด้วยสีหน้าแดงกร่ำดวงตาหยาดเยิ้มด้วยฤทธิ์สุรา ราวกับจะล้มฟุบได้ตลอดทุกชั่วยาม
"เจ้าดื่มมากไปแล้วหรงหยาง"
"อะราย\~ ลู่เฟย\~ เจ้าหาว่าข้าเมาเหรอ เอิ๊ก" บุคคลนี้ไม่ใช่เทพเซียนท่านไหน แต่เป็นเทพที่ฮวาหลันรู้จักดี หรงหยาง เทพปักษาผู้ชื่นชอบสุราทว่าดื่มไม่เก่งแม้แต่น้อย
"เจ้าเมาแล้ว เลิกดื่ม"
"ข้าไม่เมานะ!!!" เทพวารีแย่งจอกสุราในมือเทพปักษามา เมื่อเทพปักษาเห็นดังนั้นจึงเข้ามาแย่งกลับคืนทว่าเขากลับฟุบหลับคาโต๊ะของตนเสียอย่างนั้น
"หากกล่าวว่าสุราจากฮวาหลินหลิงรสชาติดียิ่งนักเช่นนั้นรบกวนประมุขน้อยฮวาหลันดวลสุรากับข้าสักหนึ่งไหได้หรือไม่" ผู้ที่ท้าดวลสุรานี้นั่งถัดจากนางเล็กน้อย ในเมื่อกล้าท้าทายนางเอกก็กล้ารับเช่นกัน ใช้เวลาเพียง5จอก เทพท่านนี้ก็ฟุบลงกับโต๊ะกว่าจะฟื้นคงอีก3วันให้หลัง
"เทพท่านนี้ช่างใจกล้านัก ที่มาดวลกับเจ้าผู้ชื่นชอบสุรายิ่งกว่าผู้ใดในแดนบุปผา คงเพราะยังคงแค้นเคืองเมื่อครั้งเคยแพ้ดวลสุรากับเฟิงฉี จึงคิดจะทำให้เจ้าผู้เป็นตัวแทนต้องอับอาย" เทพวารีมองเทพท่านนั้นด้วยท่าทีหน่ายใจ หากเทียบกับสุราทั่วไปในแดนเทพ สุราจากแดนบุปผานี้นับว่ามีฤทธิ์แรงยิ่ง โดยเฉพาะสุราจากวังตี้อวี้ของฮวาหลัน ที่หากผู้ใดไม่เคยลิ้มลองรสสุรานั้นจะหลับใหลไปนานนับเดือน แม้จะคุ้นเคยอยู่แล้วก็ยังคงหลับนานถึง3วันอยู่ดี
"เพราะที่ผ่านมาข้าแทบไม่เคยออกจากฮวาหลินหลิงแม้แต่ก้าวเดียวนับตั้งแต่เหตุการณ์ที่เกิดเมื่อครั้งข้าไปยังเมืองมนุษย์แล้วหลับไปกว่า300ปี ไม่แปลกใจนักหากไม่คุ้นเคย" ฮวาหลันมองภาพสาวงามที่ร่ายรำอยู่เบื้องล่างโฉมงามที่อยู่กึ่งกลางนั้นคือบุตรีจ้าวสมุทรทักษิณจากเผ่ามัจฉา เพียงแค่มองใบหน้านางก็ราวกับต้องมนต์ให้หลงใหล
"งดงามใช่หรือไม่"
"งดงามยิ่ง"
"ตาเฒ่าเจ้าเล่ห์หนิงเย่ชิง ไม่ซ่อนจุดประสงค์ตนหวังให้บุตรสาวเข้าตาเทพสักองค์สินะ" เทพวารีกล่าวด้วยท่าทีไม่สบอารมณ์ ตาเฒ่าเจ้าเล่ห์ที่นางกล่าวถึงคงไม่พ้นเจ้าสมุทรทักษิณผู้แสวงหาในอำนาจพร้อมใช้ทุกอย่างกระทั่งสายเลือดของตนเพื่อให้ไปถึงจุดหมายนั้น
"คงหวังจะให้บุตรสาวผู้นี้ได้หมั้นหมายกับรัชทายาทเผ่าสวรรค์สินะ" ทว่าการทำเช่นนี้มีเพียงความขายหน้าเท่านั้น รัชทายาทเผ่าสวรรค์หาได้สนใจเซียนสตรีนางใดใน4สมุทร8ปฐพีนี้ ช่างน่าสงสารเซียนน้อยนางนี้จริงแท้ที่ถูกบิดาตนหลอกว่ารัชทายาทจะชมชอบนาง
ระยะเวลาผ่านไปหลายชั่วยามงานเฉลิมฉลองในวันนี้จึงจบลง ฮวาหลันพกสุราจอกหนึ่งย่างเท้าออกจากท้องพระโรงอย่างเชื่องช้า นางเดินเหม่อลอยไปไกลจนไม่รู้ทิศทาง รอบข้างเต็มไปด้วยดอกท้องดงามตระกาลตาไปไกลถึงสิบหลี่
"งดงามนัก ไม่รู้เทพองค์ใดปลูกต้นท้อมากมายถึงเพียงนี้" นางนั่งริมลำธารเย็นเยียบในป่าท้อนั้นพลางนึกถึงอดีตของตน
"ข้าเจ็บปวดเหลือเกินเสี่ยวชาง เหตุใดจึงทรยศข้าไปคบชู้กับอาอวี๋ หรือเพราะสวรรค์ไม่ได้กำหนดให้เราได้ครองคู่กันเช่นนั้นเหรอ" แม้สำหรับผู้อื่นฤดูกาลจะแปรผันมา300รอบแล้ว ทว่าสำหรับฮวาหลันที่หลับมาอย่างยาวนานนั้นกลับเป็นระยะเวลาเพียงไม่กี่วันเท่านั้น ยามนี้นางยังไม่อาจทำใจได้ หยดน้ำสีใสไหลลงมาจากดวงเนตรหยดหนึ่ง ในใจนางเหมือนถูกบดขยี้จนแตกสลายกลายเป็นเศษผง
"หรือนี่จะเป็นบทลงโทษที่ข้าไปยุ่งเกี่ยวกับมนุษย์กัน สวรรค์ช่างใจร้ายนัก ข้าเพียงรักคนผู้หนึ่งเท่านั้นเอง" นางกล่าวเช่นนั้นจึงยกสุราไหสุดท้ายขึ้นดื่ม ทว่าสุราในไหนี้กลับหมดสิ้น
"แม้แต่สุรายังทอดทิ้งข้า ปล่อยให้ข้าเปล่าเปลี่ยวใจอยู่ผู้เดียว" กล่าวจบนางจึงผล็อยหลับไปทั้งอย่างนั้น โดยไม่ทันสังเกตเห็นเจ้าของสถานที่แห่งนี้ที่งีบหลับอยู่บนต้นท้อใกล้ ๆ นาง
"ผู้ใดกล้าเข้ามายังป่าท้อของข้ากัน"
เพื่อวิธีการเล่นเพิ่มโปรดดาวน์โหลดMangatoon APP!